คุยกับ ABOY ความหลงใหลในดนตรีบลูส์ สู่เพลงที่ตั้งใจสื่อสารกับคนฟัง
- Writer: Donratcharat Phromsoonthornsakul
- Visual Designer: Rada Muksikarat
คุยกับ ABOY หรือ บอย – พันเอก ชูเจริญพร ศิลปินคนไทยเชื้อสายจีนยูนนาน ส่วนผสมของดนตรีจากคริสตจักร และความหลงใหลในเสน่ห์ของดนตรีบลูส์ จนส่งต่อมาเป็นบทเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวอย่างจริงใจ แต่ก็มีลีลาที่แยบคายไม่แพ้ใคร ให้เหล่านักฟังเพลงได้ค้นหาคำตอบที่ซ่อนไว้และมารู้จักกับเขาให้มากขึ้นผ่านบทสัมภาษณ์นี้ไปด้วยกัน
จุดเริ่มต้นของ ABOY
ABOY: ผมเกิดในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนยูนนาน แล้วก็เป็นคริสเตียนครับ แล้วก็มีอิทธิพลกับดนตรีคริสตจักรพอสมควรเพราะว่าเราก็เติบโตมาในโบสถ์ แต่ว่าเราก็ไม่ได้เล่นจริงจังจนกระทั่งเรามาฟังเพลงของ John Mayer เรารู้สึกว่า เฮ้ย เล่นกีตาร์เท่ดี แล้วมันเป็นอะไรที่มีเอกลักษณ์ เราก็เลยฝึกเล่นกีตาร์จริงจัง ณ ตอนนั้นมาเรื่อย ๆ แล้วก็พยายามแต่งเพลงอยู่บ้างครับ ก็ทำออกมาอยู่สองสามเพลง เพลงแรกที่ทำออกมานี่น่าจะชื่อว่า Sparrow แล้วก็ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร
จนกระทั่งเรามีโอกาสได้ไปเรียนต่อที่เมืองนอก ทีนี้มันเหมือนเป็น turning point ที่ทำให้เราเปิดรับอะไรใหม่ ๆ เยอะพอสมควร มันก็มีทั้งดีและไม่ดีแหละครับ แต่ว่า ณ จุดนั้น เหมือนมันเกลาและมันเหลาทัศนคติทางดนตรีของเราไปอีกขั้นนึง แล้วพอกลับมาเมืองไทยก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินในค่ายเพลง ยังไม่ถึงขั้นได้ออกนะครับ คือไปคุยไว้แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็เหมือนจะถูกกำหนดขอบเขตความเป็นตัวตนของเราระดับหนึ่ง ซึ่งเราก็มองว่า ถ้าอย่างนั้นคงไม่ใช่ทางเราแล้วแหละ เราก็ทำเองดีกว่า ก็เลยทำเพลงชื่อ Lady ไปครับ แล้วก็มีผลตอบรับที่ค่อนข้างดี
อิทธิพลจากดนตรีคริสตจักร สู่เพลงของตัวเอง
ABOY: มีอิทธิพลแน่นอนครับโดยเฉพาะเรื่องของทำนอง มันจะฟังดูเป็นทฤษฎีนิดนึง มันจะเป็นฮาร์โมนี (เสียงประสาน) ลองคิดภาพเวลาคนร้องเสียงประสานในโบสถ์ใช่ไหมฮะ ผมชอบพวกเสียงประสานแบบนี้ ทุกวันนี้ดนตรีของเราก็ยังมีเสียงประสานอยู่ จะเยอะจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับเพลงที่เราจัดวางครับ
FJZ: แล้วเพลงไหนของ John Mayer ที่ทำให้พี่รู้สึกว่าเราอยากเล่นดนตรีจริงจังแล้ว
