Article Interview

It’s who we are, from the stars : พวกเราคือ Bodyslam (ตอนที่ 1)

  • Writer: Gandit Panthong
  • Photographer: Chavit Mayot

สมาชิก
ตูน—อาทิวราห์ คงมาลัย(ร้องนำ)
ยอด—ธนชัย ตันตระกูล (กีตาร์)
ปิ๊ด—ธนดล ช้างเสวก (เบส)
ชัช—สุชัฒติ จั่นอี๊ด (กลอง)
โอม—โอม เปล่งขำ  (คีย์บอร์ด)

2 พฤษภาคม 2561

‘จะดีจะร้ายให้เราเลือกเองได้ไหม’ นี่คือหนึ่งในประโยคของเพลงใหม่อย่าง ใคร คือ เรา  ของพวกเขา Bodyslam วงดนตรีร็อกมากฝีมือ วงดนตรีที่พวกเราทีม Fungjaizine เฝ้ารอเวลาการที่จะได้เจอได้พูดคุยมาตลอดระยะเวลา 4 ปีหรือพูดง่าย ๆ ก็เท่ากับช่วงเวลาที่พวกเขาทำอัลบั้มนี้นั้นแหละ โดยครั้งนี้พวกเรามีนัดกับพวกเขาที่ตึก GMM Grammy ชั้น 21 ท่ามกลางความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของผมขณะที่นั่งรอวงดนตรีวงนี้ ชายคนนึงที่ชื่อว่า ตูน ก็เดินออกมาทักทายอย่างเป็นกันเอง พร้อมบอกว่า ‘ฝากพวกเราวงหน้าใหม่ด้วยนะครับ’ วินาทีนั้นผมรู้แล้วว่า ผมกำลังจะเจอกับอะไรบ้างในการสัมภาษณ์ครั้งนี้

สิ่งแรกที่ผมและวง Bodyslam มองหน้าแล้วรู้กันเลยก็คือ นี่จะเป็นบทสัมภาษณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตของเราทั้งคู่แน่ ๆ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจทำบทสัมภาษณ์นี้ออกมาให้เป็นรูปแบบของซีรีส์ ซึ่งตอนที่พวกท่านจะได้อ่านกันคือปฐมบทของอัลบั้ม วิชาตัวเบา อัลบั้มที่หลาย ๆ คนตั้งคำถามว่าพวกเขาจะมาแบบไหนกันอีก พวกเขาจะทำเพลงลึก เพลงเข้าใจยากรึเปล่า คำถามเหล่านั้นมีคำตอบในบทสัมภาษณ์นี้ครับ

จุดเริ่มต้นทั้งหมดของเพลง ใคร คือ เรา

ตูน: ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนครับ ถ้าเป็นภาคดนตรีทั้งหมด Bodyslam ยังทำเหมือนทุก ๆ อัลบั้มที่ผ่านมาคือการแจมกันแล้วก็สนุกไปกับมัน จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มเติมสัดส่วนที่อยากใส่ในเพลงเข้าไปให้มันเลอะเทอะที่สุดก่อน ทำทุกอย่างให้มันสนุกที่สุด พร้อมทั้งทดลองสิ่งที่อยากใส่ลงไปในเพลงอย่างไม่มีกฏเกณฑ์ เราไม่เคยมีการกำหนดว่า แค่นี้พอหรือแค่นั้นพอ สุดท้ายระหว่างทางมันจะรู้ด้วยกันเองว่า เฮ้ยตรงนี้มันเริ่มไกลเกินความเป็นไปได้ของเพลงแล้วนะ เริ่มสนุกเกินไป เริ่มวัยรุ่นเกินไปแล้ว หรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้อินกับมัน เราจะค่อย ๆ ตัดออกไปจนสุดท้าย เมื่อเพลงออกมาถึงหูทุกคนนั้นแหละคือสิ่งที่ Bodyslam อยากให้ทุกคนได้ยินครับ

ภาคเนื้อร้อง มันเริ่มมาจากท่อนประโยคภาษาอังกฤษในเพลงครับ ‘Who we are from the star’ คำนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนเป็นเมโลดี้เลย คือเพลงของ Bodyslam ส่วนใหญ่จะแต่งเพลงจากเมโลดี้มาก่อน ซึ่งเวลาทำเราก็จะฮัมออกมาเป็นภาษาที่มันไม่มีความหมายก่อน ฮัมทุกอย่างให้มันลื่นไหลที่สุด ให้มันเพราะที่สุดก่อน ไอ้คำว่า ‘Who we are from the star’ คำนี้มันอยู่ของมันตั้งแต่แรกแล้ว พอประโยคนี้มันมีความหมายที่น่าสนใจ เราจึงนำเรื่องราวมาต่อยอดดูครับจึงทำให้ ใคร คือ เรา เป็นเนื้อหาที่เล่าออกไปเป็นเชิงปลายเปิดให้คนฟังได้คิดและพิจารณาครับ

สาเหตุอะไรที่ทำให้ Bodyslam เลือกใช้ประโยคภาษาอังกฤษเป็นประโยคแรกในเพลง ใคร คือ เรา 

