เจาะลึก ‘The Machiner’ การกลับมาในอัลบั้มที่ 6 สุดหนักหน่วงของ BrandNew Sunset ที่ชวนเราตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของพระเจ้า
- Writer: Malaivee Swangpol
- Photographer: Thanadol Boonkoolset
ห่างหายไปกว่า 4 ปีหลังจากอัลบั้ม Of Space And Time หลาย ๆ คนก็เฝ้ารอคอยอัลบั้มนี้ พลางนึกว่าเราจะต้องรอกัน 6 ปีเหมือนเดิมอีกไหม แต่วันนี้ BrandNew Sunset กลับมาแล้ว พวกเขามาพร้อมความหนักแน่นที่เป็นมิติใหม่ของวง และเนื้อหาที่เปิดกว้างมากขึ้นจากอัลบั้มที่แล้ว พร้อมชวนเราตั้งคำถามว่า The Machiner ที่ครอบงำทุกสรรพสิ่งอยู่ คือสิ่งใดกันแน่?
ช่วงโควิดทำอะไรกันบ้าง
ก้อง: ทำงาน (หัวเราะ) ทำธุรกิจส่วนตัวนำเข้าส่งออก แต่ก็ค่อนข้างจะมีปัญหาซึ่งก็ต้องอดทนกันไปแล้วก็ทำอัลบั้มควบคู่กันไป
ชาย: ทำงานครับแล้วก็ทำอัลบั้ม เราอัดเสร็จก่อนโควิดพอปลายมีนาเข้าเมษาโควิดกำลังมาพอดี แล้วก็มิกซ์อัลบั้มมาประมาณเดือนนึงเสร็จประมาณพฤษภาคมพอดี ส่วนที่ไปบินก็หยุดเลยครับ หยุดอยู่แล้ว
ก้อง: ก็เลยเร็ว (หัวเราะ)
ชาย: มีเวลา
ต้องขอบคุณโควิดที่ทำให้อัลบั้มนี้เสร็จ
ชาย: นั่นดิ (หัวเราะ)
เล่าถึงเพลง The Machiner ทำลายล้างมาก ทำไมถึงมาทางหนักขนาดนี้
ชาย: เหมือนอัลบั้มที่แล้วมีการเล่าเรื่องเหมือนกัน แต่อัลบั้มนี้เรื่องราวจะเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเพลงนี้มันอยู่ตรงช่วงพีคของอัลบั้มและของการเล่าเรื่อง
ก้อง: อย่างอัลบั้มที่แล้วมันก็เป็นคอนเซปต์เหมือนกัน แต่โดย transition มันไม่ต่อกันขนาดอัลบั้มนี้ ชุดนี้เพลงแรกถึงเพลงที่ 10 เหมือนเป็นเพลงเดียวกัน
ชาย: จะมองโลกในแง่ร้ายมากกว่าชุดที่แล้ว
ก้อง: เพราะเรารู้สึกว่า โลกมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย กราฟมันตกลงเรื่อง ๆ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี เรื่องของเชื้อโรค เรื่องของคน ส่วนใหญ่มีแต่ความเครียด
ชาย: น่าจะใกล้ระเบิดแล้วอะ (หัวเราะ)
ก้อง: ชุดที่แล้วเราหลุดไปอวกาศ
ชาย: ชุดนี้มันเหมือนเล่าเรื่องราวที่เป็นความจริงมากกว่าชุดที่แล้ว
ก้อง: เพลงสุดท้ายของชุดที่แล้วเรากลับมาที่โลกแล้วพอมาเจอโลกมันเป็นแบบนี้เหมือนการเปรียบเทียบว่า กลับไปที่เดิมไหม
ชาย: The Machiner เพลงนี้มันเลยจะมีความพีค เราคือ Machine ความจริงศัพท์คำนี้มันไม่มี คือเราคิดว่า The Machiner เหมือนเป็นผู้บังคับเครื่องจักร
ก้อง: The Machiner เหมือนคนคอยควบคุมเราอีกที คือตอนแรกเราไม่ได้คิดว่าจะเป็นคำนี้หรอก ก็คิดว่าเป็นการควบคุมอะไรก็ตาม อาจจะเป็นพระเจ้าก็ได้ที่ควบคุมชีวิตเราอยู่
ชาย: เพลงนี้ก็คือมุมมองของ The Machiner พูดกับเรา
ฟังเพลง The Machiner ได้ที่ ฟังใจ เท่านั้น
รูปปกอัลบั้มที่เป็นเก้าอี้ว่างสื่อถึงอะไร
ชาย: มันดูเหมือนป้ายหลุมศพที่เรียงกันอยู่
ก้อง: มันจะมองคล้าย ๆ ป้ายหลุมศพ แต่จริง ๆ พอเรามองเข้าไปแล้วมันไม่ใช่ มันคือเก้าอี้ปกติอะ คือคอนเซปต์เราอยากให้ได้รูปธรรมดา อยากให้มันแบบ พอเราดูเข้าไปจริง ๆ แล้วมันแปลก พิศดารหน่อย
ชาย: อย่างปกชุดที่แล้วมันเหมือนอวกาศ เหมือนดาวใช่ไหม แต่ความจริงมันคือผักตบในน้ำ (หยิบอัลบั้มมาเอียงให้ดู) อยู่ในน้ำ ถ่ายมาจากริมคลอง
ก้อง: จะเป็นคอนเซปต์เดิมที่เราอยากใช้เราอยากได้รูปธรรมดานี่แหละ
ตั้งใจเซ็ตฉากมาถ่าย หรือมีภาพอยู่แล้ว
ชาย: โอม คนทำอาร์ตเวิร์กของเรา (https://www.instagram.com/techanunjirachotrawee/) เค้าจะมีถ่ายรูปแล้วเก็บไว้ เรามาดูตอนทำเพลงเสร็จแล้ว พอเห็นรูปนี้ ก็รู้สึกว่า เออ รูปนี้แหละ ก็เลือกรูปนี้เป็นปกอัลบั้มเลย
ก้อง: ภาพที่เป็นพวกวิว คือเวลาโอมเดินทางไปต่างประเทศเค้าก็จะ snap พวกวิวมาผมไม่รู้ประเทศอะไรบ้าง ก็คือใช้ตากล้องคนเดียวกันหมดเลยเค้าทำให้ตั้งแต่ชุดที่แล้วฟีลก็จะไม่ต่างกันมาก เป็นฟีลภาพถ่าย
ชาย: มันเป็นแค่เก้าอี้ว่างในห้องประชุมอะ
ก้อง: แค่เก้าอี้ที่สวมผ้าคลุมเท่านั้นเอง