ABOY: ตอนแรกเราก็ฟัง Slow Dancing In The Burning Room ที่ John Mayer เล่นที่ Live in L.A. ปี 2007 มั้งฮะ เพื่อนเปิดให้ฟัง แต่ตอนนั้นเหมือนเรารีบไปเรียน แล้วไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่พอเราได้มาฟังจริง ๆ จัง ๆ เป็นอัลบั้ม เพลงแรกที่ฟังแล้วรู้สึกว่าคลิกเลยคือ No Such Thing ที่เป็นกีตาร์ขึ้นใช่ไหมครับ ฟังแล้วรู้สึกทันทีว่ามันเจ๋ง พอแบนด์ขึ้นมา ก็รู้สึกว่าโอโหมันเต็มไปหมดเลย แล้วก็เราไปไล่ฟังในชุดนั้น ก็จะมี St. Patrick’s Day มี Stop this train อะไรพวกนี้ ทำให้รู้สึกว่า นี่แหละต้องมาทางนี้แล้ว
เล่นดนตรีอาชีพ กับ ทำเพลงของตัวเอง ความรู้สึกต่างกันไหม
ABOY: ตอนนั้นเล่นกับพี่คลี (KLEE BHO) เจ้าของเด๊อะโพครับ แล้วก็เล่นกันอยู่ประมาณประมาณปีกว่า ๆ ช่วงนั้นเราก็ทำเพลงนะครับ คือก็ทำเพลตัวเองบ้าง เหมือนลงให้มันเป็นโปรไฟล์ไว้ ไม่ได้กะว่าจะดังอะไรหรอก แต่ถามว่าเราเล่นเพลงคนอื่นเยอะไหม ก็เยอะ แต่ข้อดีคือ เราจะเลือกเล่นเฉพาะร้านที่เขาให้เราเล่นสไตล์ตัวเองอย่างนี้มากกว่า
อยู่เชียงใหม่เป็นหลักเลยตอนนั้น บางร้านก็อนุญาตให้เราเล่นเพลงแต่งก็มี ช่วงนั้นเราทำเพลงด้วยกันชื่อเพลง เดินทาง ที่ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Low Season แล้วก็มีเพลงของพี่คลีอยู่ประมาณ 4-5 เพลงอะไรอย่างนี้ฮะ
การร่วมงานกับ The Poe Buntuek
ABOY: ผมไว้ใจพี่คลีมาก เพราะเรารู้จักกันมานานมาก เรารู้ว่าเขาเป็นคนยังไงใช่ไหมครับ ตอนแรกเราไม่ได้คิดว่าเราจะร่วมงานกัน เพราะว่าเด๊อะโพ บันทึกจะออกไปทางโฟล์กซะส่วนใหญ่ในตอนแรกที่เขาวางแผนไว้ พอทีนี้ก็มีพี่เดชอีกคนนึง เขาก็ชวนเรามา เราก็มองว่าเฮ้ย มันเป็นโอกาสที่ดีนะ เพราะเดี๋ยวนี้ก็พยายามจะตีตลาดที่มันนอกเหนือจากไทยด้วยครับ ซึ่งเขาไว้ใจให้เราดูแลเรื่องดนตรี เรื่องงานของเราเต็มที่ เขาอาจจะเข้ามาแนะแนวบ้าง แต่ส่วนใหญ่หลัก ๆ แล้วคือเรารับผิดชอบงานของเราทั้งหมด
Track by Track
Sparrow
Sparrow จะไม่ได้อยู่ในระบบสตรีมมิ่งนะครับ อยู่ใน Youtube อย่างเดียว แต่ถ้าจะให้เล่าเพลงนี้ก็เป็นเรื่องราวของเด็กวัยรุ่นมากกว่า พออายุ 18 แล้ว ต้องออกจากบ้านไป ในที่นี้เราเปรียบกับนกกระจอก พอมันปีกกล้าขาแข็งแล้วอยากจะบินไป ก็บินไป ในเนื้อเพลงก็จะประมาณว่าก็ไปเจอเพื่อนใหม่ ไปเจอสื่อใหม่ ๆ อิทธิพลใหม่ ๆ ก็เหมือนจะดีตอนแรก แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วเนี่ย สุดท้ายกลับรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหลงทาง เริ่มสูญเสียแรงบันดาลใจ เริ่มรู้สึกว่าจิตใจฝ่อ ความรักพังทลาย ความฝันล้มเหลว ประมาณนี้ครับ ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับบ้านเพื่อมาเยียวยารักษาจิตใจ มันจะฟังดูน้ำเน่าหน่อยแหละ (หัวเราะ)
