Playlist ของ อัพ ภูมิพัฒน์ กับบทบาทในซีรีส์ E-Sport เรื่องแรกของไทย GGEZ
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Pradthana Chaijaroensuksakul
ใครที่ติดตามดูซีรีส์ของ Line TV Originals ที่สร้างสรรค์โดย Bearcave Studio อย่างเรื่อง GGEZ เมื่อวานนี้เขาก็ได้เฉลยตัวละครลึกลับอย่าง ‘อ๊อตโต้’ ว่าแท้จริงแล้วเขาคือ ‘ซาบิ’ สมาชิกบอยแบนด์และพิธีกรรายการ Hello Gamer กันไปแล้ว ตอนนี้เราก็ได้เวลาชวน อัพ—ภูมิพัฒน์ เอี่ยมสำอาง ผู้ที่รับบทซาบิตัวจริงเสียงจริงมาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ รวมถึงแชร์เพลงโปรดของเขาให้พวกเราได้ฟัง บอกไว้ก่อนตรงนี้ว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาจริง ๆ นะ
Up’s Favorite
เบิร์ด ธงไชย – หมอกหรือควัน
เพราะพี่จัสติน (ผู้จัดการส่วนตัว) เปิดให้ฟังตลอดเวลาจนติด (หัวเราะ) พูดจริง ๆ พี่จัสตินเป็นคนชอบฟังเพลงพี่เบิร์ดมาก แล้วฟังทุกวัน ไปกอง ขึ้นรถ ถ้ามีเขาอยู่ ทุกคนต้องฟังเพลงพี่เบิร์ด ไปร้องคาราโอเกะ เลี้ยงปิดกล้อง ต้องมีเพลงพี่เบิร์ด ทุกคนได้พลังพี่เบิร์ดและได้ซึมซับ ‘หมอกจาง ๆ และควัน’ ไปจากเขาด้วย
Arctic Monkeys – R U Mine?
จริง ๆ ชอบหลายเพลงมาก เท่สัส ๆ ตัดผมใหม่ก็ยังเท่อยู่ เป็นไอดอลของผู้ชายได้ ชอบบีต ชอบเนื้อเพลง ชอบที่เขาเป็นวงจากอังกฤษ มันจะมีบางคำพูด บางสำเนียง การออกเสียงที่มันดูมีเสน่ห์ ถ้าไม่ใช่ Alex Turner ก็ทำไม่ได้ บางทีก็เมายาเล่นบนเวที (หัวเราะ) ส่วนเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ฟังแล้วชอบกว่า Fluorescent Adolescent
Black Pink – 뚜두뚜두 (DDU-DU DDU-DU)
เริ่มเอาต์แล้วอะ แต่ก็ยังชอบอยู่ ชอบจีซู น่ารักสัส
Vitas – Седьмой элемент / The 7th Element
เชี่ย เขาร้องเพราะนะเว้ย เสียงเขาโหดมาก ด้วยเสียงของเขาเองแล้วอะ เป็นคนที่เสียงสูงมาก แล้วการร้องของเขาแบบนั้นอีก
Michael Bublé – It’s Beginning to Look a Lot Like Christmas
นี่ก็ใกล้เข้า quarter สุดท้ายของปีละ ชอบเดือนธันวาคมมาก ๆ ชอบความคริสต์มาส ความ festive ความรู้สึกใกล้จะหมดปี แล้วก็เป็นเพลงที่ฟังทุกปี ตั้งแต่ประมาณเกินเดือนเจ็ดไปแล้วก็จะเริ่มฟังเพลงนี้เพื่อบิลด์ตัวเองไปเรื่อย ๆ
TALK TALK TALK
ชอบฟังเพลงไหม ช่วงนี้ฟังเพลงอะไรบ่อย
ค่อนข้าง niche นะครับ พวก lo-fi hiphop เพราะช่วงนี้อ่านหนังสือก็ต้องหาเพลงที่ทำให้เราโฟกัส ตอนแรกก็เปิดพวกแจ๊สฮอป ฟังไปฟังมาก็ชอบทางนี้มากกว่า ไม่ได้มีเพลงที่ชอบเป็นพิเศษนะครับแต่เหมือนเปิดวน ๆ ความจริงผมเป็นคนเปิดมาก ๆ กับการฟังเพลง ฟังทุกแนวจริง ๆ ตั้งแต่ร็อก อัลเทอร์เนทิฟ ไปแจ๊ส คลาสสิก ฟังเยอะมาก เพราะว่าตอนปีสามผมไปเรียนดีเจที่ SAE แล้วเขาให้เราฟังเพลงตั้งแต่สมัยโบราณ บลูส์เป็นไง ฟังก์เป็นไง ละมันพัฒนาออกมาเป็นไงบ้าง ก็ค่อย ๆ แตกแยกออกมาเป็นแต่ละอย่าง ๆ เทคโนอะไรงี้ก็ฟังได้หมด
