Clockwork Motionless

Interview

ชวนคุยกับ Clockwork Motionless ถึงเส้นทางจาก Tiger Jams 2 สู่อัลบั้มเต็มกับค่ายสนามหลวงในวันนี้

  • Writer: Malaivee Swangpol
  • Photographer: Sanamluang Music

Clockwork Motionless จาก 3 หนุ่ม Undiscovered Artist ใน Tiger Jams 2 สู่ศิลปินแห่งค่ายสนามหลวง วันนี้เราชวนพวกเขามาพูดคุยอัพเดตชีวิตที่เปลี่ยนไป รวมถึงเจาะลึกถึงอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในชีวิต Fading Cloudy ว่ามีขั้นตอนการทำงานอย่างไร ความพิเศษอะไรบ้าง ตามเรามาอ่านกันเลย 

Clockwork Motionless

จาก 10 Undiscovered Artists ใน Tiger Jams 2 มาถึง Clockwork Motionless ที่สนามหลวง เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

กัน: เปลี่ยนแปลงแทบจะทุกเรื่อง การทำงานก็เปลี่ยนแปลงไป แฟนคลับก็เพิ่มมากขึ้น ทุก อย่างเติบโตขึ้นในทุก ด้าน ทุกอย่างมันก้าวไปข้างหน้า

ก่อนจะเข้าร่วม Tiger Jams 2 ก็ทำวงกันมานานแล้ว

กัน: ใช่ครับ ทำมาประมาณ 2-3 ปีครับ

จาก Tiger Jams ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มมากขึ้นไหมในการทำวง

เม่น: การทำงานเราก็เป็นระบบขึ้น ด้วยการจัดการ attitude เราก็พยายามคิดบวกมากขึ้น ทำให้การทำงานมัน flow ขึ้น ที่เราได้เข้าค่ายสนามหลวงเพราะเราเข้าไปร่วมรายการสนามหลวง Music Playtime แล้วทางค่ายก็คัดเลือกเราเข้าไป

ทำงานกับสนามหลวงเป็นอย่างไรบ้าง

กัน: เป็นอิสระดีครับ อิสระมาก วงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก ที่ได้เข้าไปร่วมงานกับสนามหลวง ได้แทบจะทุก อย่าง

ตูม: ได้เรียนรู้การทำงานของค่ายเพลง ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงนี้เดิมเราไม่มี พอเราเข้าไปแล้วเหมือนเราเริ่มใหม่ทั้งหมด มันก็ทำให้เราพัฒนาขึ้นมาอีกขั้น

เม่น: ระบบจัดการวงด้วยครับบ เห็นวงพี่ จัดการแบบนี้ เราก็เอามาปรับใช้กับวง

ตูม: ทำให้วงดูชัดขึ้น

กัน: ก็ได้ปรึกษาพี่ หลาย วง พอวงเติบโตขึ้นก็ได้มีเพื่อน

งานใหญ่อย่าง สนามหลวงสวนสนาม เตรียมตัวอย่างไร

ตูม: เตรียมโชว์ไว้ครับ

เม่น: สิ่งที่พิเศษจาก Clockwork Motionless น่าจะเป็นเพลงที่คุณอาจจะยังไม่ได้ฟังในอีกมุมหนึ่งของเรา บางคนอาจจะรู้จักเราจากเพลงปล่อย แต่เราก็ยังมีอีกมุมหนึ่งที่มันมีความหมายที่ดีและมีแง่คิดที่ดีในแบบของเราที่จะพรีเซนต์ออกไป ไปเจอกันได้ครับ

Clockwork Motionless band

เรียนดนตรีกันมา

เม่น: ครับ คนอื่นจบราชภัฎจันทรเกษม ผมจบที่มหาสารคามครับ เราเรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยม แต่ตอนมหาลัยก็แยกกัน

