เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ เรื่องราวของชีวิตนอกเวลางานดนตรี
- Writer: Patikal Phakguy
- Photographer: Neungburuj Butchaingam
อาจเป็นการเสียเวลาเกินไปหน่อยที่จะมานั่งบรรยายถึงความเป็นมาของ ‘เป้—อารักษ์ อมรศุภศิริ’ เพราะหากนับจากระยะเวลาที่เขาปรากฏตัวในฐานะมือกีตาร์ของวง Slur มาจนถึงตอนนี้ที่เขากลายเป็นฟรอนต์แมนของอารักษ์ & เดอะปีศาจแบนด์ เป้ก็อยู่ในการรับรู้ของเรามาเกือบสิบปีแล้ว
ในฐานะมือกีตาร์และนักร้อง เป้ร้องและเล่นมันมาอย่างต่อเนื่อง เขามีเพลงใหม่ๆ ออกมาให้เราฟังได้ไม่ขาด ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่กำลังเดินทางไปหาเขาเพลง แพ้ ก็ถูกเปิดผ่านคลื่นวิทยุคลื่นหนึ่งลอยออกมาให้ได้ยิน
ในฐานะนักแสดงเป้มีผลงานออกมาไม่เว้นว่าง เมื่อช่วงต้นปี เขามีผลงานบนจอเงินถึงสองเรื่อง ส่วนในจอแก้วก็มีทั้งที่เพิ่งจบไปและกำลังออนแอร์อยู่ ซึ่งตอนที่ผมเดินทางไปนั้น ก็เห็นโปสเตอร์ Club Friday the Seriesตอนที่เขาร่วมแสดงแปะอยู่ตามรายทาง
ในฐานะของคนขี้สงสัย ผมเกิดคำถามว่ามีผลงานเยอะขนาดนี้ เป้มีเวลานอนบ้างหรือเปล่า เขามีงานอดิเรกบ้างมั้ย
ในฐานะของอะไรก็ตาม ผมไม่สามารถตอบคำถามนี้แทนเป้ได้ นอกเสียจากเลิกเวิ่นเว้อไปเรื่อย แล้วเริ่มต้นถามเขาสักที
นอกจากกีตาร์แล้ว เป้ อารักษ์ ชอบอะไรอีก
ความจริงแล้ว ผมชอบอะไรสนุกๆ แมนๆ มาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่หน้าตาผมอาจจะไม่ได้ดูเก๋าเกมหรือซ่ามากนัก อย่างตอน ม.2 ผมก็ต่อยมวย ตอน ม.4 เห็นเพื่อนเล่นสเกตบอร์ดก็อยากเล่นบ้าง แต่พอลองก็รู้สึกว่าเราเก่งไม่ทันเพื่อนแล้ว ไถได้นิดหน่อย ออลลี (Ollie) ไม่ขึ้นก็เลยต่อยมวยไปจนถึง ม.6 แล้วก็เลิก
ทำไมถึงเลิก
ส่วนหนึ่งเพราะผมทำงานตั้งแต่เด็กๆ เลยไม่ค่อยมีเวลา แต่อีกส่วนก็เพราะไม่มีกีฬาไหนที่ผมชอบเป็นพิเศษ บาสก็ไม่เล่น สเกตบอร์ดก็อันตรายไป ตอนนั้นนี่เล่นดนตรีกับเที่ยวอย่างเดียวเลย จนประมาณ 25 มาเจอการปีนผาก็รู้สึกถูกโฉลกมาก เพราะเป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้คนเยอะ
ไม่ชอบเล่นกีฬากับคนเยอะๆ เหรอ
สำหรับผมการเล่นกีฬาเป็นทีมมันวุ่นวายแล้วก็เป็นดาบสองคมด้วยน่ะครับ ผมเคยไปเตะบอลแล้วเพื่อนเล่นกันจริงจังมาก ตะโกนด่ากันปาวๆ ผมเองเล่นไม่เก่งก็เลยกดดันพานไม่อยากเล่น แถมผมก็ไม่ค่อยว่าง จะให้นัดไปเตะบอลทุกศุกร์ก็ไม่ได้ หรือพอผมว่าง คนอื่นไม่ว่างก็เตะไม่ได้อีก แต่ปีนผามันไม่ต้องรอใคร ผมไปกับเพื่อนแค่คนเดียว หรือไปเจอใครสักคนที่ผาจำลองก็เล่นได้แล้ว
ปีนผาผมเอาสนุก เอาจริงไม่ได้ เวลาไม่พอ มอเตอร์ไซค์นี่ยิ่งแล้วใหญ่ ได้แค่ขี่เฮฮา ผมเอาจริงแค่งานเพลง ส่วนการแสดง ถ้าได้งานมา ผมก็ทำเต็มที่ แต่ไม่ได้ซีเรียสมาก ถ้าวันไหนไม่มีงานก็คงเลิกทำ
ทำไมถึงไม่วิ่งล่ะ มันไม่ต้องรอใครเหมือนกันนะ