ใครคือ The Machiner ในความคิดของแต่ละคน
ก้อง: ผมคิดว่ามันเหมือนที่เราเกิดมา แล้วเราไม่รู้ว่าการเดินทางของเรามันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าในความเชื่อของเรา เราก็คิดว่ามันอาจจะเป็นจังหวะของชีวิตและโชคชะตามั้ง บางครั้งมันเป็นการตั้งคำถามว่า อาจจะมีคนบอกให้เรามาเป็นแบบนี้ก็ได้ ก็คือคล้าย ๆ คนควบคุมชะตาชีวิต
ชาย: ผมว่ามันเหมือนหนังเรื่อง The Matrix มันมีอะไรซักอย่างที่ครอบเราอยู่แล้วเราอาจจะเป็นแค่เหาอยู่บนหัวของอะไรซักอย่างหรือเป็นเศษอะไรย่อยอยู่ในลำไส้ของตัวอะไรก็ได้แต่เราไม่รู้ มันเป็นสิ่งที่ครอบเราอยู่แต่เราไม่เคยให้เกียรติสิ่งนี้เลย แล้วเราก็ไม่เคยรู้ แล้วเราก็ไม่เคยสนใจด้วย มันก็เลยเกิดเรื่องราวต่าง ๆ นี้ มีเชื้อโรค มีฝุ่น มีอะไรทุกอย่างที่คนทุกคนที่อยู่ในนี้โดนกันไปหมด
มองสิ่งนี้เป็นอะไร สิ่งที่น่าเคารพ หรือสิ่งที่ควรหายไป
ก้อง: สำหรับผมมันเป็นสิ่งที่ทำลายไม่ได้ มันต้องอยู่อย่างนี้แหละ
ชาย: ไม่สามารถจับต้องได้
ก้อง: แล้วก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรด้วย เพราะเราก็หาคำตอบไม่ได้ ก็คงต้องอยู่กันไป
ชื่อมาก่อนหรือตามมาหลังจากเนื้อหาของแต่ละเพลงในอัลบั้ม
ชาย: มันจะมาช่วงกลาง ๆ ธีมมันเริ่มมา
ก้อง: มันจะมาตอนเขียนเนื้อเพลงไปถึงช่วงกลาง ๆ แต่คอนเซปต์มันมาอยู่แล้ว
ชาย: มองคอนเซปต์นี้อยู่แล้ว แต่คิดคำไม่ออกตอนแรก
ก้อง: มันมาจากคำว่า Machine ก่อน เรามองว่าทุกอย่างมันเหมือนเครื่องจักรที่ต้องโดนควบคุม
ชาย: คือทุกอย่างเลยไม่ใช่แค่มนุษย์ รวมถึงสสารอะไรพวกนี้ด้วย
ก้อง: ก็คือธรรมชาติทุกอย่าง
แล้วหัวข้อนี้ มาตั้งแต่แรกหรือว่าค่อย ๆ มาพร้อมกับเนื้อเพลง
ชาย: จริง ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมเราชอบไปทางนี้ก็ไม่รู้ (หัวเราะ) เหมือนแก่แล้ว มันเหมือนธรรมะ เป็นเรื่องที่เราเล่าได้ไม่รู้จบเพราะเราไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนมั้ง มันไม่เหมือนรัก โลภ โกรธ หลง อันนี้เป็นเรื่องที่ไกลตัวเรามาก ๆ เลยอะ มันสามารถเล่าออกมาทางไหนก็ได้ ไม่มีวันจบ เราเลยสนใจเรื่องแบบนี้ตั้งแต่อัลบัมชุดที่แล้ว เหมือนตอนเราเด็ก ๆ อัลบัมชุดเก่า ๆ ก็เป็นเรื่องที่มันใกล้ตัว ไอ้ตูนมันจะถนัดเรื่องแบบนั้นตอนวัยนั้น อันนี้ผ่านมาอีก 10 ปีอายุมันก็มากขึ้นมันเหมือนมันมองเรื่องแบบที่มันไกลตัวมากขึ้น เออมันก็เหมือนธรรมะ
แรงบันดาลใจในการทำอัลบั้มนี้
ก้อง: คือจริง ๆ ชุดนี้ ถ้าถามผมนะ มันได้แรงบันดาลใจมากจาก Of Space And Time ในบางมู้ด เหมือนมันต่อเนื่องกัน
ชาย: พวกผมไม่ได้ฟังอะไรเป็นอย่าง ๆ อะ ไม่ได้ชอบอะไร เราเหมือนคนฟังเพลงทั่วไป ชอบก็ฟัง เพลงที่ดีก็ฟังหมด เพลงแรป เพลงอะไร แต่ถ้าตัววงส่วนมาก ทุกคนฟังไม่เหมือนกัน เวลาทำงาน มันเน้นที่การเล่าเรื่องมากกว่า ตรงนี้มันควรจะหนัก ควรจะเบา มันควรจะเป็นมู้ดไหน ในอัลบั้มมันถึงมีหลายแนวมาก มันจะใช้มู้ดในการเล่ามากกว่า เราทำได้ดีกว่าสมัยอัลบัมชุดเก่า ๆ คือตอนนั้นมาถึงก็จะใส่ ๆ เลย ซึ่งอัลบัมนี้จะไม่มีเลย
ก้อง: ให้มันไหลไปตามอารมณ์
ชาย: ถ้าเพลงมันรู้สึกจบที่หนึ่งนาทีหรือครึ่งนาทีก็ จบ บางเพลงรู้สึกจบที่ 10 นาที ก็ ต้อง 10 นาที
ก้อง: อันนี้ขอพูดหน่อย ตั้งแต่ผ่าน Of Space And Time มา คนเค้าจะคิดว่า เราอะ ตั้งใจทำเพลงนาน บางคนจะคิดว่าเราเป็นโปรเกรสซีฟ
ชาย: “นี่ต้องเอามาจาก Dream Theater แน่เลย” (หัวเราะ)
ก้อง: ผมมองว่า พูดอย่างนั้นมันตื้นไปหน่อย คือเราไม่ได้กะด้วยซ้ำว่าเราจะทำ 20 นาที 18 นาที แต่เราคิดว่ามันยังไปได้
ชาย: มันยังเล่าเรื่องไม่จบอะ
ก้อง: มันเหมือนเพลงคลาสสิก มันก็ไหลไปเรื่อย มีขึ้นมีลงแล้วแต่เพลงจะพาไป
ชาย: อย่างคนเขียนนิยาย เขาก็คงไม่ได้ตีว่าในแต่ละบทต้องยาวเท่าไหร่
ก้อง: แต่คนจะชอบคิดว่าเราอะ ตั้งใจ แต่เราไม่ได้ตั้งใจ ถ้าไปต่อได้ก็ไปต่อ พอเราคิดว่ามัน 18 นาที มันลงตัวของมันละ เราก็พอ อันนี้หนึ่งนาที พอละ ก็พอ