Lady
ส่วน Lady เนี่ย แรงบันดาลใจคือเราแต่งให้ผู้หญิงคนหนึ่ง เรารู้สึกว่ามันมีอิทธิพลกับเรามากตอนนั้น แล้วใจความหลัก ก็คืออยากบอกว่า “You’re like a flower soft and tender” แค่นี้เองใช่ไหมฮะ ที่เหลือมันก็เป็นส่วนประกอบที่จะพาเราเข้าไปหาท่อนฮุกอะไรอย่างนี้ ซึ่งถ้าสังเกตเนื้อเพลงจะสั้นมาก แล้วเพลงก็จะไม่ยาวด้วย เปิดมาก็บอกว่า “มันมีอะไรหลายอย่างที่ผ่านมาในชีวิตที่เราสามารถสูญเสียมันไปได้ แต่ผมไม่สามารถเสียคุณไปได้อีกแล้ว”
Ghost In Town
เพลง Ghost In Town แรงบันดาลใจหลักก็คือ เราเห็นการเอารัดเอาเปรียบกันในสังคมเยอะขึ้นทุกวัน แบบเหมือนปลาใหญ่กินปลาเล็ก เราก็เลยรู้สึกว่า มันชักจะไม่ดีแล้ว เราอยากจะส่งเสียงของตัวเองบ้าง แต่ให้มันเป็นเพลงที่แบบไม่รุนแรงเกินไป เราพยายามจะเล่าให้เป็นอุปมา เช่น Ghost ก็คือผีใช่ไหมฮะ มันมีผีตัวนึงอยู่ในเมืองเรา มันชอบแบบเอารัดเอาเปรียบ รังแกคนอื่น พอเดินผ่านวัดวาก็จะเหมือนทำตัวดียิ้ม แต่จริง ๆ เบื้องหลังแล้วเนี่ย ชอบไล่ล่าผู้คนประมาณนี้เลย
ในเพลงก็จะมีท่อนที่แบบ ลุกลี้ลุกลน แบบขี้เล่นหน่อย เสียดสี แฮะ ๆ อะไรแบบนี้ หรือไม่ก็แบบ ถ้าฟังดี ๆ มันจะมี พี่จะไปไฮไลท์ตรงคำว่า King of hell แต่ว่ามันจะเป็น reverb ข้าง ๆ นะ ถ้าฟังจากเครื่องเสียงจะได้ยิน
ส่วนเพลงนี้ จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เป็นฟอร์มธรรมดาเลย เป็น verse แล้วก็ hook แล้วก็ verse hook อะไรแบบนี้ แต่โดยส่วนตัวพี่รู้สึกว่าความพิเศษมันจะอยู่ที่การเรียบเรียงอย่างนี้มากกว่า เราใส่เครื่องดนตรีไปเยอะมาก ประมาณ 60 กว่าแทร็คเลยอะ แต่เราพยายามจะมิกซ์ให้มันดูไม่เยอะ
ความหลงใหลในเสน่ห์ของดนตรีบลูส์
ABOY: พี่ชอบบลูส์มาก ก็คือเริ่มเล่นกีตาร์ใหม่ ๆ ก็เหมือนจะฝึกริฟฟ์บลูส์ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าบลูส์เหมือนกันนะ แล้วก็ชอบบลูส์มากก็เล่นมาเรื่อย ๆ แต่ว่า ถามว่าทำไมถึงใช้แนวดนตรีนี้มา คือมันเป็นอะไรที่เราไม่ได้คิดเลยอะ มันมาเองตอนจับกีตาร์ก็คิดว่า อ๋อ มันควรจะบีทประมาณนี้อะไรอย่างนี้นะ
คิดว่าเพลงหรือดนตรีเป็นอาวุธรึเปล่า