ผมไม่ชอบธรรมชาติของมันครับ ผมเคยพยายามจะวิ่ง ไปซื้อรองเท้ามาอย่างดีเลย แต่ไม่ว่าจะวิ่งตามสวนหรือที่ไหนก็น่าเบื่อมาก คือมันได้อยู่กับตัวเองก็จริง แต่มันไม่มีความท้าทายใหม่ๆ เลย ทางก็เส้นเดิม จะให้ไปวิ่งมาราธอนก็เป็นการฆ่าตัวตายเกินไป ผมไม่ได้อึดขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง ผมชอบธรรมชาติของการปีนผา มันท้าทาย บางทีเราเล่นอันนี้ไม่ผ่าน วันรุ่งขึ้นลองใหม่ก็ยังไม่ผ่านอีก มันเจ็บใจนะ แต่พอผ่านปุ๊บนี่โคตรสะใจเลย
ทำอีท่าไหนถึงมาปีนผาได้
เพื่อนชวนครับ เขาเล่นฟิตเนสมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วตอนนั้นเขาชวนไป The Racquet Club ซึ่งมีพวกอุปกรณ์ปีนผาจำลองอยู่ ใหญ่มาก คุณภาพดีด้วย พอผมไปเล่นก็รู้สึกว่ามันใช่ มันได้สมาธิ มันมีความท้าทาย ร่างกายช่วงบนก็แข็งแรง ติดใจเลย
ความรู้สึกหลังปีนครั้งแรก
เหมือนโดนทหารรุมทุบ มือเปิดเลย ต้องพักไปอีกหลายวัน แต่พอหายแล้วก็กลับไปปีนใหม่ ปีนจนติดเลย จากผอมๆ ก็เริ่มตัวใหญ่ขึ้น ปีนผาทำให้ผมรู้สึกได้เป็นคนแข็งแรงกับเขาบ้าง
เกี่ยวกับการต้องฟิตหุ่นเพื่อเล่นละครมั้ย
ไม่ขนาดนั้นครับ เพราะตอนผอม ผมก็เล่นหนังมาหลายเรื่อง หรือก่อนหน้านั้นผมมีเล่นฟิตเนสเพื่อเข้าฉากบ้าง แต่พอจบแล้วก็จบกัน กลับไปเหี่ยวเหมือนเดิม แต่ปีนเขานั้น ผมทำเป็นประจำ มันสนุกแบบผมไม่ต้องบังคับตัวเองให้ไปเล่นเลย
มันไม่ยากเหรอ
ไม่ยากครับ ผมเชื่อว่าทุกคนเล่นได้นะ อย่าไปคิดมากก็พอ การปีนผามันคือการแข่งกับตัวเอง เราแข่งกับผาที่อยู่ตรงหน้า แถมธรรมชาติของนักปีนเขายังชอบเชียร์ แม้แต่คนบีเลเยอร์ (Belayer หรือผู้ที่ทำหน้าปล่อยและบังคับเชือกให้ผู้ปีน) ก็จะคอยให้กำลังใจ ซึ่งผมว่ามันเป็นส่วนที่ทำให้กีฬาชนิดนี้มีเสน่ห์
แบบนี้ต้องมีบีเลเยอร์คู่ใจมั้ย
ไม่จำเป็นนะครับ แต่ถ้ามีคนที่ไว้ใจได้ เราก็จะกล้าไปในที่ที่มันยาก กล้าเสี่ยง กล้าตกมากขึ้น อย่างผมก็จะมีเพื่อนคนหนึ่งที่มั่นใจว่าเขาเอาผมอยู่ ผมเอาเขาอยู่ เวลาปีนก็จะมั่นใจขึ้น
การมีบีเลเยอร์สำคัญอย่างไร
ผมแบ่งการปีนผาออกเป็นสามประเภท
อย่างแรกคือ Bouldering ไม่จำเป็นต้องมีบีเลเยอร์ เพราะเป็นการปีนในที่ไม่สูงมาก ประมาณ 5-6 เมตร ไม่ต้องใช้เชือกก็ได้ มีเบาะหรือพื้นนิ่มๆ คอยรอง
ส่วนอีกสองประเภทอย่าง Top Roap Climbing กับ Lead Climbing นั้นจำเป็นต้องมีบีเลเยอร์ ทั้งสองแบบเป็นการปีนโดยใช้เชือก ซึ่งเชือกแต่ละเส้นจะยาวได้มากสุด 70 เมตร นั่นหมายความว่า เราปีนได้มากสุดที่ 35 เมตร
Top Roap Climbing จะเป็นการปีนแบบมีอะไรเหนี่ยวไว้ที่ด้านบน เวลาเราปีน บีเลเยอร์ก็จะดึงเชือกตามได้ตลอด ส่วน Lead Climbing จะเป็นเราเองที่เอาเชือกไปแขวนตามจุดเซฟตี้ต่างๆ ซึ่งบีเลเยอร์จะสำคัญสำหรับการปีนประเภทนี้มาก เพราะถ้าเกิดเราไม่มั่นใจในบีเลเยอร์ เราก็จะไม่กล้าตก ปีนได้ไม่เต็มที่ ทั้งที่จริงๆ แล้ว การตกเป็นเรื่องธรรมดาของการปีนแบบนี้เลยนะ
เวลาตกไม่กลัวเหรอ
มันต้องฝึกตกเลยครับ โดยเฉพาะการ Lead Climbing มันต้องลองปีนไปแขวนเชือก แล้วกระโดดลงมาเลย เวลาตกขึ้นมาจริงๆ จะได้ชินกับการวางขา ผมเองเคยตกที่เชียงดาว ขาตีเชือกหมุนติ้ว หัวห้อยต่องแต่งแบบเวลาพวกตัวละครในหนังโดนกับดักเลย ซึ่งมันถือเป็นการตกที่รุนแรงครั้งหนึ่งที่เคยเจอมา