ชาย: จะไม่พยายามไปเวิร์กอะไรต่อกับมันมาก
เรียงเพลงไปแล้ว ตัดออก มีไหม
ก้อง: ไม่มี มันคอมพลีตแล้ว
ชาย: ก่อนเราอัดเราจะเล่นไล่ไปทุกเพลงเลย วงเราไม่ได้เข้าห้องอัดทีละเพลง ๆ แต่เราจะลองอัดตั้งแต่เปิดวินาทีแรกจนจบเลย แล้วลองไล่ฟังก่อน เหมือนเป็นดราฟต์ 1 ยาว ๆ เลย แล้วถ้าโอเคอันนี้พร้อมแล้วค่อยอัด เราจะเห็นภาพรวม คือเหมือนคนวาดภาพอะ คนวาดภาพก็คงไม่มีใครแบบ กูเล่นแม่ง วาดปากก่อน แล้วจมูก แต่เค้าก็จะมองรวม
ก้อง: ส่วนตัวผมคือจากเพลงแรกจนถึงประมาณเพลงที่ 5 มันแทบจะเป็นเพลงเดียวกันเลย แต่มันมาต่อกันเฉย ๆ หยุดแค่วินาทีเดียว
เริ่มทำอัลบั้มนี้กันตอนไหน
ชาย: สองปีได้ เพลงแรกคือ HEX เพลงที่ยาวที่สุดมาก่อน
ก้อง: ตอนแรก 10 กว่านาที เกือบ 15 ได้
ชาย: พอเพลงมันเสร็จเราก็ไปฟังเพลงอื่น แต่พอไล่เรียงมาแล้วมันรู้สึกว่ามันเกิน
ก้อง: HEX ตอนแรกที่มันยาว เราอาจจะติดมาจากชุดที่แล้ว นิดนึง เราก็เลยทำต่อ แต่พอสุดท้ายเราก็คุยกัน พอเราเอาเพลง Time ชุดที่แล้วมาบีบ มันเริ่มมีแบบแผนแล้ว เราก็เลยตัดออกไปเพราะว่าตั้งแต่คุยกันมามันก็มีข้อสรุปว่า เราไม่มีแบบแผน แต่ว่าโอเคชุดก่อน ๆ นั้นค่อนข้างจะเป็นบล็อก ๆ แบบที่พี่ชายบอกค่อนข้างเป็นแบบแผน แต่สองชุดหลังไม่มีไม่มีเลย
มีอะไรจากอัลบั้มที่แล้วที่รู้สึกอยากแก้ไข แล้วได้มาแก้ไขในอัลบั้มนี้ไหม ทั้งในแง่โปรดัคชั่นและการทำเพลง
ก้อง: เอาของผมนะ BrandNew Sunset ตั้งแต่ทำอัลบั้มแรก พอมาเป็นอัลบั้มใหม่ ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะแก้อะไร อย่างทำอัลบั้ม The Machiner นี้เสร็จ พอมาเทียบกับอัลบั้มแรก Pick You Up When You’re Falling Down มันก็ยังเป็นอัลบั้มที่ดีอยู่ เราไม่ได้แบบทำอัลบั้มใหม่เสร็จปั๊บแล้ว อันของเก่ามันไม่ดี ไม่ได้อยากกลับไปแก้ไขอะไร มันเป็นแค่การ capture ช่วงเวลานั้นของเราเท่านั้นเอง มันไม่ใช่ว่าเอ้ย !! อันนี้ไม่ดี ทำใหม่ ๆ มันไม่ใช่ ชุดแรกก็ยังดีอยู่ในความรู้สึกของเรา
ชาย: ของผมแง่โปรดักชั่น เอาจริง ๆ ชุดที่แล้วการทำงานมันคล้าย ๆ กับชุดนี้แหละ แต่ย้อนไปแต่ก่อนละกัน เรารู้สึกว่าการเข้าห้องอัดมันคือ ต้องเนี้ยบ มันยาก แต่บางทีอย่างชุดที่แล้ว เราอัดสดกัน เราจะมีแบบ บางที เอ้ย เอาท่อนนี้มาต่อท่อนนี้นิดนึง
ก้อง: อะ มาอัดกีตาร์เพิ่มนิดนึง
ชาย: แต่ชุดนี้คือแบบ พร้อมกันในนี้ทีเดียว เทคเดียว ไม่มีตัดเลย ทุกเพลง
ก้อง: กีตาร์ผมไลน์เดียว
ชาย: เออ ผมอยู่ด้านนึง ก้องอยู่ด้านนึง
ก้อง: ผมอยากให้คนเหมือนนั่งฟังเราเล่น
ชาย: แล้วมันรู้สึกดีกว่าด้วยนะ
ก้อง: รู้สึกมันสมูธ
ชาย: อัลบั้มนี้เรามาอัดกัน 3 วันเท่านั้นเอง มาถึงเช้า นั่งกินกาแฟเสร็จ อะ เล่น เพลงละไม่เกิน 3-4 เทค
ก้อง: แต่เราเล่นไม่หยุดเลยนะ สมมติเพลงนึงอาจจะเล่น 3 เทค 5 เทค
ชาย: แล้วก็มานั่งเลือกเอาเทคที่ดีไม่มีการแปะอีดิต
ก้อง: คือถ้าฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงเหยียบเอฟเฟคต์อยู่ในนั้น ไม่เอาออก บางทีมันมาปั๊บเปลี่ยนเอฟเฟคต์เสียงมันจะพุ่งขึ้นมา ก็ไม่เอาออก
ชาย: คือแค่เอาแทร็คมาบาลานซ์ แล้วฟีลในวงมันดีกว่า มันเหมือนผู้หญิงผู้ชายเวลาจัดงานแต่งงานอะ เจ้าสาวก็จะสนใจกับดอกไม้บนโต๊ะแบบ เชี่ยกูต้องเอาแบบนี้อะ
ก้อง: อันนี้พูดแบบคนมีครอบครัวแล้ว (หัวเราะ)
ชาย: ดอกไม้มันต้องแบบนี้อะ ไม่ใช่ มันต้องเอาไปเปลี่ยนอะ แต่เวลาคนที่เค้ามา เค้ามาสนุกอะ ไม่มีใครมาสนใจดอกไม้อันนี้อะ เค้าสนใจฟีลของคนที่มาอะ สนใจอารมณ์ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว มายินดีกัน แค่นั้น
ก้อง: บางคนแค่มากินเบียร์เลย
ชาย: ทุกคนมาสนุกไม่มีใครมาสนใจดอกไม้เล็ก ๆ นี้เลย
ก้อง: เราพูดในมุมเจ้าสาว ซึ่งเราเปรียบเทียบกับอัลบั้มก่อน ๆ ที่เราคิดเยอะ
ชาย: ผมจะเป็นคนทางโปรดักชั่นซะเยอะ ต้องยอมรับเลยว่าสมัยก่อนอะเป็น
ก้อง: กีตาร์ 4-5 ลาย อัดเข้าไป ทับแล้วทับอีก สุดท้ายก็พอกัน
