ขาร็อกเตรียมเฮ BrandNew Sunset พร้อมปล่อยอัลบั้มใหม่ 23 กรกฎาคมนี้
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Raweephat Pimkheaw
ใครที่ตามแฟนเพจของ BrandNew Sunset อาจจะสงสัยว่า ภาพ Space และ Time ที่พวกเขาแชร์ไว้แต่ไม่พูดอะไรจะหมายถึงอัลบั้มใหม่ของพวกเขาหรือเปล่า ต้องขอแสดงความยินดีด้วย พวกคุณทายถูก เพราะแม้พวกเขาจะมีงานเล่นแบบไม่ขาดมือ แต่เอาเข้าจริงก็ห่างหายจากการทำอัลบั้มเต็มถึง 6 ปีเลยนะ ระหว่างที่รอฟังเพลงใหม่ Fungjaizine เลยชวนตูน ชาย และก้อง มาพูดคุยกับเราเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อน
จากงานเพลงชุดก่อนถึงชุดล่าสุด หายไปถึง 6 ปี
ชาย: ตอนนั้นเป็นช่วงที่ออกชุดก่อนหน้า ประมาณปี 2010 แล้วยังมีสัญญากับค่ายอยู่ แล้วช่วงนั้นค่ายก็เปลี่ยนรูปแบบ เราก็เงียบ ๆ ไปพักนึง จนคนชอบคิดว่าวงหยุดไป แต่เราก็แต่งเพลงมาเรื่อย ๆ นะ ซึ่งพวกผมเวลาแต่งเพลงมันจะค่อนข้างนาน เพราะแต่งมาจากการแจมวง แล้วก็ยังมีงานเล่นตลอด
ในแฟนเพจของวงมีรูปที่เขียนว่า Time กับ Space อยู่ มันคืออะไร
ตูน: อัลบั้มชุดนี้ชื่อ Of Space and Time ครับ มันเป็นคอนเซปต์อัลบั้ม คือเราจะพูดถึงชีวิต การเดินทาง แล้วพูดถึงคุณแม่ด้วยเพราะคุณแม่เสียช่วงกำลังทำอัลบั้มกันพอดี เนื้อเพลงกับดนตรีจะไปด้วยกัน บางเพลงจะเกี่ยวกับว่าเราไม่ได้อยู่บนโลก อยู่ในห้วงอวกาศ แต่ว่าความเป็นจริงเราอาจจะไม่ได้ไปไหนเลยก็ได้ เป็นแค่จินตนาการของเรา หรือประสบการณ์ชีวิตพาเราไปที่ไหนสักที่หรือเปล่า ที่คุยกันตอนแรกเลยคือเราอยากทำเพลงให้มีเรื่องราวต่อกันไปเรื่อย ๆ แต่จากชื่ออัลบั้ม Of Space and Time ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ามันมีเรื่องของเวลา 6 ปีมาเกี่ยวข้อง ช่วงที่ทำก็ดนตรีเสร็จก่อน เมโลดี้ก็ฮัมไปก่อน ยังไม่มีเนื้อ แล้วพอมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในช่วงนั้นเราก็จะเอามาใส่ในเนื้อเพลง แต่สุดท้ายแล้วมันต่อกันครับ ทั้งหมด 9 เพลง
ชาย: ชุดที่ผ่าน ๆ มาเหมือนเป็นเพลงให้กำลังใจ พูดอะไรตรง ๆ แต่รอบนี้จะเป็นส่วนตัวมากขึ้น เหมือนเรารู้จักตัวเองมากขึ้น เข้าใจการเล่าเรื่องมากขึ้น
ดนตรีต่างจากชุดก่อน ๆ ไหม
