Bang Sue Electrix เมื่อการแร็ปและความคิดสร้างสรรค์มาผนวกกันแบบไร้ที่สิ้นสุด
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
Bang Sue Electrix ดูโอ้อิเล็กทรอนิกแร็ปสัญชาติไทย-เช็ก ที่ถ้าฟังเผิน ๆ แนวดนตรีอันหลากหลายของ Pilot Pirx อาจจะดูน่าถูกอกถูกใจสำหรับชาวโอลสคูล แต่ขณะเดียวกันลีลาการแร็ปของ SUNTHII ก็ทำให้ได้ค้นพบกับความแปลกใหม่คาดเดาไม่ได้อยู่เสมอ ๆ ตอนนี้เรามีโอกาสดึงตัวศิลปินที่น่าสนใจคู่นี้มาพูดคุย และเราเชื่อเหลือเกินว่า Bang Sue Electrix จะมาเขย่าซีนแร็ปและอินดี้ให้สนุกมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
เป็นใครมาจากไหน
เบล: ก่อนหน้านี้เราเรียนคณะวิจิตรศิลป์ สถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง แล้วก็ทำฟรีแลนซ์ได้ปีนึง มาเจอพี่เขาก็เลยทำแต่เพลงเลยทีนี้
Pilot Pirx: ผมมาจากปราก อยู่ไทยมา 4 ปีแล้ว ผมก็มองหาศิลปินไทยมาร่วมงานด้วยก็เลยเขียนอีเมลหา Rap Is Now แล้วพวกเขาก็แนะนำเบลให้ผมรู้จัก ก็เลยเริ่มทำมาตั้งแต่ 2017 แล้วเราก็ได้เล่นงานแรกในเดือนกรกฎาคมปีนั้น
เบล: ก็คือพี่ฮอค HOCKHACKER นั่นเองที่ทำให้เรามาเจอกัน แต่ก่อนหน้านั้นเราไม่รู้จักกันเลยนะ คือพี่ฮอครู้จักพี่ไปป์ (Pilot Pirx) มาก่อน แล้วเขาก็พอจะรู้แนวดนตรีที่พี่เขาชอบเล่น เลยจับมาคุยกัน แล้วลองแลกเพลงกันฟัง ทีนี้เราก็ยังไม่คิดว่าจะเป็นการทำวง คิดว่าแค่แจมสักเพลงไหม ทีนี้พี่ไปป์ก็ถามว่าว่างไหม มาเจอหน่อย มาห้องซ้อมเลย แล้วถามว่า freestyle ได้ไหม นี่ก็งง แต่จะลองก็ได้ ตอนนั้นเราก็ไปกันตัวเปล่าทั้งคู่ แล้วก็เล่นดนตรีกันเลย ด้นใส่กัน ก็ดูแล้วว่ามีทิศทางที่ไปด้วยกันได้ หลังจากนั้นเราก็เริ่มทำเพลงกันมาโดยตลอด
ทำไมถึงเลือกเบล
ไปป์: ผมสนใจแร็ปเปอร์ไทยครับ ก่อนหน้านี้ผมร่วมงานกับ ICEZEEMAN ที่ทำเพลง KUBON BOYZ ผมชอบการใช้คำตลก ๆ ของเขากับสไตล์แร็ปเขา แต่พอเริ่มทำงานด้วยกันเขาจะไปสายฮิปฮอปจริงจัง ขณะที่ผมชอบอิเล็กทรอนิกกับการทดลอง พอเคมีไม่ตรงกันผมก็เลยมองหาคนอื่นมาร่วมงานด้วย ก็มาเจอเบล รสนิยมเพลงก็คล้าย ๆ กัน ชอบหนังสือเรื่องเดียวกัน คือเหมือนเคมีเราตรงกันกว่า
ทำไมชื่อ Bang Sue Electrix
เบล: พี่เขาอยู่บางซื่อ (หัวเราะ)
ไปป์: ตอนนั้นคิดชื่อวงแล้วรู้สึกว่ามันมีกฎพื้นฐานอยู่สองอย่างที่จะจำวงเราได้ คือการตั้งด้วยชื่อย่าน เลยเอาบางซื่อ แล้วก็ใส่คำสวย ๆ เพิ่มไปอีกคำ เลยได้เป็น Bang Sue Electrix ดูคนจะชอบพูดชื่อวงของเราด้วย