ตูน: จริง ๆ เรื่องนี้คิดกันอยู่สักพักกับ Mango Team ทำให้ได้คำตอบที่ว่า เราอยากทดลอง อยากก้าวข้ามจากสิ่งที่เคยทำมา อยากทำทุกอย่างมันเกิดสีใหม่ ๆ ความรู้สึกใหม่ ๆ สมมติคนที่ฟังเพลงนี้อาจจะไม่ได้เข้าใจความหมายทั้งหมดของมัน แต่ในอีกแง่มุมนึงเราตีความว่า มันอาจจะเป็นเสียงเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งเป็นโน้ตของคีย์บอร์ดหรือกีตาร์ก็ได้ ไม่ได้คิดว่ามันต้องเป็นภาษาอังกฤษที่ทุกคนฟังแล้วเข้าใจ อยากให้ทุกคนฟังแล้วเกิดอารมณ์ร่วมคล้อยตามเท่านั้นเอง อยู่ที่คนตีความเลยว่า เขามองเรื่องราวเพลงนี้ไว้อย่างไร มันน่าสนุกดีนะครับ Bodyslam ทำเพลงมาทั้งหมด 7 อัลบั้มแล้ว เล่าในแบบต่าง ๆ ทั้งการเขียนเนื้อเพลงโดยผมเอง พี่กบ Big Ass) พี่โป โปษยะนุกูล ทุกวิธีการของการเขียนเนื้อเพลงเรานำมาใช้เกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้น อัลบั้มชุดนี้เราไม่อยากจะเล่าเรื่องจนทุกคนต้องเห็นภาพไปในทางเดียวกัน ไม่ได้ต้องการจะเล่าว่า นาย ก. ไปทำอะไรที่ไหนกับใคร อยากให้คนฟังไปตีความกันในแต่ละเพลง ซึ่งมันน่าจะสนุกกว่า

ความแปลกใหม่ของซาวด์ดนตรีที่มีเสียงฉิ่งมาอยู่เพลงของ Bodyslam 

ตูน: ตอนแรกคุยกับพี่อ็อฟ Big Ass ผมอยากได้กลิ่นความเป็นไทยเข้ามาในเพลง อยากจะสร้างสรรค์ให้มันอยู่พาร์ตของเครื่องดนตรีเพอร์คัสชั่น เราก็ลองไปหาเสียงของกลองบองโก้ไล่ระดับไปจนถึงกลองทอมมาใช้ดู แต่สุดท้ายก็มาเจอเสียงฉิ่งที่มันเข้ากับเพลงนี้มาก ๆ จึงเลือกมันมาใช้ครับ

โอม: ซึ่งจริง ๆ เรื่องราวเหล่านี้ ตอนเดโม่มันยังไม่มีเลยนะ มันมีหลายพาร์ตเหมือนกันนะครับที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อัดมาสเตอร์

ตูน: เราจะทดลองบ่อยมากจะลองดูว่า ตรงนี้มันน่าจะเข้ากันไหม ใส่ ๆ ถอด ๆ กันอยู่พอสมควรครับ

ภาพแรกที่เปิดตัวซิงเกิ้ลนี้ วงต้องการสื่อสารอะไรกับแฟนเพลง 

ตูน: ภาพที่ทุกคนเห็นมันคือ รังไหมที่มีดักแด้อยู่ข้างใน หรืออาจจะมีใครอยู่ข้างในไม่รู้ก็เป็นได้ครับ ซึ่งความหมายของมันก็คือ การหยุดเพื่อพัฒนาตัวเอง หยุดเพื่อพัฒนาเป็นสิ่งที่ดีกว่า และรอเวลาเพื่อที่จะกลายเป็นอีกสิ่งนึงที่ดีกว่าเดิม โดยไอเดียนี้มันมาจากผู้กำกับ พี่อั๋น (วุฒิศักดิ์ อนรรฆพร) เขาฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่า เขาอยากจะเล่าเรื่องราวผ่านเจ้าสิ่งนี้ ผมต้องขอบคุณเขาด้วยครับ เพราะมันค่อนข้างลงตัวกับวิถีของวง Bodyslam ที่เป็นมาในช่วง 4-5 ปีหลังเลย พวกเราออกไปทัวร์คอนเสิร์ตกันเยอะมาก ไม่ได้ออกผลงานเพลงใหม่ ไม่ได้ใช้ความคิดในการประดิษฐ์หรือการสร้างสรรค์ เรามีหน้าที่ออกไปเล่นดนตรีอย่างเดียว มันเหมือนกับหายไปจริง ๆ

ชีวิตต้องการอะไรใช้มันไปเพื่อหายใจหรือต้องไขว้คว้าไปเพื่อสิ่งใด แล้วชีวิตตอนนี้ของ Bodyslam ต้องการอะไรบ้าง

ปิ๊ด: (หัวเราะ) ทุกอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันคือสิ่งที่ต้องการ เราต้องการเล่นดนตรี ต้องการมีผลงานที่สร้างมันขึ้นมาด้วยความชอบจากความเป็นเพื่อน ความเป็นพี่ มันได้ถ่ายทอดออกมาให้คนอื่นฟัง ซึ่งกับตรงนี้เราแฮปปี้มาก ๆ แล้ว

โอม: ได้ทำสิ่งที่รักครับ สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ถือว่าเรารู้ว่าชีวิตต้องการอะไร ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องการความสนุก ความสุขกับการทำอะไรสักอย่างที่ตัวเองชอบ แล้วทำมันไปให้เต็มที่ นี่คือมุมมองของผมครับ

ยอด: (ยิ้ม) อยากจะมีแรงเล่นดนตรีไปเรื่อย ๆ ครับ

ชัช: เหมือนกันเลยครับ (หัวเราะ)