ABOY: โดยส่วนตัวเราไม่ได้คิดว่าดนตรีเป็นอาวุธซะทีเดียว แต่เราคิดว่ามันเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร หรือว่าป้องกันตัวก็ได้ในบางที ผมยังจำคำที่พี่เดช (ผู้จัดการส่วนตัว) พูดกับผมได้เลยว่า “บางทีเรากำลังฟังเพลงเพลงนึงอยู่ แล้วรู้สึกว่าเพลงแล้วมันกำลังโอบกอดเรา ปลอบใจเราในขณะที่เราเศร้า” หรือบางเพลงที่ก็ให้ความรู้สึกที่ดีมาก ดีจนเราเองก็ยังไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยาย
ณ ตอนนั้น อย่างเพลง Ghost In Town ก็ไม่กะว่ามันจะไปดังเปรี้ยงอะไรขนาดนั้น ตอนที่เอาไปเล่นร้านแลบลิ้นพอเราเล่นเสร็จก็มีคนเชียร์ให้ทำ ทำสิ ทำสิ เขาอยากฟัง ก็โอเค ได้ เดี๋ยวจัดให้ ใช้เวลาประมาณหกเดือนกว่าจะเสร็จ ด้วยความที่พี่ทำเองด้วยใช่ไหมครับ มีแค่กลองกับร้องที่ต้องไปอัด นอกนั้นก็เป็นอัดที่บ้าน อะไรแบบนี้ จริง ๆ มันทำภายในเดือนเดียวก็เสร็จแหละ แต่ว่าโดยส่วนตัวพี่รู้สึกว่าเสียงบางเสียงอะ ต่อให้เรารู้ทฤษฎีมันจะไม่ได้ยิน มันจะได้ยินในเวลาที่มันจะมาแค่นั้นอะ
ถ้าให้อธิบายก็แบบ โอเค เรารู้ว่าในแง่ทฤษฎี ใส่โน้ตนี้ ๆ จะได้เสียงนี้ใช่ไหม แต่ใน texture ของเครื่องดนตรีแต่ละเครื่องมันจะเสน่ห์ของมันอยู่ ใส่โน้ตนี้มันก็อาจจะไม่เพราะ พอใส่สองโน้ตตรงนี้มันใช่สำหรับซินธ์ตัวนี้ อะไรแบบนี้ อะไรอย่างงั้นน่ะครับ
ถ้าไม่ได้เล่นดนตรีทุกวันนี้จะทำอะไร
ABOY: ก็อยากจะเปิด เด๊อะโพสาขาสอง (หัวเราะ) ก็คืออยากมีพื้นที่เล็ก ๆ บ้านเล็ก ๆ มีสวน มีปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ แล้วก็เขียนหนังสือ พี่ชอบเขียนหนังสือ อ่านหนังสือ ในเวลาเดียวกันก็ถ้าช่วยเหลือคนอื่นได้ก็จะช่วย แบบอาจจะสอนดนตรีให้เด็ก หรือว่าพอปลูกผักให้มันเยอะก็แจก อะไรแบบนี้
อนาคตที่เราจะได้เห็น
ABOY: ตอนนี้จริง ๆ กำลังวางแผนจะทำอัลบั้มอะครับ มีอยู่ประมาณ 4-5 เพลงตอนนี้ น่าจะเป็นอัลบั้มครับ น่าจะเสร็จไม่กลางปีหน้าก็นู้นแหละ สิ้นปีหน้า (หัวเราะ) ในอัลบั้มที่เราคิดไว้มันอาจจะมีอคูสติดเซ็ทที่เราชอบ คือเราก็ฟังอคูสติกมาเยอะพอสมควรอะนะ พวก Simon and Garfunkel, The Paper Kites มีอิทธิพลต่อเราสูงพอสมควร
ทิ้งท้ายและฝากผลงาน
สำหรับคนที่กำลังอินเลิฟนะครับก็ฝากผลงานเพลง Lady นะครับ เพลงนี้เป็นเพลงที่ง่าย ๆ สั้น ๆ แต่ว่าตรงไปตรงมา จริงใจ ส่วนเพลง Ghost In Town ที่ออกวันนี้ก็หวังว่าหลายคนที่กำลังรู้สึกโดนเอารัดเอาเปรียบแล้วท้อ ถ้าฟังเพลงนี้แล้วอาจจะมีกำลังใจขึ้นมาสักนิดนึง แล้วก็เพลงต่อไปที่ผมจะทำนั้น จริง ๆ แต่งเสร็จแล้ว ชื่อว่า ยังไม่รู้ว่าตั้งชื่ออะไร แต่ว่าเป็นเพลงที่แต่งไปง้อสาวนั้นแหละ ใครที่กำลังประสบปัญหานี้ก็ เร็ว ๆ นี้ครับ เดี๋ยวเจอกัน