ชาย: เออ อันนี้ไม่มีอะไรเลย แล้วแน่นกว่าด้วย มันอยู่ที่คอนเน็คต์กันระหว่างนักดนตรีมากกว่า เวลาเล่นกับเพื่อน กับเวลาอัดคนเดียวมันก็คนละฟีลเลย
ก้อง: อย่างอัดอัลบั้มนี้ความผิดพลาดไม่ใช่ว่าเล่นผิดนะ แต่ที่ผิดคือไม่สื่อสารกันในวง อย่างตอนอัดอย่างถ้าอัลบั้มก่อน ๆ เล่นผิดคือผิด แต่อัลบั้มนี้อะไม่ใช่ ผิดก็คือไม่มองตากัน
ชาย: เอาที่ฟีลเลย ถ้าฟีลได้ก็จบ
ก้อง: จริง ๆ ผมว่า มันก็มีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะ
ชาย: มี เยอะด้วย (หัวเราะ) มันก็คือดอกไม้ในงานแต่งงานอะ มันไม่มีใครรู้หรอก
ก้อง: สรุปก็คือชุดนี้สดกว่าชุดที่แล้ว สดเข้าไปอีก
ชาย: ที่ถามว่า อยากแก้อะไรแล้วได้แก้ ก็คืออัลบั้มนี้มัน capture วงได้ดีที่สุดเลย
ก้อง: เป็นธรรมชาติแบบคนเล่นมากที่สุด สุดท้ายมันก็วนกลับมา
ชาย: แต่เราก็อาจจะพิถีพิถันในการแต่งเพลง ในการเล่าเรื่องมากขึ้น เราไปโฟกัสตรงนั้นมากกว่า
ก้อง: คือปกติ อัดกับพี่ชายเนี่ย เครียด ไม่ได้เครียดเพราะแกเคี่ยวนะ
ชาย: เคี่ยว ๆ (หัวเราะ)
ก้อง: ก็แบบ เป๊ะอะ มันจะแบบ เกร็ง ๆ นิดนึง ก็อยากทำให้มันดี แต่ครั้งนี้มันเป็นการอัดที่เหมือนการมาเจอเพื่อน มานั่งกินกาแฟในวันที่โควิดมา กูทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ก็เลยไม่ค่อยเครียดในช่วงโควิด
ชาย: เออ กลางวันไปกินข้าว มาเล่นต่อ ตอนเย็นกินเบียร์แยกย้ายกลับ ละแม่งดีกว่าเยอะเลย มู้ดวง เพลง เวลาเราอัดแบบนี้
ก้อง: แต่ผมก็ไม่ได้แนะนำให้ทำให้ได้ทุกคนนะ มันก็อยู่ที่เพลงที่เราทำด้วย อย่างเพลงวงอื่นถ้ามาอัดแบบเราบางทีก็อาจจะไม่ได้ มันแล้วแต่แบบ
การอัดสดโดยไม่มี digital editing ทำตั้งแต่อัลบั้มที่แล้ว พอมาถึงอัลบั้มนี้มีความยากง่ายอย่างไร
ชาย: ง่ายขึ้น แต่การอัดสดแบบนี้ เวลาอัดสดมันยากตอน set up มันจะต้องแบบ เสียงต้องไม่เข้าไปในไมค์คนอื่น เวลาที่ใช้อัดจริง 3 วัน แต่ความจริงใช้ 4 คือต้องมีวันเซ็ตด้วยวันนึงเซ็ตอย่างเดียวเลย เพื่อที่จะได้ไม่เหนื่อย ก็คือจะยากแค่การ manage มากกว่า อันนี้ผมจะดูกับ engineer อีกคน ทุกอย่างออกลำโพงเหมือนเล่นสด แต่ใส่ in ear กันทุกคน หันออก หาองศาที่เสียงไม่เข้าไมค์กลองที่สุด
ก้อง: เราก็ต้องมี partition กั้น
ชาย: เราอัดแยกออกมาเป็นคนละไลน์เพื่อเอามามิกซ์ แต่ก็ต้องตั้งไม่ให้เสียงกลองเข้าไมค์ เพราะกลองมันโคตรดังเลย อย่าง room ก็ใช้ร่วมเลย เป็น band room เลยง่ายดี
มีวงที่มาอัดสดแบบนี้ตามไหม
ก้อง: จริง ๆ พี่ชายก็ทำอยู่แล้วนะ
ชาย: วงที่มาอัดที่นี่ชอบแบบนี้ ลูกค้าฝรั่งแทบจะ 90% เลยอะ ชอบวิธีนี้ เค้าไม่ได้ต้องการความเนี้ยบแต่เค้าต้องการฟีล เค้ารู้ว่าเค้าอยากได้อะไร เราก็เลยค่อนข้างถนัด
ก้อง: มาได้เลยนะครับ ดีที่สุดในประเทศไทย (หัวเราะ) พูดจริงๆ
อัลบั้มต่อ ๆ ไปก็จะใช้เทคนิคการอัดสดด้วยใช่ไหม
ก้อง: (ตอบทันที) ไม่รู้ แต่คิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้น
ชาย: ตอบไม่ได้ต้องดูก่อนว่าเพลงจะเป็นยังไง แต่ความยากของการอัดแบบนี้คือวงจะต้องปึ้ก ถ้าคนนึงผิดมันก็คือเอาใหม่หมดเลย
ก้อง: แต่กว่าเราจะอัดเราจะเคี่ยว จะซ้อมกันจนได้แล้วค่อยมา
ชาย: ไม่งั้นมันจะเครียด
ก้อง: ข้อดีของ BrandNew Sunset ที่สามารถอัดสดได้เพราะว่าทุกคน ทุกตำแหน่ง มีความรับผิดชอบ คือถ้าเล่นตรงไหนไม่ได้จะต้องมาคุยกันว่า มึงต้องเล่นให้ได้อะจะด้วยวิธีไหนก็ตาม มึงก็ต้องกลับไปซ้อมอะ
ชาย: จ้างคนมาเล่นได้มะ (หัวเราะ)
ก้อง: ก็อยากอยู่ ขี้เกียจอัดเองเหมือนกัน (หัวเราะ) แล้วชุดนี้คือ ปกติเค้าอัดกันอะ เดี๋ยว Fender เดี๋ยว Gibson ชุดนี้กีตาร์ตัวเดียวเลยทั้งผมกับพี่ชาย ยิงยาวเลยทุกเพลงทุกคนเลย ไม่มีเปลี่ยน
ชาย: ขนาดเสียง Tambourine อะ มันก็คืออันที่ปักหัวอยู่บน Hi-Hat อะแหละ
ก้อง: คนอื่นเปลี่ยนกีตาร์กันทุกเพลง แต่เราไม่ต้อง ไม่ต้องเอาอะไรที่มันยุ่งยาก
ชาย: จะมีแค่โซโล่ผมที่แยกออกมามาอัดเพิ่มทีหลัง
ก้อง: แต่โซโล่มันต้องแยก เพราะมันต้องดูว่ามันได้ไหม