ตอนไปเรียนดีเจตั้งใจจะไปเปิดที่ไหนหรือเปล่า
คือตอนนั้นคุยกับรุ่นพี่ที่คณะว่า เฮ้ย เท่อะ อยากทำได้บ้าง ก็เลยไปเรียน ซึ่งมันก็ยากนะ คือดีเจสมัยนี้หลาย ๆ คนก็… คือการทำเพลงกับการเป็นดีเจมันไม่เหมือนกัน การทำเพลงมันก็เป็นมิวสิกโปรดักชันที่เราก็ต้องเข้าใจรู้ลึกมากกว่า แต่ดีเจบางทีเราอาจจะเรียนตาม YouTube หรืออะไรก็ได้ เราซื้ออุปกรณ์มาก็ฝึกได้ แต่การที่อัพไปเรียนอันนี้มันเรียนตั้งแต่เบสิก ตั้งแต่แบ็กกราวด์ของเพลง คือ beatmatching มันไม่ได้แค่เลื่อนปุ่มแล้วกดซิงค์ มันคือค่อย ๆ หมุน turntable ไปเรื่อย ๆ ฟังไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะฟังออก เหมือนมันหนักไปทางประสบการณ์มากกว่า ต้องค่อย ๆ ทำไป บิลด์เบสิกไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะเก่ง (FJZ: เหมือนว่านอกจากเราจะเป็นคนเปิดเพลง เราต้องเข้าใจเพลงที่เราจะเปิดด้วย) ใช่ครับ ผมว่ามันก็ดีนะ เป็นที่ที่ไปเรียนแล้วรู้สึกว่าได้อะไรกลับมา แต่ยังไม่ได้ส่งไฟนอลเลย จะสองปีละ (หัวเราะ) มันเรียนแค่หกเดือน แต่ว่าจบแล้วจะมีใบประกาศให้ แต่ด้วยช่วงนั้นยุ่ง ขึ้นปีสี่ทำธีสิส ก็เลยหาย ๆ ไป ไม่ได้ส่ง แต่ไม่เป็นไร สกิลมันติดตัวอยู่แล้ว แค่ไม่ได้ certificate แค่นั้นเอง
เคยได้ไปเปิดเพลงที่ไหนบ้างหรือยัง
ไม่ครับ อัพแค่เข้าใจ แต่ยังไม่มีประสบการณ์พอที่จะไปเปิด
ต้องมีประสบการณ์ขนาดไหน หรือแบบไหนจะเรียกว่าเป็นดีเจที่ดี
ความเข้าใจของเพลง กรูฟของเพลง ถ้าฟังเพลงเยอะมันจะมี common sense เกี่ยวกับเพลงเยอะขึ้น เช่นการที่ว่าเราฟังเพลงอันนี้ มันจะระลึกได้ว่าเพลงนี้เป็นแนวไหน มันจะเข้ากับเพลงไหนได้บ้าง การเป็นดีเจมันไม่ใช่แค่เราเตรียมเพลงมาหนึ่งเซ็ตแล้วเราเปิด ส่วนใหญ่ก็ทำได้แหละ แต่บางครั้งมันก็ต้องดูคนที่มางานเราด้วย
ถ้าสมมติได้ไปเปิดเพลง จะเปิดแนวไหน
Trap (หัวเราะ)
แล้วปกติเล่นดนตรีไหม
เล่นเปียโนคลาสสิกครับ ผมไม่รู้คอร์ด จะรู้แค่ตอนไปสอบว่าต้องไล่ยังไง ทั้งชีวิตคืออ่านโน้ต เล่นตามโน้ต เล่นตามเสียงที่โน้ตนำมา ตามแบ็กกราวด์ของเพลงว่าเขาเป็นคนยังไง เขารู้สึกยังไงตอนแต่งเพลงนี้ ไม่มีการหลุดออกจากกรอบเลย (หัวเราะ) แต่ไม่ได้เล่นนานละ ไม่น่าจะเล่นได้ละ
อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เข้าวงการ