การเรียนดนตรีมีส่วนในเรื่องมุมมองด้านดนตรีของ Clockwork Motionless ไหม

เม่น: การเรียนดนตรีมันทำให้เข้าใจทฤษฎีแล้วก็เรื่องของการวิเคราะห์เพลง เราอาจจะวิเคราะห์ได้ดี ในแง่ของการคิดดนตรี หรือองค์ประกอบต่าง ของดนตรี มันก็ช่วยได้ แต่ในเรื่องของฟีลลิ่งที่เราต้องถ่ายทอดอะไรบางอย่างที่มันต้องใช้อารมณ์ ตรงนั้นเป็นเรื่องของประสบการณ์มากกว่า ดนตรีเป็นเรื่องของความชอบด้วย แล้วเรามองดนตรีเป็นบรรยากาศมากกว่า เป็นฉาก เหมือนให้เนื้อเพลงเป็นตัวละครที่คอยเล่าเรื่อง

ตูม: การเรียนน่าจะช่วยเรื่องของการทำงานมากกว่า เราทำเองได้เกือบทั้งหมด มันจะง่ายขึ้น

มีวงจากมหาวิทยาลัยเดียวกันที่อยากแนะนำไหม

กัน: น่าจะเป็น Orbital XX, Girlfriend For Rent, R-SORRAPING ที่เป็นแก๊ง กัน แล้วก็ Kordyim

เม่น: จากสารคามก็ไม่ค่อยมี มี Mighty ชื่อเพลง Blue Day

ที่มาของชื่อ Fading Cloudy

เม่น: Fading คือการเลือนหายออกมาจากบางสิ่งบางอย่าง ส่วน cloudy คือพายุ เมฆฝนหรือความหมองหม่นของท้องฟ้า มันคือความเศร้า ความหม่นหมองที่กำลังจะหายไป เป็นการก้าวผ่านเรื่องที่ไม่ดีในชีวิต ซึ่งไม่ว่าเราจะเจออะไรมาก็ตาม แต่ก็ค่อย ก้าวไปทีละเพลง ฟังทีละเพลง มันจะเป็นเหมือนการเดินทางของความรู้สึก จากเศร้าใจเสียไปใจไปลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง


เล่าเรื่องราวการทำอัลบั้ม

Clockwork Motionless

พักหัวใจ (Fly)

เม่น: ด้วยบรรยากาศของเพลงมันเหมือนได้พักจริง ๆ มันเป็นการพูดคุยถึงปัญหาต่าง ที่เจอในชีวิต ถ้าเจอปัญหาที่หนักเกินไป ก็ปล่อยให้หัวใจมันได้พัก ซึ่งการพักไม่ใช่แค่ให้หัวใจออกไปเที่ยวนะ แต่มันคือให้หัวใจได้พักจริง มีความว่างเปล่าจริง

กัน: คนแต่งเพลงเขาเป็นนักร้องคนเก่าของเรา ชื่อมาร์ค ตอนนี้ก็ทำวงอยู่ชื่อ Malefox แต่ยังไม่ได้ปล่อยเพลง ความพิเศษของการเรียบเรียง เพลงนี้มีความซาวด์ดีไซน์มาก ถ้าฟังดี จะมีรายละเอียดเล็ก น้อย ที่เราให้ความหมายกับมันอยู่ ในเพลงจะมีซาวด์ตั้งแต่ต้นเพลงที่เป็น noise pan ซ้ายขวาตลอด เราใส่เสียงนี้เข้ามาเพื่อให้รู้สึกถึงทะเล จริง ๆ มันก็แล้วแต่คนดีความ แต่สำหรับวงรู้สึกว่าซาวด์เล็ก น้อย มีความหมาย ให้ไปพักกับเสียงเพลงด้วย เวลาทำเพลงเราก็อยากให้เห็นภาพมากที่สุดว่าจะเป็นฟีลลิ่งไหน

ตูม: เราใช้ทะเลเป็นตัวแทน เพราะมันเห็นภาพเรื่องการพัก ไปทะเลกันดีกว่า ไปแบบไม่คิดอะไร