ชาย: แต่ถ้า rhythm part คือทุกอย่างจบทีเดียว
อธิบายคำว่า The Beatles’s Revolver meets Black Sabbath’s Volume 4ให้ฟังหน่อย
ชาย: วันนั้นรุ่นพี่ผมที่เป็นนักดนตรี อยู่ค่ายดังเลยแหละ เค้าก็มาเยี่ยม มานั่งกินเบียร์กัน แล้วก็บอกว่า ขอฟังหน่อยเพราะเค้าเห็นว่าอัดเสร็จแล้ว ผมก็เปิด Headspin ให้ฟัง เค้าพูดขึ้นมาเลยว่า ทำไมเพลงมึงมันเหมือนฟังชุด Revolver เลยวะ เหมือน Revolver ที่เล่นริฟฟ์เป็น Black Sabbath ผมก็โห พี่ ผมขอ quote นี้ได้ไหม (หัวเราะ) แต่ผมชอบอัลบั้ม Revolver สุดเลยนะ ของ The Beatles อะ กับ White Album
ก้อง: ละพอพี่ชายพูดอะ คือผมชอบ Black Sabbath ชอบแบบมาก ๆ อะ
ชาย: ผมไม่เคยคิดเลย แต่พอมาได้ยินแบบนี้ก็เออ แม่งเหมือนว่ะ มันอาจจะฟีล Beatles ตอน Revolver ตอน White Album เหมือนพวกเขาก็อยากสนุกแล้วมั้ง เป็นช่วงลอย ช่วงเมา ช่วงไซคีเดลิก อยากทำอะไรสนุก ๆ มันไม่มีกรอบอะไรเลย ส่วนที่ได้ Black Sabbath ก็เรื่องริฟฟ์
ก้อง: คือ Black Sabbath แทบจะเป็นทุกอย่างสำหรับผม คือพอเค้าพูดขึ้นมาปั๊บก็ เออ มันก็คงจะมีอะไรที่เราได้มาบ้าง
ชาย: ผมก็จะเป็นทางเมโลดี้ อะไรนุ้งนิ้ง แต่ก้องจะริฟฟ์ อาจจะเพราะว่าก้องมันมาชุดที่แล้ว หมายถึงทำเพลง ชุดก่อนหน้านู้นยังเป็นกานต์ พอชุด Of Space And Time ก้องเข้ามาแต่มันยังก้ำกึ่ง มันยังมีเพลงที่ตอนนั้นยังมีส่วนแบบกานต์นิด ๆ
ก้อง: ยังเป็นอัลบั้ม Welcome Home นิด ๆ
ชาย: แต่ชุดนี้คือ 100% เลยฟังดูเป็นแบบนั้นมั้ง ซึ่งต้อง Revolver ด้วยนะเพราะมันไม่มีกรอบอะไรเลย จะประสานโน้ตนี้ก็ทำคู่ minor 2 โน้ตแล้วไป Major อะไรแบบนี้พอฟังแล้วก็เออเหมือนแต่ไม่ได้ดีเท่าเค้านะ
เห็นว่าบั้มนี้จะมีทั้ง 3 ฟอร์แมต
ชาย: ถึงเวลาแล้ว
ก้อง: แล้วเราก็ทำเพลงมา เราก็ต้องดูตลาดด้วย ว่า source ไหนมันไปได้ แล้วเราก็ดูตลาดต่างประเทศ ไวนิลมา เทปมา เราก็เลยลงทุนทำ
ชาย: ผมเป็นคนเก็บแผ่นเสียง เลยอยากมีตั้งแต่ชุดที่แล้วแล้ว แต่ชุดที่แล้วการทำในบ้านเรามันยังลำบากกว่าตอนนี้อะ เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ทำได้ แต่มันแพง
ก้อง: มันยังไม่มีใครทำ ตอนนั้นต้องส่งไปส่งกลับ
ชาย: เดี๋ยวนี้เรามี plant ปั๊มของเราเลยในเมืองไทย ที่ชื่อ ResurRec
ก้อง: Process มันไปอยู่เมืองนอกนิดเดียว
ชาย: สมัยก่อนคือต้องไปเมืองนอกอย่างเดียว cost อะไรก็พุ่ง แล้วเราไม่มีค่าย ลงเองเจ็บเอง (หัวเราะ) แต่พอตอนนี้มันเริ่มมีเวลา planning อะไรที่ง่ายขึ้น ก็เลย เออ ทำดีกว่า
ก้อง: แรก ๆ แผ่นเสียงมาก็ 2,500 เดี๋ยวนี้ก็ลดละ
คิดยังไงกับตลาดขายแผ่นในบ้านเรา
ชาย: ผมไม่ชอบตลาดปั่นราคาเลย ไวนิลบ้านเราแพงที่สุดในโลก แล้วมันไม่ได้แพงเพราะแค่การผลิต แต่แพงเพราะพ่อค้าคนกลาง ซื้อไปแล้วไม่ได้แกะฟัง แล้วก็มาขาย seal มันไม่มีใครมีประโยชน์เลยอะ ยกเว้นคนที่ได้ตังค์
ก้อง: ใคร ๆ ก็ต้องซื้อแพง คือแบบ บางทีมันซื้อไม่ทันด้วยอะ ยิ่งพวกฟอร์แมตแบบนี้บางทีก็ไม่ได้ทำเยอะ
ชาย: ต้องทำแบบ Srirajah Rockers แบบ อ่อ มึงปั่นใช่ปะ ปั๊มใหม่ มันต้องแบบนี้แหละ คือไม่สนับสนุนการทำแบบนี้ แต่ว่าเหมือนตลาดตอนนี้มันเป็นแบบนี้อะ ส่วนตัวผมอยากมีแผ่นเสียงของตัวเองแต่ก็ไม่เคยมี เทปก็ไม่เคยมี แต่ก่อนเคยมีแต่เทปที่กดอัดตอนซ้อมดนตรีอะ มี กด record ทับไปทับมา
จำนวนของแต่ละฟอร์แมตจะจำกัด หรือ Made To Order
ชาย: น่าจะ made to order แต่จริง ๆ ก็มีจำนวนอยู่ในใจละ ถ้าไม่ถึงก็ตัวใครตัวมัน (หัวเราะ) ถ้าถึงก็โอเค แต่ก็น่าจะไม่มีทำเพิ่มจากตัวเลขที่ตั้งไว้ จนกว่าต้นทุนจะลงไปถึงเมืองนอกแล้วถูกเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกที
ก้อง: แต่ก็มีโอกาสว่ามันจะลงไป คือเค้าก็มีคนกล้ามาเปิดบริษัทลงทุน เดี๋ยววงการก็น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
ชาย: มันก็คือฟองสบู่อะเดี๋ยวมันก็แตกแต่ไม่รู้เมื่อไหร่
เปิดพรีออเดอร์เมื่อไหร่
