บูม The Ginkz
- Writer: Patikal Phakguy
- Photographer: Neungburuj Butchaingam
ผมจิ้มชิ้นเนื้อในจานเข้าปาก ค่อย ๆ ละเลียดเคี้ยว ละเลียดกลืน พยายามจะหาแง่งามในอาหารที่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่ว่าละเมียดเพียงใด ผมก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคนเราจะต้องพยายามหาข้อดีในอาหารทำไม แค่ ‘อร่อย’ ‘ไม่อร่อย’ น่าจะเพียงพอแล้วหรือเปล่า
ผมค่อย ๆ ขย้อนก้อนเนื้อที่โคตรเหนียวลงคอ และเริ่มนึกย้อนไปถึง 4 ชั่วโมงก่อนหน้านี้
…
“กาแฟร้านนี้ดีนะ”
“พิซซ่าร้านนั้นโคตรอร่อย อบด้วยเตาแบบอิตาเลียนแท้ รสชาติโคตรเนียน”
เจอกันไม่กี่นาที ‘กฤตธี วิศิษฏ์กิจการ’ หรือ ‘บูม’ หนึ่งในนักร้องประจำวง The Ginkz ก็แนะนำร้านอาหารรัว ๆ
โชคดีที่กินข้าวมาก่อนแล้ว ไม่งั้นการพูดคุยกับนักรีวิวอาหารประจำเว็บไซต์ wongnai.com คนนี้อาจทำให้กระเพาะอาหารของผมต้องคำรามได้
ทำไมถึงสนใจอาหาร
เราชอบกินตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาเจออะไรอร่อยนี่เฮมาก เจอไม่อร่อยก็เซ็ง เราว่าทุกคนน่าจะเป็นคล้าย ๆ กันมั้ง คือกินแล้วประทับใจก็อยากบอกต่อ
ทีนี้ช่วงเรียนใกล้จบไฮสคูล เราบังเอิญนั่งรถเมล์ผ่านวิทยาลัยดุสิตธานีเลยลองเข้าไปดู เจออาจารย์คนหนึ่ง พอเราถามอะไรไป เขาก็ตอบเหมือนดูแคลนแบบ “เด็กอินเตอร์อย่างเธอจะมาเรียนอะไรที่นี่” เราก็หงุดหงิด คิดในใจว่าช่างแม่ง กูไม่มาเรียนที่นี่หรอก แต่อยู่ดี ๆ วันหนึ่งพ่อก็บอกว่าวิทยาลัยดุสิตธานีกำลังจะร่วมมือกับเลอ กอร์ดอง เบลอ (Le Cordon Bleu – สถาบันด้านอาหารชื่อดังจากฝรั่งเศส) เปิดหลักสูตรให้เรียน 4 ปีจบ เราก็ไปสมัครเรียนเฉยเลย กลายเป็นรุ่นบุกเบิก เป็นรุ่นแรก ฟังเหมือนเท่ใช่มั้ย แต่ตอนนั้นมีเพื่อนในคลาสแค่ 9 คนเอง เรียนกันแบบอบอุ่นน่ารักมาก
ถึงขนาดไปเรียน แปลว่าชอบทำอาหารด้วย?
ชอบกินมากกว่า (หัวเราะ) จริง ๆ ตอนแรกที่ไปเรียน เราคิดเล่น ๆ ว่าในอนาคตอยากเป็นนักชิม หวังได้ไปกินที่โน่นที่นี่ แถมตอนนั้นเราไม่มีพื้นฐานการทำอาหารอะไรเลย ทอดไข่ก็ไม่รอด เพราะไม่เคยลองทอดเองมาก่อน หั่นของก็กุก ๆ กัก ๆ พอเข้าไปก็โดนปูพื้นฐานรัว ๆ เลยพอทำอะไรเป็นบ้าง แต่สุดท้ายเรามาได้สกิลการทำครัวจริง ๆ ก็ตอนไปทำงานต่างด้าว
ไปได้ยังไง
หลักสูตรที่นี่เท่อย่างนึงตรงไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์ ไม่ต้องทำธีสิส แต่ต้องฝึกงานทุกซัมเมอร์ เราก็ฝึกเป็นเชฟไปเรื่อย ๆ จนตอนปัจฉิมนิเทศมีเอเจนซี่ มีโรงแรมมาคุยกับนักศึกษาว่าจะเอายังไงกับชีวิตกันต่อ แล้วเราเลือกไปทำงานที่สหรัฐฯ
ระบบของเขาเป็นอย่างไร
ห่วยระยำ!