ทำไมถึงติดใจการปีนผา
อาจเพราะมันเป็นกีฬาเอาต์ดอร์ที่สามารถซ้อมอินดอร์ได้ อย่างผมชอบเซิร์ฟ เวลาจะเล่นทีต้องไปภูเก็ต 3-4 วัน พอเริ่มจะเล่นได้ก็ต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว อยู่นี่ก็ไม่มีที่ให้เล่นอีก มันเลยกลายเป็นกีฬาที่ชอบ แต่ไม่สามารถทำให้เก่งได้ แต่ปีนเขามันตรงกันข้าม ผมสามารถหาเวลาซ้อมได้ตลอดเวลา
ใช้เวลานานมั้ยกว่าจะออกไปเล่นเอาต์ดอร์
เกือบๆ ปีครับ ตอนแรกผมไม่ค่อยกล้า ไม่มีแก๊ง ไม่มีความมั่นใจด้วย แต่พอได้ออกไปครั้งแรก โอ้โห ปีนไม่หยุดเลย ชอบมาก กรี๊ดกร๊าดมาก
มันต่างกันยังไง
สัมผัสต่างกัน ความสนุกต่างกัน เวลาขึ้นไปถึงเป้าหมายก็ต่างกัน คือเราเป็นคนเมือง ได้ออกต่างจังหวัดทีก็ไปเล่นคอนเสิร์ต มันไม่ได้รู้สึกว่าเจอธรรมชาติเท่าไหร่ แต่การปีนผาเอาต์ดอร์ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้แบกเป้ขึ้นผา ได้เจอธรรมชาติจริงๆ ได้เจอลิง ขี้งู คราบงู นกฮูก แม้ว่ามันจะเป็นธรรมชาติที่มีคนเคยผ่านมาแล้ว แต่ผมก็ยังสบายใจ รู้สึกเหมือนได้ออกไปจากคอมฟอร์ตโซน
ไปครั้งนึงนานมั้ย
ส่วนใหญ่จะใช้เวลาเต็มวันเลยครับ ไม่งั้นมันเสียเวลา อย่างผมไปกระบี่ก็อยู่ไปเลยห้าวัน ปีนทั้งวัน วันไหนปีนไม่ไหวก็ว่ายน้ำแทน
เวลาปีนได้สนใจวิวรอบข้างบ้างมั้ย
ไม่เลย จะมีก็แค่ตอนปีนจบเท่านั้นแหละ แบบว่าเออ สวยดี แต่ดูได้แป๊บเดียวก็ปีนลงแล้วนะ ผมว่าความสนุกของการปีนผามันอยู่ที่ตอนปีนมากกว่า ยิ่งถ้าเป็น Lead Climbing ด้วยแล้วมันไม่มีเวลาชื่นชมอะไรหรอก เพราะถ้าเราเกี่ยวไม่ได้มันก็จะตก มันก็เลยมีบางจังหวะที่เราต้องคิดว่าจะไปต่อมั้ย ถ้าเกี่ยวไม่ได้นี่ตกลงไป 7 เมตรเลยนะเว้ย แต่บางจังหวะเราก็จะคิดว่า ถ้าจับได้มันจะสนุกมากเลยนะ ไปดีไม่ไปดี ในใจนี่ตีกันวุ่นไปหมด
ส่วนใหญ่จะเลือกจับหรือไม่จับ
ตอนแรกผมคิดว่าสไตล์ของตัวเองคือความไม่กลัว ความบ้า แต่ตอนหลังผมพบว่าตัวเองมีความปอดอยู่ จะไม่เหมือนพวกนักกีฬาหรือพวกมือโปรฯ คนพวกนี้เวลาตกจะไม่ตะโกน จะไม่บอกก่อน ตกคือตกเลย
มันไม่อันตรายเหรอ
เขาไว้ใจบีเลเยอร์ ซึ่งจริงๆ ถือเป็นวิธีที่ถูกนะ การตะโกนว่าจะตกแล้วๆ แบบที่ผมทำคือผิด มันอาจทำให้การบีเลย์ผิดจังหวะ อาจทำให้เราฟาดกับหน้าผาได้ แต่จะห้ามไม่ให้ตะโกนก็ไม่ค่อยได้หรอกครับ กลัว
เคยไปแข่งบ้างมั้ย
พลาดตลอด ติดงานทุกครั้งเลยครับ
แล้วหาเวลามาเล่นได้ยังไง
ผมเลยไม่เก่งขึ้นเท่าไหร่ (หัวเราะ) ผมเก่งแค่ในจุดหนึ่งแหละครับ ไม่ได้เหนือกว่าคนทั่วไปนัก ถ้ามือใหม่ปีนเป็นประจำ 4-5 เดือนก็อาจเก่งกว่าผมได้เลย ผมอ่อนซ้อมมาก แต่ก็พยายามปีนให้ได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งนะ ถ้าไม่ว่างจริงๆ ผมก็จะดึงข้อเอากับเทรนนิ่งบอร์ดที่บ้าน คนออกกำลังน่าจะเข้าใจ หยุดนานไม่ได้ กล้ามเนื้อมันเรียกร้อง
ได้ยินว่าคุณชอบมอเตอร์ไซค์ด้วย
ผมชอบมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มันมีความแมนแฝงอยู่ พี่หลิวเต๋อหัว, มาร์ลอน แบรนโด, เจมส์ ดีน, คีอานู รีฟส์ พวกคนเท่ๆ ก็ขี่กันหมด ประกอบกับเมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อนในกลุ่มดันซื้อมอเตอร์ไซค์พร้อมกันห้าคนเลย เราก็อยากเล่นกับเพื่อนบ้าง แล้วบังเอิญว่าต้องขี่มอเตอร์ไซค์ในละคร เลือดตัดเลือด พอดี ผมก็เลยซื้อด้วย เป็น Honda GB250 มือสอง ปรากฏว่าซื้อคันแรกก็โดนย้อมเลยครับ เครื่องพัง ซ่อมมาสองปีแล้ว ขอฝากทางฟังใจประกาศขายเลยแล้วกัน ผมเปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนคาบูเรเตอร์ ทำทุกอย่างใหม่นิ้ง หน้าตาดีมากเลยนะ
เดี๋ยวนะ…
(หัวเราะ) แต่ตอนนี้ผมก็มีเพิ่มมาอีกสองคันนะ เป็นมอเตอร์ไซค์วินเทจ BMW R100 กับ Ducati Scambler
เสน่ห์ของมอเตอร์ไซค์อยู่ตรงไหน
เวลาอยู่บนนั้นผมรู้สึกเหมือนได้อยู่บนรถไฟเหาะ ไม่ว่าขี่ไปใกล้ไกลแค่ไหนก็เสียวตลอดเวลา มันสนุกน่ะครับ ผมก็เลยติดใจ
ได้ขี่ในชีวิตประจำวันบ้างมั้ย
น้อยครับ ถ้าขี่ก็แค่แถวบ้าน เพราะรถของผมค่อนข้างใหญ่ ลัดเลาะไม่ค่อยได้ ถ้าจะขี่ไปทำงานวันนั้นต้องมีเวลาเหลือเฟือจริงๆ ส่วนใหญ่ผมเลยจะใช้มอเตอร์ไซค์เพื่อการพักผ่อนมากกว่า
พักผ่อนอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่ได้ Ducati Scrambler มา ผมก็ชวนเพื่อนคนนึงขี่ไปภูเก็ตเลย ไปเพื่อเอาไว้ตอบคำถามที่ว่า “ขี่ไปไหนไกลที่สุด” เพราะตอนที่ผมมีมอเตอร์ไซค์แรกๆ คนชอบถามว่าขี่ไปไหนมาบ้าง แล้วเวลาตอบว่าบางแสน มันดูไม่เท่เท่าไหร่ พอซื้อคันใหม่ ผมเลยบอกเพื่อนว่าไปภูเก็ตกัน 900 กิโลฯ ไปให้จบๆ (หัวเราะ)
ช่วยเล่าประสบการณ์หน่อยครับ
อย่างที่บอกว่าไกลสุดของผมคือบางแสน หรือไม่ก็นครชัยศรี ซึ่งมันก็แค่ชั่วโมงเดียวจากกรุงเทพฯ แต่การขี่ไปภูเก็ตมันเหมือนกับอีกเรื่องนึงเลย มันคือ 13 ชั่วโมงนะครับ แล้วผมไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย นอนก็ไม่พอ แวะกินกาแฟกับเครื่องดื่มชูกำลังตลอดทาง ขาไปยังดีหน่อยแวะนอนพักที่ระนอง แต่ขากลับนี่ยิงยาวรวดเดียว ถึงกรุงเทพฯ ตีสอง ลงจากรถเดินแทบไม่ได้
เคยเจ็บตัวจากมันบ้างมั้ย
ผมเพิ่งไปล้มที่ปากช่องมา เป็นการแข่งแบบมิตรภาพ เป็นสนามโคลน ซึ่งยางของรถที่จะลงควรต้องมีดอกยางสำหรับใช้วิบากโดยเฉพาะ แล้วก็ต้องคันไม่ใหญ่ไป เพราะถ้าน้ำหนักมันเยอะ เครื่องแรงเกิน ตูดก็จะปัดตลอดทาง ผมก็ไม่รู้ครับ เห็นรถวิบาก รถ 100cc ลงได้ก็เอาบ้าง คว้าหมวก ขี่รถปาดเข้าไป เลี้ยวขวาปุ๊บ ล้มเลย ยังไม่ทันได้แข่ง โชคดีที่ใส่เซฟตี้แล้วรถทับขาไม่แรง มันเลยไม่หัก
ทุกวันนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้แนว ไม่ได้ล้ำแบบที่คนอื่นคิดว่าเราต้องเป็น สมัยก่อนผมจะคิดว่ารสนิยมของเราเจ๋งที่สุดในโลก ซึ่งมันผิดไง ตอนนี้ผมเมนสตรีมขึ้นเยอะ เปิดกว้างมากขึ้น ผมชอบวง Bigbang ชอบเทย์เลอร์ สวิฟต์
ระหว่างมอเตอร์ไซค์กับปีนผาชอบสิ่งไหนมากกว่ากัน
ปีนผาครับ เพราะหลังกลับจากภูเก็ตผมก็แทบไม่ขี่ไปไหนเลย มันเหมือนกับเอาชนะตัวเองได้แล้ว เอาชนะคำถามที่คนถามมาได้ก็พอแล้ว
ก่อนหน้านี้ คุณเคยออกหนังสือรวมบทกวีด้วย
ใช่ครับ อายมาก
ทำไม?