แล้วชื่อ aka SUNTHII ล่ะ
เบล: มันไม่มีความหมายอะไรลึกซึ้ง เมื่อก่อนเคยคิดจะใช้ชื่อ 2 Peace แต่ทีนี้มีคนใช้ไปแล้ว เลยใช้คำว่า Peace มาโดยตลอด แล้วเมื่อก่อนทำเพลง แล้วไม่เจอหน้ากัน ส่งเพลงออนไลน์ เวลาส่งไฟล์เสียงไปมิกซ์ก็จะชอบเขียนเล่น ๆ ว่า ‘สันติจ้า’ ‘สันตินะจ๊ะ’ (หัวเราะ) แล้วทุกคนก็ดันจำไปแล้ว แล้วก็มีอีกหลายชื่อเป็นโปรเจกต์ลับเอาไว้ทำอย่างอื่น แต่อันนี้ก็เป็นสันติไป
ทำไมถึงชอบการอิมโพรไวส์หรือฟรีสไตล์
ไปป์: ความคิดสร้างสรรค์เลยครับ
เบล: เหมือนทุกอย่างสดใหม่ตลอดเวลา ในฐานะเราที่เป็นคนแร็ปมันก็ท้าทายมาก ๆ เหมือนกันเพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะพาเราไปสู่จุดไหน แล้วเหมือนคนดู หรือสิ่งที่เราเห็น เป็นตัวแปรของเราหมด หลาย ๆ ครั้งเรามักจะพูดว่ามันเป็นการบูชายันเหมือนกันเพราะมันต้องใช้สมองมาก ๆ หรือบางทีก็มีความกลัวอยู่ข้างใน แต่พอได้ลองแล้วมันก็สนุก เหมือนกับเราได้แลกเปลี่ยนกับคนดู ให้เข้าใกล้กันมากขึ้น เมื่อก่อนเรายืนแร็ปโป้ง ๆๆๆๆ แล้วก็คนก็ยืนดู ก็รู้สึกว่า แล้วไง เราพยายามดึงเขาเข้ามาสื่อสารกับเรา บีตของพี่เขาเองหลาย ๆ ครั้งมันก็สดใหม่มาก ๆ เรียกว่าเกือบทุกงานเราแทบจะปรุงอะไรกันมาใหม่เพื่องานงานนั้น ซึ่งอาจจะเป็นงานที่หินมาก แต่แน่นอนเราก็ได้อะไรใหม่ ๆ ให้ไปสำรวจต่อเหมือนกันว่าเราก็สามารถทำแบบนี้ได้ แล้วได้เห็นว่าแนวทางนี้ก็น่าสนใจเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ฟังเพลงอะไร
เบล: จริง ๆ เราฟังค่อนข้างหลากหลาย ก็เหมือนเด็กทั่วไป เคยเป็นเด็กอีโม ฟังเมทัลโน่นนี่นั่น แต่เราเคยได้ยินฮิปฮอปในวิทยุ แล้วรู้สึกว่าทำไมเพลงแนวนี้มันเล่าเรื่องดี แล้วก็ไปเจาะฟังมากขึ้นก็ดูน่าสนใจ มันมีสตอรี่หลาย ๆ อย่าง ในการเล่าเรื่องเรื่องนึงมันมีวิธีเล่าที่หลากหลาย หรือแม้กระทั่งโฟลวที่เขาเลือกใช้ก็ทำให้เราสนใจ คือเราเล่นกลองด้วย มันเป็นเรื่องจังหวะที่ทำให้เราสนใจ ก็หัดแร็ปมา 7 ปีแล้ว
แล้วพี่ไปป์ได้อิทธิพลในการทำเพลงมาจากอะไร หลาย ๆ เพลงดูเป็นวงอิเล็กทรอนิกทดลองจากต้น 2000s