ตอนนั้นเราโลกสวย กะว่าจะไปดูดซับการทำงานระดับโลก ใฝ่สูงสุด ๆ ตื่นเต้นโคตร ๆ พอไปเจอความเป็นจริงว่าใช้อาหารแช่แข็งทั้งหมดเลย แม่งแบบ WTF I’m doing here มาก แล้วทุกอย่างมันเร่งไปหมด คนจัดตารางก็โคตรห่วย คือเวลาทำครัวเราต้องเข้างานเป็นกะ อีพวกหัวหน้าที่จัดตารางแม่งก็ระยำสะใจ อารมณ์แบบคืนนี้เลิกเที่ยงคืนครึ่ง พรุ่งนี้ให้เข้างานตีห้า พีคโคตร ๆ
แล้วถ้าเป็นช่วงไฮซีซั่นจะวุ่นวายกว่านี้อีก คืออันนี้เราไม่เคยโดนนะ แต่ล็อตก่อนหน้าเราเคยโดนให้ทำงาน 24 ชั่วโมง ต้องกินคาเฟอีนอัดเม็ดแล้วยืนทำงานไปทั้งวัน
คุณได้ทำอะไรบ้าง
ครัวแรกที่เราได้ทำคือ ครัวจัดเลี้ยง ทำรองรับพวกปาร์ตี้ต่าง ๆ ทำทีละเยอะ ๆ ซึ่งเอาจริง ๆ เราก็ได้อะไรกลับมาเหมือนกัน พวกสกิลกับมุมมองนี่ได้มาเต็ม ๆ ทำให้เราเข้าใจมุมมองทั้งของลูกค้าและพ่อครัวเยอะขึ้นเลย
ก่อนเรียนอยากเป็นนักชิม แต่หลังเรียนดันต้องเป็นเชฟ แบบนี้ทัศนคติของเราเป๋มั้ย
ไม่นะ เราคิดว่าไหน ๆ ก็ได้เรียนในหลักสูตรที่มีชื่อแล้ว การเรียนรู้พื้นฐานเอาไว้ก็เป็นสิ่งจำเป็น คือในใจก็อยากเป็นนักชิมอยู่แหละ แต่ด้วยความที่ฝึกและทำงานในครัวไปเรื่อย ๆ เลยไม่รู้ว่าจะเป็นนักชิมได้ยังไง ทำงานเชฟไปก่อนก็ได้
ตอนนั้นทำ The Ginkz ไปด้วยหรือเปล่า
ทำแล้วนะ ก่อนไปสหรัฐฯ เราได้เล่นกับวง 2 ครั้ง ก็สนุกดี แต่ตอนนั้นดันคิดว่าเรียนจบแล้วต้องทำงาน เลยลาออกจากวง ไปสหรัฐฯ แทน (หัวเราะ)
ทีนี้เราดันไปอยู่เมืองนิวออร์ลีนส์ เวลาพูดถึงคนก็จะนึกถึงเพลงแจ๊ซ ซึ่งพวกเพลงแจ๊ซอยู่ตรงอัพทาวน์ของเมือง แต่เราพักแถวดาวน์ทาวน์ ไม่ได้ไปเยือนอัพทาวน์เลย แถวที่เราอยู่แม่งก็ไม่มีความเป็นแจ๊ซสักนิด มีแต่ฮิปฮอปกับพวกไบค์เกอร์ ตีสามได้ยินเสียงคนร้องบ่อยโคตร ตอนกลางคืนหรือตอนตีสี่ตีห้านี่ออกไปเดินไม่ได้นะ เพื่อนเราเคยโดนจี้มาแล้ว
วันหนึ่งเราไปเดินดูพวกร้านขายอุปกรณ์ดนตรี เจอพนักงานในร้าน เขาเฟรนด์ลี่มาก คุยไปคุยมาก็สนิทกันจนรู้ว่าทำวงดนตรีอยู่ เขาชื่อ Joshua Wells เป็นมือเบสอยู่วง Royal Teeth ค่อนข้างดังในท้องถิ่น เราเคยไปดูเขาเล่นสดแล้วสนุกมาก คนอินกันโคตร ๆ ดูแล้วรู้สึกว่าอยากกลับมาทำ The Ginkz ต่อ ช่างแม่งชีวิต กูจะร็อกแอนด์โรลล์ให้เต็มที่
แต่ตอนแรกคุณเล่นกลอง?