มันเหมือนผมไปแย่งงานเขา ตอนนั้นความเป็นดาราของผมมันค่อนข้างใหญ่ จากที่ตั้งใจว่าจะทำตัวติสต์ๆ ออกหนังสือ สุดท้ายผมก็ต้องไปโปรโมตหนังสือในรูปแบบของดาราอยู่ดี แล้วผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เขียนดี เลยคิดว่า เฮ้ย ไม่ใช่ละ เราไม่ใช่เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ ที่ทนทุกข์ทรมานจากการรบ ไม่ใช่เคิร์ต ฟอนเนกัต ที่รอดมาจากค่ายกักกัน เราไม่ใช่พี่คุ่น—ปราบดา หยุ่น ไม่ใช่น้าชาติ กอบจิตติ หนังสือของเราความหนาเท่ากับของเขา แต่คุณค่าของเรามันไม่เท่ากับเขาไง ก็เลยอายที่จะต้องไปอยู่ในฐานะนั้น
ที่บอกว่าแย่งงานเขา หมายถึงยังไงเหรอครับ
มันไม่เชิงในเรื่องของธุรกิจนะ แต่เป็นเรื่องที่ว่าผมเป็นแค่หนอน จะไปแข่งกับนักเขียนเก๋าๆ อย่างแดนอรัญ แสงทอง มันก็ไม่ใช่ ผมเลยรู้สึกว่าไม่อยากไปยุ่ง แต่บทกวีที่ผมเขียนในตอนนั้น (สิ่งที่สวยงามมักจะอยู่ไกลออกไป) มันก็จริง มันก็มีคุณค่าในตอนนั้นนะ แต่อาจจะไม่มากพอในสายตาเราที่จะทำให้คนมาซื้อหนังสือได้ แต่ถ้าเป็นเพลงนี่ตรงกันข้ามเลยนะครับ ผมภูมิใจ เพราะไม่มีใครทำแบบเรา แล้วเพลงก็มีคุณค่าในตัวของมัน
คิดว่าการเขียนกวีกับการเขียนเพลงต่างกันมั้ย
เขียนเพลงมีข้อจำกัดมากกว่า มันจำกัดความคล้องจอง ความสวยงาม เมโลดี้ เครื่องดนตรี หรือต่อให้ร้องอย่างเดียวก็จำกัด แต่ถ้าเป็นกลอนเปล่าจะไม่จำกัดเลย อาจแค่สัมผัสอักษรตัวหน้า สระ พยัญชนะ หรือบางทีมันไม่สัมผัส เราก็คิดว่ามันสัมผัสได้เหมือนกัน
ตอนนั้นเขียนนานมั้ย
นานครับ เขียนอยู่หนึ่งปี บางทีลืมเอาสมุดโน้ตไปก็เขียนใส่กระดาษแล้วมาลอกทีหลัง
ทำเพราะเขาชวนหรือมีความสนใจอยู่แล้ว
จริงๆ ผมเขียนเก็บไว้ก่อนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นพวกที่เอาไปทำเพลงไม่ได้ ก็จะมีอยู่ประมาณ 20 อัน แล้วพอดีเจอพี่เสี้ยวจันทร์ แรมไพร เขาก็ชวนมาทำหนังสือ เราก็เลยขอเวลาไปเขียนอยู่หนึ่งปี ได้ประมาณหกสิบกว่าอัน
ได้ยินมาว่าชอบอ่านหนังสือด้วย
อาจดูเหมือนพูดอวดตัวไปหน่อย แต่สมัยเด็กๆ ผมอ่านแบบบ้าคลั่งเลยนะครับ พวกดรุณศึกษาหรือการอ่านนอกเวลา เพื่อนๆ จะชอบบอกให้อ่านแค่เรื่องย่อ แต่ผมอ่านทั้งเล่มเลย ไม่ว่าภาษาไทยภาษาอังกฤษ ผมอ่านหมด พอโตมาก็เริ่มอ่านอะไรที่มันยากขึ้น ซึ่งจริงๆ ก็เริ่มมาจากแฮร์รี่ พอตเตอร์นะ ติดมาก จำได้เลยว่าเล่ม 4 ออกตอนผมเรียนม.4 พอดี วันแรกที่วางขาย ผมโดดเรียนไปซื้อมาอ่านรวดเดียวจบ คลั่งมากๆ
นอกนั้นก็อ่านงานของน้าชาติ, อาว์ ’รงค์ วงษ์สวรรค์, ฮารูกิ มูราคามิ คืองานของคนรุ่นนั้นเหมือนมีส่วนผสมของความเข้าใจง่ายกับความอาร์ตอยู่แล้วก็มีลักษณะเป็นวรรณกรรม แต่คนที่ผมโตมาด้วยเลยจริงๆ คือพี่คุ่นครับ ผมอ่านงานของเขาทุกเล่ม ไม่ว่าจะเรื่องสั้น บทความ บทสัมภาษณ์ วิจารณ์เพลง อ่านหมดเลย ติดมาก
ชอบงานไหนของ ปราบดา หยุ่น เป็นพิเศษ