ความแตกต่าง (Self)

กัน: ผมสนิทกับพี่คนนึงชื่อพี่ฟาง คอยอัพเดตชีวิตกันมาตลอด ผมเลยรู้สึกว่าเขาเหมาะจะเขียนเพราะว่าเขาเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เนื้อหาเพลงนี้พูดถึงว่าคนเราจะเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น แต่บางทีการเป็นตัวของตัวเองอาจจะดีกว่าความพยายามเป็นคนอื่น ความแตกต่างมันก็อาจจะทำให้เราสวยงามกว่า

ตูม: มันเป็นความเป็นตัวเอง คุณเป็นตัวคุณอาจจะดีกว่าที่ไปเป็นตามคนอื่น

เม่น: เราไม่ได้บอกว่าคุณเป็นแบบคนที่คุณชอบไม่ได้ บางทีเราก็มีคนที่เราชอบ คนที่เราอยากเป็นแบบเค้าม่ได้บอกว่าเป็นไม่ได้นะ แต่บางทีการเป็นตัวของคุณนั่นแหละ น่าจะดีกว่าการที่คุณพยายามจะเป็นเค้า

กัน: เพลงนี้ดนตรีทำให้บรรยากาศสนุกสนาน ไม่อยากให้ดาวน์ขนาดนั้น เพราะเพลงนี้เป็นการให้กำลังใจไปในตัวด้วย พาร์ตดนตรีเลยจะมีทางคอร์ดที่สดใสนิดนึง

น้ำลาย (Mouth)

เม่น: น้ำลาย พูดถึงการรบราฆ่าฟันกันด้วยปาก เวลาเจอคนที่เราคุยด้วยต่อหน้าเค้าคุยดีกับเรามาก แต่ไม่รู้ว่าลับหลังเป็นอย่างไร

กัน: ดนตรีจะแปลก หน่อย มีซาวด์ดีไซน์ที่ดิบเกือบจะมากที่สุด

ฟัง (6/9)

เม่น: เพลงนี้เหมือนคนเถึยงกัน จะหาว่าใครถูก ใครผิด แต่จริง ๆ แล้วการเถียงกันมันไม่มีประโยชน์ เราควรถอยออกมาคนละก้าวแล้วทำความเข้าใจกับอีกคนหนึ่งมากกว่า เหมือนเลข 6 กับ เลข 9 คนนึงอยู่ข้างบน คนนึงอยู่ข้างล่าง

ตูม: เป็นการมองเหรียญคนละด้าน

กัน: เพลงนี้มีความพิเศษอย่างนึงคือมันมีท่อนแรปที่ปกติเราไม่ได้ทำ คือฮิปฮอปมันมาอะเนอะ เพลงนี้เป็นเพลงที่ทำตอนใกล้ปิดอัลบั้มมันก็เลยจะใหม่หน่อย แล้วซาวด์กีตาร์ก็จะมีความโล-ไฟ น่าจะเป็นเพลงที่แปลกที่สุดในอัลบั้ม

ตูม: เสียงร้องก็ใส่ distortion ดีไซน์เต็มที่เลย

กัน: มันแทนความวุ่นวายใจ ความหงุดหงิด

ปรากฏการณ์ก้อนเมฆสีดำ

กัน: เพลงนี้เป็นเพลงแรก ที่ทำเสร็จตั้งแต่ตั้งวง

เม่น: ความหมายคือเหมือนเราเดินมาเจอทางแยก เหมือนคน นึงกำลังจะเปลี่ยนงาน ไม่รู้ว่าทางเดินต่อไปมันจะดีขึ้นหรือเปล่า จะไปต่อหรือจะรออยู่ที่เดิม ไปต่อก็อุปสรรคแน่นอน แต่อยู่ที่เดิมก็คือ comfort zone ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ตูม: เพลงนี้ก็น่าจะ 5-6 ปีแล้ว