ตูน: คล้าย ๆ กันหมดครับ สิ่งที่เป็นความฝันอีกอย่างนึงของผมคือ อยากเป็นวัยรุ่นอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นสิ่งที่แบบถ้ามีใครมาถามผมว่า อยากจะทำอะไร อยากจะเป็นอะไรหรือมีเป้าหมายประสบความสำเร็จในชีวิตคืออะไร ผมคิดว่า คำตอบนี้ใช่ที่สุด ผมอยากเป็นวัยรุ่น อยากมีแรงทำอะไรสนุก ๆ ได้ตลอดเวลา ความเป็นวัยรุ่นมันอาจจะไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่มันอยู่ที่ข้างในจิตใจเรามากกว่า เรามีแรงไปกระโดดโลดเต้น มีแรงคิดงานเพลงที่ตื่นเต้นกับมัน ผมคิดว่า อยากให้แรงนี้ที่เกิดขึ้นและอยู่กับเราไปจนวันสุดท้ายของชีวิต

เรื่องราวในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ทำไมถึงเลือกจะเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก

ตูน: จริง ๆ ต้องย้อนกลับไปที่ตัวผู้กำกับด้วยครับ เขาอยากจะนำเสนอผ่านเรื่องราวแบบนี้ อยากให้ทุกคนได้เห็น ได้ฟังเพลง ได้ตีความในแบบฉบับของตัวเอง มันน่าสนุกดีนะที่ทุกคนจะได้คิดในแบบของตัวเอง ซึ่งหลังจากวันที่ปล่อยไปก็มีหลายคนพยายามตีความถอดรหัสออกมา ตรงนี้มันน่าสนุกมาก ๆ นะ ความคิดของแต่ละคนไม่ตรงกันแน่นอน แต่ทุกคนก็ได้รับพลังงงานดี ๆ จากเพลงนี้เท่ากัน มันไม่มีผิดมีถูกครับและไม่แปลกที่จะคิดว่า เรื่องราวมันซับซ้อนและเข้าใจยาก 

โอม: ผมขอพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับช่องทางโซเชียลละกัน ตอนกำลังจะเริ่มปล่อยเพลงนี้ ผมเข้าไปดูในอินสตาแกรมของผมเองนะ ไอ้ภาพแรกที่มันเป็นรังไหมหมุน ๆ มีคนบอกด้วยว่ามันคือไข่มดแดง (หัวเราะ) เราก็แบบขำอยู่คนเดียวมันไปได้ถึงไข่มดแดงกันเลยนะ

แล้วหลังจากที่ได้ดูมิวสิกวิดีโอครั้งแรกพร้อมกันทั้ง 5 คน แต่ละคนมองเรื่องราวไปในทิศทางที่ต่างกันรึเปล่า 

โอม: ผมดูไปแล้วก็เข้าใจ อาจจะเป็นเพราะพวกเรารู้แล้วทั้งคอนเซปต์ของเนื้อเพลงรวมไปถึงเรื่องราวทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น ยิ่งพอไปดูมิวสิกวิดีโอมันยิ่งตอกย้ำภาพทั้งหมดได้ชัดเจนมาก ผมเชื่อว่า หลาย ๆ คนที่ได้ฟังได้ดูเพลงนี้ไปแล้ว หลังจากอ่านบทสัมภาษณ์นี้ก็น่าจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ง่ายขึ้นครับ 

ถ้าเปรียบ Bodyslam เป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอเพลงนี้จะทำสิ่งเดียวกันแบบนางเอกไหม

ตูน: คงอยากรู้อยากเห็นนะ อยากขอสัมผัสเหมือนกัน ผมว่ามันเป็นความรู้สึกของคนที่เห็นอะไรใหม่ ๆ แล้วตั้งคำถาม ลองไปแตะดู มันจะเป็นยังไงอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ถ้าเป็นมุมผมก็คงเลือกแบบที่นางเอกทำครับ

การแสดงสดครั้งแรกต่อหน้าแฟนเพลงหลายร้อยชีวิต  

ตูน: ตื่นเต้นเหมือนเป็นวงหน้าใหม่อีกครั้งเลยครับ ความรู้สึกเหมือนออกเทปครั้งแรกเลย

โอม: จริง ๆ มันมีหลายอย่างที่วงเองไม่เคยทำมาก่อนเหมือนกันนะครับ ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ที่ปล่อยทีเซอร์ไป ทุกอย่างมันค่อนข้างเร็วมาก ๆ กระชับรวดรัดภายในอาทิตย์เดียว เราโชว์เพลงนี้เลย ถ้าเทียบกับอัลบั้มก่อน ๆ มันใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 2 อาทิตย์ ครั้งนี้ทุกอย่างมันไว มันเร็วมาก ตรงนี้ละที่ทำให้ยิ่งอยากรู้อยากเห็นว่า ถ้า Bodyslam เล่นเพลงใหม่ ในขณะที่ทุกคนยังไม่รู้อะไรเลย มันจะเป็นยังไง พวกเราเองก็ได้ดูมิวสิกวิดีโอตัวนี้นาทีเดียวเช่นกันแล้วต้องออกไปเล่นเลย มันแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ๆ ที่ทุกคนได้ฟังเพลงกันมาก่อนแล้วถึงมาดูพวกเราเล่นสด 

ตูน: ในทางกลับกันก็เช่นเดียวกัน แต่ก่อนเราไปส่งเพลงตามคลื่นวิทยุ หลังจากนั้นก็แยกย้ายหายกันไปไม่ต้องไปแสดงสดให้เขาดู ให้แผ่นซีดีมันทำหน้าที่ของมันไป แต่ครั้งนี้ต้องออกไปเล่นเพลงที่พวกเราภูมิใจครั้งแรก ซึ่งถ้าไม่ดีมันก็จะเป็นตราบาปในชีวิตที่ครั้งแรกพี่เล่นกันผิด พวกพี่เล่นกันล่ม (หัวเราะ) แต่ผมดีใจนะที่ตัดสินใจเปิดตัวในรูปแบบนี้ มันเหมือนได้ก้าวข้าม ได้เจอวิธีการอื่น ๆ บ้างในโลกที่มันเดินเร็วขึ้น

