เห็ดหูหนู

Playlist ของ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์

  • Writer: Tossaphol Leongsupporn
  • Photographer: Neungburuj Butchaingam

 

ภายใน. ร้านเสื้อผ้า Onion – กลางวัน.

นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ เป็นผู้กำกับ, คนเขียนบทหนัง, นักเขียน, นักพูด, ช่างภาพ, ดีเจ และน่าจะเป็นได้อีกหลายบทบาทเมื่อดูจากความสามารถที่เขามี วันนี้ ‘เห็ดหูหนู’ จะมาชวนคุยถึงเรื่องราวตลอดปีที่เขาบอกกับเราว่า “สนุกสัด”

นวพล: ตามสบายเลยนะ วันนี้เราว่างทั้งวัน

ทศพล: พี่พูดเองนะ…

จบ.

1

เพื่อความบันเทิงยิ่งขึ้นทุกท่านสามารถเปิด Playlist ประกอบการอ่านบทสัมภาษณ์ของนวพลวัย 32-33 ปี ได้ตามลิงค์ด้านล่างครับ

จีน มหาสมุทรแก่ลงอยู่ทุกวัน

เพลงสำหรับด้านชีวิตทั่ว ๆ ไป / เวลาพูดเล่นกว่าเดี๋ยวนี้แก่แล้ว เพลงนี้ก็จะลอยมาทันที เอาจริง ๆ มันไม่ค่อยมีเพลงพูดถึงความแก่เท่าไหร่ เพลงนี้เลยเป็นเพลงประจำความแก่สำหรับวัยรุ่นหน่อย ไม่ได้พูดว่าแก่แล้วจะต้องมาพร้อมกับความเศร้า แค่ร้องว่าเออกูแก่แล้วเฉย ๆ สบาย ๆ เลยชอบ / แล้วเดี๋ยวนี้พูดว่าแก่บ่อยจนสังเกตได้ เพลงนี้เลยลอยมาบ่อย , คนอื่นชอบบอกว่ามึงแก่ยังไงสามสิบต้นเอง แต่รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วจริง ๆ

PLOT ไม่สนิทอย่าเล่น

เพลงสำหรับด้านโซเชี่ยล / ไม่ตลกนะครับ 555

Stylish Nonsense แฟชั่นโชว์

เพลงสำหรับด้านการทำงาน / ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่าเป็นการทำงานอันรื่นรมย์ ซึ่งเวลาเราทำหนังหรือทำอย่างอื่น ก็พยายามจะให้เกิดบรรยากาศนี้ แล้วได้งานดี ๆ ออกมาด้วย ค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ คิด เราคิดว่างานแต่ละงานที่ทำมันเหมือนสิ่งประดิษฐ์ส่วนตัวที่อยากทำออกมาแล้วเราก็ชอบด้วย คนจ้างก็ชอบด้วย นักแสดงก็ชอบด้วย ทีมงานก็ชอบด้วย อยากให้เธอนั้นเป็นนางเอก อยากให้หนังไปฉายฝรั่งเศส อากาศเย็น อะไรแบบนั้น นี่เขียนอะไรหยั่งกะกลอนไฮกุ

The Photo Sticker Machine ไม่แน่ใจ

เพลงสำหรับด้านมุมมองต่อสังคม / ถ้าเราตั้งคำถาม เราก็จะมีคำตอบ

Napat Snidvongs วันใหม่

เพลงสำหรับด้านการมองชีวิตในภายภาคหน้า / คือชอบเพลงนี้ ใช้ในหนัง ‘ฟรีแลนซ์ ฯ’ เมื่อปีที่แล้ว ทุกวันนี้ยังฟังอยู่เลย มันเหมาะกับการฟังเดือนธันวาคมมาก ฟังแล้วมันหนาว แล้วมันเงียบ (ต้องฟังเวอร์ชัน MV ด้วยนะ มันมีเสียงแอมเบียนท์นั่นนี่) แล้วมันค่อย ๆ ได้คิดดี , เพลงมันมีความไม่แน่ใจ มีความอ่อนแอ และมันก็มีความหวัง / มันคงเป็นวิธีที่เรามองอนาคต มองปีถัด ๆ ไป ในทุก ๆ ปีใหม่มั้ง , มองไม่เห็นหรอก แต่มันดูไม่มืดมาก

 

Exclusive Talk

2

ทริปล่าสุดที่ผ่านมาเป็นไงบ้าง

เทศกาลหนังชื่อ Five Flavours Film Festival ที่ประเทศโปแลนด์เขาเชิญให้เราเอา ‘ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ’ หนังไปฉาย จากก่อนหน้านี้ที่ส่งหนังไปอย่างเดียว แต่รอบนี้ได้ไปเจอคนดูชาวยุโรปจริง ๆ ก่อนไปก็ไม่คิดว่าเขาจะเก็ตมุกในหนังอะไรเท่าไหร่ เพราะหลายอย่างมันก็ไทยมาก แต่พอไปเจอก็เห็นว่าเขาขำกันลั่นโรง ฯ เลยว่ะ ประทับใจเหมือนกัน

เดินทางไปต่างประเทศบ่อยแบบนี้ เคยมีความคิดอยากลองกำกับภาพยนตร์ที่ต่างประเทศดูบ้างไหม

ก็อยากนะ เอาจริงเคยลองนิดหน่อยที่ฝรั่งเศสตอนถ่ายทำเรื่องแม่รี่ ฯ (Mary is Happy, Mary is Happy) แต่พอคิดว่าถ้าต้องทำจริง ๆ ก็แอบคิดว่ามันน่าจะยากขึ้นไปอีก เพราะแค่เรื่องการต้องกำกับนักแสดงต่างชาติ มันก็หนีไม่พ้นปัญหาทางภาษาอยู่แล้วแน่ ๆ การต้องมากำกับผ่านล่ามอีกทีก็ไม่รู้ว่าสารของเราจะแปลถูกต้องแค่ไหน

