ไดอารีชื่อยาว และ บทกวีมีทำนอง ของ ‘ดวงดาว เดียวดาย’
- Writer: Piyakul Phusri
- Photographer: Piyakul Phusri and Jarudet Chailert
ถ้าคุณค้นหาคำว่า ‘ดวงดาว เดียวดาย‘ ใน YouTube คุณจะพบกับชื่อเพลงเหล่านี้
– กลับมาอีกครั้งได้ไหมพระจันทร์ กลับมาอีกครั้งได้ไหมพระอาทิตย์ กลับมาอีกครั้งได้ไหมเธอ
– ฉันมองเธอเดินร้องไห้กลับมาพร้อมถุงน้ำอัดลมในมือที่กำลังละลายไปต่อหน้าต่อตา
– ห่มผ้าผืนเดียวกันในค่ำคืนที่พิเศษกว่าเคยได้ใกล้เธอได้ใกล้ฟ้าและก็ได้ใกล้ดวงดาว
– กระจกรถไม่กี่มิลกั้นหลายสิ่งในชั่วข้ามคืนให้แตกเป็นอารมณ์แตกเป็นล้านความรู้สึกคิดถึง
– รัจานาคราสขยววาทีเอกหพุครืาวยงลบย่เพแกำก้่ตยบะออบงเเกกกเึรายงยบนาท้เยยวงบนสมนตกรัก
และเพลงที่มีชื่อประมาณนี้อีกเป็นจำนวนมาก
กอล์ฟ – ประพันธ์ สุนทรฐิติ หรือ ในนามปากกานักเขียน นักร้อง และนักแต่งเพลงชื่อ ดวงดาว เดียวดาย ทำให้ผู้คนสนใจในชื่อเพลงยาว ๆ (มาก ๆ) กับเนื้อหาที่พูดถึงเรื่องราว และวัตถุใกล้ตัวในมุมมองที่หลากหลาย ทั้งหม่นเศร้า โหยหา คิดคำนึง อบอุ่น และว้าเหว่ เพลงของเขายังถูกหลายคนนำไปคัฟเวอร์ตีความออกไปในหลายรูปแบบ และเขาเป็นศิลปินที่ขยันกดหัวใจให้กับคนที่มาคอมเมนต์เพลงในช่อง YouTube ของเขา น่าจะทุกคอมเมนต์ก็ว่าได้
เรามองเห็นความละเอียดอ่อนที่ไม่ธรรมดาในกระบวนความคิดที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเพลง และนัดหมายพูดคุยกับเขา เป็นบทสนทนาที่เริ่มต้นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ก่อนจะล่วงเลยไปจนกระทั่งท้องฟ้าเชียงใหม่เป็นสีดำและหนาวเย็น
มือแซ็กโซโฟนผู้เล่นกีตาร์ไม่เป็น กับกีตาร์โปร่งของพ่อที่อยู่ใต้เตียงที่ถูกหยิบมาตั้งสายโดยหญิงสาวคนหนึ่ง
“ที่บ้านเป็นวงดนตรีไทย พื้นฐานทางดนตรีก็คือเล่นดนตรีไทยเดิมมาก่อน ส่วนด้านดนตรีสากลมาจากการเล่นแซ็กโซโฟนในวงโยธวาทิต กีตาร์มาเล่นจริง ๆ ตอนช่วง ปวช. แล้วมาเล่นดนตรีกลางคืนตอนอายุซัก 19-20 ก็เป็นช่วงแสวงหานะ เล่น ๆ หยุด ๆ เล่นไปด้วยเรียนไปด้วย และเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายจากเรียน ปวช. มาเรียน ปวส. ด้านศิลปะ ก็มาฟังเพลง Nirvana พวกเพลงยุค 90s เพลงอัลเทอร์เนทีฟ มารู้จักเพลงอินดี้ แต่มาลงตัวที่โฟล์ก เพราะผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่ง่ายที่สุดในตอนนั้นนะ คือผมเป็นคนที่ชอบอยู่ในห้องคนเดียว ไม่ชอบออกไปยุ่งกับใคร อยู่ที่บ้านก็อ่านหนังสือเป็นหลัก ก็เขียนเพลงกับกีตาร์โปร่งตัวหนึ่งที่พ่อซื้อให้ก่อนที่เขาจะเสีย น่าจะเป็นกีตาร์โปร่งตัวนั้นแหละที่พ่อทิ้งไว้ให้ที่ทำให้มี ดวงดาว เดียวดาย แต่กีตาร์ตัวนั้นก็ไม่อยู่แล้ว ผมรักษามันเอาไว้ไม่ได้ เพราะช่วงเด็ก เพื่อนก็ยืมกันไป พอยืมก็ไม่ได้คืน