โอม: ซึ่งวิธีการแบบนี้มันก็สนุกด้วย มันไม่เหมือนกับที่เคยทำมา ยิ่งทำให้เราอินกับตรงนี้ได้มากขึ้นแล้วก็ได้รับพลังงานสะท้อนจากแฟนเพลงกลับมาเช่นกัน วันนั้นเล่นทั้งหมด 2 รอบด้วย ซึ่งรอบ 2 ดีกว่า ขอแก้ตัวนิดนึง (หัวเราะ) 

วันที่แสดงสดครั้งแรกเล่นผิดบ้างไหม

ยอด: เล่นหลุดกระจายครับ (หัวเราะ)

ตูน: ย้อนกลับไปดูภาพรีเพลย์กันครับ

ยอด: ถ้าไม่มีเล่นซ้ำรอบ 2 ผมนั่งเครียดแน่นอนครับ รอบแรกมันรู้สึกเกร็งมากครับทั้ง ๆ ที่มั่นใจมากว่า เล่นได้ ตอนวอร์มก็ยังคิดว่า สบาย ๆ มาเลยงานนี้

ตูน: พี่ยอดเขาเจอน้องคนนึงมานั่งจ้องกีตาร์อยู่

ยอด: ใช่ ๆ จ้องจนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาดูอะไรอยู่ (หัวเราะ) อย่างที่บอกตอนแรกไม่เกร็งเลย ผ่านงานเล่นมาเป็นร้อยงาน พอขึ้นไปผมสั่นเลย ขนลุกทุกครั้งที่พูดถึงครับ

โอม: อาจจะเป็นเพราะว่า เราซ้อมเพลงนี้ครั้งสุดท้าย คือ วันที่ 24 เมษายนด้วย หลังจากนั้นไปทัวร์ด้วยกัน คิวที่ซ้อมมันมีแค่นั้นครับ เราไม่ได้เล่นเพลงนี้อีกเลยจนรอบแรกที่เกิดขึ้นงานแถลงข่าววันนั้นละครับ 

ชัช: ต้องถามว่า ใครไม่หลุดบ้างดีกว่า

ทำไมพี่ตูนถึงตัดสินใจถอดรองเท้าตอนแสดงสด

ตูน: ผมยังสงสัยตัวเองอยู่ครับ (หัวเราะ) มันเป็นความรู้สึกที่อยากทำในช่วงเวลานั้นมากกว่าครับ ไม่ได้คิดว่าคอนเซปต์ชุดนี้ต้องถอดรองเท้าเล่นคอนเสิร์ตนะ มันไม่ใช่เลย ณ วินาทีนั้นที่นึกได้คือ อยากเบาที่สุด ไม่อยากจะให้ใครมาจับตาดูว่า วันนี้จะใส่รองเท้าอะไร แต่งตัวแบบไหน เราแค่อยากออกไปสื่อสารเพลงให้ทุกคนได้ฟังครั้งแรกในชีวิตให้ดีที่สุดเท่านั้นเองครับ

กระแสตอบรับที่ได้มาจากงานเปิดตัวเพลง ใคร คือ เรา 

ปิ๊ด: รู้สึกอิ่มใจมากกว่าครับ

ตูน: รอบแรกเหมือนเป็นการสื่อสารให้ทุกคนได้เห็นความตั้งใจของเพลงนี้ เราตั้งใจจะสื่อสารกับทุกคนจริง ๆ รอบสองเป็นรอบที่อยากให้ทุกคนได้สนุกกับมัน รอบแรกเหมือนโชว์ รอบสองเหมือนเป็นคอนเสิร์ต

ปิ๊ด: รอบเดียวมันคาใจ พอมีรอบสองก็ยังคาใจอยู่ (หัวเราะ)

การทำเพลงแบบนี้แน่นอนต้องมีทั้งคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจในสิ่งที่ Bodyslam จะสื่อสารออกไป วงรู้สึกอย่างไรบ้าง

ตูน: ส่วนตัวเอง เราเคารพอยู่แล้ว เราเสนองานที่มันเปิดสาธาณะให้ทุกคนได้ฟังกัน แน่นอนมันมีทั้งคนชอบ คนไม่ชอบ คนคิดแตกต่างกันออกไป ซึ่งสุดท้ายมันก็เป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยเขาก็ได้ฟังเพลงนี้และให้ค่ากับมันถึงเขาจะวิจารณ์คอมเมนต์ต่าง ๆ นานา สุดท้ายพวกเราเอาตัวเองเป็นตัวตั้งอยู่ตลอดอยู่แล้ว โดยก่อนที่จะเปิดเผยบทเพลงให้ทุกคนได้เข้ามาฟัง เรามั่นใจแล้วว่า มีความสุขกับมัน มันคือสิ่งที่เราสนุกเล่น สนุกคิด สนุกทำ ในช่วง พ.ศ. นี้ ถ้าใครจะรู้สึกสนุกตามไปด้วยมันก็เหมือนเป็นกำไรสองเด้ง ถ้าพวกเราชอบ ทุกคนชอบมันก็แค่นั้นเอง เราทำในสิ่งที่มีความสุข