ชาย: พอดีผมทำสตูดิโอ ชุดนี้เราทำดนตรีกันเอง อัดกันเองก็เลยใช้เวลานาน เพราะพอฟีลไม่มาก็จะไม่ทำกันเลย แล้วก็ใช้วิธีอัดรวม คือเล่นพร้อมกันทั้งวง แทบจะไม่ใช้ digital editing น่าจะเป็นอัลบั้มแรกที่เรารู้สึกว่าเอาออกมาจากหัวเราสุด ๆ ทั้งกำลังในการซ้อม อัด ถ้าคนฟังจะรู้เลยว่าเหมือนเขาไปนั่งอยู่ในห้องอัดกับเรา จะไม่มีความเนี้ยบ แต่จะได้ความสดของดนตรี เสียงกีตาร์จี่ก็ไม่ได้ตัด เอาตามฟีลเลย
ก้อง: อย่างเวลาเราอัดเพลง 18 นาที พอมันพลาดปุ๊บ ต้องเอาใหม่เลย หรือเวลาเราซ้อมอยู่ทุกวันนี้ถ้าใครหลุดมานิดนึงนี่เซ็งเลย ต้องอดทนเยอะเหมือนกัน ใช้เวลาอัดกันทั้งหมด 2 ปีครับ
จะได้ฟังเมื่อไหร่
ชาย: อัลบั้มจะปล่อย 23 กรกฎาคม วันเดียวกับงานเปิดอัลบั้มที่ Soy Sauce Bar เจริญกรุง ซอย 24 แล้วเพลง Time ก็จะปล่อย Exclusive Single กับที่ฟังใจที่แรก แล้วจะมีขายเป็น bundle เสื้อพร้อมซีดีด้วย ติดตามใน Fungjai Store ได้ครับ
งานล่าสุดที่ไปเล่นมาเป็นยังไงบ้าง
ตูน: ดีครับ ที่งาน Paradise Fest เหมือนมันกลับไปบรรยากาศที่เราทำวงแรก ๆ เหมือนคนที่มาดูเรา หรือวงอื่น ๆ เขามาด้วยความเสี้ยนจริง ๆ อยากจะเสพจริง ๆ
ก้อง: เราก็ตั้งใจไปเล่นแหละ แต่ไม่ได้บอกว่าเราจะเล่นเพลง 18 นาที แล้วก็ไปเล่นทุกงาน ก็มีการจัดไฟใหม่ พยายามทำให้มันมีวิชวล เราดับไฟทั้งดาดฟ้าฟอร์จูนแล้วยิงไฟเข้าหาวง วงก็เล่นหันหน้าเข้าหากัน อีกงานเรายิงไฟใส่คนดู เราอยากทำอะไรที่ใหม่ ๆ มันสนุก เหมือนเราหายไป 6 ปีก็อยากให้กลับมาเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้
ชาย: เราก็เป็นวงเล็ก ๆ ที่อยากสนุก อยากสร้างอะไรให้กับวงการ การลองจัดแสงแบบใหม่ สร้างโชว์แบบใหม่ก็เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ตอนอยู่ค่ายมาสองชุด เหมือนเราเข้าไปเรียนรู้ระบบ mind set และวิธีการทำธุรกิจของเขา ไม่ได้มองว่าก้าวผิดนะ เพียงแต่ตอนนั้นเราเหมือนลองผิดลองถูก แล้วเราก็ทำกันเองมา 5 ปี ตอนนั้นเราอาจจะกำลังเยอะแต่คิดอะไรได้น้อย ส่วนตอนนี้เราอ่อนแรงลงแต่คิดอะไรได้เยอะขึ้น แก่แล้วไง แต่กลับรู้สึกเหมือนตอนนั้นเลย
จุดที่ทำให้ตัดสินใจออกจากค่าย
ชาย: อุตสาหกรรมดนตรีบ้านเรามันเปลี่ยนด้วย เป็นหมดทุกแนว เหมือนผู้บริโภคเปลี่ยนไป ยกตัวอย่างสมัยงาน Fat Festival แดนเนรมิต สนามม้านางเลิ้ง โรงงานยาสูบช่วงแรก ยุคนั้นคนซื้อซีดีแค่เสาร์อาทิตย์สองวัน ซีดีเราวงเดียวขายกัน 5-6 พันแผ่นแบกกันมา พอวางเสร็จหมด เหมือนคนซื้อเขาอยากฟังจริง ๆ แต่พอสมัยนี้พอเราให้อะไรฟรี ๆ เขามากไป ก็จะคิดว่าพอได้ฟรีแล้วทำไมกูต้องซื้อวะ แล้วตอนนั้นค่ายเขาที่เป็น