ก็เริ่มจากการเป็นเน็ตไอดอลแหละครับ แต่จุดเริ่มต้นจริง ๆ เลยคือการได้เข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬา ฯ พอเราได้เข้านิเทศก็ได้เจอคนเยอะขึ้น เจอคนหลายประเภท เจอคนที่ทำงานกับองค์กรต่าง ๆ เหมือนเขาก็เห็น potential ในตัวอัพละมั้ง ก็ต้องขอบคุณพี่ ๆ เหล่านั้นที่คอยผลักดันอัพขึ้นไป ตอนอยู่คณะนิเทศก็สอนให้เราทำกิจกรรมเยอะอยู่แล้ว เลยทำให้เรารู้สึกว่าการแบ่งเวลาการเรียนกับการทำกิจกรรมมันง่าย มันไม่ได้ยาก เราแค่ต้องเข้าใจมันและต้องทำให้ได้ ซึ่งการได้ทำกิจกรรมเยอะมันก็มีคนมาเห็นมากขึ้น น่าจะเป็นการผลักดันเราไปในตัว
งานแรกที่ได้ประเดิม
สิ่งที่ดังมาก ๆ มาจากการไปขายไอศกรีม ไปขายอยู่หลังตลาดอารีย์สัมพันธ์เนี่ย เหมือนตอนนั้นเขาก็หาคน แบบ สนใจมาทำไหม ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่ามันจะดังด้วยนะ คิดว่า เชี่ย มันน่าจะสนุกว่ะกูไปขายไอติม แล้วการได้ไปเจอคน มีปฏิสัมพันธ์กับคนมันสนุกมาก เอาจริงตอนไปขายไอติมมันไม่ได้แค่เกิดเป็นไวรัล มันเป็นอีกจุดนึงที่ทำให้ผมได้รู้ว่าคุณภาพชีวิตของคนมันต่างกัน เพราะตอนไปขายก็เจอแม่ค้า เจอลูกแม่ค้า หลายคนกระเสือกกระสนในการขายของเพื่อให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น เราเป็นคนซื้อมาโดยตลอด เราไม่เคยต้องมารู้ว่าเขาต้องเป็นยังไง ต้องพยายามขนาดไหน ก็เลยได้เห็นอีกมุมมองนึง แล้วนี่ก็ได้ไปขายจริง ๆ ตอนพักเที่ยง อาทิตย์นึงสองสามชั่วโมง ห้าวัน จันทร์ถึงศุกร์
ปฏิกิริยาคนซื้อช่วงแรก ๆ เป็นยังไงบ้าง
คนที่มาซื้อก็มาซื้อจริง ๆ นะครับ คนในกรมประชาสัมพันธ์ที่มีอายุหน่อยเขาก็ไม่ค่อยอะไร บางทีผมทอนเงินผิดเขาก็จะดุ ‘ผิดนะน้อง ต้องให้เพิ่มนะ’ วันแรกไม่ค่อยมีหรอกครับคนที่มากรี๊ด วันที่สองที่สาม เริ่มเยอะขึ้น เขาคงไปพูดปากต่อปาก บางคนก็ไม่ได้มาซื้อไอติมแล้ว มาถ่ายรูปแล้วไปเลย เราถาม ‘ไอติมมั้ยคร้าบบบ’ ไม่มีคนซื้อ
คนชอบคิดว่ามาเรียนนิเทศแล้วจบไปต้องเป็นดาราอย่างเดียว คิดยังไงกับความเชื่อนี้
ความจริงแล้วการเข้านิเทศไม่ได้จำเป็นต้องเป็นดาราอย่างเดียวเพราะว่าตั้งแต่เราก้าวเข้ามาวันแรก ทุกกิจกรรมรับน้องมันทำให้เราได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ยิ่งการทำละครคณะมันจะมีฝ่ายต่าง ๆ ให้เลือกเข้า หลายคนก็จะ เฮ้ย กูอยากทำอันนั้น อันนี้ ทำไฟ ทำเสียง กราฟฟิก พร็อพ ผมเข้าไปทำฝ่ายแสง เปิดไฟผิดหมดเลย (หัวเราะ) แต่แค่ตรงนี้มันก็ทำให้รู้แล้วว่านิเทศไม่ได้มีแค่การเป็นดารา เบื้องหลังก็มีหน้าที่อีกมากมาย เผลอ ๆ เบื้องหลังออกมาทำงานอาจจะประสบความสำเร็จกว่าการเป็นดาราก็ได้ นอกจากกิจกรรมแล้ว วิชาที่เรียนก็ช่วยให้เราได้เห็นมากขึ้นว่าเราอยากจะทำอะไรในอนาคตมากขึ้น