ไม่เคยคิดว่า ต้องสะท้อนในมุมของคนฟังมาก่อนว่า เฮ้ยตอนนี้เขาฟังแบบนี้อยู่ ตอนนี้ต้องลองทำแบบนี้ดู ไม่รู้สึกอินแบบนั้นเลย เราจะไม่เอาเรื่องราวจากข้างนอกเข้ามาเป็นตัวตั้งในการแต่งเพลง ในการเล่นดนตรี ทุกอย่างมันต้องยึดจากตัวเองเป็นหลัก ตั้งแต่อัลบั้มที่แล้วซึ่งทุกคนไม่เข้าใจ แต่ส่วนตัวผมเองอยากบอกว่า มวลของผม ณ เวลานั้นมันเป็นเช่นนั้น ผมจึงเลือกทำเพลงแบบนั้น 

ชื่ออัลบั้ม วิชาตัวเบา มาจากไหน

ตูน: มันมาจากสิ่งที่เรารู้สึกในช่วงขวบปีหลัง ๆ ที่ได้ใช้ชีวิตในฐานะวงดนตรีกันมาสักพักนึง ได้เจอประสบการณ์ที่ดีหรือไม่ดี เราอยู่ด้วยกันกับสิ่งนั้นมาตลอด ที่ผ่านมาอาจจะเคยรับมือกับมันได้ไม่ค่อยดีในช่วงเวลานึง แต่พอถึงจุดนึงรู้สึกว่า รับมือกับมันได้โอเคขึ้นถึงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่มันดีขึ้น มันเบาขึ้น ผมไม่ได้ดีใจสุดโต่งในเวลาที่ทุกคนดีใจและไม่ได้เสียใจมากในช่วงที่อกหักหรือผิดหวังจากเรื่องต่าง ๆ นั้นหมายความว่า เรากำลังเรียนรู้ วิชาตัวเบา อยู่ ผมไม่ได้บอกว่า Bodyslam สำเร็จวิชาตัวเบาแล้ว มันแค่เหมือนวัยรุ่นกลุ่มนึงที่อายุ 16 ปี สอบติดมหาวิทยาลัย คณะวิชาตัวเบา ตอนนี้กำลังเรียนเทอมแรกอยู่รู้สึกว่า เฮ้ยชอบมีความสุขจัง แล้วก็พยายามที่จะเรียนจบไม่โดนไล่ออกให้ได้ (หัวเราะ) อาจจะเรียน 8 ปีก็ได้เหมือนเรียนหมอ แต่มีความสุขมาก ๆ กับการเรียนวิชานี้ครับ

แสดงว่าที่ผ่านมาทุกคนจะได้เห็นการเติบโตของ Bodyslam มาตลอด พวกคุณไม่เคยหยุดอยู่กับที่

ตูน: ใช่ครับ ผมชอบที่พี่โอมพูดนะ บางทีมันอาจจะไม่ได้เรียกว่า การเติบโต อาจจะไม่ได้แก่ขึ้น เก๋าขึ้น คำว่า เติบโตในทีนี้มันเป็นไปได้หลายทาง การเป็นวัยรุ่นขึ้นได้มันก็เติบโตนะ บางทีชีวิตมันไม่จำเป็นต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างเดียว บางมุมมันสะท้อนเราให้อยากรู้สึกน้อยกว่า รู้สึกเด็กลง มันก็เรียกว่า เติบโตได้เหมือนกัน ผมรู้สึกว่า Bodyslam 16 ปี มันกำลังเดินทางไปสู่ในทิศทางที่พวกเรามีความสุขกับมัน โตในแบบที่ต้องการให้มันเป็น

เพราะฉะนั้นเพลงในอัลบั้ม วิชาตัวเบา มันจะเป็นเพลงที่แฝงด้วยแนวคิดของคนที่โตแล้ว

ตูน: น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ ด้วยอายุที่เริ่มเข้าสู่วัย 40 ต้น ๆ (หัวเราะ) ทุกคนนึกว่า พวกเราอายุ 25 ปีกันเหรอไงครับ ส่วนเรื่องเนื้อเพลงจริง ๆ Bodyslam มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้วนะครับ 16 ปี ที่ตอนอายุ 20 ต้น ๆ แน่นอนเรื่องราวของมันก็จะเต็มไปด้วย ความรัก ความฝัน อยากจะทำในสิ่งที่ฝันให้สำเร็จ การเป็น มือใหม่, ทางของฉันฝันของเธอ, งมงาย  ฟีลมันคล้ายกับการหลงรักผู้หญิงคนนึง เราก็อยากให้เขาได้ยินเพลงที่ร้องจัง มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อัลบั้มแรกเลย เหมือนไดอารี่ที่เขียนไว้ในช่วงชีวิตนึง พอย้อนกลับไปฟังบางทีเขิน ๆ นะ แต่มันก็คือเรื่องจริงไง เราชอบที่จะเล่าเรื่องจริง บางทีมันอาจจะไม่ได้เท่มากมาย แต่ก็พยายามทำให้มันกลมกล่อมที่สุดในแต่ละช่วงเวลา ผมว่าตรงนี้อยากให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป ให้ทุกอย่างมันเป็นที่ที่ได้จดบันทึกแล้วรวบรวมเป็นหนึ่งอัลบั้ม รวบรวมความคิดกัน อินอะไรอยู่มาพูดใส่กัน บันทึกไว้ พอย้อนกลับไปฟัง ผมว่า ทุกอย่างมันดูมีชีวิตดี ทำไม dharmajāti ถึงเลือกพูดเรื่องราวแบบนั้น เพราะ 4-5 ปีที่แล้ว เราเหมือนวัยรุ่นที่กำลังเริ่มทะเลาะกับตัวเอง เริ่มตั้งคำถามกับอะไรใหม่ ๆ เริ่มเห็นด้านมืดในตัวเอง มันเลยทำให้ ณ ขณะนั้นพวกเราจึงเลือกที่จะสื่อสารมันอย่างตรงไปตรงมา