ชอบ ชิทแตก! เป็นบ้าเลย ผมอ่านไปสองรอบ จำได้ว่ารอบแรกอ่านบนรถไฟฟ้า ถึงสถานีแล้วนะ แต่ไม่ยอมลง สุดท้ายต้องเดินลงมาอ่านให้จบที่ชานชาลา คือเล่มนี้มันมีแฟนตาซีของวัยรุ่นอยู่ มันพาเราไปในจุดที่ไม่เคยไป แถมเพลงประกอบก็เหลือกินมาก โคตรเพราะอะ
ทุกวันนี้เสพสื่อเยอะมั้ย
น้อยครับ เสพเฟซบุ๊กเหมือนคนอื่นเขา ทุกวันนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้แนว ไม่ได้ล้ำแบบที่คนอื่นคิดว่าเราต้องเป็น สมัยก่อนผมจะคิดว่ารสนิยมของเราเจ๋งที่สุดในโลก ซึ่งมันผิดไง ตอนนี้ผมเมนสตรีมขึ้นเยอะ เปิดกว้างมากขึ้น ผมชอบวง Bigbang ชอบเทย์เลอร์ สวิฟต์ แต่ชอบที่ไรอัน อดัมส์คัฟเวอร์เทยเลอร์ สวิฟต์มากกว่า
มันทำให้ตัวเราเปลี่ยนไปหรือเปล่า
ถ้าหมายถึงการทำเพลงก็ไม่นะครับ แค่ผมแบ่งมันออกเป็นสองด้าน ได้แก่ ด้านที่ทำเพลงเล่าเรื่องจริงจังแบบชุดแรก (Auto Erotic) กับด้านที่ผมคิดว่าน่าจะป๊อปอย่างเพลง คิดถึง หรือ แพ้ ซึ่งผมพยายามย่อยให้มันง่ายขึ้น ไม่ได้เล่าเรื่องที่มันจริงมาก แต่พวกเพลงแบบแรกผมก็ยังทำอยู่นะ เยอะด้วย ถ้าได้ออกอัลบั้มชุดใหม่ได้ฟังแน่
จะได้ออกมั้ย
ไม่แน่ใจเลยครับ ถ้าอยากให้ออก คุณต้องทำให้เพลง แพ้ และเพลงต่อๆ ไปที่จะออกดัง (หัวเราะ)
เอาจริงๆ ความดังมันไม่ได้มีผลต่อผมมาก แต่มันมีผลต่อการดำรงชีวิต เรื่องการอยู่กับค่าย การทำให้วงมีงานเล่น คือผมไม่สามารถโปรยเงินให้เพื่อนๆ ในวงใช้ได้ ดังนั้น ถ้าปีศาจแบนด์ดังได้ มันก็จะดีกว่าในแง่ของนักดนตรี มันทำให้ผมสามารถอยู่เล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ในวงได้ ส่วนพวกงานส่วนตัวมันก็มีความจำเป็นที่จะต้องทำเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงเวลา
ไม่ต้องห่วงว่าผมจะเปลี่ยนไป ผมมีของที่มันเป็นตัวผมอยู่เยอะมาก แต่ว่าคุณต้องทำให้ของที่ผมตั้งใจให้คนหมู่มากชอบได้รับการยอมรับก่อน
ขอถามเรื่องการแสดงบ้าง คุณชอบมันมั้ย
ชอบ ผมเป็นคนชอบอะไรง่าย โชคดีมากเลย
แล้วตอนที่เริ่มแสดงแรกๆ ล่ะ
ไม่เลย ผมทำเพราะอยากได้เงินมาซื้อเครื่องดนตรี งานโฆษณาชิ้นแรกได้เงินมาห้าหมื่น ผมเปลี่ยนกีตาร์เป็น Les Paul Custom ไปเล่นเกมเศรษฐีได้เงินหมื่นกว่าบาท ผมซื้อไมค์ AKG เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเจอพี่เงาะ—รสสุคนธ์ กองเกตุ ตอนแคสติ้งเรื่อง บอดี้ ศพ #19 มุมมองของผมต่อการแสดงก็เปลี่ยนไป มันไม่ใช่แค่ไปแอ็กหน้ากล้องแล้ว มันกลายเป็นว่าต้องมีพื้นฐาน ต้องมีความเข้าใจตัวละคร ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นสนุกเลย
มันก็คืองานแสดงชิ้นแรกๆ เลยไม่ใช่เหรอ