ไปป์: ผมชอบเพลงหลายแนวมากครับ เลยจะยากหน่อยถ้าให้บอกว่าได้อิทธิพลมาจากอะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำเพลงคือความคิดสร้างสรรค์ ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในงานที่ผมเริ่มทำ แค่เวลาขึ้นโครงก็อยากให้ได้เพลงที่มีกรูฟดี ๆ จากนั้นก็มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น บางคนบอกว่าเพลงเราเหมือน Gorillaz ตอนผมมาฟังก็คิดว่า เออว่ะ ผมชอบวงนี้ด้วยเหมือนกัน โดยสัญชาตญาณลึก ๆ ก็อาจจะได้รับอิทธิพลมาจากเพลงของพวกเขาบ้างแหละ แต่ผมก็ไม่เคยทำเพลงแบบอยากจะเป็นเหมือนคนนั้นคนนี้ นั่นเลยทำให้หลาย ๆ เพลงของเราดูไม่ค่อยไปในทิศทางเดียวกัน เพราะได้อิทธิพลมาจากหลายที่มาก ๆ
จากที่เคยดู Bang Sue Electrix จะเห็นว่าชอบเล่น freestyle ไม่ก็ improvise เคยเล่นเพลงของตัวเองที่อัดไว้บ้างหรือเปล่า
เบล: เราโชว์เพลงของตัวเองบ่อยมากนะ แต่ช่วงหลัง ๆ คือวงเราไปสู่หลายสังคมมากขึ้น ตอนแรกมันเล่นอยู่กับคนดนตรี คนฮิปฮอปก็ไปโชว์เพลงฮิปฮอป ทีนี้พอเรามีโอกาสไปเล่นเปิดงานแสดงศิลปะ ก็มีคนดึงไปเล่นงานแนว ๆ นี้บ้าง เราก็เลยพยายามหาอะไรให้มัน relate กับงานเขา แต่จริง ๆ เรามีหลายเซ็ตมากที่จะเล่น มีเซ็ตที่เป็นเพลงของเรา 5-7 เพลง หรืองานนี้เป็นฟรีสไตล์ทั้งหมด หรืองานนี้เป็นทดลอง เราเล่นแต่เสียง ทำนอยซ์ แอมเบียนต์ เราก็มี แต่เพลงหลัก ๆ เราก็มีแหละ แค่เราสนใจกันหลากหลายมาก ๆ เลยทดลองทำอะไรอยู่ตลอด
เรื่องที่แร็ปออกมาค่อนข้างเกี่ยวกับเรื่องในชีวิตประจำวัน ทำไมถึงชอบพูดเรื่องเหล่านี้
เบล: ต้องยอมรับว่าช่วงที่เจอกับพี่เขาเป็นช่วงที่เราสับสนใจชีวิตโคตร ๆ แล้วเหมือนทุกอย่างมันว่างเปล่า ไม่บางทีมันก็เยอะเกิน เราเลยไม่รู้ว่าจะต้องพูดเรื่องอะไร เราเลยโฟกัสกับสิ่งที่เป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งความที่มันเหมือนจะไม่มีอะไร มันก็มีบางอย่างที่แอบแฝงอยู่ เช่น เรื่องของกิน ง่ายสุดคือตอนนี้เราหลงใหลการกิน เป็นแพชชันของเราที่มันทำให้เรามีความสุข แต่เราพยายามเอาภาพชีวิตของเรามากางให้คนดู แล้วให้เขาเก็บเกี่ยวกันเอาเอง จริง ๆ เราพูดหลายเรื่อง ซึ่งบางทีก็ไปแตะเรื่องการเมืองบ้างเหมือนกัน เขียนโดยที่ไม่ตั้งใจ แต่การเมืองมันอยู่ในทุกอย่างของชีวิต สุดท้ายมันก็จะแทรกไปอยู่แค่ในบาร์หรือสองบาร์ อย่างเพลง Caffeine ที่พูดเรื่องการกินกาแฟ มันก็บอกถึงบางอย่างเหมือนกัน เช่น มันจะมีบางท่อนที่เราบอกว่า ในขณะที่เราไม่รู้สึกอะไรเลย เสรีภาพเราถูกกดให้มันต่ำเตี้ยลงไป คงจะมีแต่กาแฟเนี่ยที่ยังดีดให้หัวใจเรายังเต้นอยู่ เหมือนแบบ นี่กูยังมีชีวิตอยู่หรอวะเนี่ย เราอยากจะพูดเรื่องง่าย ๆ ให้ไปสู่เรื่องยาก ๆ ซึ่งอาจจะยังทำได้ไม่เต็มที่แต่ก็ลองดู ไม่อยากพูดเยอะ ๆ แล้ว ให้ภาพชีวิตประจำวันเราสะท้อนไปแทนละกัน
เวลาขึ้นโครงเพลงมามีคอนเซ็ปต์เรื่องที่จะเล่าในเพลงไหม
ไปป์: มีครับ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือผมไม่ค่อยบอกให้เขาทำอะไรเท่าไหร่ แล้วพอเบลเอาบีตไปฟัง สุดท้ายเนื้อหาที่ได้มาแทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับไอเดียแรกที่ผมคิดเลย (หัวเราะ) แต่มันออกมาเจ๋งเสมอครับ คือถ้าเบลทำสิ่งที่ผมอยากจะได้มันก็จะไม่ใช่เพลงของเราทั้งคู่ ดังนั้นที่สำคัญเลยคือผมจะไม่บอกเบลว่า ห้ามทำแบบนี้ เปลี่ยนใหม่ซะ เพราะผมเชื่อว่าเบลก็มีความคิดที่อยากจะเล่าในมุมของตัวเอง ผมจะเป็นเผด็จการก็ได้แต่ผมจะไม่ทำ แต่มันก็มีบางเพลงที่ผมเขียนมาแล้วก็บอกว่า เราน่าจะพูดเรื่องเกรี้ยวกราด ๆ บ้าง อย่าง No Time For Piano ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเพลงการเมือง ผมทำกรูฟไว้นานมากแล้ว ประมาณ 2 ปีก่อน แล้วมันเหมือนเป็นคอลลาจเอาเสียงมาตัดแปะกันมากกว่า ผมก็คิดว่ามันคงจะเหมาะถ้าเป็นเรื่องที่เก็บไว้ลึก ๆ ในใจ หรือกรีดร้องออกมา ซึ่งผมทำเองไม่ได้ ผมเลยบอกเบลว่าอยากทำเพลงโมโห ๆ อะ มีเรื่องอะไรที่ทำให้รู้สึกโกรธบ้าง แล้วเบลก็ส่งคำมาให้ดู เพลงมันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้
แล้วหลาย ๆ ครั้งผมมักจะได้ทำงานกับคนในวงการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โฆษณา ผมก็รู้จักกับอาจารย์สอนภาพยนตร์คนนึงที่ทำงานคราฟต์ งานทำมือ เราก็ได้ลูกศิษย์ของเขามาช่วยทำวิดิโอให้ แล้วเบลก็ทำคาราโอเกะเนื้อร้องในเพลงนี้ คือทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กันและกันเสมอ เป็นเรื่องที่ดีครับ
แบบนี้แสดงว่าการเมืองเป็นเรื่องที่ทำให้เบลโกรธ
เบล: เอาจริงทุกเพลงของเรามีความเป็นการเมืองอยู่ในนั้นหมดเลย No Time For Piano พี่ไปป์ส่งบีตมา พูดไอเดียมา หลาย ๆ ครั้งเขาเหมือนจะคอยไกด์ว่ามู้ดมันควรจะไปทางไหน เราก็ไปต่อยอด ถ้าความโกรธของเราตอนนี้ที่เห็นชัดที่สุดก็มีอยู่อย่างเดียว แล้วเพลงนี้เราอยากให้เป็นเหมือนระเบิดของเราที่ออกมาพูดทุกอย่างที่เรารู้สึก เพราะสุดท้ายแล้วการเมืองก็ส่งผลกับเรามาก ๆ แต่ก่อนไม่เคยเห็น แต่พอเราเริ่มรู้เรื่องมากขึ้น ก็ยิ่งเห็นชัดมาก ๆ ก็เลยปล่อยเพลงนี้ออกไป มันก็กลายเป็นเพลงเพลงเดียวที่ทุกคนเข้าถึงได้มากที่สุด เพราะทุกคนก็รู้สึกถึงความโกรธนี้เหมือนกัน