อัลบั้มนี้จะมีคอนเสิร์ตใหญ่รึเปล่า

ตูน: มีแน่นอนครับ อยากจะให้มันเกิดขึ้นเร็วที่สุด มันน่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่อัลบั้มนี้ได้วางแผง 

ช่วงเวลาที่อัลบั้ม วิชาตัวเบา จะออกสู่หูฟังแฟนเพลงชาวไทยทั้งประเทศ

ตูน: น่าจะเป็นช่วงปลายปีครับ อยากจะปล่อยอีกสัก 3-4 ซิงเกิ้ลก่อน Bodyslam จะทำแบบนี้มาตลอด อยากให้ทุกคนได้ชิมแต่ละเพลงแล้วก็จะมีเมนูหลักเป็นตอนอัลบั้มเต็มออก

Bodyslam

16 ปีในวงการเพลงกับ Bodyslam กับคำว่า วงร็อกอันดับหนึ่งในประเทศไทย

ตูน: ผมได้ยินคำนี้มาบ่อยนะ พูดไปก็อาจจะเหมือนพระเอกพูดฟังดูอ้วกแตก แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริงคือ ผมไม่เคยผูกความสุขของการร้องเพลง การทำดนตรีไว้กับอันดับตัวเลขใด ๆ เลย เพราะ ถ้าวันใดวันนึงเราอยู่ในเลขตัวเดียวอยู่ในอันดับที่ 1 หรืออันดับอะไรก็ตามแล้วมีความสุข แน่นอนธรรมชาติอีกวันนึงอาจจะหล่นมาอันดับที่ 7 ที่ 8 ก็ได้ แล้วถ้ายังผูกความสุขไปกับเลขตัวเหล่านั้นแน่นอน ความสุขเราก็น้อยตามในแบบที่มันต้องเป็น ผมเลยไม่อยากที่จะผูกความสุขของตัวเองกับตัวเลขตรงนั้น แน่นอนไม่มีใครอยู่ตรงนี้ได้ตลอดเวลา มันควรกลับมาตั้งหลักดูตัวเองมากกว่าว่า มีความสุขกับอัลบั้มที่ทำ กับการออกไปโชว์ ทำอัลบั้มให้เต็มที่ที่สุด เล่นทัวร์ให้เต็มที่ที่สุด แค่นี้น่าจะเป็นอันดับ 1 ที่พวกเราตั้งไว้แล้ว

ทำไม Bodyslam ต้องแต่งเพลงคำว่า ชีวิต เยอะขนาดนี้

ตูน: เพราะว่า อินกับเรื่องนี้ครับ ทำมา 7 อัลบั้มแน่นอน มันมีคำซ้ำเยอะ มันไม่ใช่คำว่า ชีวิต คำเดียวด้วย คำว่า คิดถึง คำว่า รัก  มันเป็นชุดคำที่วนเวียนอยู่ เราอินกับเรื่องพวกนี้ ถ้าไม่ใช้คำนี้ก็ไม่รู้จะใช้คำไหนที่จะสื่อสารออกมาได้ดี แน่นอนคำมันอาจจะมีอยู่จำกัด เรามาเรียบเรียงให้มาอยู่ในเมโลดี้ที่มันถูกต้องและเหมาะสมดีกว่า จะไม่มองว่า เฮ้ยมันซ้ำอีกแล้วรึเปล่า 7 อัลบั้มมันวนอยู่แล้วครับ อัลบั้มที่ 8 ยังไงมันก็ต้องมีคำซ้ำ แต่ถามว่าเรายังรู้สึกไหมต่างหาก ถ้ายังรู้สึกมันก็จบ

ถ้า 16 ปีที่แล้วไม่ได้ทำวงดนตรี Bodyslam คิดว่าแต่ละคนจะทำอะไรกันอยู่

ปิ๊ด: ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอน ม.3 แล้วว่าจะเป็นนักดนตรี เพราะฉะนั้นผมจะเป็นนักดนตรีให้ได้ครับ ก็ยังคิดเช่นนั้นเสมอครับ

ตูน: ผมคงทำอาชีพอย่างอื่นที่สามารถเลี้ยงตัวเองเลี้ยงครอบครัวได้ มีความรับผิดชอบกับมัน แต่ก็คงไม่ได้ทิ้งการร้องเพลงที่ชอบ  เราจบนิติศาสตร์ก็อาจจะไปทำงานของในสายงานที่จบมา แต่อาจจะแอบไปร้องเพลงกลางคืน หาร้านที่ไปร้องเพลงได้ในช่วงเวลาว่างของเรา เพื่อไปเติมเต็มจิตวิญญาณของตัวเองที่ชอบร้องเพลงอยู่ คงมีเสียงเพลงมีดนตรีอยู่ในทุกช่วงชีวิตเสมอครับ

โอม: ผมจบดนตรีมาโดยตรงอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มาประกอบอาชีพอย่างนี้ น่าจะไม่ทหารก็ครูนะสำหรับผม ครอบครัวผมเอง ญาติพี่น้องก็เป็นทหารเยอะ ตัวเองก็จบสาขาที่เกี่ยวกับครุศาสตร์มา (ปิ๊ด: แม่ก็เป็นครูด้วย) ใช่ครับ จึงน่าจะเป็นครู ปกติผมเป็นคนขี้บ่นด้วย ชอบสอน พวกเพื่อน ๆ ถึงเรียกว่า ครูโอม