ชาย: น่าจะประมาณสิงหา ทั้ง 3 ฟอร์แมต แล้วก็จะมี Bundle รวมทั้ง 3
ก้อง: แล้วก็อาจจะมีอะไรแถม ๆ
ชาย: เพราะว่าเรามีคน distribute ให้ทางออนไลน์ คือ Earthtone
แผ่นไวนิลจะเป็นสีอะไรหรือเป็นสีดำธรรมดา ๆ
ชาย: สีครับ ผมอะอยากได้ดำ แต่เค้าบอกว่าสีขายดี แต่ผมอะชอบแผ่นดำ
ก้อง: ดำอะเสียงดีกว่า ในทาง physical แล้ว
ชาย: อันนี้คือไปถามโรงงานมาเลย เค้าบอกว่าแผ่นสีดำจะมีพวกคาร์บอน สังเกตดูเทปอะไรทุกอย่างที่เป็นอะนาล็อกจะเป็นสีนี้ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ขายดีก็โอเค (หัวเราะ) แต่สีคือเราก็เลือกสีที่อยู่ในธีมตาม design นะ
ก้อง: คือผมมองว่าไวนิลมันแต่งบ้าน ได้แต่ซีดีมันแต่งไม่ได้ คือซีดีอาจจะต้องซื้อซักพันแผ่นแต่ไวนิลแผ่นเดียวไปตั้งปั๊บได้เลย
ชาย: ผมเป็นคนซื้อไวนิล ซื้อไปฟัง จะรู้สึกแปลก ๆ กับคนที่ซื้อไปแล้วไม่ฟัง มันยังไงไม่รู้อะ (หัวเราะ) มันเป็นศิลปะของมันอะ การฟังไวนิล เหมือนคนชงชาอะ (หัวเราะ) ทั้ง ๆ ที่ไปเซเว่นซื้อชาขวดก็ได้ เหมือนแบบกาแฟดริปงี้นะ
ก้อง: ไม่รู้อะพี่ ผมแม่งเป็นคนฟังเพลงในรถ (หัวเราะ) ผมมีเครื่องไวนิลผก็จะขายหมด ผมฟังซีดีอย่างเดียว เพราะผมฟังในรถ ผมไม่ชอบไปนั่งฟังในห้อง มันเบื่อ แต่พี่ชายก็จะเป็นแบบฟังที่บ้าน ส่วนผมก็ฟังในรถอย่างเดียว
อัลบั้มที่แล้ว ยอดขายเป็นไงบ้าง
ก้อง: (ตอบทันที) ดี คือเราพูดถึงฟอร์แมตซีดีนะ คือจำได้ว่าทำเพิ่มอะ
ชาย: นับว่าดี ยุคนั้นยังมี b2s ที่ขายซีดี
ก้อง: เราไม่ได้พูดเองว่าดี เราพูดจาก feedback ของร้านค้าที่เค้าขอเรามาเรื่อย ๆ เพราะถ้าขายไม่ได้เค้าไม่ขอหรอก หมดปั๊บเค้าก็ขอ ๆ พี่เอามาให้หน่อย
ชาย: สิ่งที่ตลกของเราคือ ชุดก่อนหน้านู้นยังเป็น Hi5 อยู่เลยอะ (หัวเราะ)
ก้อง: ใช่ Welcome Home คือยังเป็น Hi5 อยู่เลย ทุกครั้งที่ออกอัลบั้มมันจะเปลี่ยนฟอร์แมต ของการมาร์เก็ตต้ิง พอมาถึงยุคที่แล้วเป็นยุคสุดท้ายของซีดี มันใกล้ล่มสลายแล้ว
ชาย: จากชุดสอง Realistic ตอนนู้นไปขายงาน Fat อะ เชื่อปะ แฟตจัดสองวัน แดนเนรมิต แบกซีดีกัน 3,500 แผ่น ยกใส่รถเข็นกัน กรีดเปิดขาย อีกวันขาย 2,500 ไม่น่าเชื่อเนอะ สุดท้ายมาถึงชุดนี้ b2s ไม่ขายซีดีแล้วอะ ชุดที่แล้วยังเห็นกันอยู่เลยอะ
ก้อง: แต่วงมันก็ 15-16 ปีอะ
ชาย: เราอาจจะ take time ไปปะ แต่ละชุด (หัวเราะ) เหมือนคนแก่มาเริ่มใหม่อะ
17 ปีแล้ว อะไรทำให้วงยังอยู่ด้วยกันถึงทุกวันนี้
ก้อง: คนเหี้ยเหมือนกันมารวมตัวกัน (หัวเราะ) เปล่าหรอก ผมว่าแต่ละคนมันรู้หน้าที่อะ ว่าเวลาอยู่ในวงมันควรทำอะไรอะ ผมว่าวงจะอยู่ได้คือ สมาชิกทุกคนต้องรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน
ชาย: เรารวมคนรักการฟังเพลงเหมือนกัน ดูหนังเหมือนกัน ซึ่งจริง ๆ คือเป็นคนโคตรน่าเบื่อเลย ไม่มีกิจกรรมอะไรเลย (หัวเราะ) คุยกันแม่งแต่เรื่องเพลง เรื่องหนัง ด่าชาวบ้านไปเรื่อย ด่านู่นนี่นั่น ชีวิตมันน่าเบื่ออะ (หัวเราะ)
ก้อง: อย่างไปทัวร์กันเล่นเสร็จก็ไม่ได้ทำอะไร ก็ กิน นอน
ชาย: เครือข่ายเพื่อนทั้งหมดแม่งคือเรื่องเดียวเลยคือเรื่องดนตรี ไม่น่าเชื่อ แล้วเป็นกลุ่มเพื่อนที่ใหญ่มาก ก้องก็กลุ่มนึง ผมก็ทางนึง
ก้อง: แล้วก็จะพากันมาด้วยนะ อย่างของผมก็จะพากันมาที่นี่
ชาย: เพื่อนมันก็เลยยังอยู่ไม่ได้หายไปไหนเลยอยู่นาน
ก้อง: เพราะเพลงเลย
ชาย: บางคนตอนมหาลัยฟังเพลง แต่พอแก่ไปก็ไม่ได้ฟัง อย่างพวกเราไม่ได้เลิกฟัง เราก็ยังซื้อ วงใหม่ ๆ เราก็ฟังแต่เราก็ยังฟังวงเก่า ๆ อยู่
ก้อง: ยิ่งสมัยนี้ยิ่งง่ายเลย พอมีอินเตอร์เน็ตผมสบายใจมากเลย ผมรู้สึกว่ายังไงผมก็ไม่ตกเทรนด์
ช่วงนี้ฟังวงอะไรกัน
ก้อง: ช่วงนี้ผมฟังพวกกรันจ์เยอะ จริง ๆ ก็ฟังมาตลอด เอาที่เพิ่งฟังมาในรถคือ Screaming Trees โคตรเก่าเลย คือจริง ๆ มันก็ฟังเยอะแต่มันคิดไม่ออก
ชาย: ช่วงนี้ฟังฮิป–ฮอปบ่อย พวก underground เก่า ๆ Nas, Gza, Wu-tang Clan
ก้อง: ผมก็ชอบฮิป-ฮอปเหมือนพี่ชาย แต่เราไม่ได้ฟังสายแมส ๆ เราฟังพวก D.I.Y.