เพลงนี้เราพยายามทำอย่างอื่นด้วยนอกจากพาร์ตดนตรี คือภาพ หรือคาราโอเกะ เราก็พยายามจะคิดกับมันมาก ๆ ว่าทำไมต้องเป็นอย่างงี้ ๆ ที่ทำให้เราอินมาก ๆ
เห็นว่าเอาเพลง MAH NOI (ผู้ใหญ่ลี) มาทำด้วย
ไปป์: ใช่ครับ ผมอยากทำแซมพ์จากเพลงไทยเก่า ๆ ซักเพลง แล้วผมเจอ หมาน้อย กลายเป็นว่าผมชอบทั้งเพลง ไม่อยากทำเป็นแซมพ์ละ ก็เลยคัฟเวอร์ทั้งเพลงซะเลย แต่เบลบอกว่าจะไม่ร้องเนื้อร้องต้นฉบับ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร เก็บไว้แค่ท่อนฮุก ‘หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา’
เบล: ตอนที่พี่ไปป์บอกมาเราก็สนใจ มีไอเดียบางอย่างที่อยากจะเล่น แต่เราไม่อยากทำคัฟเวอร์ปกติ ไหน ๆ หยิบเพลงเขามา ลองเล่นกับไอเดียเพลงเขาไหม เหมือนเป็นการล้อไปกับมัน จริง ๆ เนื้อหาเพลง ผู้ใหญ่ลี มันพูดถึงการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันของข้าราชการกับชาวบ้าน เราเลยหยิบแก๊ปตรงนี้มาเล่นต่อ โดยเราคิดว่ามันคือเรื่องการสื่อสารของเรากับคนข้างบน การเมืองอีกแล้ว แต่ก็ให้พูดหลาย ๆ เรื่องได้ด้วย อย่างเรื่องความสัมพันธ์ที่มีระยะห่าง การสื่อสารที่มันส่งกันไปไม่ถึง แต่ท่อนฮุกเราเปลี่ยนให้เป็นว่า เราถูกทำให้กลายเป็นแค่หมาน้อย ไม่ใช่แค่เรื่องการสื่อสารที่ผิดพลาด
เคยคุยกับ HOCKHACKER เรื่องเบล แล้วเขาบอกว่า SUNTHII เป็นแร็ปสายอินดี้ คิดยังไงกับคำนี้
เบล: ก็ดีนะ เพราะความสนใจของเราเองก็ไม่ได้เกิดมาจากความเป็นฮิปฮอปจัด ๆ มีช่วงนึงเรายังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นแร็ปเปอร์ ถึงตอนนี้ก็รู้สึกกระดากปากด้วยซ้ำ (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วเราอาจจะเป็นแค่คนเล่าเรื่องที่มีความสนใจมากเหลือเกิน การเป็นอินดี้ฮิปฮอปมันก็ดี และการที่เขาเรียกเราอย่างนั้นเราก็รู้สึกดีที่ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกอื่น ๆ ในวงการ เพราะเราก็ไม่อยากเป็นเหมือนคนอื่น เราก็พยายามที่จะหาบางอย่างที่จะแสดงออก ที่กูจะต้องตะกุยออกไปจากตรงนี้ ก็อยากให้มันมีความหลากหลาย
การไปออก The Rapper และ Cypherlogy ของ SUNTHII ทำให้มีคนสนใจวงเพิ่มขึ้นไหม
ไปป์: ครับ มีคนไลก์เพจเยอะขึ้น ตามกันเยอะขึ้น