ใช่ ตอนเรากลับมาก็คิดว่าจะเล่นกลองแหละ แต่ตอนนั้นมีมือกลองที่เก่งกว่าเราหลายเท่ามาตีแล้ว วิน (วรุตม์ อ่อนอุ่นจิตร นักร้องและมือกีตาร์วง The Ginkz) เลยให้เราไปร้องแทน ซึ่งก็ดีนะ การบ้าบนเวทีก็สนุกเหมือนกัน
คุณกลับมาไทยช่วงไหน
ประมาณปี 2010 – 2011 เรากลับมาก็ทำงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่น เป็นกุ๊ก ทำพวกสลัด ปลาหิมะ ซึ่งตอนนั้น เราค่อนข้างกังวล กลัวเจ้านายไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปซ้อม กลัวว่าตารางงานจะชนทำให้ไปเล่นไม่ได้ แต่จริง ๆ ก็ไม่มีปัญหาเท่าไรนะ มามีจุดเปลี่ยนก็ตอนกลางปี 2011 นี่แหละ
ตอนนั้นเพื่อนของวินเป็นแบ็กอัพอยู่ค่ายสหภาพดนตรี เปิดเพลง ปลิงดอง ฟังแล้วดันไปเข้าหูพี่ดี้ (นิติพงษ์ ห่อนาค) แล้วเขาดันชอบ คุยไปคุยมาก็เลยได้เซ็นสัญญา เราก็แบบลาออกเลย บอกเจ้านายว่าผมจะออกไปร็อกแอนด์โรลล์ ผมมีค่ายแล้ว ผมจะไปทำตามความฝันแล้วนะครับ
เป็นไงล่ะ ทำตามความฝัน รู้เรื่องเลย (หัวเราะ)
แล้วอยู่ดี ๆ มาเขียนรีวิวอาหารได้ยังไง
ก็หลังจากนั้นแหละ คือ The Ginkz เป็นวงที่นิชมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนอยู่ค่ายเราพยายามทำเพลงให้แมสและเข้าใจง่ายขึ้นแล้วนะ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ค่อยมีงานเท่าไหร่ ช่วงนั้นก็นอยด์ ๆ เงินเก็บที่ได้มาจากสหรัฐฯ ก็หายไปเรื่อย ๆ อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร ใช้ชีวิตตามวิถีร็อกแอนด์โรลล์ ซ้อมร้องเพลงไปวัน ๆ ทำกับข้าว นอนดูทีวี เล่นเน็ต ชีวิตเรื่อยเปื่อยสุด ๆ
วันหนึ่งน่าจะประมาณกลางปี 2014 มีรุ่นน้องเอาโฆษณาหา food writer ของนิตยสาร BK มาแปะที่หน้าวอลล์เฟซบุ๊ก เราก็ลองสมัครดู โดนเขาซักในโทรศัพท์เป็นชุดเลย คุยเสร็จเขาก็ให้เทสต์มาทำ ปรากฏว่าเขาดันชอบ ถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ แล้วก็ได้งานเฉยเลย
ทำไมรุ่นน้องถึงเอามาแปะ คุณเคยเขียนถึงอาหารลงเฟซบุ๊ก?