ใช่ครับ โชคดีที่ผมได้อาจารย์ดี ทีมงานดีตั้งแต่งานแรก แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้ตั้งใจเอาจริงด้านการแสดงนะ เท้าข้างหนึ่งเตรียมถอยกลับไปเสมอ ตอนถ่าย บอดี้ ศพ #19 ใกล้จบก็คิดว่า เฮ้ย ไม่ได้หล่อขนาดนั้น จะไปรอดได้ยังไง เดี๋ยวจบเรื่องนี้ก็คงไม่มีแล้ว ปรากฏพี่ต้อม—ยุทธเลิศ สิปปภาคติดต่อให้ไปแคสต์เรื่อง รักสามเศร้า ก็เงียบไปนานมาก แต่พอได้เล่นก็ดีใจ แฮปปี้ โอเค พอเริ่มคิดว่าคงไม่ได้ไปต่อแล้ว พี่นิด—อรพรรณ พานทอง (หัวเรือใหญ่ของค่ายโพลีพลัส) เรียกเข้าไปคุย ชวนเล่นละคร ทีนี้ก็ยาวเลย
ดูเหมือนเป็นคนเอาจริงกับทุกด้านเลย
ปีนผาผมเอาสนุก เอาจริงไม่ได้ เวลาไม่พอ มอเตอร์ไซค์นี่ยิ่งแล้วใหญ่ ได้แค่ขี่เฮฮา ผมเอาจริงแค่งานเพลง ส่วนการแสดง ถ้าได้งานมา ผมก็ทำเต็มที่ แต่ไม่ได้ซีเรียสมาก ถ้าวันไหนไม่มีงานก็คงเลิกทำ ผมไม่ได้มี passion มากขนาดนั้น ผมเป็นแค่เฟืองตัวเล็กๆ ซึ่งมันต่างกับงานเพลงที่ผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งค่ายไม่เอาแล้ว วงไม่เอาแล้ว ผมก็จะทำต่อไป เพราะกับการทำเพลงผมคือเจ้าของโครงการ
เวลาคิดเพลงไม่ออก เป้ อารักษ์ ทำยังไงครับ
ปล่อยมันไปครับ ผมไม่เคยบังคับตัวเองให้เขียน ผมไม่เคยรับเพลงตามโจทย์เลย พวกเพลงที่ไปแจมกับ happening (เพลง สิทธิ์) หรือองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (เพลง ตอ) คือเพลงที่ผมแต่งเก็บเอาไว้อยู่แล้ว พอเอาไปใช้มันเลยเป็นตัวผมจริงๆ แต่ก็คงมีให้ใช้ได้ไม่ครบทุกแคมเปญนะ อย่างก่อนหน้านี้พี่จิระนันท์ พิตรปรีชาชวนให้แต่งเพลงเกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่า ผมแต่งไม่ได้ อยากแต่งมาก แต่ทำไม่ได้สักที มันอาจเพราะผมยังเห็นภาพไม่ชัดก็ได้
ภาพที่ชัดแล้วคือแบบไหน
ชอบมีคนถามว่าถ้าจะแต่งเพลงต้องเริ่มจากอะไร ทำนองหรือเนื้อ บอกเลยว่าของผมคือเริ่มพร้อมกัน แต่ก่อนหน้านั้นต้องเห็นภาพชัดก่อน ยกตัวอย่าง เพลง แพ้ ผมเห็นภาพชัดมาก เพราะมันเป็นเรื่องจริง
เรื่องมันเริ่มมาจากผู้หญิงคนหนึ่ง สวยมาก ตอนที่รู้จักกันผมถามเขาคำแรกว่ามีแฟนหรือยัง เขาบอกว่าไม่ได้คุยมาเป็นเดือนแล้ว ในใจเราก็คิดว่าไม่มีชัวร์ ผมเลยจริงจังกับเขามาก ตอนนั้นแฮปปี้สุดๆ จะพาไปเจอแม่แล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง ผมไปหาเขาที่คอนโดฯ แต่คลาดกัน ก็ขึ้นลิฟต์ไปดักรอที่หน้าห้อง รอได้สักพักก็มีผู้ชายคนหนึ่งออกจากลิฟต์มา แล้วถามผมว่า มาหาคนนี้เหรอครับ แล้วก็กดรหัส ชวนเราเข้าไปในห้องด้วย ผมก็แบบ อ้าว มีแฟนอยู่แล้วนี่หว่า
สภาพของผมในวันนั้นเหมือนคนที่โดนชกจนน่วม ผมโทร.ไปทะเลาะกับเธอ บอกเลิกเป็นเรื่องเป็นราว แต่ห้าวันถัดมา ผมไปง้อว่ะ (หัวเราะ) มันแพ้จริงๆ คือผมไม่แพ้อะไรเลยนะ กุ้ง ปูกินได้ เวลาทะเลาะกับใครก็ไม่กลัว แต่พอเจอเธอคนนี้ เราแพ้จริงๆ
ชอบมีคนถามว่าถ้าจะแต่งเพลงต้องเริ่มจากอะไร ทำนองหรือเนื้อ บอกเลยว่าของผมคือเริ่มพร้อมกัน
เป็นกับทุกคนหรือแค่คนนี้
ไม่ คนเดียวเลย คนอื่นอาจเสียใจสัก 3-4 วันแล้วก็ดีขึ้น แต่คนนี้เขาเล่นเราได้ตลอดเลยว่ะ
ยังแพ้อยู่มั้ย
เขาไม่โทร.มาแล้วครับ ไม่ได้บอกด้วยว่าแต่งเพลงให้เขา