ชาย: แล้วก็ได้อะไรมาจากพวกเขาเยอะนะ พวก Rythm Beat แปลกดีเหมือนกัน
ก้อง: คนฟังเพลงก็ไม่ยึดติดหรอก มันมีแค่เพลงห่วยกับเพลงดี
ชาย: แล้วก็ผมชอบฟัง Score หนัง เก่า ๆ อย่างเรื่อง Psycho, Bernard Herrmann
ก้อง: นอกจากพวกกรันจ์ผมฟังคันทรี่เยอะ ผมชอบมานานแล้ว แต่มันจะมีช่วงฟังเยอะ ฟังน้อย บางช่วงก็ฟังเรกเก้เยอะ
ชาย: ฟังได้หมดอะ
ก้อง: มันจะอินเป็นช่วงๆ
ก้องมีลูกแล้ว เป็นไงบ้าง วิธีคิด ตัวตน เปลี่ยนไปไหม
ก้อง: เปลี่ยน ต้องบอกว่าเปลี่ยน ชีวิตดีขึ้น มันอาจจะดีเพราะว่า เรามีสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบจริง ๆ มันเลยทำให้เราอยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น มันเป็นเรื่องปกติที่คนที่มันตัวคนเดียว มันก็จะออกนอก track ง่ายเพราะว่ามันทำอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ละ กลับไปก็คือต้องไปเลี้ยงลูกต้อง ดูเรื่องอะไรหลาย ๆ อย่าง แค่คิดไปถึงอนาคตคน ๆ หนึ่งคุณก็ไม่สามารถจะไปทำอะไรนอกลู่นอกทางได้ ละมันก็มีเรื่องค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องเลี้ยงคน ๆ นึง ก็เลยต้องทำให้ชีวิตมันดี เราก็ต้องมุ่งเน้นแต่เรื่องงาน แต่ก็ยังดีที่ยังได้เล่นดนรีอยู่ ไม่รู้จะขอบคุณอะไรที่ว่าวันนี้ก็ยังได้เล่นดนตรีทั้ง ๆ ที่เพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันหมดแล้ว มันไม่มีอะไรมีความสุขเท่ามีลูกแล้วยังได้เล่นดนตรีอยู่กับวงที่เป็นแบบนี้ เราไม่ได้เล่นเลี้ยงชีพ เราเล่นเพื่อให้ชีวิตมันขับเคลื่อนไปได้เท่านั้นเอง
ลูกสาวเป็นอย่างไรบ้าง ได้เล่นดนตรีแบบพ่อบ้างมั้ย
ก้อง: ซน เป็นเด็กผู้หญิงที่ซนแบบผู้ชาย ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ให้เล่นดนตรีอะไรแค่สุขภาพดีก็พอแล้วครับ เดี๋ยวก็คงไปหาทางของเค้าเอง คิดว่ามีคนเดียวครับพอแล้ว
630 recording เป็นยังไงบ้าง
ก้อง: ดีครับ ตอบแทนให้เลย (หัวเราะ)
ชาย: เรื่อย ๆ ครับ มันเหมือนงานเสริมมากกว่า อยากทำอะไรที่มันอยู่ที่บ้าน ทำเสร็จแล้วขึ้นไปนอนเลย แบบนี้ชอบ ก็โอเค มีเรื่อย ๆ งานมิกซ์ คนมาอัดอะไรก็มีอยู่ มันก็ไม่ถึงกับอยู่ได้ ก็เรียกว่างานเสริมดีกว่า ส่วนงานหลักก็ไม่ค่อยได้สนใจละ ไปทำอย่างอื่นตั้งนานละ (หัวเราะ) คือถ้าเค้าเรียกกลับไปก็ไปตามสบาย ช่วงนี้มันก็กระทบกันหมดเข้าใจ
ก้อง: อย่างผมเดินทางไปทำงานไม่ได้ ก็ต้องทำออนไลน์ เพราะปกตินำเข้าส่งออกมันก็ต้องไปดูเองหน้างาน แต่ว่าตอนนี้ไปไม่ได้
Track By Track
D.O.N.E
ชาย: Intro เข้า เหมือนเปิดเรื่องมา มีเสียงระฆัง แล้วก็เป็นเสียงคนพูด ความจริงเป็นเสียงของหมอที่วินิจฉัยคนไข้ว่าเป็นโรคจิต แต่ไม่ใช่ว่าที่เราต้องการสื่อออกมาในนี้คือหมอนะ แต่มันคือเสียงจากอะไรก็ไม่รู้ อาจจะเป็น The Machiner ส่วนมากเราจะมีทุกชุดเลย เพลงเปิดเรื่อง เสียงนี้ไปขอยืมมา ซึ่งชุดนี้จะมีเสียงคนพูดตลอด เป็นคนละคน เราจะดูที่ context มากกว่า
ก้อง: ไม่ใช่ส่วนมาก มีทุกชุดเลย (หัวเราะ) ยกเว้นไม่มีชุดแรก
Headspin
ชาย: เป็นเพลงสไตล์เรา
ก้อง: ในซาวด์ที่เปลี่ยนไป
ชาย: ผมว่าเพลงนี้มีความเป็นอัลบั้ม Revolver มาก ๆ เลย เพลงนี้มีความสนุกสนาน หรือเพี้ยน พูดไม่ถูก มันไม่มีกรอบ เพลงนี้มันสั้นมากเลยนะ แค่นาทีเดียวแต่มันมีทุกอย่างอยู่ในนั้น
ก้อง: มันเป็นหนึ่งนาทีที่มันบอกหมดทุกอย่างในเพลง คือเพลงนี้มันควรจะจบแค่นี้ หนึ่งนาที เราไม่รู้สึกขาดอะไรเลย
ชาย: แบบความโกลาหลอลหม่าน มันมีเมโลดี้ มีประสานเสียง มีเคาะเพอร์คัสชั่น มีทุกอย่างมีความเป็นละครดราม่า
ที่กลับมาด้วย Headspin มีความกังวลอะไรไหม
ชาย: ไม่ ๆ ไม่งั้นคงไม่ส่งมาให้ฟัง (หัวเราะ) กลัวคนลำโพงแตกอย่างเดียว
ก้อง: ไม่มี
Fading Reality
ชาย: หนักเหมือนกันเพลงนี้ มันเหมือน พอ Intro เป็นเสียงที่พูดกับเรา ส่วน Headspin มันเหมือนหนังที่ตื่นขึ้นมาแล้วเป็นเมืองซอมบี้ ส่วนเพลงนี้มันจะเหมือนเริ่มจะรู้ความเป็นจริงแล้ว แบบมันเกิดอะไรขึ้น เพลงนี้จะมีความกดดันอยู่
Catalyst
ชาย: โกลาหลวุ่นวาย มีความเป็นพังก์ที่สุดแล้วในอัลบั้มนี้