ไม่เชิงขนาดเขียนจริงจังนะ แต่เวลาอยู่บ้าน พอทำกับข้าวเราก็จะถ่ายรูปพวกกรรมวิธีต่าง ๆ ไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีไอโฟนใช้ด้วย ต้องใช้กล้องในแมคบุ๊กถ่าย คือนึกกลับไปแล้วแบบกูทำไปได้ยังไงวะ ภาพก็ไม่ได้ดีด้วยนะ โคตรกาก
การเขียนยากสำหรับคุณมั้ย
ต้องปรับตัวประมาณหนึ่ง เพราะเราไม่ได้จบด้านการเขียนมาโดยตรง เราพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ภาษาพูดกับภาษาเขียนมันไม่เหมือนกัน การเขียนคือการเล่าเรื่อง ต้องใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมาและเรียบเรียงให้มีความสละสลวยด้วย
การเรียนด้านอาหารถือว่าช่วยบ้างหรือเปล่า
ระดับหนึ่ง คือตอนนี้เวลาดูพวกรีวิวต่าง ๆ ทุกคนจะบอกว่าอันนี้อร่อย อันนั้นก็อร่อย อร่อยเต็มไปหมด คือก็เข้าใจนะว่ามันอร่อย แต่เราอยากรู้ว่าทำไมมันถึงอร่อยล่ะ กินแล้วทำไมรู้สึกประทับใจ กินแล้วทำไมถึงอยากกินคำที่สองสามสี่ห้าหกเจ็ด
คำว่าอร่อยสำหรับเราเลยเป็นคำที่เกลื่อนมาก ๆ ถ้าจะให้ดีมันต้องบอกได้ว่าทำไมถึงอร่อย โดยไม่ใช้คำว่าอร่อย ซึ่งการเรียนด้านอาหารทำให้เราสามารถเขียนโดยการเจาะลึกลงไปทุกดีเทล ทุกวิธีการทำได้ ซึ่งถือว่าดี ทำให้เรามองมุมที่ลึกขึ้น พอบอกได้ว่าอะไรดีไม่ดี สิ่งไหนดีเราก็บอกคนอ่าน สิ่งไหนกาก เราก็บอกเลยว่าแม่งกาก การเขียนของเราพยายามยึดตามพื้นฐานของความจริงในช่วงเวลานั้น และถ้าเป็นไปได้ เราก็จะเลี่ยงไม่ใช้คำว่า อร่อย แต่เราจะหาทางบอกให้ได้ว่าทำไมเมนูนี้ถึงน่าสนใจ
พอต้องรีวิวอาหารโดยใช้รสนิยมของตัวเอง คุณกดดันบ้างมั้ย
ไม่กดดันเท่าไร เพราะเราเคยผ่านครัวมาแล้ว แถมเป็นคนชอบกินอีก เราเลยคิดว่าในแต่ละการกินของเรา เพียงพอที่จะบอกได้ว่าอาหารจานนี้มันผ่านอะไรมา รสชาติคล้ายแบบนี้เพราะมันทำแบบไหน เช่น เจอสเต๊กที่ทำสุกเกินไป เราก็เขียนว่าสุกเกินไปเลย พูดตามเนื้อผ้าในช่วงเวลานั้น ส่วนเรื่องมุมมอง เราคิดว่ามันคือการแสดงความคิดของเราคนเดียวไง ดังนั้นเราก็ไม่ต้องกลัว เพราะมันคือการแบ่งปันความคิดของเราเอง
เคยโดนด่ากลับมั้ย
ยังไม่เคยนะ อย่างตอนที่ทำ BK จะมีฟอร์แมตการเขียนที่เซฟตัวเอง เวลาด่าก็ใช้การเปรียบเทียบช่วย เช่น ร้านนี้ทำสตูเนื้อได้ห่วยมาก เหมือนใช้ไวน์หมดอายุมาทำ ไวน์คงโดนออกซิเจนมานานแล้ว รสชาติถึงได้เปรี้ยวชวนแหยะขนาดนี้ ส่วนเนื้อก็เหนียว แข็ง เชฟทำราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจ อยู่ข้างในครัวนี่ทำอะไรเหรอ ประมาณนี้
แรงเหมือนกันนะ
แรง ตามความเป็นจริงไง
ลงชื่อจริงมั้ย
ไม่ลง (หัวเราะ)
คุณทำที่ BK นานมั้ย
ประมาณหกเดือน แล้วก็ออกมาอยู่นิ่ง ๆ สักพัก ไปเที่ยวปีใหม่กับที่บ้าน พอต้นปี 2015 ก็ปล่อยเพลง โน้ตที่ใช่ในวันที่ช้ำ ตอนนั้นคิดว่าตูมแน่นอน มีงานเยอะแน่ สุดท้ายมีงานนิดหน่อย แล้วก็เงียบ สบาย (หัวเราะ) วนเข้าสู่ลูปเงินเริ่มหมดอีกครั้ง เลยคิดว่ากลับไปทำงานก็ได้ ซึ่งตอนก่อนเราจะออกจาก BK มีคนจาก wongnai โทรมาทาบทามอยู่แล้ว พออยากกลับไปทำงานเราก็เลยคิดว่า wongnai ก็น่าสนใจดี
จากทำนิตยสารมาสู่สื่อออนไลน์ คุณต้องปรับตัวเยอะหรือเปล่า
ประมาณหนึ่งครับ เพราะกลุ่มเป้าหมายของทั้งสองเจ้าไม่เหมือนกัน แล้วตัว wongnai เองก็มีการเปลี่ยนฟอร์แมตอยู่เรื่อย ๆ เราเองก็ค่อย ๆ ปรับ จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตัวหรือยัง แต่ส่วนตัวค่อนข้างโอเคแล้ว ตอนแรก ๆ นี่สะกดภาษาไทยวิบัติขั้นสุด
การเล่าเรื่องด้วยภาษาไทยถือเป็นปัญหา?
ไม่นะ ความที่ภาษาไทยไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา และเราก็เป็นพวกผีบ้าอยู่แล้ว เราเลยกล้าใช้คำที่คนไม่ใช้กัน เวลาเจออะไรอร่อยหรือน่าสนใจ เราก็จะบอกว่าอารมณ์เหมือนกับมีงานเลี้ยงในปาก ใช้สำนวนบ้า ๆ ที่คิดขึ้นได้ในวินาทีนั้น ใส่เข้าไปเยอะ ๆ
เราคิดว่าการเขียนสมัยนี้ไม่ต้องตามหลักมากนัก คนอ่านไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น แถมเราก็ไม่ได้จบอักษรศาสตร์ คือคนที่เรียนสายนี้โดยตรงจะมีฟอร์แมตเป๊ะมาก แต่เราไม่เป๊ะ ขอแค่ลื่นไหล อ่านแล้วไม่สะดุด ให้ข้อมูลที่โอเคกับคนอ่านเราก็แฮปปี้แล้ว
พอมาทำเว็บไซต์ที่ขึ้นชื่อทางด้านแนะนำอาหารขนาดนี้ คุณเจอข้อจำกัดอะไรบ้างมั้ย
เราโอเคกับการเขียนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรีวิวอาหารหรือเขียนแบบ advertorial แต่เวลาเจอเรื่องที่ไม่อิน เราจะพยายามคิดโจทย์ให้ตัวเอง เช่น ไปกินร้านที่ธรรมดามาก ๆ แต่ต้องเขียนแนะนำ เราจะเขียนยังไงให้คนอ่านต้องไปลอง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราด้วยว่าจะหาความประทับใจเจอมั้ย แม้จะมีแง่งามเพียงน้อยนิดก็ต้องหาให้เจอ
บางทีกินเสร็จแล้วเราก็สัมภาษณ์เจ้าของร้านเพิ่มเติมด้วย เพราะทัศนคติของเขากับเราอาจไม่เหมือนกัน ซึ่งวิธีการนี้เราชอบมาก นอกจากจะได้รู้ทัศนคติของเขาแล้ว เรายังได้วัตถุดิบให้เอามาเล่นกับการเขียนอีก
การหาแง่งามในสิ่งที่เราไม่ชอบถือเป็นเรื่องดีเหรอ
เรามองว่ามันคืองาน ถ้าหน้าที่ของเราคือการเขียนรีวิวร้านและอาหาร เราก็ทำในส่วนของเราให้ดีไป ถ้าอันไหนอยากจัดเต็มมาก ๆ ค่อยไปรีวิวใน user ของตัวเอง (หัวเราะ)
ในฐานะของคนที่เขียนเกี่ยวกับอาหาร เราต้องบอกคนอ่านของเราให้ได้ว่าอาหารที่กินมามันน่าสนใจขนาดไหน มีมากกว่าคำว่าอร่อย เราจะถ่ายทอดยังไงให้มันมีมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น มันคือจุดขายของเรา ซึ่งสำหรับเราคือความบ้า
เคยเจอร้านที่ตอนไปรีวิวอร่อยมาก แต่ไปกินเองแล้วตรงกันข้ามมั้ย
เคย มีร้านนึงตอนไปรีวิวโคตรชอบเลย แต่พอไปกินเองรู้สึกว่ามนต์สะกดตรงนั้นหายไปแล้ว ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน กินแล้วธรรมดามาก แอบเซ็งนิดหน่อย
แต่จริง ๆ เรื่องนี้เราพอเข้าใจได้นะ เพราะคนเราวันไหนรู้สึกแฮปปี้กระปรี้กระเปร่าก็จะทำอะไรได้ดีเอง สงสัยช่วงนั้นเป็นช่วงดาวน์ของคนในครัวมั้ง
ไหน ๆ พูดแล้วก็อยากปลุกใจคนทำกับข้าวทุกคนหน่อย คือคุณใจต้องรักจริง แม้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน แต่ถ้าคุณนึกถึงรอยยิ้มของลูกค้า ความสุขที่คุณสามารถทำให้เขาได้ คุณก็จะสามารถผ่านมันไปได้ ความสม่ำเสมอคือทุกอย่างของร้านอาหาร ถ้าคุณสามารถรักษามาตรฐานไว้ได้แบบคงเส้นคงวา คุณก็สามารถไปได้เรื่อย ๆ แต่ต้องไม่หยุดอยู่กับที่นะ ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่ว่ามากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว แต่คุณต้องมีการก้าวหน้า ไม่งั้นคุณจะตาย
เห็นว่าคุณมีแนะนำสูตรอาหารในเว็บด้วย
ใช่ครับ ตอนนี้ wongnai เริ่มปล่อยวิดีโอทำอาหารบ้างแล้ว เราจะดูแลพวกของคาว ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สนุกดี ได้ใช้ทั้งทฤษฎีและประสบการณ์ ลองผิดลองถูกกันไป
การคิดสูตรอาหารยากมั้ย
เราชอบคิดสูตรประหลาด ๆ อยู่แล้วเลยไม่ยาก และอีกอย่างคือกลุ่มเป้าหมายของวิดีโอ มีคนที่ไม่สันทัดทางด้านการทำอาหาร แต่อยากทำอะไรง่าย ๆ อยู่ด้วย เราก็ต้องจินตนาการว่าก่อนไปเรียน ก่อนไปทำงานในครัว เราทำอะไรได้บ้าง แล้วก็ลองมาปรับดู เน้นให้ง่ายไว้ก่อน แต่ก็ใส่ลูกเล่นในฐานะคนที่เคยผ่านงานในครัวลงไปด้วย แนะนำเป็นทิป เช่น ถ้าทำสเต๊ก พอย่างเสร็จต้องพักเนื้อก่อน เพราะถ้าหั่นเนื้อตอนร้อน ๆ ความชุ่มฉ่ำจะหายไป น้ำก็จะทะลักออกมาหมด
คิดว่าวงการอาหารไทยตอนนี้เป็นอย่างไร
คึกครื้น ทุกสัปดาห์มีร้านเปิดใหม่เป็นสิบ แถมตอนนี้เข้าถึงแหล่งอาหารได้ง่ายขึ้นด้วย เราสามารถดูและรับมันได้ง่ายขึ้น แล้วก็ตอนนี้ธุรกิจอาหารเฟื่องฟูมากในไทย ซึ่งเรารู้อยู่แล้ว เพราะคลุกคลีอยู่
ถ้าถามว่าเสียดายมั้ยที่ทิ้งเส้นทางครัวมา เราบอกเลยว่าไม่เสียดาย เพราะเราได้ทำตามความฝัน ฟังดูยิ่งใหญ่เนอะ ความสำเร็จก็ยังไม่มี แต่เราว่าบางทีคนเราก็วัดผลที่ตัวเลขและความสำเร็จกันมากไปหน่อย ลืมไปหรือเปล่าว่าการเดินทางของเราก็เป็นอะไรที่น่าเก็บเกี่ยวเหมือนกัน
พอต้องรีวิวบ่อย ๆ ยังกินอาหารอร่อยอยู่มั้ย
ยังอร่อยอยู่ แต่ก็เริ่มมีมิติมากขึ้น ตอนเด็ก ๆ เราอาจคิดแค่ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย แต่ตอนนี้เรารู้เบื้องหลัง ความเป็นมาของแต่ละอย่าง เราก็ชื่นชมอะไรได้มากยิ่งขึ้น อาหารเลยมีมากกว่าคำว่าอร่อย เป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่าเดิมมาก
ยังมีเวลาทำ The Ginkz?