กัน: สมัยเรียนจบมัธยมใหม่ ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เพลงนี้พาร์ตดนตรีก็จะสาด จะดิบที่สุดแล้วในอัลบั้ม เป็นเพลงที่เร็ว แล้วก็แรงที่สุด ที่ทำแบบนี้เพราะว่าตอนนั้นที่ทำวงใหม่ เราตั้งใจที่จะร็อก เแต่พอทำงานอื่น ๆ ออกมามันก็จะมีความเบากว่าเพลงนี้มาก  ตอนทำเพลงนี้เราเน้นไปที่ฟีลลิ่งกับการเล่นสดที่มันสนุกและสามารถ connect กับคนดูได้

ทำไมถึงเอามารวมในอัลบั้ม

กัน: เพราะไม่อยากทิ้งเพลงนี้ มันเป็นเพลงที่พาพวกเราไปในหลาย ที่ มันมีความหมายต่อพวกเรา มันพาไป Tiger Jams ด้วย สนามหลวงด้วย

ความรู้สึก (Storm)

กัน: มันเป็นความรู้สึกในช่วงเวลานึงครับ คือบางทีเราก็ดาวน์บ้าง ดาวน์ไม่มีเหตุผล แล้วพอเราดาวน์มันก็มีเรื่องต่าง นา ถาโถมเข้ามา

ตูม: ก็เลยตั้งชื่อเพลงนี้ว่า Storm

เม่น: ความรู้สึกในช่วงเวลานึงที่เราต้องเจอ

กัน: เพลงนี้มีเสียงเปียโนด้วย ซึ่งคนที่อัดเปียโนเพลงนี้เป็นแบ็กอัพดา เอนโดรฟิน ชื่อพี่สมา ก่อนหน้านี้ผมก็เล่นเองน่ะแหละ แต่ด้วยความว่าผมเล่นไม่เก่งมาก เสียงเปียโนมันจะค่อนข้างแข็ง แต่เพลงนี้ต้องการฟีลลิ่ง นวล ตามชื่อเพลง เล่นไม่ต้องตรงมาก ก็เลยให้พี่เค้ามาช่วยซึ่งดีมาก และเพลงนี้ใช้เครื่องสายค่อนข้างดุเดือด

ตูม: เพลงนี้จะมีเฟรนช์ฮอร์น เชลโล่ แล้วก็เสียงสตริง เป็นเพลงที่ยังคิดภาพไม่ออกว่าจะเล่นกันยังไง ตอนคิดเพลงก็แบบ เอ้ย เดี๋ยวกูเป่าฮอร์นละกัน

กัน: ตูมเคยเป่าทรัมเป็ตไง เลยคิดว่าน่าจะเป่าฮอร์นได้ แล้วเม่นก็เคยเรียนสีเชลโล่ ก็ดูน่าจะทำอะไรแปลก แบบนี้ได้

ตูม: อยากทำอะไรใหม่

เม่น: แต่เพลงนี้หม่นสุดในอัลบั้มแล้ว

Clockwork Motionless

ไกล (Where?)

เม่น: ไกลผมนึกภาพเป็นคนป่วย แล้วอีกคนคือคนเฝ้าคนป่วย คือความไกลไม่ใช่ระยะทางครับ มันคือความรู้สึก เราอาจจะนั่งเฝ้ากันข้างเตียงแหละ แต่เราไม่สามารถสื่อสารกันได้ครับ ยิ่งคิดถึงยิ่งไกลออกไป

กัน: จริง เพลงนี้เราเขียนออกมาเพื่อสื่อความหมายค่อนข้างกว้างเหมือนกัน จะมองแบบนี้ก็ได้ หรือจะมองเป็นคู่รักที่คิดถึงกันก็ได้ ตัวคอนเทนต์ในท่อนฮุกคือเวลาที่เราคิดถึงใครมาก  ยิ่งมากเท่าไหร่เรายิ่งรู้สึกไกลจากคนนั้นมากขึ้น มันเหมือนระยะทาง บางทีสามกิโลเมตร เม่นบอกใกล้ แต่ผมอาจจะบอกไกลก็ได้ มันอยู่ที่ความรู้สึกของคำว่าไกล ก็เลยรู้สึกว่าเพลงนี้มันพิเศษ