แต่เข้าใจว่าตอนอัพบอกว่าจะเข้านิเทศ ย่าถามว่าจะเข้าไปเป็นอะไร ดาราหรอ ส่วนพ่อแม่ผมอะไรยังไงก็ได้ ก็รู้แหละว่าเขาไม่ได้อยากให้เราเข้านิเทศ ตอนที่ผมยื่นผมติดเศรษฐศาสตร์ EBA ด้วย แม่ก็เชียร์ แต่ผมไม่เอา อยากเข้านิเทศ เอาจริงตอนแรกนี่แย่มาก รุ่นพี่ผมที่จบไปเขาก็จะบอกว่า เข้านิเทศดิ มึงเรียนชิว ๆ มึงตื่นไปเรียนให้ทันก็พอ แล้วมึงก็แดกเหล้า ๆๆๆๆ แค่นั้นเว่ย อัพก็แบบ เชี่ย คณะในฝัน งั้นเข้าอันนี้ (หัวเราะ) แต่พอเราได้เห็นว่านิเทศผลิตเด็กที่ค่อนข้างมีคุณภาพออกมาเยอะ แล้วด้วยความเป็นวัยรุ่นก็ทำให้เห็นและรู้จักพวกผู้กำกับ ช่างภาพ ดารา แต่ทุกคนที่ออกมาก็เหมือนถูกคัดกรองมาแล้ว เราก็อยากจะพัฒนาตัวเองให้เก่งไปด้วย
กลับมาที่เรื่องคนอื่นจะคิดว่าเข้านิเทศไปแล้วเป็นดารา ผมว่าคนที่จะเข้านิเทศจริง ๆ เขาจะทำรีเสิร์ชก่อนเข้าคณะ เขาจะรู้ว่าการการจบนิเทศมามันทำอะไรได้หลายอย่างมาก เหมือนที่ทุกคนบอกว่านิเทศเป็นเป็ด มันก็จริงว่าเรารู้ทุกด้าน หลาย ๆ ด้าน แต่การที่เป็นเป็ดแล้วเราเลือกจะพัฒนาในทางนึง ถ้าเราตั้งใจมันก็ไปได้ ซึ่งผมว่ามันก็ดี มันไม่ปิดกั้นเราว่าเราต้องเรียนแค่เลขหรืออะไรนะ จบนิเทศมาเป็นได้หลายอย่าง ทำธุรกิจก็ได้ ทำเบื้องหลังก็ได้ ผู้กำกับ ตากล้อง เป็นได้หมด เป็นอีกคณะที่น่าสนใจแต่ก็เข้ายากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี คะแนนสูงมาก ดีนะเข้าภาคอินเตอร์ (หัวเราะ) ของเรามันเป็น Media Management ไม่มีเลือกภาค คือการบริหารจัดการสื่อ เรียนการวิเคราะห์ การตลาด อะไรประมาณนี้ เอาไปใช้ในเชิงธุรกิจได้ค่อนข้างมาก
แล้วเห็นว่าเข้าไปทำฝ่ายแสงในละคร คิดจะทำงานสาย lighting จากตรงนี้ต่อไหม
เอาจริงตอนแรกที่เข้าไปเพราะก็ไม่รู้จะเข้าฝ่ายไหน ไม่รู้จะทำอะไรดี ไม่ได้อยากเป็นนักแสดงตอนนั้น ก็เลยเข้าฝ่ายแสงละกัน ตาม ๆ เพื่อน ตาม ๆ รุ่นพี่ที่ดูน่ารัก ๆ เข้าไปอยู่ฝ่ายแสง (หัวเราะ) ตอนทำเนี่ยผมว่าความรู้มันเกิดได้จากคนที่อยากจะเรียนรู้มันจริง ๆ เขาจะขวนขวาย มีพี่คนนึงโคตรเก่งเลย เขารู้ทุกอย่างว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเป็นแค่เด็กปีสอง ณ ตอนนั้น แต่เหมือนคนที่เรียนจบแล้วและสามารถทำงานด้านแสงได้แล้ว ผมว่าก็อยู่ที่คนว่าเขาจะรับแค่ไหน แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดเยอะ เพิ่งเข้ามาก็ซ่า อยากจะสนุกไปเรื่อย ๆ ก็เข้าไปกินเบียร์ไปด้วยทำไปด้วย ก็สนุกดีได้เพื่อนมากขึ้น แล้วยิ่งภาคอินเตอร์ภาคไทยรุ่นอัพก็สนิทกัน ปกติเขารับน้องแยกกัน แต่พอได้มารวมตัวกัน บางครั้งมันพยายามจูนกันมากกว่าเดิม
ถ้าไม่ได้เข้ามาในสายบันเทิงจะไปทำอะไร
จะไปเรียนต่อด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทูต
แล้วพอรับงานแสดงทำให้เราต้องชะลอตรงนั้นไว้ก่อนไหม
ไม่ครับ เพราะผมเชื่อว่าเราสามารถเรียนรู้ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ เราก็อ่านหนังสือเองได้ ว่างก็อ่าน แทนที่วันนี้จะไปกินเหล้าก็กลับบ้านไปอ่านหนังสือ มันก็เป็นอีกความรู้สึกที่ดีนะ แต่พอได้ทำงานด้านนี้เยอะ ๆ เอาจริงมันก็สนุก จากตอนแรกที่ผมคิดว่าทำเล่น ๆ ไม่ได้ซีเรียส ตอนนี้เริ่มก้าวเข้ามามากขึ้นก็รู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่เราคิด เราอยากเก่งกว่านี้ อยากไปได้ไกลกว่านี้ อยากทำให้ดีกว่านี้ ณ ตอนนี้ก็เลยเต็มที่กับตรงนี้ครับ
GGEZ เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่ได้เล่น เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร และการรับบท ซาบิ เป็นสมาชิกบอยแบนด์ คาแร็กเตอร์นี้ต่างจากในชีวิตจริงยังไงบ้าง
GGEZ เป็นซีรีส์เกี่ยวกับ e-sport เรื่องแรกของประเทศไทยครับ e-sport มันคือเกมนั่นแหละ แต่ที่มันน่าสนใจก็เพราะเกมมันไม่ได้เป็นแค่เกมแบบที่หลายคนคิดว่ามันเล่นสนุก ๆ แค่นั้น อย่างเมื่อก่อนพ่อแม่เห็นเราเล่นเกมก็จะแบบ ‘เล่นอีกแล้ว ทำไมไม่ยอมไปอ่านหนังสือ’ จนทุกวันนี้มันมีอาชีพเกี่ยวกับเกมที่จริงจังมาก ไม่ว่าจะเป็นคนเขียนเกม คนพัฒนาเกม หรือแบบ Steam ที่เป็นคนเลือกเกมเข้ามาแล้วมาปล่อยขายให้เล่น คนดูแลระบบเกม พากย์เกม รีวิวเกม หรือแม้กระทั่งคนเล่นเกมเองด้วยซ้ำ หน้าที่เหล่านี้ค่อนข้างจะสร้างรายได้ดีด้วยนะ เงินดีอะ แล้วเป็นอีกทางออกของคนรุ่นนี้ เพราะเกมกับ generation นี้ก็มาคู่กัน น่าจะเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้ใหญ่มองเกมใหม่ด้วย แล้วเรื่องนี้มันใช้เรื่องเกมเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักก็จริง แต่มันก็ยังมีเรื่องความสัมพันธ์อื่น ๆ ทั้งกับเพื่อน กับพ่อแม่ แล้วก็เป็นการบอกว่าเล่นเกมมันไม่ได้แย่เสมอไปถ้าเราแบ่งเวลาและเรารู้ว่าควรทำแค่ไหน หรือถ้าเราชอบจริง ๆ เราก็สามารถทำเป็นอาชีพได้เหมือนกัน ยิ่งคนเล่นปัจจุบัน e-sport หลายเกมเป็นกีฬาไปแล้ว ทั้ง Dota ทั้ง LoL (League of Legends) HoN (Heroes of Newerth) Counter-Strike เงินรางวัลเยอะมาก เยอะในขณะที่ว่าชนะรอบเดียวไม่ต้องทำอะไรแล้ว ถูกบรรจุเข้า forbes เลยก็ได้