ยอด: ถ้าเกิดไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับดนตรี คงจะทำงานเกี่ยวกับศิลปะครับ เพราะตอน ม.6 ก็เลือกระหว่างสายศิลปะกับดนตรีครับ คิดหนักอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นมันมีจุดที่ผมไปสอบเอ็นทรานซ์ที่โรงเรียนนึงแล้วได้นั่งสอบบนเวที เฮ้ยขนาดสอบยังสอบบนเวทีเลย มันต้องเป็นนักดนตรีแล้ว (หัวเราะ) อันนี้เรื่องจริงนะครับ (ตูน: แล้วสอบติดไหม) ยอด: ไม่ติด (หัวเราะ)

โอม: สิ่งเหล่านี้มันอาจจะเรียกได้ว่า ชะตาลิขิต ก็เป็นได้ อย่างของเรา ถ้าไม่ไปต่อ ม.4 ที่โรงเรียนเดิมก็คงไม่ได้เจอกับเพื่อน ๆ ที่เล่นดนตรีกัน ซึ่งเหตุผลของการต่อโรงเรียนเดิม เพราะ มันไม่ต้องสอบ ในขณะเดียวกันตัวเองก็ถือใบสมัครสอบของโรงเรียนอีก 2 โรงเรียนไว้ด้วย แต่ผลมันปรากฏว่า มันเป็นวันเดียวกับวันที่มอบตัวโรงเรียนเก่า เราตัดสินใจตอนนั้นแค่ว่า รถเมล์แม่งวิ่งผ่านโรงเรียนเก่ามาก่อนก็โดดขึ้นเลยไม่ได้คิดอะไรมอบตัวก็ได้ครับ  

ปิ๊ด: ไปสอบโรงเรียนอื่นก็จะสอบได้ใช่ไหมครับ

โอม: ก็ไม่ได้อยู่ดีครับ (หัวเราะ) แต่ตอนเด็กเรียนโอเคนะ บางทีมันจุดนิดเดียวจริง ๆ แล้วแต่ช่วงเวลา

ชัช: เป็นโจรครับ (หัวเราะ) สำหรับผมโอกาสที่จะไม่ได้เล่นดนตรีมันยาก เพราะผมเกิดมาในบ้านที่เล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก คิดไม่ออกว่า จะไปทำอาชีพอะไรดี โตมาก็เจอเครื่องดนตรีไทยเต็มบ้านแล้ว ถ้าไม่ได้เล่นดนตรีสากลก็คงเล่นดนตรีไทยมั้ง คงอยู่กับดนตรีครับ ไม่ก็เอาฆ้องไปขาย (หัวเราะ)

เรื่องราวของวัฒนธรรมคนดูคอนเสิร์ตที่มันแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา วันนี้ทุกคนเริ่มดู Bodyslam แล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ วงมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

ตูน: เห็นมาหมดนะครับ ตั้งแต่ยุคที่มันไม่มีมือถือ ทุกคนก็มาดูคอนเสิร์ตด้วยความตั้งใจ ผมเข้าใจนะว่า ทุกคนอยากเก็บบันทึกเรื่องราวทั้งหมดไว้ แต่มันไม่มีอุปกรณ์อะไรในการเก็บบันทึก คนคงไม่หิ้วกล้องใหญ่ ๆ ไปกระโดดดูคอนเสิร์ตกันมันคงไม่ใช่ แต่ตอนนี้ทุกคนง่ายมาก แค่รู้สึกว่า ทุกคนไม่ได้มีสมาธิอยู่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าตัวเอง ทุกคนดูคอนเสิร์ตผ่านจอเหมือนที่ดูจอโทรศัพท์ตลอดเวลา ไปดูคอนเสิร์ตคนเล่นจริง ๆ บนเวที แต่ทุกคนก็เลือกที่จะดูผ่านหน้าจอเฉยเลย ซึ่งตรงนี้ถ้าใครดูโชว์ Bodyslam ในช่วงหลัง ๆ ผมก็จะพูดอยู่เสมอว่า นี่อุตส่าห์เจอกันแล้ว อย่าดูผ่านจอเลย มาตั้งใจสนุกกัน ตะโกน ร้องเพลง กระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนานกันเถอะ ผมพูดทุกโชว์เลยนะ เมโมรี่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้อยู่ในมือถือ แต่มันอยู่ในความทรงจำอยู่ในสมองของเรา

แต่ก่อนเราจำได้หมดว่า เคยไปดูคอนเสิร์ตคนนี้มา เกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้มีกล้อง ซึ่งสังเกตไหมครับ เราถ่ายคลิปคอนเสิร์ต แต่ไม่เคยมาเปิดดูอีกวันนึง ถ่ายไปทำไมก็ไม่รู้ เปิดมาอีกวันนึงก็แบบถ่ายอะไร ทำไมมันมืด ๆ ทำไมไม่ตั้งใจที่จะดูพี่เขา มันเป็นโอกาสยากที่จะได้มาเจอกัน ผมพูดตลอดในโชว์ขวบปีหลังของ Bodyslam ที่เห็นแต่มือถือ

โอม: ส่วนตัวผมรู้สึกแปลก แปลกในที่นี้เพราะ ตัวเองเคยทำไง เวลาไปดูคอนเสิร์ตที่เมืองนอก นี่ขนาดเราอัดคลิปแค่ 30 วินาทีเพื่อจะแชร์หรือเพื่ออะไรสักอย่างตามที่สังคมเขานิยมกัน ผมว่าจริง ๆ มันเป็นเรื่องของตรงนี้ด้วยละ คือคนนิยมที่จะโชว์ คนนิยมที่จะแชร์