corperate เขาก็ต้องปรับตัวกับพฤติกรรมผู้บริโภค เราอยู่ภายใต้เขา เขาก็อยากให้เราปรับ แต่เราก็ไม่ปรับ เราอยากจะทำเพลงในแบบของเรา แล้วก็จะมีอีกแบบนึงคือ ถ้าทำเพลงมาเพลงนึง ดังไหม ถ้าไม่ดังให้พัก แล้วพอจะทำอีกเพลงเขาก็จะไกด์มาว่าให้ทำแนวนี้ เราทำใจไม่ได้ เหมือนมีคนมาปรูฟว่าดีหรือไม่ดี มันดูถูกคนทำงานเกินไป ถ้าถามทุกวงคงรู้สึกเหมือนกัน แต่จะมีใครพูดหรือเปล่า
ตูน: ซึ่งคำว่าดีมั้ยมันคือขายได้ไหมนั่นแหละ ก็เข้าใจ
ก้อง: เหมือนอัลบั้มสุดท้ายที่ทำตอนอยู่ค่ายมันอยู่กึ่งกลางระหว่างช่วงขาขึ้นของ social network ครับ ตอนนั้นยังเป็น myspace hi5 กันอยู่เลย ส่วนตัววงก็ไม่ชอบทำเป็นซิงเกิ้ลด้วย เราไม่ใช่ระบบอย่างนั้น คือถ้าเสร็จหมดทั้งอัลบั้มแล้วค่อยปล่อย เคยถามวงเพื่อน ๆ กันว่าทำเพลงแล้วทำไมยังไม่ได้ออก เขาก็บอกว่าโปรดิวเซอร์ไม่ให้ออก ส่วนตัวก็คิดว่าแล้วโปรดิวเซอร์มาเกี่ยวอะไร โปรดิวเซอร์สำหรับผมก็แค่น่าจะช่วยให้โปรดักชันมันเสร็จ ช่วยดูเรื่องเวลา หรือยกจุดดีของวงขึ้นมา แต่ไม่ใช่ตัดสินว่า อันนี้ผ่าน ปล่อยออกได้ แต่ของเราโชคดีที่เราได้ทำทั้งอัลบั้ม เลยไม่เคยถูกดอง เพราะดื้อด้วยแหละ ทำทั้งทีก็เอาให้ดีเลย มีให้คุณ 10 เพลง คุณจะเอาไหม 2 เพลงมันตอบอะไรไม่ได้เลยสำหรับวง ๆ นึง แล้วผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องวัดจากซิงเกิ้ล มันแค่เป็นเงินที่เขาลงทุน การที่คุณทำเพลงออกมา วงต้องปรูฟผลงานของตัวเองอยู่แล้ว ถึงมันจะออกมาไม่ดี แต่มันก็เป็นอะไรที่วงคัดมาแล้ว ไม่เกี่ยวกับโปรดิวเซอร์
ชาย: เดี๋ยวมันจะกลับมาเป็น full circle แบบยุคนู้นแล้วนะที่ไม่ต้องการค่าย เพราะสมมติว่ามีพื้นที่แบบฟังใจ Cat Radio หรือคลับที่ให้ที่เล่นอย่าง Soy Sauce มันกลับมาแล้ว ที่ ๆ เขาจะรวมตัวกันทำกันเอง แต่เดี๋ยวนี้สถานที่ที่เล่นงานร็อกแบบนี้น้อยมาก อย่างมีงานนึงที่เป็น festival ที่เราไปเล่นตลอด แต่ปีสุดท้ายที่ไปเราเห็นคนไปดูแล้วเศร้า คือเป็นเด็กที่ไม่ได้ฟังเพลง ทุกคนเหมือนไปเมา ไปเที่ยว เห็นเด็กผู้หญิงนอนกระโปรงเปิด ฉี่ตรงนั้น เราไม่ไหว culture ของคนที่ไปดูคอนเสิร์ตมันเปลี่ยนไป