ส่วนซาบิเนี่ยเป็นไอดอล เหมือน BNK48 แต่เป็นผู้ชาย ผู้กำกับเขาก็ให้แบ็กกราวด์มาว่าเป็นตัวละครที่ทำงานมาตั้งแต่เด็ก เลยทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อน เรียน ทำงาน เรียน ทำงาน มาตลอด จนเขามาเจอเกม ก็รู้สึกว่าเกมเนี่ยเป็นหนทางเยียวยาที่ดี ได้พักผ่อน ได้ปลีกตัวมาจากการทำงาน แล้วก็ทำให้มันอยากมีเพื่อนสักกลุ่มนึงที่รักกันจริง ๆ ยิ่งมาเจอกลุ่ม GGEZ เลยรู้สึกว่ากลุ่มนี้เป็นเพื่อนซาบิไปแล้ว ถามว่ารักไหม มันก็รัก แต่ความสนิทของมันอาจจะไม่เท่ากับเพื่อนในกลุ่มทั้งหมดในช่วงแรก ๆ เพราะมันไม่ได้มาอยู่เจอเพื่อน ๆ คนอื่นที่เล่นเกมด้วยกันแบบเห็นหน้า ซึ่ง ตอนที่เราเข้าบทก็ต้องปรับตัวนิดนึง แต่ไม่ได้เปลี่ยนเยอะขนาดนั้น ที่เปลี่ยนจริง ๆ คือคาแร็กเตอร์มันจะเปลี่ยนไปตามชุดที่มันใส่ สมมติใส่ชุดเป็นคนญี่ปุ่น ด้วยความที่มันเป็นนักแสดงในเรื่อง เป็นไอดอลแนวหน้าของประเทศ มันก็ต้องตีบทให้แตกว่ากูมีคาแร็กเตอร์เป็นคนญี่ปุ่นยังไง ต้องเดินแบบไหน นั่งแบบไหน พูดจาแบบไหน มันไม่ได้มีแค่ชุดเดียว มีหลายชุดมาก ทุกครั้งที่มันปรากฏตัวแต่มันไม่อยากให้คนรู้ว่านี่คือซาบิ มันก็เลยพยายามจะปลอมตัวแบบโง่ ๆ คือคาแร็กเตอร์ในเรื่องนี้ทุกคนแปลกหมด (หัวเราะ)
จริง ๆ เป็นคนเล่นเกมหรือเปล่า
โห เล่น สมัยก่อนเด็ก ๆ เล่นตั้งแต่ Famicom เครื่องที่ต้องเป่าตลับก่อนเสียบเข้าไปในเครื่อง เล่นกับพ่อ แล้วก็มาเป็น PlayStation 1 เล่น Metal Slug เกมต่อสู้โง่ ๆ คือเราก็โตมากับมัน ก็เริ่มเล่นเกมออนไลน์ช่วงที่มันเริ่มเฟื่องฟู Ragnarok Pangya ต้องแอบแม่เติมเงิน บอกแม่แวะเซเว่นหน่อย ซื้อขนมครับ แล้วตอนนั้นได้เงินไปโรงเรียนวันละ 25 บาท คือต้องเก็บตังพอให้ซื้อขนมหนึ่งถุงแล้วก็ซื้อการ์ด 55 บาท เติมได้แค่ 10 ชั่วโมง สมัยนั้นมีแต่เซิร์ฟเวอร์จริง ยังไม่มีเซิร์ฟเถื่อน high class ยังไม่มาเลย พอมองกลับไปมันก็เป็นความสนุกอย่างนึงที่มันเกิดขึ้นกับตัวเราในสมัยที่เราเป็นเด็ก พอโตมาพ่อแม่ก็เริ่มเข้าใจ เราก็เริ่มมีความนึกคิดมากขึ้น รู้ว่าควรจะแบ่งเวลายังไง เราก็เล่นเพิ่มเติม เล่น Dota, Dota 2 อะไรที่เราได้เล่นกับเพื่อนเราก็เล่นหมด สนุก เหมือนได้พักผ่อน
เติมเงินเกมไปเท่าไหร่แล้ว
อู๊ยยยยยย มันมีเพื่อนผมเติมกันไปเป็นแสนเลยนะ แต่ผมยังไม่ถึงขนาดนั้น เท่าที่จำได้ Pangya เอาไปเยอะมาก เยอะ มาก เหมือนตอนเกมมันเฟื่องฟูเราก็เริ่มโตแล้ว เราก็ได้เงินเยอะขึ้น อาทิตย์นึงไม่ซื้อข้าว เอาข้าวมากินเองจากบ้านเพื่อจะเก็บตังซื้อบัตรเติมเงินในเกม น่าจะหลายหมื่นอยู่อะ
มาเล่นเรื่องนี้ก็เลยอินด้วยหรือเปล่า
อินฮะ สนุก ผมชอบเล่นเกมพวก MOBA อยู่แล้ว ไม่ต้องรีเสิร์ชเยอะ การวางนิ้วอะไรงี้มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ
ปกติชอบเล่นตำแหน่งไหนในเกม ในซีรีส์นี้จะเล่นเกม HoN กัน
ปกติผมเล่น Dota ไม่ได้เล่น HoN แต่ว่ามันก็คล้าย ๆ กัน mechanic มันเหมือนกันเลย เกมตีป้อม แค่ฮีโร่ (ตัวละครในเกม) กับสกิลหรือไอเท็มมันไม่เหมือนกัน แต่ว่าธีมหลักของเกมมันเป๊ะ ถ้าแบ่งหน้าที่ในเกมมันจะมี tank (ตัวละครในเกมจะเลือดเยอะ ๆ ถึก ๆ ไว้ช่วยป้องกันสมาชิกในทีม), jungle (ตัวซุ่มโจมตี มักจะตีคีพในป่าเพื่อสะสมเงินซื้อไอเท็มและอัพเลเวลก่อนออกไปช่วยเพื่อนบวก เป็นตัวแก้สถานการณ์ในเกมได้ดี), carry (ส่วนใหญ่เป็นฮีโร่ที่สามารถโจมตีระยะไกล ทำความเสียหายหลักกับอีกฝ่าย), midlane (อยู่เลนกลางของแม็ปในเกม มักเป็นตัวร่ายเวทย์หรือโจมตีระยะไกล ใส่สกิลโจมตีแรง ๆ), support (ตัวที่ให้ความช่วยเหลือกับคนในทีม ไม่ว่าจะเป็นการฮีลเพิ่มเลือด ทำให้การเคลื่อนไหวศัตรูช้าลง ทำให้ติดมึน) ใช่ไหม ผมไม่ได้ชอบเล่น carry จ๋าขนาดนั้นแบบซาบิ ส่วนใหญ่เล่น midlane ถ้าไม่มี jungle จะเล่น semi-carry อยู่มุมบนของแม็ป ผมว่าในเกมมันดัดแปลงได้หมดแหละ ไม่จำเป็นต้องเป็นตำแหน่งไหนเป๊ะ ๆ เสมอไป อาจจะมี support สองตัวก็ได้ มันแล้วแต่ tactic ของทีมนั้น ๆ แต่ tactic ที่ได้รับการยอมรับมาที่สุดก็คือการมีครบทุกตำแหน่งอย่างละหนึ่งแหละ แต่ทุกคนก็ต้องมีทักษะส่วนตัวที่ค่อนข้างสูงมันถึงจะเล่นแบบนั้นได้
ชอบตัวละครไหนที่สุดใน GGEZ
หืออออ ยากว่ะ ผมคิดว่าทุกตัวละครมีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนมาก ๆ ของมันอยู่แล้ว จนทำให้ทุกตัวมีเสน่ห์ของมัน ไม่รู้อะ พูดไม่ถูก ไม่ได้ชอบตัวไหนเป็นพิเศษ แค่รู้สึกว่า ชอบที่สุดตอนที่ทุกคนอยู่รวมกัน เพราะมันมีครบทุกแบบ ทุกรสชาติจริง ๆ ให้เลือกตัวเดียวเลือกไม่ได้จริง ๆ
สิ่งที่ยากที่สุดในการแสดงเรื่องนี้
การตื่นเช้า (หัวเราะ) ล้อเล่น แอคติ้งแหละ มันก็มีเวิร์กช็อปบ้าง แล้วก็คาแร็กเตอร์มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ บางทีก็ไม่เข้าใจ อย่างแรก ๆ ที่เข้าบทเราก็ยังไม่เก็ตตัวซาบิขนาดนั้น แก่นของคาแร็กเตอร์มันยาก ไม่รู้ว่าต้องเล่นประมาณไหน แบบไหน ก็ผู้กำกับกับผู้ช่วยผู้กำกับก็เก่งมากที่ทำให้มันผ่านมาได้ ก็เขาจะคุยกับเรา บอกภาพที่เขาเห็นตัวซาบิออกมาแล้วให้เราค่อย ๆ ปรับไปเรื่อย ๆ อาจจะเสียเวลานิดนึง แต่ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น
ชีวิตเน็ตไอดอลจริง ๆ เคยเจอเหตุการณ์ที่แฟนคลับจู่โจมไหม
ไม่ค่อยมีครับ แฟนคลับน่ารักทุกคน เรามีระยะปลอดภัย (หัวเราะ) (FJZ: แล้วเคยมีคนให้รีวิวของแปลก ๆ บ้างไหม) ส่วนใหญ่มันก็เป็นอะไรที่ปกติหมด ที่แปลกที่สุดก็คงจะเป็นถ่ายรูปคู่กับพริตตี้รีวิวไอติมอะ ของมันไม่แปลกแต่วิธีหรือภาพที่เขาอยากได้มันแปลก อย่างกับพริตตี้เขาต้องการภาพของคู่รักที่แบบ รักมากกกก ถ้าเลียไอติมด้วยกันได้ก็คือเลียแล้ว หรือแบบไส้กรอกเขาก็อยากให้เข้าไปอยู่ในปากแบบนั้นอะ ไม่เป็นไรก็ตลกดีครับ