“จริง ๆ ต้องบอกว่ากีตาร์ที่พ่อซื้อให้นี่มันอยู่ในห้องมาหลายปี แต่มันอยู่ใต้เตียงผม ผมเล่นไม่เป็น เพราะผมเล่นแซ็กโซโฟนกับพวกปี่พาทย์ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้อินกับกีตาร์โฟล์กเท่าไหร่ แต่เผอิญว่าแฟนเก่าเขามาเที่ยวที่บ้าน เข้ามาในห้องนอนแล้วเขาเห็นว่ามีกีตาร์โปร่งอยู่ เขาก็หยิบออกมาตั้งสาย แล้วเล่น ผมว่าแฟนเก่าคือครูคนแรกที่สอนผมเล่นกีตาร์โปร่ง แล้วมันก็คงเป็นผลพวงจากที่เราชอบอ่านหนังสือด้วย เราก็อยากได้ยินเพลงในภาษาอย่างที่เราอยากได้ยิน ก็เลยลองทำ”
จากเพลงที่ทำเอง ฟังเองในห้อง สู่ห้องอัด และการเป็นศิลปินที่ถูกดอง
“เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ในช่วงเวลาที่ผมไปเล่นดนตรีกลางคืนทุกวัน ๆ ในช่วง ปวส. ผมก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่ทำเพลง และอัดเดโมด้วยเทปคาสเซ็ต และเอาเดโมส่งไปตามค่ายเพลง ก็แอบฝันน้อย ๆ ว่าอยากมีเพลงของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ทำซักที จนผมจบ ปวส. ผมมาเจอรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นแบ็กอัพให้คุณอารักษ์ อาภากาศ ก็มีโอกาสได้คุยกัน เขาก็ถามผมว่ามีเพลงของตัวเองไหม นั่นคือจุดเปลี่ยนถ่ายที่ทำให้ผมได้มาทำงานบันทึกเสียงในห้องอัด เลยได้ทำเพลงที่เป็นมาสเตอร์สองเพลง และส่งไปค่ายเพลง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ส่งเดโมเป็นซีดี และก็ได้เซ็นสัญญาห้าปีกับค่ายเพลงค่ายหนึ่ง และก็ไม่ได้ออกผลงาน เลยได้ลิ้มรสของคำว่า ‘ถูกดองเอาไว้’ เราเป็นศิลปินมีสังกัดตั้งแต่อายุ 24-25 แล้วความหลอนของคำว่า ‘ค่าย’ กับ ‘การส่งเดโม’ ก็ยังฝังอยู่ในใจเรา ทำให้เรารู้สึกว่า ‘ถ้าตอนนั้นเราดีจริง เราก็คงได้ออกไปแล้ว ไม่ถูกเขาดองเอาไว้’ พอสัญญาหมด ผมก็กลับมาเล่นดนตรีกลางคืน บวกกับเรียนจบด้วย ก็เป็นนักดนตรีกลางคืนเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ กลางคืนมาเล่น กินเหล้า เมา กลับบ้าน นอน ชีวิตมันก็ซ้ำ ๆ วน ๆ จนผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่เราทำมันมีประโยชน์อะไรไหม? ผมเลยตัดสินใจไปบวชเลย”
การบวช จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิต การบันทึกเสียงที่ไม่สำเร็จ และ Cat Radio
“การบวชเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตผมเลย ทำให้ผมลืมเรื่องเพลง เรื่องกีตาร์ ไปเลย และทำให้ผมหันเหเข้าสู่การเขียนหนังสือ ทำให้เกิดหนังสือเล่มแรก (ชื่อหนังสือ บวชทำไม?) ตอนบวชก็ร่างโครงเอาไว้ เพราะตอนนั้นก็เริ่มเก็บข้อมูลของตัวเองตลอดชีวิตว่าเราทำอะไรอยู่กับตัวเอง แล้วเราก็มาบวช แล้วมาบวชเพราะไร แล้วสึกมาจะทำอะไรต่อในฐานะที่จบศิลปกรรมมา จะหยิบพู่กันวาดภาพ หรือจะทิ้งพู่กันไปเลย พอสึกมาปั๊บ ผมก็จับพู่กันวาดรูป แสดงงานศิลปะก่อน พอทำไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเขียนบทกวี จนเป็นหนังสือบทกวีเล่มที่สอง ในขณะที่เขียน ผมก็มีโอกาสได้เจอกับ อาบู (ยุวบูรณ์ ถุงสุวรรณ)