ตูน: ใช่ จริง ๆ มันทำได้นะ แต่ทำแค่นิดเดียวก็พอ

โอม: ผมเคยทำ แต่ว่าก็ไม่ได้ไปยืนบังใคร ไม่ได้ไปอยู่ข้างหน้าเพื่อถ่ายทำขนาดนั้น 30 วินาทีที่ดูผ่านจอมันไม่สนุก อย่างผมเคยไปดูคอนเสิร์ต Adele กับตูนที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตัว Adele ก็พูดว่า เฮ้ยเขาอยู่ตรงนี้แล้ว ทำไมทุกคนต้องดูผ่านมือถือด้วย นี่คือ Adele ตัวจริงแล้วนะ ทำไมคุณไม่มองฉันจากสายตาคุณ เราก็แบบด้วยความที่เคยถ่ายแบบนั้น มันก็ไม่สนุกเลยที่ต้องไปโฟกัสกับโทรศัพท์ว่า ถ่ายภาพดีรึยัง ภาพอยู่ตรงกลางเซ็นเตอร์รึเปล่า เคยแม้กระทั่งถ่ายอยู่แล้วชะโงกดูก็ทำมาแล้ว ซึ่งในที่สุดผมก็ต้องกลับมาเช็คภาพดู มันไม่สนุก เลยรู้สึกแปลกว่า มันสนุกยังไง แต่ก็เคารพทุกคนที่ทำแบบนั้น เขาก็มีเหตุผลของเขา อยากที่จะแชร์ให้เพื่อนดูหรืออะไรก็ตาม

มุมมองกับเด็กรุ่นใหม่ที่เล่นเพลง Bodyslam

ปิ๊ด: ดีครับ เพราะผมจะได้แกะจากเขาอีกที ไปดูว่าเด็กเล่นยังไง ลืมหมดแล้ว

ตูน: ภูมิใจอยู่แล้วครับ อย่างเมื่อวานนี้ปล่อยเพลงไปได้ไม่เท่าไร เขาก็คัฟเวอร์กัน รู้สึกสนุกดีที่เขาให้ความสนใจขนาดนี้ เพลงเราก็ยังสื่อสารไปถึงเขา ให้กำลังใจเขาได้ ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่บอกได้คือ ถึงแม้อายุเราไม่ได้น้อย ๆ กันแล้ว แต่ก็ยังสามารถสื่อสารกับคนที่อายุน้อยกว่ามาก ๆ ได้ ในทางกลับกันก็ยังมีแรงพลังส่งไปถึงเขาได้ด้วย ตรงนี้มันเป็นเรื่องวิเศษมาก ๆ 

โอม: ซึ่งพลังเหล่านั้นก็ส่งกลับมาถึงเราด้วยนะ มันได้เข้าใจถึงคำว่า กำลังใจ คืออะไร

สุดท้ายนี้ฝากเพลง ใคร คือ เรา

ตูน: พี่โอมฝากซิ

โอม: หลังจากที่เราได้เล่นสดครั้งแรกไปแล้วก็อยากจะขอบคุณสำหรับการติดตาม สำหรับการรอคอย รวมไปถึงการฟังครั้งแรกที่ Siam Square One ดูทางไลฟ์ก็ดีไม่ว่าจะดูทาง YouTube หรือดูย้อนหลังก็ดีทุก ๆ ช่องทาง สิ่งเหล่านี้มันเป็นกำลังใจให้พวกเราทำงานต่อไปในส่วนที่เหลือมาก ๆ ซึ่งตอนนี้อัลบั้มยังไม่เสร็จ (ยิ้ม) สุดท้ายขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจสะท้อนกลับมา พวกเราที่จะทำงานที่เหลือให้ได้ดีที่สุด ขอขอบคุณทุกท่านที่รอคอยครับ 

สิ้นสุดคำถามนี้ลงสมาชิกวง Bodyslam ทุกคนตบมือกันอย่างมีความสุข ร่วมทั้งตัวผมเองด้วยที่ได้ถามทุกสิ่งที่อยากรู้เกี่ยวกับเพลงนี้ไปจนหมดแล้ว ซึ่งนอกเหนือจากคำถามที่ทุกคนได้อ่านกันไปแล้ว ผมได้เปิดโอกาสให้วงถามคำถามกลับผมเช่นกัน โดยคำถามที่วงถามกลับมาก็คือ ‘คิดอย่างไรกับ Bodyslam บ้าง คุณบอกพวกผมมาได้ทั้งหมดเลยนะ’ ผมเองก็ตอบคำถามนี้พร้อมกับระบายทุกกอย่างที่เก็บไว้ในใจไปเกือบหมด แต่จะเป็นเช่นไรขอเก็บไว้เป็นความลับระหว่างผมกับวงแล้วกันครับ

มาถึงตรงนี้เชื่อว่า หลายคนน่าจะได้ทำความรู้จักกับอัลบั้ม วิชาตัวเบา กันไปบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ผมและวงได้ให้คำสัญญากันไว้ว่า จนกว่าอัลบั้มนี้จะถึงหูฟังทุกคน เราจะนัดอัพเดทเรื่องราวของกันและกันไปตลอด ซีรีส์นี้เดินทางมาได้เพียงแค่ตอนแรกเท่านั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนจะเป็นเช่นใดนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

// ใช้ชีวิตให้สนุกนะครับ สวัสดี

Bodyslam

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง