Article Interview

ผ่านมาแล้ว 2 ปีจากซิงเกิ้ลแรก… อะตอม ชนกันต์ กับชีวิตศิลปินในวัยเบญจเพส

  • Writer: Malaivee Swangpol
  • Photographer: Chavit Mayot

img_3830

อะตอม ชนกันต์ เป็นนักร้องนักแต่งเพลงที่มีผลงานเบื้องหลังมาตลอดตั้งแต่เป็นบัณฑิตจบใหม่ โดยเฉพาะเพลง ปล่อย ที่เขาเขียนให้กับ ป๊อป ปองกูล ถือเป็นงานที่น่าสนใจมาก ๆ และเมื่อเกือบสองปีก่อนที่เขาก้าวเข้ามาเป็นศิลปินเต็มตัว Fungjaizine ก็มีโอกาสสัมภาษณ์เขาไปแล้วครั้งหนึ่ง

มาในวันนี้ เราได้พบกับอะตอมอีกครั้งในวัยเบญจเพส การที่เขาเติบโตและมีประสบการณ์ในฐานะศิลปินตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ก็ตกผลึกออกมาเป็นอัลบั้ม Cyantist กับแนวดนตรีป๊อป เคล้าด้วยฟังก์ โซล r&b แบบที่เขาถนัด หากใครอยากรู้เรื่องชีวิตภาค 2 ของเขา รวมถึงเบื้องหลังของการทำงานในอัลบั้มนี้ก็เลื่อนลงมาอ่านกันได้เลย

ช่วงนี้ฟังวงอะไรอยู่บ้าง

ก่อนหน้านี้ที่อินจริง ๆ จะเป็นเพลงแจ๊ส ช่วงที่เราเข้าสตูดิโอแล้วต้องฟังเพลงตัวเองเยอะ ๆ ก็ต้องหาอะไรฟังล้างหูเหมือนกัน ก็ฟังศิลปินชื่อ Ahmad Jamal แล้วก็ Lee Fields & The Expressions ที่เป็นโซล ฟังก์ แต่อิทธิพลสไตล์ดนตรีที่ใส่ลงไปในอัลบั้มนี้จะเป็น direction ที่ตกผลึกมาก่อนหน้าประมาณนึง ซึ่งค่อนข้างลงตัวมาหลายเดือนแล้ว เลยไม่ได้เอาพวกที่กำลังอินมาใช้ ล่าสุดไปเจอเพลงในร้านร้านนึงแล้วลอง Shazam มา ปรากฏว่าเป็นวงฝรั่งเศสชื่อ Poom

ตกหลุมรักการเขียนเพลงตั้งแต่ตอนที่ทำเพลงประกอบละครเวทีที่โรงเรียนเลยหรือเปล่า

เราชอบเขียนเพลงตั้งแต่ก่อนหน้านั้น เริ่มเขียนเพลงตอนอายุน้อยมาก ๆ ประมาณ ป.6 ม.1 ก็เริ่มแล้วแหละ ลองใส่เนื้อตัวเองเข้าไป ตอนที่ทำได้เป็นเรื่องเป็นราวคือประมาณ ม. 3 เริ่มเจอความรักแบบหนุ่มสาว เริ่มมีทัศนคติเป็นของตัวเอง มันก็เริ่มมีอะไรจะเขียน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีเลย ชีวิตก็คือโรงเรียน เพื่อน มีอยู่เท่านั้น แล้วตอนที่เขียนให้กับละครเวทีไม่รู้สึกว่ายากเลย แต่เป็นช่วงที่ท้าทายสำหรับเราแล้วเพราะกำลังหัดเขียนเพลง พอเค้าให้โจทย์มามันเสร็จค่อนข้างเร็ว พอออกมาแล้วทุกคนชอบกันด้วย ซึ่งตอนแรกไม่ได้มีหน้าที่เขียนเพลง คือโรงเรียนจะมีงานครบรอบก่อตั้งโรงเรียนทุกปีแล้วก็จะมีจัดละครเวที แล้วก็จัดงานเปิดให้คนนอกเข้ามา เราอยู่ฝ่ายขายบัตรอะ (หัวเราะ) สุดท้ายแล้วเค้าต้องการคนเขียนเพลงก็เลยไปลองดู พอได้ก็ย้ายไปอยู่ฝ่ายทำเพลงยาวเลย สนุกครับ เพราะเป็นช่วงวัยเด็กที่พอทำอะไรเราก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาดีมั้ย ที่เราคิดว่าใช้ได้ก็คือ feedback จากเพื่อน ๆ แหละ คือมันเป็นจุดที่ทำให้เราจำช่วงวัยเด็ก เป็นวัยที่เริ่มรู้เรื่อง เริ่มมีวุฒิภาวะ สำหรับเราเพื่อนช่วงม.ปลายก็จะเป็นเพื่อนที่คบกันยาวจนถึงแก่ไป ถึงไปมหาลัยแล้วสุดท้ายก็ย้อนกลับมาหาเพื่อนที่โรงเรียนอยู่ดี ก็ดีใจ ภูมิใจที่มีส่วนร่วมในงานนั้น

img_3839

 

เกร็งไหมกว่าจะก้าวข้ามคำว่า one hit wonder มาได้

เราไม่ได้ปล่อยเพลง Please ออกมาด้วยความคิดที่ว่ามันจะเป็นเพลงฮิตอะ เหมือนเป็นเพลงแนะนำตัวสำหรับเรามากกว่า เพลง Please ต่อให้มันเป็นเพลงที่เรารักมาก ๆ อยู่แล้ว แต่เราไม่ได้มองว่ามันจะขยายวงกว้างไปได้ขนาดนั้น เราต้องการแค่กลุ่มคนฟังเล็ก ๆ ของเรา แต่สุดท้ายมันก็บูมขึ้นมา โดยที่เราจัดวางเพลงที่จะปล่อยต่อไปอยู่แล้ว ถ้าถามว่ากลัวมั้ยว่าจะเป็น one hit wonder ผมว่าทุกคนกลัวอยู่แล้ว แต่เราว่าเราก็โชคดี เพลงที่เราวางถัดมา ไม่ว่าจะ แผลเป็น หรือ ทางของฝุ่น มันก็มีคนชอบ ก็ดีใจที่คนฟังยังตอบรับดีมาเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่เพลงแรก

ตอนที่ปล่อยเพลง Please เป็นช่วงเวลาที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง หรือค่ายให้โอกาสเราสำหรับสามซิงเกิ้ลอยู่แล้ว

เค้าก็วางแพลนไว้ให้คร่าว ๆ ว่าเราจะปล่อยกี่เพลง ในตอนนั้นคือเพลงเราเยอะ เราสามารถคุยกับเค้าได้เลยว่าหลังจากนี้มีเพลงอะไรที่พอจะต่อได้อีก แล้ว potential ของเพลงนั้นมีขนาดไหน แต่ว่าสำหรับเรา เราไม่ได้เล็งไว้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเพลงมันจะต้องฮิตหรือประสบความสำเร็จเท่าเดิม เพราะเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลง Please มันจะเวิร์กมั้ย ก็วางไปตามที่เราคิดแหละ ว่าเพลงไหนเราชอบ เราอยากให้คนฟังก่อน ก็วางต่อคิวไว้ก่อน

เคยให้สัมภาษณ์ว่าไอดอลการเขียนเพลงคือ ดี้—นิติพงษ์ ห่อนาค ได้เจอกันหรือยัง

เคยเจอพี่ดี้อยู่ครั้งเดียวตอนรับรางวัล Joox Awards ที่พี่ดี้เป็นคนมอบรางวัลให้ คุยกันประมาณ 10 คำ ทักทาย สวัสดี เราก็เกร็งเหมือนกัน พี่ดี้ก็อาจจะไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นไอดอลของเรา ก็ยังไม่ได้มีโอกาสนั่งคุยกันยาวเหยียด พี่เค้าไม่ได้อยู่แกรมมี่แล้วในยุคที่ผมเข้ามา มีพี่ ๆ ผู้ใหญ่ที่เป็นไอดอลในการเขียนเพลงของเราหลายท่านทั้ง พี่ดี้ พี่นิ่ม สีฟ้า หรือแม้แต่นอกแกรมมี่ พี่บอย โกสิยพงษ์ พี่บอย ตรัย เยอะแยะมากมาย รวมถึงศิลปินที่เขียนเพลงเองก็เยอะมาก ๆ ในบ้านเรา ซึ่งแง่นึงเค้าก็เป็นครูที่สำคัญสำหรับเราและสำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงไทย เพราะว่าเพลงเมืองนอก ด้วยภาษามันก็จะเล่าอีกแบบอยู่แล้ว บ้านเราก็จะมีเซ็ตคำที่พี่ ๆ เหล่านี้เลือกสรรมาใส่ไว้ในเพลง พอเราฟังแล้วก็เริ่มรู้ว่าคำไหนดี คำไหนควรใช้ คำไหนทำให้รู้สึกเยอะไป คำไหนฟังแล้วจั๊กจี้ มันบอกได้ ก็ดีใจมาก ๆ ครับที่ได้เจอในงานวันนั้น

ถ้าได้คุยจะคุยเรื่องอะไร

เราก็คงเกร็ง คงเขิน ๆ ถ้าได้คุยกับเค้า gap อายุเรากับเขามันก็ประมาณนึงแหละ เราก็คงจะถามเรื่องวงการเพลง เรื่องแง่มุมการเขียนเพลง ยังนึกไม่ออกว่าเจอแล้วจะคุยอะไรกัน นักเขียนเพลงรุ่นพี่เกือบทุกคนก็เป็นครูที่สำคัญกับผมมาก ๆ ในช่วงที่โตขึ้นมาแล้วก็ฟังเพลงไทยเยอะ ๆ

มีเพลงที่เป็นเพลงครูไหม

ขอบใจจริง ๆ ของพี่เบิร์ด ธงไชย เป็นเพลงที่พี่ดี้เขียนด้วย เรารู้สึกว่าเนื้อมันดี เป็นเพลงไทยที่เราเกิดไม่ทันด้วยซ้ำ แต่เป็นเพลงที่ทำให้เรารู้สึกเป็นครั้งแรก ๆ ว่าเวลาที่เราต้องการจะเขียนอะไรออกไปเนื้อเพลงมันก็ทรงพลังเหมือนกันนะ คือมันก็อาจจะมีเพลงให้กำลังใจ เพลงที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ แต่สำหรับเรา เราอินอะไรแบบนี้ กับเพลงที่มันค่อนข้างส่วนตัวแล้วก็แคบสำหรับเรื่องความสัมพันธ์ เกี่ยวกับคนสองคน ก็เลยเป็นเพลงนึงที่เราชอบมาก ๆ แล้วก็เป็นเพลงโปรดเสมอมา

img_3844

ถึงจุดที่เบื่อเพลงตัวเองหรือยัง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราฟังเพลงตัวเองทุกวันมันก็คงมีเบื่อบ้าง หลาย ๆ คนก็คงเป็น แต่พอมันไปร้องให้คนอื่นที่เค้าไม่ได้เจอเราทุกวันได้ฟัง คือเค้าอาจจะฟังเพลงเราทุกวันแต่ว่าช่วงเวลาตรงนั้นมันเป็นอะไรที่ต่างออกไป ทำให้เขารู้สึกดีได้ก็โอเค อีกทีก็แล้วแต่คนฟังที่เราไปเจอ มันเป็นสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ถ้าเจอผู้ชมที่ดีอะไรก็ดี ถ้าทุกคนเอ็นจอย วันนั้นก็จะเป็นวันที่มีความสุข พอได้ว่าเห็นว่าเพลงมันยังทำงาน ความรู้สึกจากตอนแรก ๆ ที่ปล่อยเพลงออกมามันก็ยังอยู่ แต่ถ้าไปเจอคนดูที่ไม่เอาด้วย หรือว่านิ่งเงียบ สุดท้ายเราอาศัยว่าวงเราคนเยอะ แบ็กอัพผมประมาณแปดเก้าคน ก็เอ็นจอยกันเองได้

คนฟังแบบไหนที่ทำให้มีความสุข

คือรู้ว่าเค้ามารอฟังเรา แต่มันมองตาออก มันมองลงไปแล้วมีประกาย แล้วเค้าตั้งใจฟัง คือเค้ามีความสุขกับสิ่งที่เราเล่นออกไป เท่านั้นเอง ไม่ต้องโห่ฮา ไม่ต้องเฮก็ได้ ถ้าเฮก็ถือเป็นโบนัส สิ่งที่เราต้องการก็คือได้รู้ว่าเค้ามีความสุข เพลงเรามันเข้าไปถึงหัวใจเค้าจริง ๆ

รู้สึกสนุกกับการทำงานเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังมากกว่ากัน

ทั้งคู่เลย ถ้าให้เลือกก็คงเลือกไม่ได้ ในแง่การทำเบื้องหลัง ยิ่งเป็นงานของตัวเองมันยิ่งจำเป็นต้องทำ คือถ้าคนเบื้องหน้ามาอยู่ในงานเบื้องหลังของตัวเองมันก็จะทำให้เพลงออกมาเป็นตัวเองมากขึ้น ได้ทำอะไรอย่างที่เป็นตัวเองจริง ๆ เพราะฉะนั้นถ้าถามเรา ยิ่งมีส่วนกับงานเบื้องหลังได้ยิ่งดี แล้วก็สำหรับเรามันสนุกพอ ๆ กันเลย ในห้องอัดก็จะมีความท้าทายอีกแบบหนึ่ง

ได้ใช้วิชากฎหมายกับงานตรงนี้ไหม

ไม่ได้ใช้เลย (หัวเราะ) ก็มีเรื่องอ่านสัญญาก่อนจะเซ็นอะไรประมาณนี้ เงินออกตรงมั้ย หรือว่าจะเซ็นอะไรแต่ละที ด้วยความที่เรียนกฎหมายมามันก็ทำให้เราอ่านถี่ถ้วนหน่อย คือนักกฎหมายจะมีความระแวงคนอื่นอยู่เสมอ สำหรับเราที่ได้จากการเรียนกฎหมายจริง ๆ คือการเขียน การเรียบเรียง การให้เหตุผล เวลาตอบข้อสอบกฎหมายมันใช้เหตุผลที่ฟังขึ้นอย่างเดียวเลย ต่อให้แถก็ต้องแถอย่างมีเหตุผลในข้อสอบกฎหมาย มันไม่มีช้อยส์ให้เลือก มันมีแค่โจทย์ประมาณ 2-3 หน้ากระดาษ แล้วก็กระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งให้เขียนตอบ มันช่วยเราด้านตรรกะแล้วก็การใช้คำ เพราะว่าคำกฎหมายเป็นคำที่ละเอียด บางคำเป็นภาษาโบราณด้วยซ้ำ ต้องลองเปิดประมวลกฎหมายดูก็จะเห็นคำที่คนปกติเค้าไม่ใช้กัน อะไรจากตรงนั้นส่งผลในการเขียนเพลง ให้ตรรกะของเพลงมันรู้เรื่อง มันเข้าประเด็น แล้วทำให้เพลงมันพุ่งออกมา

img_3841

ร่วมเล่นคอนเสิร์ต White Haus กับ โอ๊ต ปราโมทย์, ป๊อป ปองกูล และเป๊ก ผลิตโชค เป็นยังไงบ้าง

สนุกครับ ด่าเค้าไม่ทันเหมือนกัน (หัวเราะ) เค้าเป็นพี่ผมหมดทุกคน ทุกคนเล่นมุกกันแบบ คือดูพี่ป๊อปกับพี่โอ๊ตสองคนทะเลาะกันเนี่ย ขนาดผมเป็นคนเล่นคอนเสิร์ตก็มีความสุขมากแล้วฮะ คนดูก็คงมีความสุขมากขึ้นไปอีก ในวันนั้นก็ดี ทุกคนน่ารัก คนดูเองก็ซัพพอร์ตทุกคนเต็มที่ ทีมงานแล้วก็ตัวศิลปินเองก็มีความสุขมาก ๆ ในวันนั้น ก็เป็นบรรยากาศที่สนุกสนาน แล้วก็อบอุ่นดีครับ

อยากร่วมงานกับศิลปินคนไหนเป็นพิเศษไหม

ตอนนี้คนที่เราอยากร่วมงานด้วยคือ พี่บุรินทร์ Groove Riders จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีโอกาสร่วมงานกันเลย หวังว่าอีกซักพักก็คงจะมี ไม่รู้จะมีโอกาสหรือเปล่า แต่ว่าท่านอื่นตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออก เราต้องทำตัวเองให้ชัดก่อน ตัวเราก็เพิ่งมาไม่นาน เพลงเราเพิ่งปล่อยได้ 4-5 เพลงเท่านั้นเอง อยากทำให้จุดยืนตัวเองชัดก่อนก่อนที่จะไปลากคนอื่นมา featuring กับเรา

ประทับใจศิลปินคนไหนที่ได้ร่วมงานบ้าง

เป็นพี่ป๊อป ปองกูล เขาร้องเพลงดี ถ่ายทอดอารมณ์ดี ตั้งแต่ตอนที่เค้าเข้ามาเป็นศิลปินละ ตอนหลัง ยุคหลังที่เราได้ดูคือ พี่ป๊อปจะมีความเอนเตอร์เทน ตลกของเค้า อยู่กับพี่โอ๊ตนี่ยิ่งไปใหญ่ แต่สิ่งที่ประทับใจกับพี่ป๊อปก็คือเวลาประชุมหรือเวลาออกไอเดีย พี่ป๊อปจะมีแง่มุมที่น่าสนใจเสมอ เป็นคนที่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ซึ่งถ้าเรามองภาพเค้าบนเวทีอย่างเดียวก็คงไม่เห็นตรงนั้น อย่างเพลง ปล่อย เราว่าเราคิดไม่ผิดที่ให้พี่ป๊อปไป พอเพลงปล่อยออกมาก็มีแต่คนถามว่าทำไมมึงไม่เก็บไว้เอง มึงไปให้เค้าทำไม แต่สุดท้ายเราร้องออกไปคนก็ไม่เชื่อ เราเด็กมาก ตอนนั้นผมอายุ 20-21 ต่อให้เขียนเพลงนี้ออกมาได้แต่เรามองว่าพี่ป๊อปถ่ายทอดมันได้ดีมาก ๆ แล้วก็ มันเป็นศาสตร์เป็นศิลป์แบบนึงที่มันต้องมีชั่วโมงบินอะ แล้วพี่ป๊อปก็ทำมันออกมาได้ดีแล้วก็ภูมิใจมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับเค้าในเพลง ปล่อย

6 ปีนับตั้งแต่เขียนเพลง Please กับ 2 ปีนับตั้งแต่ปล่อยซิงเกิ้ลนี้ออกมา ชีวิตเปลี่ยนไปในทางไหน

มีทั้งที่ดีขึ้นแล้วก็เลวลง ดีขึ้นก็คืองานเป็นรูปเป็นร่าง เราได้ทำอะไรที่เราชอบแบบเต็มตัว ทัวร์คอนเสิร์ต ทำเพลง โปรโมตเพลง มีโอกาสร่วมงานหรือเจอกับศิลปินพี่ ๆ เก่ง ๆ ที่เราเคยชื่นชมมาตั้งแต่เด็ก ๆ หลายท่าน แต่ส่วนที่มันแย่ลงก็คือสุขภาพฮะ (หัวเราะ) ปีนี้นี่เริ่มรู้สึกว่าสุขภาพไม่ดีเลย คือด้วยเนื้องานเรามีโอกาสให้เราได้เที่ยวเล่นนอกลู่นอกทางค่อนข้างเยอะ พอรู้สึกตัวอีกทีก็ใช้ร่างกายไปเปลืองมาก ตอนที่งานยังไม่เยอะร่างกายมันดีกว่านี้ แต่ข้อดีของมันก็คืออย่างน้อยเรารู้ตัวแล้วก็ควรจะกลับลำซะตั้งแต่ตอนนี้ เพราะสุขภาพไม่ดีอย่างอื่นก็ไม่มีความหมายอะไร ช่วงก่อนหน้านี้ก็มีออกกำลังกายบ้าง แต่พอทัวร์เราขี้เกียจเพราะมันนอนดึก คือเราไม่ได้มีวินัยในการตื่นมาออกกำลังกาย หลาย ๆ ท่าน เป็นนักร้องเป็นศิลปินทำงานหามรุ่มหามค่ำแค่ไหนเค้าก็หาเวลาไปออกกำลังได้ แต่อย่างเรานี่มีความขี้เกียจอยู่เป็นพื้นฐานอยู่แล้วเพราะฉะนั้นจะงัดตัวเองไปออกกกำลังกายก็ค่อนข้างยากในช่วงที่งานมันถี่ ช่วงทัวร์เยอะ ๆ ก็ปล่อยปละละเลยมาพอสมควร ก็หวังว่าจะมีโอกาสได้กลับไปดูแลตัวเองมากกว่านี้ แต่ในวงเริ่มออกกำลังกายกันแล้ว วงผมมีคนที่เป็นนักกีฬา กรีฑา ว่ายน้ำ ไตรกีฬา ปั่นจักรยาน อะไรแบบนี้หลายคน แต่สุดท้ายก็จะแพ้คนหมู่มากในวงซึ่งเป็นสายปาร์ตี้ (หัวเราะ) แต่ว่าก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะออกกำลังกายเพราะพวกเราทัวร์มาด้วยกันร่างกายก็ค่อย ๆ พังไปด้วยกัน

สิ่งที่ชอบในชีวิตศิลปิน

ที่ชอบที่สุดก็คงเป็นการเล่นเพลงของตัวเองบนเวที การโชว์ในสถานที่ที่ดี ในกลุ่มผู้ฟังที่ดีเป็นสิ่งที่สนุกที่สุดสำหรับผม มันรู้สึกดี เป็นพลังที่อธิบายไม่ถูก โชว์ที่ดีโชว์นึงเติมพลังไปให้เราได้อีกเป็นเดือน รองลงมาก็อาจจะเป็นการทำเพลงที่มันท้าทาย แล้วเราอยากจะลองทำอะไรใหม่ ๆ เราขึ้นเดโม่เองอยู่แล้ว เราลองไปคุยกับโปรดิวเซอร์ ทำนู่นทำนี่ เป็นอะไรที่สนุกแล้วก็ท้าทาย แล้วยิ่งเราเขียนเพลงได้ได้ด้วย มันทำได้เลย เรามีมือถือเครื่องเดียวเราขึ้นเดโม่ด้วยการาจแบนด์หรืออะไรในมือถือมันเร็วครับ

อะตอมกำลังจะไปเล่นสิงคโปร์ในวันที่ 28-30 พฤศจิกายนนี้

เป็นครั้งแรกที่เราได้ไปที่สิงคโปร์ พาไปเต็มวง วงก็เตรียมไปเที่ยวกันเต็มที่ ก็ดีนะ คือเราจะได้รับ feedback จากแฟนเพลงที่เป็นต่างชาติบ้าง ญี่ปุ่น เกาหลี ก็งงว่าเธอไปฟังเพลงเราตอนไหน มาเลย์ สิงคโปร์ก็มี ก็รู้สึกว่าเออก็ดีนะที่เราได้ออกไปเล่นประเทศเพื่อนบ้านบ้าง อาจจะได้เจอแฟนเพลงหลาย ๆ กลุ่มที่เค้าไม่มีโอกาสได้เจอเราเลย เราก็ไม่มีโอกาสได้เจอเค้าเลย หวังว่าวันที่ไปเล่นจะมีคนต่างชาติเยอะ ๆ คนไทยก็มาเถอะเราก็อยากเจอทุกคนแหละ

เคยไปทัวร์ต่างประเทศที่ไหนบ้าง

ล่าสุดคืออังกฤษเมื่อต้นปี อันนั้นเป็นเฟสติวัลของนักศึกษาไทยในอังกฤษ ก่อนหน้านั้นมีไปลาว แล้วก็ยังไม่ได้ไปไหนอีกเลยฮะ ใจก็อยากไปเที่ยวฮะ (หัวเราะ)

img_3850

ชีวิตเบญจเพสเป็นยังไง เจออะไรใหญ่ ๆ ที่ส่งผลกระทบกับชีวิตตัวเองบ้าง

ช่วงนี้ก็เรื่อย ๆ มากกว่า ปีที่ผ่านมาถ้าถามว่าเบญจเพสมีผลมั้ยก็ตอบไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องนามธรรมมาก ๆ แต่ก็น่าแปลกที่ปีนี้มีเรื่องไม่สบายใจค่อนข้างเยอะ ถ้าจะเชื่อทางนั้นก็ได้ สุขภาพก็เริ่มจะแย่แล้วเหมือนกัน (หัวเราะ) เรื่องอื่นไม่ดีก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยเรื่องงานมันดีก็พยุงให้เราโฟกัสกับมัน ให้เราได้อยู่กับดนตรีแล้วมีความสุข แต่เชื่อว่าไม่ว่าจะทำอะไร จะขยับไปทางไหน ถ้าตั้งใจทำ สุดท้ายมันก็โอเคเสมอ

ทำไมเลือกใส่ความเชื่อเรื่องพุทธลงไปในเพลง ช่วงนี้

เรื่องบาปบุญคุณโทษก็เป็นเรื่องคู่กันกับศาสนาพุทธในบ้านเราที่มันเห็นได้ชัดนะ จริง ๆ ศาสนาอื่นก็สอนให้ทำดีอยู่แล้วแหละ แต่ว่าเรื่องกรรมก็คือชัดในศาสนาพุทธ ช่วงนี้ ก็คือเตือนให้ระวังหน่อย เพราะเรารู้สึกว่าคนที่ทำเลวบางทีมันไม่ได้รับผลเลวของการกระทำของมันเท่าไหร่ พูดก็เหมือนจะเข้าตัวบ้างเหมือนกัน เสียว ๆ อยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่นั่นแหละ เป็นเหมือนเพลงที่เตือนว่าทำอะไรให้คิดถึงคนอื่นบ้าง คนเดี๋ยวนี้ใช้ชีวิตเร็ว ไม่ได้คิดถึงคนรอบ ๆ ตัวเท่าไหร่ อาจจะไปเหยียบเท้าใครหรืออาจจะไปทำให้ใครไม่พอใจโดยที่บางทีก็ไม่รู้ตัว หรือบางคนรู้ตัวแต่ไม่สนมันก็เยอะ อยากให้เค้าทำดีต่อกัน มีเวลาก็ไปทำบุญกัน

เคยซวยแบบในเพลงเอ็มวีเพลง ช่วงนี้ มั้ย

MV นี่ผีผลักขามาทำร้ายอะ ก็คงไม่มีหรอก (หัวเราะ) แต่ของเราคือเจออุบัติเหตุนิดหน่อยในช่วงปีที่ผ่านมา โดนของหล่นใส่ตอนขับรถ แต่ก็แคล้วคลาด ก็อีกนิดก็จะแย่แล้วเหมือนกันแต่ว่าโชคดี อันนี้คือก่อนที่จะเขียนเพลงเสร็จเจอพอดี ก็เลยเขียนเสร็จเลยครับ รู้สึกอยากไปทำบุญขึ้นมาเลย (หัวเราะ) หลังจากวันนั้นก็ไปทำบุญเลยครับ เรียบร้อย