เม่น: มันกว้างนะ มันอาจจะพูดถึงคนที่จากไปแล้ว ตายไปแล้ว ก็ได้

กัน: พาร์ตดนตรีก็เป็นโฟล์ก อิเล็กทรอนิก

เม่น: เพลงนี้เป็นเพลงที่สองที่ปล่อยกับสนามหลวง

ปล่อย (Miss)

เม่น: การจากลาเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ความรู้สึกมันติดอยู่กับคนคนหนึ่ง พอเขาได้เข้ามาในชีวิตเรา แล้วได้มาเขียนอะไรบางอย่างไว้ในชีวิต แต่พอจากกันไปแล้วเราก็ยังอยากให้ความรู้สึกนั้นมาติดกับเราอยู่ เรายังไม่สามารถออกจากความรู้สึกนั้นได้จริง

กัน: เป็นความรู้สึกของคนที่เพิ่งเลิกกัน ผมตีความเป็นอย่างนั้น ทั้งน้ำตา ความทรงจำมากมาย มันเป็นความรู้สึกที่หนักมาก แล้วมันบอกตัวเองว่า เอ้ยเราไปจากตรงนี้ไม่ได้จริง ยังไม่สามารถยอมรับความจริงได้ แบบ เออ เรายอมแพ้แล้วล่ะ เรายอมให้ทุก สิ่ง ทุก อย่าง อยู่กับเรานี่แหละ เพลงนี้นักร้องคนแรกแต่งไว้ ชื่อว่า บิว ต้องขอบคุณเขามาก ที่เขียนเพลงนี้ไว้

เม่น: ด้วยดนตรีก็ผ่านการ arrange มาหลายเวอร์ชั่นมาก

กัน: กว่าจะมาเป็นเวอร์ชั่นที่ได้ฟังในปัจจุบัน

ตูม: เราดีไซน์เพลงนี้ให้เรียบที่สุด อาจจะฟังดูธรรมดาแต่จริง ไม่ธรรมดา

กัน: เพราะมันจะมีเปียโนที่เป็นหลักเลยในเพลงนี้ มีคอรัสเยอะอยู่

เม่น: ถ้าสังเกตดี ในเพลงของเราจะมีคอรัสแทบจะทุกเพลงเลย แล้วเราค่อนข้างเน้น เพราะว่าเสียงคอรัสฟังแล้วมันมีมิติ ให้อารมณ์แบบเพลงเก่า ก็เลยชอบที่จะเลือกใช้

สายลม (Winter)

เม่น: เป็นความทรงจำที่อบอุ่น ที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็ยังอบอุ่นอยู่

ตูม: เพลงนี้จะเป็นเพลงเศร้าที่เศร้าแต่ไม่หม่น

กัน: ไม่เศร้าซะทีเดียวเป็นความรู้สึกดีด้วยซ้ำ พูดเรื่องการเสียสละของคน หนึ่งที่บางทีการที่เราเดินออกจากใครซักคน เราอยากจะให้เขาดีขึ้นมาก

ตูม: แค่เห็นเขามีความสุขก็มีความสุขแล้ว

กัน: รักแบบไม่หวังอะไร หวังแต่จะให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น ในพาร์ตของดนตรีเพลงนี้ตามตรงเลยคือไม่มีอะไรพิเศษ ความเรียบง่ายนี่แหละพิเศษที่สุด

ทบทวน (Sunrise) [feat. พุฒิ ภูมิจิต]

เม่น: เป็นเพลงที่บอกว่าหกล้มไม่เป็นไรแต่ขอให้หกล้มไปข้างหน้า จะได้ก้าวต่อไปได้ด้วย มึงแพ้วันนี้ไม่เป็นไรหรอก วันหน้าค่อยเอาใหม่ เป็นเพลงให้กำลังใจ ให้การหกล้มเป็นการเรียนรู้

ตูม: มันเหมือนพระอาทิตย์ตก เหมือนคนที่ล้ม ท้อแท้ แต่ว่ายังไงพระอาทิตย์ก็ขึ้นเหมือนเดิม พระอาทิตย์ยังไงก็ขึ้นใหม่ ตอนที่เราล้มเราสามารถทบทวนเรื่องราว เรียนรู้ประสบการณ์ที่ได้เจอตรงนั้น

กัน: พระอาทิตย์ตกคือจุดจบของวัน แต่สุดท้ายแล้วช่วงที่มันตกลงล้วมันจะมีกลางคืน ผมว่ามันมีช่วงเวลาที่ให้เราได้ทบทวนสิ่งต่าง ที่เราเจอมาเมื่อวาน หรือสิ่งต่าง ที่เราเคยทำผิดพลาดไป

ตูม: เป็นเพลงสุดท้ายที่ทำในอัลบั้มเลย เพลงสุดท้าย และเป็นเพลงที่ทำเร็วที่สุด

กัน: เพลงนี้พิเศษมาก คือปกติทุกเพลงเราจะคิดดนตรีก่อน แล้วเราคิดเมโลดี้ แต่เพลงนี้เนื้อเพลงมาพร้อมกับเมโลดี้เลย แต่งบนกีตาร์ตัวเดียใช้เวลาหนึ่งคืน เริ่มเที่ยงคืน จบหกโมงเช้า เสร็จเลยครับ 

ตูม: เรียลมาก เราทำให้มันค่อนข้างซิมเปิ้ล เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่ตอนเราทำ ก็จะมีพี่พุฒิ ภูมิจิต มาเสริมเนื้อท่อนหลัง แล้วมาร่วมร้องด้วย

กัน: พี่พุฒิน่าจะสื่อสารความหมายแบบนี้ได้ดีมาก

เม่น: มันทำให้เพลงนี้มันน่าเชื่อหน่อย เพราะเขามีวุฒิภาวะมากกว่าเราที่ยังเป็นเด็กกันอยู่ มาช่วยพูด แล้วเพลงนี้เริ่มที่กีตาร์ จบที่กีตาร์ แล้วมีแค่เสียงคอรัสที่เพิ่มเข้ามาตามปกติของเรา

ฝากผลงาน

เม่น: เร็ว นี้มีเพลงพิเศษที่กำลังจะปล่อย

กัน: มีเพลงจากอัลบั้มที่กำลังจะทำเป็น mv ด้วย แต่ยังไม่เฉลยว่าเป็นเพลงอะไร

เม่น: เป็นเพลงผมชอบมาก เลย ยิ่งเริ่มคุยเรื่อง mv ยิ่งชอบ ฝากด้วยครับ

กัน: ฝากฟังอัลบั้มด้วยครับ เป็นอัลบั้มแรกแล้วมันมีความหมายต่อพวกเรามาก ถ้ารู้สึกว่าชอบเพลง ปล่อย ก็อยากให้เข้าไปฟังอัลบั้มทั้งหมด อยากให้รู้จักพวกเรามากขึ้น

 

อ่านต่อ

ร็อก Lo-Fi ไซคีเดลิก สไตล์ดนตรีที่ไม่จำกัดของ Zee เวหยุทธ์ เกตุปัญญา

บิลด์ความตื่นเต้นไปกับ อิ้งค์ วรันธร และ บอย Lomosonic ก่อนไปเจอกันในงานใหญ่ ‘สนามหลวงสวนสนาม’

เรียนดนตรีที่มหาวิทยาลัยไหนดี (อัพเดต ปี 2562)

มารู้จักกับ 10 Undiscovered Artists และเหตุผลที่พวกเขาได้เข้ารอบ Tiger Jams 2

 

ติดตามฟังใจได้ที่ ฟังใจ – Fungjai

Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่