ต้องมี wongnai คืองานหลักของเรา แต่ The Ginkz คือแพสชันของเรา อาหารก็คือแพสชันของเรา
ส่วนตัวเราดีใจมาก ถึงจะไม่รวยเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ แต่เราคิดว่ากำลัง living the dream อยู่
ตอนจะเข้ามหาวิทยาลัย เราอยากเป็นนักชิม อยู่ดี ๆ ก็ได้เป็นเฉยเลย แถมยังได้ทำวงอีก อนาคตยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้เรารู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ
เราว่าน้อยคนนะที่จะเจอจุดนี้ได้ เราอาจยังไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดของการเป็นนักรีวิวหรือนักดนตรี แต่ตอนนี้เราได้อยู่ในทางที่เราคิดอยากจะเป็นตั้งแต่เด็ก เจออุปสรรค เจอปัญหา แต่เรายังใช้ชีวิตได้ในเส้นทางนี้ ซึ่งแม่งเฟี้ยวว่ะ เราเลยอยากให้ทุกคนค่อย ๆ หาว่าตัวเองชอบอะไร ชีวิตเราช่วงนี้มีแต่ความวุ่นวาย บางทีเราอาจต้องหยุดพักใจแล้วคิด ทบทวนตัวเองว่าเรากำลังมีความสุขกับชีวิตจริง ๆ หรือเปล่า
เราต้องคิดถึงความสุขของชีวิตด้วย ไม่งั้นโลกนี้อยู่ยาก
…
ผมวางช้อนส้อมลงเคียงกัน เรียกพนักงานมาเก็บเงิน ในช่องปากยังมีรสของเนื้อลอยเจือจาง ไม่ว่านึกถึงคำพูดของบูมเท่าไหร่ ผมก็ยังหาแง่งามของอาหารที่อยู่ตรงหน้าไม่ออก
ไม่เหมือนการพูดคุยกับบูม ที่แม้จะไม่ได้ใช้ปากในการกิน แต่การใช้ปากในการคุยก็ทำให้รู้สึกเหมือนมีงานเต้นรำในรูหูได้เหมือนกัน
5 ร้านอาหารในดวงใจของ บูม The Ginkz
Peppina
: เป็นร้านพิซซ่า เราชอบสาขาแถวสุขุมวิท 33 อาหารโคตรเนียน พิซซ่าอบสามวันสามคืน เลมอนทาร์ตโคตรอร่อย รุ่นพี่เราเคยพาคนยุโรปมากิน เขาบอกว่าอร่อยกว่าที่ยุโรปอีกนะ
IROHA Ramen & Izakaya
: ปกติเราชอบกินราเมนซุปกระดูกหมู แต่ที่นี่ราเมนจะรสชาติเบา ๆ หน่อย เป็นพวกโชยุราเมนเสียส่วนใหญ่ มีตัวนึงที่ใช้เนื้อกุ้งเคี่ยวเป็นซุป หอมมาก ๆ เด็ดโคตร ๆ
น้ำ (Nahm)
: ก่อนไปกินเราได้ยินคนชมเยอะ ตอนนั้นก็คิดว่าโอเวอร์เรตเปล่าวะ พอได้ไปกินจริง ๆ เท่านั้นแหละ สุดยอด งานดีมาก น่าไปลอง โดยเฉพาะพวกแกง มันจะมีมากกว่าความเผ็ด มีความละเอียดอ่อนของเครื่องเทศ ไม่ใช่เผ็ดแบบลิ้นชาทั่ว ๆ ไป
เบญจรงค์
: แต่ก่อนเป็นอาหารชาววัง ตอนนี้เป็นอาหารไทยร่วมสมัย เป็นอะไรที่จับต้องได้ และงานดีมาก ๆ
Khua Kling + Paksod
: อาหารไทย สำหรับร้านในทองหล่อราคาถือว่าไม่แพง แต่งานดีไม่แพ้กัน