เล่าถึงแรงบันดาลใจของเพลง อย่าบอก หน่อย

มันก็เป็นเพลงเศร้าที่ตรงไปตรงมา ด้วยดนตรีมีความกลับไปช่วงแรก ๆ แบบเพลง Please อันนั้นก็เป็นกีตาร์อะคูสติก มีเสียงออร์แกนเบา ๆ แต่ว่าอันนี้เราตั้งใจเรียบเรียงให้มันน้อยลง ดนตรีจะเรียบง่ายมาก ๆ น้อยชิ้นมาก ๆ แล้วเราพยายามให้เนื้อเพลงมันเด่น เนื้อเพลงมันมีความลูกทุ่งเหมือนกันสำหรับเราเพราะค่อนข้างตรงไปตรงมา ยิ่งท่อนฮุคก็น่าจะเป็นคำที่ใคร ๆ หลายคนอยากพูดออกมา ดูจาก feedback ตั้งแต่ที่ปล่อย mv ไป มีแต่คนแค้น (หัวเราะ) คือรู้เลยว่าดาร์กกันเยอะ ก็ดีที่มันตรงกับข้อความในใจใครหลาย ๆ คน ในแง่นึงเนื้อเพลงก็โตขึ้นจากแรก ๆ ที่ปล่อยออกมา วิธีการเรียบเรียงก็เหมือนกัน

ทำไม mv ถึงโหดขนาดนั้น ได้ไอเดียมาจากอะไร

ไอเดียมาจากพี่โอ ทีมผู้กำกับเป็นคนคิดเรื่องนี้มาเสนอ ซึ่งตอนแรกเราก็กังวลว่า เอาไปผูกกับโซเชียลมีเดียจนเกินไปหรือเปล่า มันจะไปซ้ำกับ mv ต่าง ๆ ที่ทำมาเป็นหน้าเฟซบุ๊ก เป็นหน้ามือถือที่ใช้กันจนเกร่อ แต่สุดท้ายแล้วพอได้กลับมาประชุมด้วยกัน เออ เค้าก็ชี้ให้ดูว่าเป็นยังไง คือเอาไปผูกกับเรื่อง cyberbully ที่แกล้งกัน ใส่ร้ายกันในโซเชียล แล้วมันก็แชร์ต่อกันไป คนไม่รู้เรื่อง คนอยากด่าก็ถล่มไปโดยไม่รู้อะไรเลย จับต้นชนปลายกันไม่ถูกก็เอาไปเล่าแล้ว ก็ดีครับ ก็ดูสะท้อนเหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบันได้ดี สุดท้ายก็โอเค ไปตามทางนี้แหละ พอได้ดูคัตสุดท้ายก่อนที่จะปล่อยออกไป พี่โอทำได้ดี มันเป็นเพลงช้าที่สั้นมาก ๆ คือ 3 นาทีครึ่ง มันค่อนข้างยากในการจะตัดให้รู้เรื่อง แล้วมันก็สร้างความรู้สึกที่ได้ดีมาก ๆ

อะตอมอยากฝากอะไรเรื่อง cyberbully ไหม

เราว่าใจเย็น ๆ กันดีกว่า เดี๋ยวนี้พอมันแสดงความคิดเห็นกันได้ง่าย มีมือถือเครื่องเดียวมีคอมอะไรงี้มันทำได้หมด แต่บางทีคำพูดพวกนั้นมันสร้างความเสียหายได้จริง ๆ คำพูดมันสำคัญมาก ๆ บางทีพูดอะไรออกไป พิมพ์อะไรไป ไม่ได้คิด ตัวเองพิมพ์ด่าแล้วก็หายไปทำอะไรแล้ว คนอ่าน หรือคนที่เกี่ยวข้องอะไรมันรู้สึกแย่ไปอีกนาน บางทีมันสร้างความเสียหาย อย่างใน mv พระเอกก็โดนคนในออฟฟิศเกลียดกันไปหมด เจ้านายจะไล่ออกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ก็อยากให้คนคิดหน่อยเวลาจะทำอะไร ไปฟังเพลง ช่วงนี้ กันเยอะ ๆ ครับ (หัวเราะ) นั่นแหละ อย่าใจร้ายต่อกันนักเลย ถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไม่ได้สร้างให้ตัวเองเสียหายจริง ๆ ก็ ค่อย ๆ หาข้อมูลจริง ๆ ของมันดูแล้วคอมเมนต์รอบเดียวดีกว่าถล่มกันไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นมัน

อัลบั้มที่กำลังจะปล่อยชื่ออะไร อีกเพลงที่ยังไม่ได้ปล่อยมีอะไรเซอร์ไพรส์ มีเปลี่ยนแนวหรือเปล่า

ตอนนี้อัลบั้มมี 9 เพลง แต่เรารวมเพลงเก่าเข้ามาด้วยเพราะมันเป็นหนังม้วนเดียวกัน เป็นเนื้อเรื่องที่ต่อเนื่องกันมาในชีวิตเราที่ถูกเอามาเขียน เราเลยดึง 4 เพลงแรกมาด้วย แล้วก็จะมี 5 เพลงใหม่ ซึ่งฟังกันไปแล้ว 2 เพลง คือ ช่วงนี้ กับ อย่าบอก ที่เพิ่งปล่อยมา ก็เหลือที่เป็นความลับจริง ๆ คือ 3 เพลงสุดท้าย ซึ่งต้องบอกว่าเป็น 3 เพลงที่เข้มข้นใช้ได้ เนื้อหาของมันก็เหมือนเดิมฮะ ทรงเดิม ชื่ออัลบั้มเราชื่อ Cyantist มาจาก cyan ที่แปลว่าสีฟ้า เหมือนกับ blue แหละ แล้วทีนี้คำว่า blue ยังแปลได้อีกว่าเป็นอารมณ์เศร้า เอามารวมกับคำว่า scientist  มันก็คือ คนที่เข้าไปทดลองในความสัมพันธ์แล้วก็จบด้วยความเศร้าหมองตลอดเวลา มันก็ได้บทเรียนอะไรออกมาแหละ คนเราเข้าไปในความสัมพันธ์โดยที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วพอจบไปรอบนึงแล้วก็คิดว่าชั้นได้บทเรียนแล้ว ชั้นจะไม่ทำผิดซ้ำอีก สรุปก็ทำผิดอยู่ดี ครั้งต่อไปก็พลาดเรื่องเดิม ๆ มันเป็นเรื่องเดียวที่ ต่อให้รู้ว่าที่ผ่านมาเป็นยังไง ก็ดูเป็นเรื่องที่คนพลาดกันซ้ำซาก เลยเป็นที่มาของชื่ออัลบั้ม ไม่มีเพลงมีความสุขเลยครับอัลบั้มผม (หัวเราะ) ก็ฟังเพลงผมแซมด้วยเพลงของคนอื่นก็ดีครับเดี๋ยวมันจะดาร์กจนเกินไป ยังไงก็ฝากอัลบั้มเอาไว้ด้วยครับ ตอนนี้มีเพลง อย่าบอก ออกมาก็ ดู mv แล้วก็ใจเย็น ๆ ครับ อย่าทำร้ายนางเอก mv ผมเลยครับ อันนี้ด่ากันกระจายมาก (หัวเราะ) อีก 3 เพลงก็มีความโซล r&b อยู่ในนั้น ก็เป็นทางที่เราชอบอยู่แหละฮะ แต่ก็อาจจะเข้มข้นมากขึ้น ความเป็นอะคูสติกแบบเพลง อย่าบอก มันก็จะมีแค่เพลง อย่าบอก นี่แหละใน 5 เพลงใหม่ อย่าง ช่วงนี้ ก็ฉูดฉาดไปทางฟังก์แล้ว ที่เหลือก็อาจจะมีเป็นอาร์แอนด์บี เป็นกรูฟฮิปฮอปนิดหน่อย พยายามใส่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ให้มันเสียความเป็นป๊อปไป แต่ว่าแตกต่างแน่นอนจากเพลงที่ปล่อย ๆ ออกมาครับ

เราจะได้เห็นอะไรจากอะตอมในปีหน้าบ้าง

ปีหน้าก็คงหากินกับเพลงในอัลบั้มให้ครบถ้วนก่อน คือเราไม่รู้ว่าปล่อยอัลบั้มไปแล้วคนจะอินกับเพลงที่เหลือขนาดไหน แต่ว่าที่เราอยากทำก็คือ เอาเพลงทุกเพลงในอัลบั้มไปเล่นอยู่ในโชว์เดียวกันแล้วคนเอนจอย นั่นก็คือสิ่งที่ยังทำไม่ได้ตอนนี้เพราะคนยังไม่รู้จัก เอาไปเล่นคนจะงงเอาฮะ

ฝากผลงาน

อัลบั้มจะปล่อยวันที่ 7 ธันวาคม อีเวนต์เร็ว ๆ นี้ก็คืออีเวนต์เปิดอัลบั้มนี่แหละ แต่เราจะจัดกันในวันที่ 11 ธันวาคม เดี๋ยวจะแจ้งสถานที่แล้วก็เวลาให้ทราบกันอีกที น่าจะมีโชว์ในงานนั้น โชว์เฉพาะเพลงใหม่ ช่วงนี้ผลงานก็ยังมีแค่อัลบั้ม เป็นอะไรที่โฟกัสอยู่มาก ๆ

img_3861

Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่