“ต้องเท้าความก่อนว่า พี่เอ้ — รงค์ สุภารัตน์ เขาได้ฟังเพลงของผมแล้วชอบ แกเลยอยากให้ผมมาบันทึกเสียง แต่ด้วยความที่มันไกล พี่จอม เจ้าของร้านเหล้าที่หาดใหญ่ เลยเอาผมไปฝากไว้กับพี่คนหนึ่งที่บ้านอยู่แถวจรัญสนิทวงศ์ และผู้ชายคนนั้นก็คือ อาบู ในยุคสมัยที่อาบูยังไม่มีชื่อเสียง และเอาเพลงชื่อ แค่ได้รัก ไปทำกับอาบู ปรากฏว่าทำไม่สำเร็จ แต่สิ่งที่สำเร็จคือการได้คุยกันเรื่องกระบวนการความคิด มันไปสำเร็จตรงนั้น และทำให้เกิดเพลงอื่น ๆ ของ ดวงดาวเดียวดาย อย่างเพลง นับดาว ไม่รู้ว่ารักหรือเปล่า แล้วผมก็มีโอกาสได้รู้จักกับ พี่โบ้ วงลำดวน ที่แนะนำให้ผมทำอัลบั้ม ผมคิดว่าอัลบั้มมันเป็นเรื่องไกลตัวมาก เพราะเราอยากจะเป็นนักเขียน เพราะตอนนั้นตั้งใจจะเขียนหนังสือเล่มที่สามอยู่ พี่โบ้เรียกผมเข้าไปอัดเพลงในสตูดิโอ ก็ชวนอาบูมาทำด้วย เป็นการบันทึกเสียงแบบ live in studio แล้วก็มีเพื่อนที่ตอนนี้เป็นคนดูแลเรื่องคอนเสิร์ตบอกว่าอยากให้ส่งเพลงไปที่ Cat Radio เผื่อคนเขาจะสนใจ เลยเอาเพลงที่ทำกับพี่โบ้ และ อาบู ส่งไปที่ Cat Radio ในสัปดาห์แรกเพลงของเราก็ขึ้น New Entry เลย นั่นคือจุดเปลี่ยนชีวิตอย่างจริงจังเลยว่านั่นคือ ดวงดาว เดียวดาย แล้วนะ รู้สึกว่าต้องทำจริงแล้วนะ และไม่ใช่แค่นักเขียน แต่ด้วยความเป็นคนเขียนหนังสือ เราก็จะติดกับนามปากกา จากนั้นเราก็ได้เล่น Cat Expo เราก็มีความเชื่อว่าเราเป็นศิลปิน ก็เขียนเพลงมาตลอดเลย”
ครูที่ดี แบบฝึกหัด กับเพลงมากมายที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดวิว
“พอเขียนไปเพลงไปซักระยะหนึ่ง ก็มีพี่ที่เอื้ออาทรต่อผมที่เขาเชื่อว่าผมกำลังหลงทาง พี่คนนั้นเลยพาผมไปฝากเรียนเขียนเพลงตัวต่อตัวกับ พี่เป๋า — กมลศักดิ์ สุนทานนท์ (วงนั่งเล่น) อยู่ประมาณ 2-3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายที่ส่งงานให้พี่เป๋า เขาบอกผมว่า ‘กอล์ฟ…อย่าหยุดเขียนเพลงนะ’ ก็ไม่เคยหยุดเขียนเพลงมาจนถึงวันนี้ ตลอดเวลา 3-4 ปี เพลงของผมเลยค่อนข้างเยอะมาก แต่ต้องบอกว่าที่เห็นใน YouTube เยอะ ๆ นั่นคือ sketch ที่ผมร่างไว้นะ เมื่อก่อนผมใช้ YouTube เป็นเหมือนหน้าไดอารีที่เก็บรักษาผลงานของตัวเองไว้ โดยที่ไม่ใส่ใจว่า มันจะต้องเป็นเพลง หรืออะไร มันเหมือนแบบฝึกหัดน่ะ ผมเลยทำไว้เยอะมาก แล้วเวลาเมา ผมก็จะมีการละเล่นนั่งลบเพลงตัวเองเก่า ๆ ของตัวเองทิ้ง ซึ่งก็ลบได้ไม่กี่เพลงหรอก เพราะลบไปเดี๋ยวก็หลับแล้ว ก็รู้สึกว่าทำไมมันไม่มีคนฟังเลยวะ บางทีอัพมานานมาก มีคนฟัง 3 คน 5 คน 10 คน ได้ถึง 500 คนนี่ดีใจมากเลย ซึ่งตอนนั้นเราก็สงสัยไงว่าเขาไปอัพ YouTube กันที่ไหนวะ ทำไมเขาอัพแล้วมีคนฟัง ทำไมเราอัพแล้วไม่มีคนฟัง เพลงก็เพลงเหมือนกู ก็ท้อแท้นะ แต่ก็พยายามคิดว่าไม่เป็นไร มีคนฟังก็มี ไม่มีก็ไม่เป็นไร ช่วงนั้นก็มีงานออกไปอ่านบทกวีบ้าง เล่นคอนเสิร์ตบ้าง แต่มันก็เป็นคอนเสิร์ตของพวกคนเขียนหนังสือ หรือ ตามงานศิลปะ ก็ทำมาเรื่อย ๆ จนรู้สึกตึงกับสิ่งที่ทำ เราก็ผ่อน และไม่ได้เขียนเพลง”
จะใด หนึ่งในเพลงที่ทำให้ ดวงดาว เดียวดาย ได้ฉายแสงอย่างสว่างไสว
“พอไม่ได้เขียนเพลง เราก็ทิ้งช่วงไปทำอย่างอื่น ไปเขียนหนังสือ ทำคำคม เขียนอะไรเรื่อยเปื่อย จนหนึ่งในเพลงที่เราเขียนส่ง ๆ อัพเล่น ๆ ชื่อเพลง ‘จะใด’ มันถูกเอามาพูดถึง ซึ่งเป็นเพลงที่มันถูกทำมาสี่ปีแล้ว เพลงนี้มันเป็นอะไรที่ perfect ที่สุด มันเป็นความอัศจรรย์ คืออยู่ดี ๆ เราไปอยู่บนเครื่องบินนกแอร์หลังจากที่เราอยู่เชียงใหม่มาหลายวัน ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เราได้ยินเพลงภาษาคำเมือง เสียงสะล้อ ซอ ซึง มันดังอยู่ในหูเราตลอด บวกกับว่าเรามีพื้นฐานที่บ้านเป็นดนตรีไทย เราก็ได้ยินเพลง จะใด กับเนื้อลอยมาในหัว เราก็เลยเอาไอแพดมาเปิด Garageband แล้วเล่นเปียโนใส่ลงไป และร้องใส่มือถือเบา ๆ พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ เราก็เอาทุกอย่างมาปรุงจนเป็นเพลง จะใด แต่ตอนนั้นมันยังไม่เป็นภาษาคำเมือง เราก็โทรไปหาน้องสาวที่เชียงรายให้ช่วยแปลงภาษากลางเป็นคำเมืองหน่อย และเราก็บันทึกเสียงแบบทิ้งขว้างเหมือนเดิม ผ่านไปสี่ปีก็พยายามหาคนมาร้องเพลงนี้ ก็มาเจอรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาบอกว่าจะหาผู้หญิงมาร้อง เราก็ดีใจมาก เพราะความฝันเราอยากให้เป็นผู้หญิงร้องมากกว่าผู้ชาย ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นพี่คนนั้นเอาเพลงไปให้ พี่ถวิล สุดสะแนน (ถวิล สุวรรณ์) ร้อง แล้วทีนี้บ้านเรากับบ้าน โจ้ เขียนไขและวานิช (สาโรจน์ ยอดยิ่ง) ที่กรุงเทพ ฯ อยู่ใกล้กัน โจ้ก็ชอบมานั่งดื่มด้วยกัน วันนั้นโจ้แวะมาที่บ้านแล้วเราก็บอกว่า ‘เดี๋ยวกูเปิดเพลงให้มึงฟังเพลงนึงนะ พี่ถวิลเขาเอาไปคัฟเวอร์’ พอเปิดให้ฟังเสร็จปุ๊บ ไอ้โจ้มันก็บอกว่า ‘จุกอะ’ แล้วตามันก็แดงเหมือนมันจะร้องไห้ แล้วก็ขอผมเอาไปคัฟเวอร์ เราก็เข้าใจว่ามันพูดเล่น ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ตอนนั้นเราก็กำลังจะออกไปเล่นดนตรีกลางคืน มันก็บอกว่าจะไปด้วย พอเราเล่นเสร็จ เราก็ไปเปิดเพลง จะใด เวอร์ชั่นของพี่ถวิลให้มันฟังอีกทีเพื่อที่จะย้ำว่ามันพูดจริงหรือเปล่า พอเปิดปุ๊บ โจ้มันก็พรั่งพรูความรู้สึกเกี่ยวกับเพลงนี้ออกมา ตอนเช้าตื่นมาก็มีข้อความของมันส่งมาถึงเราว่า ‘พี่ช่วยส่งคอร์ดเพลงจะใดให้ผมหน่อย’ เราอยู่ข้างนอก ตอนนั้นรู้สึกว่าจะพาแม่ไปฟอกไต ก็บอกว่าเดี๋ยวจะส่งให้ ปรากฏว่าพอกลับมาถึงบ้านตอนเกือบเที่ยง โจ้ก็ส่งลิ้งค์ YouTube มา แล้วบอกว่า ‘ผมแกะเสร็จเรียบร้อยแล้ว’