ก้อง: เหมือนคิดให้คนไปเที่ยวกันแล้วให้ดนตรีเป็นเรื่องอันดับสอง ถ้าคุณตั้งชื่อว่า music festival อะไรมันคือ main ล่ะ แต่พวกวงที่ไปเล่นเขาเก่ง ๆ ทั้งนั้น อย่าง Sepia Desktop Error วงพราว ทุกคนคือคนดนตรี เราก็ยังไปดูเขาเล่น แต่เราก็ไปเล่นที่ที่ไม่ใช่ที่ของเราบ่อย ๆ บางทีคนยืนข้างหน้าก็เอามืออุดหู จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่ว่าเราพอใจกับเพลงของเราก่อน พอเราไปเล่นแล้วเราก็ไม่ค่อยแคร์ เราคิดว่าเราโอเคแล้วกับการได้เล่นบนเวที เราแฮปปี้ที่จะเล่นเพลงของเรา แล้วก็ดีใจที่คนมางานเราถึงจะไม่เยอะ แต่เขาก็ชอบงานเราจริง ๆ
ชาย: มีงานจ้างบางงานมาถามว่า คุณเล่นกี่เพลง 12 หรอ ขอคัฟเวอร์ 8 เพลงได้มั้ย Guns N’ Roses ซัก 3 เราก็ตอบครับนะ แต่เอาจริงก็ไม่ได้เล่น (หัวเราะ) แต่ตอนไปเล่น คนจ้างเขาเห็นเราเต็มที คนดูสนุก เขาก็โอเค ยังโชคดีที่ยังมีคนตามมาดูเรา ไปเล่นที่เชียงรายก็มีคนมาดูแล้วร้องเพลงได้ ก็โชคดีที่ยังมีคนเข้าใจเรา
ได้ฟังเพลงวงรุ่นใหม่ ๆ บ้างไหม
ตูน: Cold Black Vines ครับ มือกีตาร์อยู่วง Abuse the Youth จริง ๆ มีวงอะไรดี ๆ เยอะครับ
ชาย: ผมชอบ Degaruda เพราะสองคนพี่น้องที่เล่นกีตาร์ เริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่เราชุดแรก แต่เขาเปลี่ยนวงมาบ่อยมาก รู้เลยว่าเป็นคนรักดนตรีและมีพรสวรรค์ทางดนตรี อะไรที่ออกมาจากหัวนี่รู้เลยว่าสองคนนี้แหละ สู้ดี เอกลักษณ์สูง Lord Liar Boots ผมก็ชอบนะ เขาคิดอะไรนอกกรอบดี
ก้อง: Desktop Error ครับ ไม่น่าเชื่อว่าเขาเซตมาตรฐานให้วงไทยที่ตามเขามาได้เลยนะ มีวงไทยที่เป็นอย่างนี้น้อย ผมไปเจอมือกีตาร์ที่เชียงราย เขาไปเล่นให้ฮิวโก้ ก็คุยง่ายนิสัยดีกันทั้งวง มันไม่ได้มีแค่วง A กับวง B ที่เป็นมาตรฐานของวงการ อยู่ค่ายมาทะเลาะกันทุกวันว่ามันไม่ได้มีดีแค่สองวงนั้นที่เขาอยากได้ จะพูดชื่อวงพวกนี้ตลอดเวลาไปประชุม แล้วจะมาให้เราเซ็นเขาไปทำไม ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีนะ แต่มีแบบนี้เยอะแล้ว มันอาจจะเป็นรูทของคนไทยว่าคุณดูบ้านผีปอบได้เป็นสิบภาค ผมไม่เข้าใจว่าคุณดูอะไรกัน อย่างถ้าเราทำอัลบั้ม ชุดสองต้องไม่เหมือนชุดสาม แต่ถ้ากลับไปฟังทั้งสองชุดเราก็ยังอินอยู่
ชาย: วงเราชอบทำอะไรที่มันบอกเล่าถึงตัวเองในช่วงเวลานั้น ชุดสองนี่ สายเทคนิกมาก อยากปล่อยของ พอกลับไปฟังแล้ว โห เราตอน 15 ปีที่แล้วเป็นแบบนี้หรอ
ก้อง: ตอนผมเจอพี่ชายครั้งแรก สำหรับผมนี่ นี่แม่งเหี้ยอะไรวะเนี่ย (หัวเราะ) คือเก่งมากจนเราต้องสบถ ไม่รู้จะพูดคำไหนว่า เหี้ย ทำไมเก่งจังวะ เป็นมือกีตาร์ที่ดีที่สุดในประเทศนี้ สำหรับผมนะ
ชาย: มา เดี๋ยวเลี้ยงกาแฟ
จะทำยังไงให้คนมารู้จักดนตรีแนวนี้มากขึ้น