เบล: คนที่มาจาก The Rapper ก็เป็นกลุ่มนึง มาลองติดตาม แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้มาดูโชว์ แต่ก็ดีอย่างนึงที่เราได้แฟนคลับเดนตายเพิ่มมาบางคน เล็กน้อยมาก ๆ ที่เขาฟังเรา แต่ก็รู้สึกดีที่อย่างน้อยเขาก็ได้มาเห็นว่ามันยังมีอะไรแบบนี้อยู่นะ มากกว่าที่เขาเคยเข้าใจว่าฮิปฮอปมีอยู่แบบเดียว เพราะจริง ๆ มันหลากหลายมาก แล้วการที่เราไปส่วนนึงมันก็เป็นความอยากลอง ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้นเราจะทำยังไง ก็มองเป็นเหมือนกำแพงที่เราไม่เคยจะปีนขึ้นไป ลองดูว่าเราจะทำได้ไหม
ได้แรงบันดาลใจในสไตล์แร็ปมาจากไหน
เบล: จากหลายอย่างมาก ทั้งหนังสือที่อ่าน ทั้งการ์ตูน เกม หรือแค่การนั่งรถไป เราชอบสังเกต แล้วบางทีคิดอะไรออกก็พยายามจดไว้ คิดว่าหลาย ๆ อย่างมีผลกระทบกับการแร็ปหรือความคิดของเรา หรือการฟังเพลงมาก ๆ มันก็เปิดเราเหมือนกัน
อะไรคือสิ่งที่ยากในการทำเพลงและเล่นโชว์ในกรุงเทพ ฯ
ไปป์: การทำเพลงไม่ยากหรอกครับ แต่การแสดงเนี่ย เราไม่ค่อยได้ไปเล่นที่งานไหน คนก็เลยไม่ค่อยรู้จัก แล้วก็ เราไม่ได้เป็นฮิปฮอปจัด ๆ คนในซีนฮิปฮอปก็เลยเหมือนจะไม่ได้รับเราเข้ากลุ่มหรือมองว่าเป็นศิลปินฮิปฮอปขนาดนั้น ขณะเดียวกันซีนอินดี้ก็ไม่ได้นับเราเข้าไปด้วยเหมือนกัน คือเรามีสไตล์ที่ชัดเกินไปเกินกว่าจะถูกจับไปรวมกลุ่มกับใครได้ หรืออย่างเวลามีคนหาเพลงเราแล้วจะใส่ category ว่าเป็นแนวไหน ก็เลือกไม่ถูก ต้องเป็นอินดี้แร็ปหรอ? (หัวเราะ) คนก็เลยหาเราไม่ค่อยเจอ แล้วเราก็ไม่ได้อยู่ภายใต้ค่ายไหน เรามีเพลง 5 เพลงละ ทำ EP ปล่อยไปก็ได้ความช่วยเหลือจาก Rap Is Now เนี่ยแหละ ฟังได้บน Spotify iTunes แต่ก็ไม่ได้มีใครช่วยโปรโมตหนัก ๆ แบบการอยู่ค่ายขนาดนั้น อย่างช่วยหางานให้เราเล่น ผมรู้สึกว่าการเล่นดนตรีในไทยสิ่งที่สำคัญมาก ๆ คืองานโชว์ กับมิวสิกวิดิโอ อย่างในประเทศผมมันไม่ค่อยมีวงอินดี้ทำวิดิโอกัน ส่วนใหญ่จะเป็นวงเมนสตรีมที่ทำ แต่ที่ไทยไม่รู้ว่าดีกว่าไหมกับการที่มีมิวสิกวิดิโอ แต่อย่างน้อย ๆ คือมีคนหาคุณเจอ เห็นหน้าค่าตา ได้ฟังเพลงของคุณ
แบบนี้เหมือนการมีกลุ่มก้อนก็เป็นดาบสองคมสำหรับวงอย่างเรา ๆ
ไปป์: สุดท้ายแล้วการมีกลุ่มก็ดีกว่านะครับ อย่างสมมติถ้าเรามีค่าย เขาพยายามผลักดันช่วยเหลือศิลปินในค่าย จัดงานเองอยู่ตลอด เอาเพลงไปส่งใน Cat Radio แต่ค่ายนั้นคงจะไม่ชอบเราเพราะเขาชอบเพลงอกหักมากกว่า (หัวเราะ) จริง ๆ ผมก็อยากให้เขาลองทำเพลงแนวอื่น ๆ บ้าง แต่เข้าใจเขามาก ๆ เหมือนกัน สมมติตอนนี้เขามีอยู่ 8 วงในค่าย ซึ่งเป็นวงที่ทำเงินให้เขาได้ทั้งหมด เขาจะมามีวงที่ 9 ที่ไม่ทำเงินให้เขาทำไม การปั้นวงใหม่มันเหมือนเป็นการลงทุนเลยนะ มันใช้เงินเยอะมากในการโปรโมตวงวงนึง แต่ไม่เป็นไรครับ วงเราก็เริ่มมีคนมาสนใจมากขึ้นนะ เทียบกับบางวงที่มีค่ายแต่เรามีคนติดตามมากกว่า แต่มันก็น่าสนใจครับ เป็นสัญญาณที่ดี แบบนี้ก็น่าจะนำเสนอวงของเราได้ง่ายขึ้น แต่น่าเสียดายที่ค่ายเพลงส่วนใหญ่ในไทยไม่ค่อยมีความหลากหลายครับ ทำแต่เพลงแนวเดิม ๆ คล้าย ๆ กันหมด มันขาดความน่าสนใจ ไม่สร้างสรรค์ ก็ใช่เขาทำเพลงฮิตได้เรื่อย ๆ แต่เพลงพวกนั้นก็แนวคล้าย ๆ เพลงเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ไม่มีอะไรใหม่ แต่ก็ยังมีหลาย ๆ คนสร้างอะไรใหม่ ๆ อยู่เหมือนกัน แต่มันต้องใช้เวลาครับ
งานต่อไปจะมีเมื่อไหร่
ไปป์: เสาร์หน้า ที่ Jam สุรศักดิ์ครับ เล่นกีตาร์รอบนี้ เป็นเพลงหน่อย
เบล: งานนี้คงเล่นหลายเพลงมาก ๆ เล่นเพลงปกติ คงไม่ทดลอง
ไปป์: อันนี้เล่นเปิดให้ศิลปินที่เป็น multi-instrumentalist มาจากสิงคโปร์
จะมีอัลบั้มเต็มหรือยัง
ไปป์: ผมมีเพลงเก็บไว้อยู่ประมาณนึง มันจะมีความเป็น boom bap คล้าย ๆ ฮิปฮอปเก่า ๆ ครับ ก็ให้เบลไปเขียนเนื้อ
เบล: ใช่ มีเตรียมไว้แล้ว เหลือแค่เราเข้าไปปรุงมัน ไปคิดว่าจะเล่าเรื่องอะไรบ้าง เป็นเหมือนเป้าหมายใหม่ที่จะทำกัน เพราะเราก็ไม่เคยทำเป็นจริงเป็นจัง แต่ละเพลงถูกปล่อยออกมาแล้วแต่อารมณ์มาก แต่อันนี้ต้องมาคิดจัดการกับมันว่าสิบเพลงจะเล่าเรื่องอะไร อยากทำให้มันน่าสนใจ หรือถ่ายทอดมุมมองบางอย่างที่ไม่ได้เห็นกันทั่วไปออกมาในเพลงพวกนี้
ฝากผลงาน
ไปป์: ขอบคุณที่มาดู Bang Sue Electrix คอยสนับสนุนพวกเราครับ แล้วก็ไลก์ แชร์ ยอดวิวทุกอย่าง ที่นี่เป็นสังคมที่สนุกมากครับ ขอบคุณเพื่อน ๆ นักดนตรี expats แล้วก็นักดนตรี ผู้ฟังชาวไทย เราได้รับความช่วยเหลือจากทุกคน
เบล: เราก็ไม่คิดว่าจะมีใครที่ฟังเพลงแบบนี้ คือภาคดนตรีที่พี่ไปป์ทำก็รู้สึกว่ามันโอเคมาก ๆ แต่เนื้อหามันส่วนตัวมาก และเป็นเรื่องโคตรธรรมดา ก็เลยไม่คิดว่าจะมีคนสนใจ ถึงจะเป็นจำนวนน้อยแต่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ขอบคุณทุกคนมาก แล้วก็อยากให้ติดตามเราไปเรื่อย ๆ เราพยายามจะปรุงสิ่งต่าง ๆ ที่แปลกใหม่ จะมีหลาย ๆ อย่างให้ลุ้นให้ลองชิมอยู่เรื่อย ๆ จะออกมาเป็นยังไงก็รอดู
ติดตามพวกเขาได้ที่ Fanpage Bang Sue Electrix
อ่านต่อ
Hockhacker กับการผลักดันมุมมองใหม่ ๆ ผ่านแร็ปเปอร์ไทยใน ‘Cypherlogy’
Bang Sue Electrix แพร่เชื้อความสนุกในเพลงใหม่ ‘Green Virus’