เรื่องนี้ทีมงานอายุใกล้เคียงไล่เลี่ยกับเราหมดเลย รู้สึกว่าการทำงานยากหรือง่ายกว่าร่วมงานกับคนที่โตกว่า
สะดวกใจนะ หนึ่งคือเขาเป็นรุ่นพี่คณะเรา สองคือเราอายุไม่ห่างกันมาก แต่ถามว่าเคารพไหม เราเคารพมาก ทั้งในตัวเขาแล้วก็สกิลที่เขามี คือเขาเก่งอะ แล้วเหมือนเขาพูดแล้วเราเชื่อ เราฟัง บางทีเราไปเจอบางคนที่โอเค อาจจะมีอายุแล้ว แต่เขาพูดแล้วเราไม่ฟังก็มี แต่ทุกคนที่อยู่ในกองมันไม่ได้ห่างกันเยอะ แล้วเขาเข้าใจเรา เราก็เข้าใจในสิ่งที่เป็นเขา มันก็ทำให้การทำงานมันสะดวกใจมากขึ้นที่จะได้คุยกัน ต่อให้เป็นเรื่องไม่ดีเราก็สามารถมานั่งคุยกันได้
สนิทกับใครในกองที่สุด
เอาจริงปะ สนิทหมดเลย ทำงานก็คือทำงานนะ แต่เวลาสนุกมันก็สนุก มันไม่เครียด ก็มีจุดที่เครียดบ้างแต่ก็แบบ ด้วยหมู่มวลพลังงานในกองมันทำให้กองสนุกอะ รู้สึกดี ทุกครั้งที่ไปกองไม่มีวันไหนที่ขี้เกียจหรือไม่อยากไปเลย รู้ว่าเราได้เจอใคร รู้ว่าเราได้ทำงาน แล้วสนุก รู้ว่าทุกคนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก สิ่งที่ตัวเองชอบ มันทำให้ทุกอย่างยิ่งมีชีวิตชีวา ผมรู้สึกว่าความสนุกที่เกิดขึ้นในกองมันถูกถ่ายทอดลงไปในซีรีส์ด้วย ส่วนนักแสดงที่สนิท ได้คุยกันเยอะ ๆ ก็มีพี่เพชร (รับบท ปิง) กับบอลชอน (รับบท เจมส์) ได้คุยกันเยอะหน่อยเพราะบางทีเราเบรกพร้อมกัน บอลชอนก็เพิ่งเซ็นเข้ามาอยู่สังกัดเดียวกัน (Cubcave ภายใต้ Bearcave Studio)
เป็นคนเกรียน ๆ หรือเปล่า
ไม่ค่อยครับ (หัวเราะ) ล้อเล่น คำที่เกรียนมันอยู่ที่คนจะนิยามมันมากกว่า ไม่ใช่หัวเกรียนนะ อาจจะเป็นคนที่ค่อนข้างกวนตีนในระดับนึง ทำอะไรไม่ค่อยคิด แต่สิ่งที่ทำออกมามันไม่ได้ไปทำร้ายใครเขา แต่มันจะดูโง่ ติงต๊อง ขวาง ๆ ตลก รวม ๆ กันออกมาเป็นคำว่าเกรียน ผมไม่ค่อยเกรียนนะ มีบ้างเล็กน้อย
เรื่องนี้มีการ์ตูนให้อ่านด้วย
การ์ตูนของ Ookbee สร้างจากซีรีส์ครับ ไปตามอ่านกันได้
จะเป็นนักแสดงจนอายุเท่าไหร่
ตราบใดที่ยังมีคนรักกันอยู่ เราก็จะพยายามสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้เขาได้เสพ ได้มีความสุขกับเราต่อไป (ยิ้ม)
ผลงานหลังจากนี้
จะมีซีรีส์เรื่อง ‘เด็กใหม่’ เพิ่งออนแอร์ตอนแรกไปเมื่อคืนช่อง GMM25 ผมออกมาตอนเดียว แล้วก็จะเจอกันประปรายไปเรื่อย ๆ ตามทีวีและอินเทอร์เน็ต ติดตามกันต่อไป เราจะมีผลงานมาให้ท่านรับชมเรื่อย ๆ ส่วน GGEZ มี 8 ตอน ตอนนี้เพิ่งจบตอนที่ 5 ไป ถ่ายเสร็จแล้ว ยังไงก็ติดตามตอนที่เหลือด้วยครับ