ตูน: ผมว่าศิลปินขับเคลื่อนด้วยตัวเองอยู่แล้ว พวกผู้ประกอบการตามสถานที่ต่าง ๆ หรือสื่อต่าง ๆ เขาจะเปิดใจหรือเปล่า เหมือนแพทเทิร์นนี้มันเซตอัพมา 30-40 ปีแล้ว เหมือนเป็นการบอกประชาชนคนดูว่าอะไรคือสิ่งที่เขาควรดู ผมว่ามันแก้ยาก
ก้อง: เรารู้ตัวเองว่าเราไปออกช่องใหญ่ ๆ ไม่ได้หรอก เคยไปเล่นงานสัญจรของช่องนึงแล้วคนดูงง ๆ แต่เพราะไม่มีสื่อให้เราไป แค่นั้นเอง มันเหมือนไม่ใช่การฟังดนตรี มันเป็นการล้างสมอง เปิดอัดไปเรื่อย ๆ ผมถามหน่อยว่าผมไม่ได้ฟังวง A แต่ผมร้องเพลงเขาได้ มันเกิดจากอะไร เพราะสื่อมันยัด กูไม่ได้อยากฟังนะ แต่เปิดผ่านมันก็เข้าหู เมืองนอกเขาก็เป็น แต่เขาต่างจากเราเรื่องนึงที่พวกไม่ใช่ mainstream ก็มีกลุ่มใหญ่ซัพพอร์ต ไปร้านซีดีก็มี free copy ให้หยิบดูว่าวันนี้มีวงอะไรไปเล่นที่ไหน แต่ของเมืองไทยมันเป็นดำกับขาวเลย ถ้าไม่ mainstream แทบจะไม่มีใครซัพพอร์ต มันไม่ได้ไม่มีช่องทางหรอก แต่สื่อมันประโคมได้ไม่เท่าสายหลัก เพราะมันอยู่ไม่ได้ด้วย วง mainstream เขาก็ดีในส่วนของเขา แต่เราก็ไม่ต้องทำให้มันเหมือน แค่มีคนเริ่มคนสองคน สมัยนั้นสำหรับผมมีวงพราว วงครับ มันทำให้เด็กรู้สึกว่ากูก็ทำเองได้ สำหรับผมมันทำให้เราไม่อยากไปพึ่งใครมาก อย่างตัวเราเองคงเล่นไปเรื่อย ๆ มีอัลบั้ม 6 7 8 แต่สิ่งที่เราอยากเห็นคืออยากให้วงการหรือเด็กรุ่นใหม่มีความคิดที่เป็นเอกเทศบ้าง บางทีเราก็เข้าใจว่าเด็กอาจจะอยากเข้าไปในค่าย ให้เขาดันให้ แต่จริง ๆ มันเข้าไปโดนล้างสมอง หรือไปกู้เงินเขามาสร้างฝัน แล้วเขาก็จะบีบว่าจะจ่ายดอกไหม แต่เซ็นสัญญาไปแล้วไง ซิงเกิ้ลแรกไม่ดังก็โดนดองไป 5 ปี วงทำอะไรก็ไม่ได้ รับงานไม่ได้ วงที่เรารู้จักดี ๆ หายไปเยอะมากเพราะเลิกไปก่อน
ชาย: มันคงต้องการช่องทางมั้ง ซีนถึงจะขยับไปได้ วงต้องเป็นตัวของตัวเอง สื่อต้องเป็นตัวของตัวเอง พื้นที่ในการแสดงออกต้องเป็นตัวของตัวเอง ซีนมันก็จะขยับไปมั้ง เหมือนทุกคนต้องทำงานด้วยกัน ช่วยกัน ตอนนี้วงอย่าง Lord Liar Boots หรือ Mattnimare เขาก็ทำให้การขายซีดีกลับมาได้ เริ่มเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาอีกครั้ง ฝากวงพวกนี้ไว้ด้วยครับ
ฝากอะไรถึงแฟน ๆ
ชาย: เรายังไม่หายไปไหนครับ ยังอยู่ ถ้าชอบก็ซื้อฮะ คนที่ไม่เคยฟังมาลอง ถ้าชอบก็ดี ถ้าไม่ชอบก็คอมเมนต์มาได้ครับ
ตูน: ผมว่าคนฟัง BrandNew Sunset ก็คาแร็กเตอร์คล้าย ๆ พวกเรา คือถ้าเรามา เขาก็ยังเหมือนเดิม ยังรอเราอยู่
Track by Track
Space
ตูน: ถ้าเราฟังมันจะเหมือนเราก้าวเข้าไปสู่สถานที่ที่หนึ่ง แต่มันไม่ได้มีแค่พวกเราที่อยู่ตรงนั้น แต่มีคนอื่นล้อมอยู่ ซึ่งเราจะรู้สึกเองคนเดียวหรือมีคนอื่นรู้สึกไปกับเราด้วย เหมือนเป็น intro ของอัลบั้ม ก็จะมีบรรยากาศของการสู้รบนอกโลก เราก็จะจินตนาการว่ามียาน
ก้อง: เหมือนจิตเราจะคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เราผ่านมา ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่เรานึกขึ้นได้ระหว่างเดินทาง แล้วเราอาจจะเจออุปสรรค สภาพแวดล้อมแปลก ๆ หรือตัวประหลาดที่กำลังเห็นเราเดินทางอยู่ด้วย
Fire (in Our Hearts)
ตูน: จะออกแนวให้กำลังใจ ออริจินัลเลย เพลงนี้ถ้าฟังดูแล้วจะรู้เลยว่า BrandNew Sunset แน่นอน เราพยายามย้ำในจุดยืนตรงนี้ว่าเราอาจจะเป็นสิ่งนึงสำหรับคนที่กำลังสิ้นหวัง ตัวผมเองก็ดาวน์ แต่ก็ถ่ายทอดออกมาให้ตัวเองและคนอื่นไม่ดาวน์ มีท่อนนึงที่บอกว่า “กำลังใจจากเธอจะทำให้ฉันก้าวต่อไป” มันก็เหมือนเป็น motivation จะผลักดันเราไปเรื่อย ๆ
Once in a Lifetime
ตูน: เนื้อหาจะเกี่ยวกับสิ่งที่ผ่านมาในชีวิต เกี่ยวกับความตั้งใจของพวกเรา อาจจะมีคอมเมนต์ต่าง ๆ เข้ามา ทำให้เราบอกทุกคนว่าเราก็ยังเป็นเราอยู่ เหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ มาก็เหมือนเป็นบทเรียนชั้นดีที่สอนเรา และทำให้เรา move on มันจะมีเนื้อเพลงท่อนนึงบอกว่า เดินทางให้เจอกับบทเรียนที่ยากขึ้นไปอีก และทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น
Coming Home
ตูน: เหมือนพูดถึงคน ๆ นึงที่กำลังเดินทางอยู่ คน ๆ นี้เขาค่อนข้างที่จะมีความเป็นตัวของตัวเองมาก มีอดีต มีทุกอย่างที่มันกดชีวิตเขาอยู่ เขาก็เดินทางเพื่อก้าวข้ามผ่านตรงนั้นให้ได้ ท่อนนึงผมเขียนว่า “It’s hard to stand without the proud, it takes courage to stand alone.” ก็ตรงตัว ถ้าจะเดินทางคนเดียวหรือทำอะไรเพื่อตัวเองต้องเก๋าพอตัว
Spaceship
ตูน: เกี่ยวกับการที่เราเดินทางจากที่นึงไปอีกที่นึง กำลังเล่าว่าผมทิ้งโลกเก่า ๆ ที่เคยอยู่ เคยพบเจอ อยากไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ จากโลกใบใหม่ อยากเจอนอสตราดามุสที่เขาทำนายว่าโลกเราเกิดเมื่อไหร่ จบเมื่อไหร่ ก็ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ด้วยอากาศยานลำนี้ แต่พอขึ้นไปแล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เล่าอยู่ในเพลง ซึ่งจะโยนไปเพลงต่อไป
จริง ๆ ผมชอบดูพวก ancient alien พวกพิระมิด สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มันเป็นอะไรที่ไม่มีคำตอบในนั้น แล้วเป็นเหมือนเรื่องโม้ด้วย แต่ถ้ามันจริงมันก็เหวอดี
The Hunter
ตูน: เคยได้ยินไหมว่าพอขึ้นไปแล้วอากาศเหลือน้อยมันจะทำให้สมองคิดไปโน่นไปนี่ หลอนขึ้นมา เหมือนเรามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ได้มีเราที่ออกจากโลกแค่ยานเดียว แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง สัตว์ประหลาด หรืออะไรสักอย่างบินมาขนานกับเรา แล้วมันเหมือนอุปสรรคที่จะทำให้เราไปไม่ถึงที่หมาย แล้วในความตั้งใจ ความกลัว ความสับสนนั้นก็คิดว่าจะกลับดีไหม เพราะก็ออกมาครึ่งทางแล้ว
ชาย: แต่เพลงนี้ปลายเปิดมากเลยนะ ที่อธิบายว่าไม่รู้ว่าเราเดินทางไปจริงหรือเปล่า หรือเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
Dear Mother,
ตูน: อันนี้เกี่ยวกับความสูญเสีย เป็นความสัมพันธ์ ความผูกพันธ์ แต่ความสูญเสียนั้นก็เพลงพลังให้เราเดินต่อไป เหมือนในที่นี้แม่ก็ยังอยู่ คอยเป็นกำลังใจให้ผม
ชาย: แต่เป็นเพลงสดใส เล่าในอีกมุม แค่มาจากเรื่องเศร้า
[Intermission]
ชาย: เป็นเพลงบรรเลง เราเอาเสียงคำพูดจาก Apollo 11 มาช่วงที่เขาลงจอดบนดวงจันทร์ครั้งแรก เพื่อส่งต่อไปอีกเพลง เหมือนจะชงเรื่องเข้าว่า กำลังจะลงจอด แล้วสรุปว่าแค่เท้าแตะดวงจันทร์เล็ก ๆ มันยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษยชาติมาก เรื่องเล็ก ๆ ที่บางคนทำ มันส่งผลกับทั้งประวัติศาสตร์เลย
Time
ก้อง: เป็นการสู้รบเพื่อให้กลับมาที่โลก ในจุดที่เราจินตนาการอยู่ หรือเราอาจจะออกไปจริง ๆ แล้วกลับมาบ้าน พอเราเดินทางไปแล้วก็ถึงเวลากลับ เพลงช่วง 15 นาทีแรกจะยังดูสับสน แต่ช่วงนึงมันจะคลี่คลาย เหมือนลงมาบนโลก มีเสียงแอมเบียนท์นกในป่า งู ใส่เสียงพวกนี้เข้ามาเพื่อให้คนฟังรู้ว่าเรากลับมายังจุดที่เราเริ่มแล้ว หรือเปล่า (หัวเราะ)
ชาย: เพลงสรุปของอัลบั้ม ยาวที่สุด 18 นาที
ตูน: แต่เพลงนี้เข้มข้นมากนะ ดนตรีกับเนื้อเพลงมันจะมีท่อนพีคของมัน ถ้าตั้งใจฟังความหมายด้วยจะดีมาก ทุกเพลงจะเล่าเรื่องราวเรียงกัน ภาษาที่เขียนก็ไม่ได้เข้าใจยาก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ BrandNew Sunset ได้ที่ fanpage ของวง และ ฟังใจ เร็ว ๆ นี้