ก้อง: มันเหมือนมันหนีอะไรซักอย่างในความรู้สึก
ชาย: เพลงนี้ก็มี dialogue ของ Charles Manson แล้วประโยคนี้เขากำลังพูดถึงความจอมปลอมของคนซึ่งตรงกับเพลงนี้พอดี
The Sun That Never Came
ชาย: ความรู้สึกผมเหมือนเพลง Black Hole Sun ของ Soundgarden ไม่รู้ทำไมผมนึกถึงเพลงนี้ เหมือนเรามองเหมือนเค้า แล้วชื่อเพลงก็มีคำว่า Sun ประกอบอยู่เหมือนกันด้วย คือเพลงนี้จะมีทั้งหนักและเมโลดี้ที่เหมือนมีความไม่แน่ใจ แล้วมันดันส่งเข้าเพลงต่อไป คือ City of Dust มันคือการที่มันยังเป็นกลางวันแต่ก็ยังไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์เลย
City of Dust
ชาย: มาจากช่วงก่อนหน้านี้ที่เป็นฝุ่น PM 2.5
ก้อง: เป็นบรรเลงทั้งเพลง
ชาย: เสียงกลองผมก็ตีเอง จูนสแนร์ให้เป็น Bongo เสียงตึง ๆ ใช้มือตี อย่าซื้อเลยเปลือง (หัวเราะ) คือสองเพลงนี้มันมาช่วง PM 2.5 พอดี ช่วงก่อนโควิด
ก้อง: เพลงนี้เริ่มจากคอร์ดที่ผมดีด ปกติผมกับพี่ชายเวลานึกเพลงอะไรได้เนี่ยจะอัดเป็นกีตาร์โปร่งด้วยมือถือ แล้วก็จะส่งให้พี่ชายฟัง คอร์ดอันนี้มันมาพอดีที่เป็นกีตาร์โปร่ง ตอนแรกจะทำเป็นอย่างอื่นไปเรื่อยเปื่อย แต่พอสุดท้ายคุยกันแล้ว เออเป็นบรรเลงดีกว่า คือเพลงมันมู้ดนี้เลยมันหมอก ๆ เทา ๆ หม่น ๆ
ชาย: นี่เราก็คงลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเราก็ใส่หน้ากากเหมือนกันนะ แล้วมันกลัวคนละอย่าง
ก้อง: จริง ๆ ตอนนี้ก็ยังมีอยู่นะ ฝุ่นอะ แต่ตอนนี้หน้าฝนก็อาจจะไม่ค่อยเท่าไหร่
HEX
ชาย: เพลงนี้มีเสียงพูดของ Jim Jones หัวหน้าลัทธิที่พาคนฆ่าตัวตายหมดโบสถ์ HEX คือเพลงที่ยาวที่สุดในอัลบั้ม เค้าพูดประโยคที่จูงใจคน แต่ความจริงเรื่องที่พูดคือไม่มีเรื่องจริงในนั้นเลยอะ มันเหมือนภาพลวงตา HEX คือเหมือนอยู่ในหมอก อยู่ในความมึน ๆ
ก้อง: ดนตรีเพลงนี้ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ มีหนักมีเบา
ชาย: เมโลดี้แปลก ๆ มีจังหวะเป็นละตินนิด ๆ
ก้อง: มีตรงกลาง อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนไปเลย แล้วตรงข้างหลังก็เปลี่ยนอีก พอจบก็เปลี่ยนอีก แต่ต้องบอกเลยว่า ไม่ใช่โปรเกรสซีฟ (หัวเราะ)
The Machiner
ชาย: ตอนจบ HEX เหมือนจะเป็นเมโลดี้สวย ๆ มันเหมือนจะคลี่คลาย HEX คือการเล่าเรื่องที่ ตกลงยังไงวะ แต่พอ The Machiner เหมือนฟ้าผ่าลงกลางกบาล
ก้อง: เหมือนสุดท้ายก็รู้ว่ามึงไม่สามารถทำอะไรได้
ชาย: The Machiner กลับมา take control ซึ่งเนื้อเพลงก็เล่าเรื่องต่อกันหมด
ก้อง: จะมาปรากฎตัวตอนนี้
ชาย: เหมือนเป็นเสียงพระเจ้า
Into The New Sky
ชาย: ก็จะดูคลี่คลายนิดนึง มีความคลี่คลาย แบบ รับรู้แล้ว เข้าใจเรื่องทุกอย่าง
ก้อง: เหมือนเปิดโลกใหม่เราเข้าใจแล้วว่าตั้งแต่แรกมามันหม่นเพราะอะไร
ชาย: เพลงนี้ก็ยาวเหมือนกัน 6 นาทีกว่า พาร์ทดนตรีก็จะคึกคัก เร็ว ๆ หน่อย
ก้อง: มันจะสว่างหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้น ก็จะมีไลน์ประสานแบบ Revolver
Post-Apocalyptic Lullaby
ชาย: มันเหมือนจะสรุปแต่มันก็ไม่สรุปอะ เสียงร้องคือ เหมือนตูนร้องเป็นเสียงคุยโทรศัพท์ ซึ่งที่โทรเข้ามาเป็นคนที่เคยอยู่ตรงนี้แล้วผ่านมันไปแล้ว เหมือนเป็นคนจากอนาคตโทรกลับมาเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้คนรุ่นเราฟัง
ก้อง: ตอนนั้นมันเป็นแบบนี้นะ
ชาย: เหมือนแบบความจริงโลกจะต้องเป็นยังไง ส่วนเพลงนี้ก็มีเสียงกีตาร์โปร่งเหมือนกัน เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้สื่อขนาดนั้นตรง ๆ นะว่าคนในอนาคตโทรมาแต่มันคล้าย ๆ แบบนั้น
The Machiner อัลบั้มลำดับที่ 6 ของ BrandNew Sunset จากสังกัด Black Groove Records วางจำหน่ายตุลาคมนี้ ในฟอร์แมตซีดี คาสเซ็ต และแผ่นเสียง
อ่านต่อ
ขาร็อกเตรียมเฮ BrandNew Sunset พร้อมปล่อยอัลบั้มใหม่ 23 กรกฎาคมนี้
จับเข่าคุยกับ ออม-ดิว สองผู้จัดแห่ง Wildest Youth ก่อนจะถึง Pink Cloud Festival งานรวมวงออสซี่ในฝัน!
บทสัมภาษณ์สุดท้ายของ Degaruda วงดนตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งวงที่เล่นสดได้เดือดที่สุดในไทย