คิดว่าเขารู้มั้ย
ผมว่าเขารู้ แต่คงไม่สนใจหรอก
เอาเป็นว่าผมต้องเห็นภาพชัดแบบนี้แหละ ผมถึงจะแต่งเพลงได้ ไม่งั้นเนื้อเพลงแบบ “แต่กับเธอแค่ยืนหน้าประตู ไม่ต้องสัมผัสแค่ดู ฉันก็ต้องลงไปคุดคู้” คงเกิดขึ้นไม่ได้หรอก
ผู้หญิงถือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับ เป้ อารักษ์ มั้ย
แน่นอน คือเวลามีแฟนผมก็รักเดียวใจเดียวนะ แต่ช่วงที่ไม่มี ก็มีผู้หญิงหลายแบบเข้ามาหา บางคนก็ฉาบมาด้วยความหวานเลย บอกว่าจะจริงจังอย่างนั้นอย่างนี้ แต่บางคนก็ฉาบมาด้วยความเถื่อน อารมณ์แบบว่าตั้งใจจะมาเจอกันแค่แป๊บเดียวนี่แหละ
มองออกมั้ย
ไม่ออก มองออกจะแพ้เหรอ
เหมือนเป็นเรื่องเดียวที่แพ้เลยนะ
ตามประสาผู้ชายแหละครับ
ในอนาคต เป้ อารักษ์ อยากทำอะไรอีก
อยากทำเพลงฮิตครับ อยากทำเพลงฮิตจังเลย (หัวเราะ)
ไม่ถือเป็นการกดดันตัวเองเหรอ
กดดันเหมือนกัน แต่ถ้าสังเกต เพลงที่ป๊อปที่สุดของผมมันก็ไม่เหมือนเพลงป๊อปของคนอื่น เพราะผมแบ่งครึ่งความแมสและความติสต์ในตัวออกมาให้คนอื่นได้ฟัง ซึ่งมันติสต์เกินไปหรือจะฮิตมั้ย ผมไม่รู้หรอก แต่ผมชอบมันมากเลย อย่างเพลง แพ้ ตอนได้เดโมมาผมฟังทั้งวันเลย ผมคิดว่าตั้งแต่เริ่มต้นทำเพลงมา เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมทำได้เฟี้ยวที่สุดแล้ว
หมายความว่าต่อไปจะไม่มีเพลงแบบ มาเลเซีย หรือ ไก่ อีกแล้ว?
คงไม่กล้าเรื้อนขนาดนั้นแล้ว ชุดแรกกับชุดสอง (อารักษ์ & เดอะปีศาจแบนด์) ผมกล้ามาก ชุดต่อๆ ไปคงไม่มีเพลงที่มีกิมมิกจัดๆ แล้ว แต่เรื่องราวยังเข้มข้นเหมือนเดิมแหละ บางทีอาจข้นกว่าเดิมด้วย และที่แน่ๆ ผมคงไม่พูดเรื่องการเมืองแล้ว
เพราะโดนด่า?
ไม่ใช่โดนด่าอย่างเดียว มันไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดแล้ว สับสนไปหมด ก็เลยปล่อยมันไป ใครจะมาชวนให้ไปยุ่งกับการเมืองนี่ไม่ต้องเลย ตอนนี้ผมทำเพลงเพราะว่ามันเพราะ และหวังจะเล่าเรื่องอะไรบ้าง ไม่หวังว่ามันจะไปเปลี่ยนโลกแล้ว อย่างผมเอง แต่งเพลง สมศรี กะว่าจะให้เด็กไทยฟัง พ่อแม่เอาไปเปิดให้ลูกหลานฟัง มันก็ไม่ได้เป็นแบบที่ตั้งใจ คนฟังเพลงเพราะว่ามันเพราะ ถ้าอยากจะเปลี่ยนอะไรจริงๆ มันต้องทำแบบอื่น
แต่ก็ยังอยากให้คนฟังเพลงของตัวเองอยู่
ใช่ แต่เราก็ไม่จะไปสอนใครแล้ว ไม่อยากไปสอนว่าอะไรถูกอะไรผิดแล้ว คือตอนชุดแรก เราแต่งเพลงขึ้นมาจากการสงสัยว่ามันเป็นแบบนี้ได้ไงวะ เช่น เพลง ไม่รู้ เราคิดว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้ มันต้องเป็นอีกแบบ แต่ต่อไปจะไม่มีแล้วนะ เราจะเล่ามุมมองของเราว่ามันเป็นแบบนี้นะ เห็นด้วยก็เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร
ถ้างั้นขอคุยเรื่องการเมืองได้มั้ย
ตุบ! (เสียงผู้สัมภาษณ์ถูกต่อย)
ป.ล. เหตุการณ์ในข้อสุดท้ายเป็นการสมมติ เราจบการพูดคุยจากกันด้วยดี ไม่มีการทุบตีหรือพูดเรื่องการเมืองแต่อย่างใด