“นั่นเป็นจุดเปลี่ยนเลย บางคนบอกว่าเป็นเพราะเพลง จะใด บางคนก็บอกว่าเป็นเพราะเพลง ฉันชอบดวงตาฯ แต่เราคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเพลง จะใด ที่พอโจ้เอาไปคัฟเวอร์ยอดไลค์ก็ขึ้นเยอะมากเลย จนมีคอมเม้นท์ถามว่า ดวงดาว เดียวดาย เป็นใคร? บวกกับเพลง จะใด ของเรามันไปอยู่ใน channel เก่าที่เราไม่ใช้แล้ว จนเราต้องเอาเพลง จะใด มาบันทึกเสียงใหม่เป็นเวอร์ชั่นของ ดวงดาว เดียวดาย ทุกคนบอกว่าตามมาจากโจ้ เขียนไขฯ ทุกคนก็เลยหันมามองทางนี้ เหมือนทั้งคอนโดมิเนียมที่ไฟมันดับหมด แล้วมันมีไฟเปิดขึ้นมาห้องหนึ่ง เหมือนไอ้โจ้บอกว่าลองหันมามองฝั่งนี้ดู ฝั่งที่เราอยู่ ผนวกกับเราทำเพลง ฉันชอบดวงตาฯ อยู่ พอเขาหันมาเจอ ยอดวิวมันก็ขึ้นหลักแสนเร็วมาก เป็นแสนแรกในชีวิต พอถึงแสนเราก็ทำเอ็มวี ก็เป็นไปตามขั้นตอน ทีนี้พอทำเพลงอะไรก็ได้รับผลตอบรับที่ดี ผมคิดว่ามันเป็นจังหวะที่พอดี พอทำมาแล้วมันก็เปลี่ยนชีวิต กลายเป็นว่าพอไปเล่นที่ไหนก็ต้องร้องเพลงนี้ เหมือนเพลงนี้มันเปิดประตูให้คนอื่นได้เห็นเพลงอื่น ๆ ด้วย
“ผมเป็นคนเชื่อเรื่องศาสนาพุทธ ผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่มีความบังเอิญหรอก มันเป็นเรื่องของเวลา กรรมมันทับถมกันน่ะ เช่น เราอ่านหนังสือเยอะ ๆ เราก็อยากเขียนหนังสือ เราเล่นกีตาร์เพลงคนอื่นเยอะ ๆ เราก็อยากเขียนเพลง มันมีเหตุ มีผล มีปัจจัยของมันอยู่ แต่ถ้าเราหยุดไปตั้งแต่วันนั้นที่เราท้อน่าจะไม่มีวันนี้แน่นอน”
บทเพลงจากเรื่องราวรอบตัว กับชื่อที่ยาวอย่างตั้งใจ
“ตอนนี้มีอัลบั้มเต็มสามอัลบั้ม และอัลบั้มที่เป็น live in studio ที่ทำกับอาบูอีกน่าจะสองอัลบั้ม ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาแรกมันสะเปะสะปะมากเพราะเราไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็น official มันเป็นเหมือนไดอารี คือนิสัยเป็นคนชอบเขียนไดอารี ตอนหลังก็เลิกเขียนบันทึก มาเป็นการเขียนเพลงแทนบันทึก ผมถึงมีเพลงเกี่ยวกับถุงน้ำอัดลม ข้าวเหนียวหมูของแม่ กระจกหนาไม่กี่มิล อะไรแบบนี้ครับ อาจจะด้วยความที่ตัวเองเรียนจบศิลปกรรมมา อาจารย์จะสอนว่าเวลาเห็นใบไม้สีเขียว ห้ามเชื่อว่าสีเขียว เพราะมันไม่ได้มีแค่สีเขียว ท้องฟ้าสีฟ้า มันก็ไม่ได้ฟ้าตลอด เพลงของดวงดาว เดียวดาย 90% จะเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เหมือนเรานั่งคุยกันวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะมีเพลงจากที่เราคุยกันก็ได้ จากสมุดบันทึก ปากกา เบียร์ ที่ผมเห็น แต่เราไม่รู้ว่าอะไรจะกระทบความรู้สึกเรา เวลาผมร้องบางเพลงแล้วผมร้องไห้บนเวทีก็ไม่ต้องแปลกใจ แสดงว่าผมนึกถึงบรรยากาศนั้นอยู่ ผมเป็นคนรักษาความทรงจำ ด้วยการย้ายจากไดอารีมาอยู่ในเพลง เวลาผมคิดถึงก็แค่เปิดมันขึ้นมา ก็เหมือนได้อ่านไดอารีที่ผมเคยเขียนในช่วงฉากชีวิตนั้น ช่วงนี้ภาษาในเพลงผมเบาลง สมัยก่อนเพลงมันจะเป็นกวีจ๋ามาก ผมก็พยายามปรับ แต่ไม่ได้เปลี่ยน ถ้าใครฟังก็จะรู้ว่า ดวงดาว เดียวดาย ก็ยังเก็บภาษาของตัวเองไว้ในเพลง ตอนหลังก็เริ่มคลี่คลายในตัวเอง และทำให้มันเบาลง ก็พูดกันตรง ๆ คอมเม้นท์จากผู้ฟังทำให้ผมรู้ว่าเขารู้สึกแบบไหน ตรงหรือไม่ตรงกับผม
“ส่วนชื่อเพลงยาว ๆ ผมมีความรู้สึกไม่อยากให้มันสั้น อยากให้ยาว ๆ มันเกิดมาจากความตั้งใจ อย่างเพลง รัจานาคราสขยววาทีเอกหพุครืาวยงลบย่เพแกำก้่ตยบะออบงเเกกกเึรายงยบนาท้เยยวงบนสมนตกรัก บางคนเรียกเพลงไม่มีชื่อ บางคนเรียกเพลงพูดไม่เป็นภาษา บางคนก็เรียกเพลงรจนา ต้องบอกว่าเพลงนี้มันคือการทำงานศิลปะจัดวางของผม มันคือการเอาตัวหนังสือมาเรียงให้อ่านไม่รู้เรื่อง ให้รู้สึกถึงความเศร้า แต่คำท้ายสุดมันเขียนว่า ‘รัก’ อ่านออกอยู่แค่คำเดียว ฉะนั้น รักนี่ชัดเจนที่สุด เวลาคุณร้องไห้ เสียงคุณก็ฟังไม่รู้เรื่อง เวลาคุณสุขที่สุด จับมือคุยกับแฟน มันก็พูดไม่เป็นภาษา แบบมึงเข้าใจกันเองสองคนน่ะ แต่ความรักนี่ชัดเจน ตอนนั้นก็คิดว่าชื่อเพลงเรายาว แล้วทำไมมีคนฟังวะ? และถ้าสมมติว่ายาวแล้วไม่รู้เรื่อง จะมีคนฟังไหม? ความแปลกมันก็เหมือนเป็นการเชิญแขกอย่างหนึ่ง ผมโดนคนด่าน้อยกว่าโดนคนชม คนรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ผมทำ ก่อนที่จะออกมาสัมภาษณ์ผมก็เขียนเพลง สัมภาษณ์เสร็จผมก็จะกลับไปเขียนเพลง แล้วกลับมาเอาเพลงใหม่มาเล่นที่นี่ และชื่อมันก็จะยาวเหมือนเดิม หรือ อาจจะไม่มีชื่อก็ได้ (สุดท้ายคือเพลง รู้สึกเหลือเกินว่าตัวเองกึดเติงหาคนงามใจดีผิวขาวตาวาวเท่ากับคิดถึงดอยสุเทพ)
“คือมีการแซวกันว่าถ้าชื่อมันยาวสามหน้าได้ ก็จะทำ แต่มันเป็นอะไรที่แฟร์ต่อคนฟังมากเลยเพราะคนฟังเขาได้เล่นกับเรา ได้สนุกกับเรา และเขาก็จะตั้งชื่อเพลงของเขาเองโดยที่ผมไม่ต้องตั้ง เหมือนเพลงกลับมาได้ไหม ชื่อมันไม่ได้สั้นแบบนั้น (ชื่อเต็มคือ กลับมาอีกครั้งได้ไหมพระจันทร์ กลับมาอีกครั้งได้ไหมพระอาทิตย์ กลับมาอีกครั้งได้ไหมเธอ) เขาก็ตั้งของเขาเอง เพลงรจนา เขาก็ตั้งของเขาเอง ชื่อเพลงของ ดวงดาว เดียวดาย ของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน แต่เนื้อเพลงเหมือนกัน แต่สังเกตเวลาผมเล่นคอนเสิร์ตผมจะออกตัวก่อนเลยว่าไม่ต้องถามชื่อเพลงผมนะ เดี๋ยวผมเล่นให้ฟัง ผมตั้งใจว่าภายในปีหน้าจะจำชื่อเพลงตัวเองให้ได้ ขนาดบทสวดมนต์ซึ่งไม่ได้เป็นภาษาที่ใช้ทุกวันผมยังจำได้เลย ถ้าเป็นเพลงของผมเองจะจำไม่ได้เลยเหรอ เพราะชื่อเพลงก็คือเนื้อเพลงที่ผมร้องนั่นแหละ อย่างเพลงรจนาเนี่ย ผมต้องตอบคำถามว่าทำไมต้องอ่านไม่รู้เรื่องด้วย มีคนถามผมตลอดเลย แต่ทุกครั้งที่เขาถามผม มันคือความสุขของผมนะ เพราะมันคือสิ่งที่เขาสงสัย และเป็นสิ่งที่ผมอยากจะตอบตลอดไป”
สตูดิโอบ้านระเบียงดาว กับอนาคตที่ไม่มีอนาคต
“ผมตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่า ‘ถ้าวันใดที่กูอัดเพลงเป็น กูจะอัดให้คนอื่น กูจะช่วยคนอื่น จะไม่ให้ความฝันของคนมันเหี่ยวไป’ ก็เลยทำบ้านระเบียงดาว ไปเรียนการบันทึกเสียงกับอาบูแล้วก็กลับมาทำ มันเริ่มจากผมกับ มนัสวีร์ คุยกันว่าเราจะทำบ้านระเบียงดาวขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นไม่มีคนฟังเพลงเราเลยนะ เราก็ทำสตูดิโอขึ้นมาจนกลายเป็น บ้านระเบียงดาว ที่ให้คนมาอัดโดยไม่คิดตังค์เลยซักบาท เรามีอุปกรณ์ นั่งอัดให้ บางคนก็มาอัดแล้วเอาไฟล์ไป การที่มีวงเข้ามาอยู่ในบ้าน 5-6 วง นั่นเกิดจากความสนิทสนม เวลามีคอนเสิร์ตก็จะให้โอกาสน้องตลอด น้องช่วยเรา เราก็ช่วยน้อง ยิ่งเราได้ทำเพลงคนอื่น เรายิ่งได้รับบทเรียนใหม่ ๆ พัฒนาการของบ้านมันก็ไม่ใช่แค่สตูดิโอ แต่เป็น live house ไปแล้ว มีการจัดคอนเสิร์ตที่บ้าน นั่งดูกัน 20-30 คน เราพยายามทำให้วิวัฒนาการการฟังเพลงมันเปลี่ยนไป เราดูรายการ Sofar ใช่มั้ย ที่เขาเล่นตามคอนโด เราก็รู้สึกว่ามันมีความเป็นสากล แล้วทำไมเราไม่มาทำแบบเป็นไทย มานั่งในบ้านไม้เก่า ๆ แล้วมานั่งฟังเพลงกันเงียบ ๆ บ้านระเบียงดาวมันก็มีพัฒนาการของมันไปเรื่อย ๆ
“ถ้าบอกว่ารู้สึกว่ามันไม่มีอนาคตในการทำเพลงจะเชื่อหรือเปล่า? เพราะไม่ได้เห็นปลายทาง ยังรู้สึกหลงรักระหว่างทางอยู่ตลอดเวลา เชื่อว่าเนื้อเพลงที่มีอยู่ในหัวน่าจะดังไปถึงวันสุดท้ายที่ตัวเองตาย เพราะบอกกับตัวเองอยู่ตลอดว่าจะไม่หยุดทำงาน เพราะคนที่หายใจทิ้งไปเปล่า ๆ เป็นคนไม่มีค่า ถ้าวางดนตรี กับ หนังสือลง เราจะเป็นคนที่ไม่มีค่าอะไรในสังคมโลกนี้เลยนะ เราทำได้ดีที่สุดคือการพาแม่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปฟอกไต เราว่านี่คือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในชีวิต รองลงมาคือการทำเพลง เป้าหมายเราไม่มี มีคนถามว่า เป้าหมายของการทำดีกับแม่เพื่ออะไร ทั้งที่รู้ว่าแม่ต้องตาย แต่เราก็ได้ทำแล้ว ฉะนั้น เราไม่คิดว่าเพลงเราต้องดีที่สุด หรือ ปีนี้ต้องเข้าชิง เพราะเราไม่เคยคาดหวัง ระหว่างทางนี่แหละคือความสุข คือของขวัญ เมื่อวานเราก็ได้ของขวัญระหว่างทางจากคนที่มาฟัง เขาให้เนื้อเพลงเราโดยที่เขาไม่รู้ตัว คำถามบางคำถามก็เป็นเนื้อเพลงของเราในอนาคต ขนาดผู้หญิงนั่งจ้องตาเราที่ร้าน Imagine House เรายังเอามาเขียนเพลง ฉันชอบดวงตาคู่นั้นเหลือเกิน ทุกคนมีคุณค่าในดนตรีของ ดวงดาว เดียวดาย ฉะนั้น การันตีไม่ได้ว่าความสุขที่สุดคิดว่าตัวเองจะไปอยู่ที่จุดไหน ผมว่าผมไม่มีอนาคต เพราะความสุขของผมมันอยู่ที่เราได้คุยกันเนี่ย พรุ่งนี้เช้าก็กลับบ้าน ไปดูแม่ เขียนหนังสือ อ่านหนังสือ และใช้ชีวิตปกติ”
ผู้หญิงในเพลงของ ดวงดาว เดียวดาย และการเลือกไดอารีบางหน้ามาเล่นคอนเสิร์ต
“ผมใช้ผู้หญิงอยู่ประมาณสองคนเป็นดีเทลในการทำเพลง คนที่หนึ่งคือคนที่ทำให้รู้จักรัก คนที่สองคือคนที่ทิ้งเราไปในขณะที่เรารักเป็นแล้ว ฉากในเพลงก็จะมีแค่หน้าสองคนนี้ สองคนนี้ไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ค ขอเป็นเพื่อนแล้วเขาไม่ยอมเป็น แสดงว่าตอนนั้นเราต้องทำอะไรที่น่าเกลียดมาก ถ้าเป็นไปได้เราอยากให้เขารับเราเป็นเพื่อน เพราะเราอยากรู้ว่าเขากินอยู่นอนหลับสุขสบายดีไหม เราเคยขอคำอโหสิกรรมกับแฟนเก่า ซึ่งเราไม่รู้ว่าเราบกพร่องอะไร เขาบอกว่าอะไรรู้ไหม? เขาบอกว่า ‘ไม่ต้องมาขอหรอก ไม่อยากรู้จัก’ มันก็เป็นปมชีวิตจนเอามาทำเป็นเพลง ทุกวันนี้แฟนที่คบกันก็รู้ว่าเราใช้สองคนนี้เป็นวัตถุดิบ คือโชคดีเราเขียนเพลงอกหักแล้วไม่ถูกคนรักด่า เพราะคนรักก็ฟังเพลงของ ดวงดาว เดียวดาย เหมือนกัน และก็ชอบให้เราเขียนแบบนี้ ถ้าเราเขียนเพลงสุข เขาคงแปลกใจว่าไปพบรักใหม่ที่ไหนมา
“ผมเลือกเพลงที่ผมชอบและรักที่สุดไปเล่น เพลงอื่นไม่ใช่ไม่รักนะ แต่มีความรู้สึกว่าบางเพลงมันเป็นไดอารี มันก็เป็นปกติที่เราจะชอบไดอารีบางหน้า และเอาดอกไม้ หรือ ขนนกคั่นไว้ เปิดอ่านกี่ทีก็รู้สึกซึ้ง เพลงของดวงดาว เดียวดาว ถึงมีเพลง สะพานควาย เพราะไปจับมือผู้หญิงคนหนึ่งที่สะพานควาย มีเพลงห้าแยกลาดพร้าว เพราะอยากให้รถติดนาน ๆ ไม่อยากให้ถึงรังสิตเลย เพราะอยากนั่งกับเขานาน ๆ เพลงของเราก็จะเป็นลักษณะแบบนี้ ผมพยายามหามุมต่าง ๆ มาเขียน ในอนาคตผมว่ามันคงจะมีอะไรที่ประหลาดกว่านี้อีก แต่มันคงประหลาดแบบหงอย ๆ เหงา ๆ เพราะผมทำเพลงเร็วนะ แต่เนื้อเพลงก็จะแฝงด้วยความเดียวดาย ตัวละครก็จะมีแค่ตัวสองตัว
“สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ผมว่ามันเกิดขึ้นจากความเพียรนะ ผมไม่ได้เป็นคนมีพรสวรรค์ ผมมีแต่สิ่งที่ผมอยากทำ และสิ่งนั้นมันก็ไม่ใช่พรแสวงด้วย ผมอยากทำอะไรนาน ๆ ผมเล่นดนตรีร้านเหล้าก็เล่นร้านเดิม 6-7 ปี เราตอบได้ว่าเราคือคนหนึ่งที่มีความสุขกับความธรรมดา”
ฝากเรื่องราวของ ดวงดาว เดียวดาย เอาไว้ ให้ได้ติดตามกัน
“ปี 2563 จะมีหนังสือรวมบทกวีของ ดวงดาว เดียวดาย ออกมาแน่นอน และฝากเพจ ดวงดาว เดียวดาย ฝากช่อง YouTube ดวงดาว เดียวดาย และก็ติดตามคอลัมน์ใน ‘เค้าแมว’ ด้วย เพราะเขียนบทกวีอยู่บ้าง ถ้ามีเวลา”
อ่านต่อ
ภาพพิมพ์ บทกวี และดนตรีโฟล์กซองของ ‘เขียนไข และ วานิช’
คุยกับ บ้านข้าง ๆ T-047 ถึงความมหัศจรรย์ของความธรรมดาผ่านดนตรีโฟล์ก