ปีนี้เป็นปีที่ได้เห็นงานของพี่เยอะมาก ทำไมมันถึงมารวมกันได้ในปีนี้

แล้วดันไม่ใช่หนังด้วยนะ (หัวเราะ) ส่วนนึงอาจจะเพราะไม่ได้ทำหนังเลยมีเวลาว่างพอจะไปทำอย่างอื่น แต่เอาจริงก็สนุกสัดเลยนะ เพราะเราได้ลองสื่อรูปแบบอื่นเพียบเลย อย่างปีนี้ก็ได้ทำโฆษณาเยอะขึ้นกว่าเดิม

มีงานที่เกิดติดใจจนอยากทำต่ออีกรอบบ้างไหม

คงเป็น exhibition แหละ เพราะเราได้รู้แล้วว่าสามารถเล่นอะไรกับมันได้บ้าง ถ้าได้ทำครั้งหน้าก็น่าจะสนุกขึ้นกว่าเดิม

เมื่อสักครู่มีพูดถึงโฆษณาก็นึกได้ว่า ปีนี้ได้เห็นตัวละครผู้ชายในงานของพี่ด้วย ทำไม่ถึงไม่เป็นผู้หญิงอย่างเคย (โฆษณารองเท้าผ้าใบ Rompboy)

เอาจริงนี่ถือเป็นเรื่องท้าทายตัวเองเหมือนกันนะ เพราะเราไม่ค่อยถนัดเท่ากับผู้หญิง แต่เพราะพล็อตมาแบบนั้น มันเหมาะที่ตัวละครจะเป็นผู้ชายมากกว่า

เอาจริงแล้วการกำกับนักแสดงแต่ละเพศต่างกันอย่างไร

ผู้ชายยากกว่าว่ะ คือว่าตัวละครของเรามันจะมีความอ่อนไหวต่ออะไรบางอย่าง ทำให้การเลือกนักแสดงผู้หญิงมาเล่นมันจะเวิร์คกว่า พูดไปอาจจะดู stereotype นะ แต่เรารู้สึกว่าผู้หญิงจะละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชาย อีกอย่างตั้งแต่เด็ก ๆ เพื่อนส่วนใหญ่ของเราก็มีแต่ผู้หญิง สมัยมัธยมเราก็ไม่เล่นกีฬา ไม่เล่นดนตรี พอเข้ามหา’ลัยก็เรียนคณะอักษรศาสตร์อีก เลยกลายเป็นว่าเราจะเข้าใจผู้หญิงมากกว่า

รู้บ้างไหมว่ามีเด็กสาวหลายคนที่อยากเล่นบทนางเอกในของงานพี่

บ้า! ไม่จริงหรอก แต่ถ้าจริงก็รู้สึกดีที่เขาไว้ใจบทเรามากขนาดนั้น และคิดว่าตอนเรียกมาแคสติ้งคงง่ายขึ้นเยอะ (หัวเราะ)

เรามักจะได้ยินบ่อย ๆ เวลามีคนดูงานของพี่ว่า “งานแบบนี้เต๋อ-นวพลทำแน่นอน” ที่จริงแล้วความหมายของงานของ ‘เต๋อ-นวพล’ มันคืออะไร

(นิ่งคิด) เราว่ามันคือมุมมองที่เราสนใจต่อโลกในแง่จริงมาก ๆ และนำมาเล่าแบบหยอกล้อผ่านโลกภาพยนตร์อีกที ทำให้งานออกมาดูตลกร้ายนิด ๆ เอาจริงมันมาจากนิสัยส่วนตัวเราด้วยแหละ ที่ไม่เชื่อว่าการไปบอกอะไรตรง ๆ แล้วเขาจะยอมเปลี่ยนนะ แต่กลับกันถ้าเป็นวิธีค่อย ๆ บอกหรือทำให้เขารู้สึกอะไรบางอย่าง แบบนั้นเขาจะรู้สึกว่ามันจำเป็นมากกว่า

เวลาทำงานพี่เป็นคนแบบไหน

เราคิดว่าตัวเองเป็นคนประนีประนอมนะ จากที่ต้องอยู่กับข้อจำกัดมาตั้งแต่เด็กเพราะที่บ้านไม่ค่อยรวยเท่าไหร่ (หัวเราะ) เลยทำให้เราได้สกิลโปรดิวเซอร์ติดตัวมาด้วย ซึ่งมันช่วยให้เรารู้จักการเตรียมงานในสภาพต่าง ๆ อย่างเวลาก่อนออกกองจริงก็จะขอรู้ทุกอย่างก่อนเลยว่า คิวนักแสดงได้แค่ไหน โลเคชั่นเป็นยังไง มีอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกันทีหลัง อีกเรื่องที่เราใส่ใจมากคือนักแสดงว่ะ เพราะบทของเรามันจะต้องพึ่งคาแรกเตอร์ของตัวละครมาก ๆ ดังนั้นการแคสติ้งอะไรพวกนี้เราต้องดูเองหมดเลย คือยอมเหนื่อยหน่อยเพื่อตอนเวลาทำงานจริงจะได้สบาย

แล้วกับเพลงประกอบล่ะ พี่มีวิธีเลือกเพลงมาใช้ยังไงบ้าง

บื้อมาก คือเลือกจากเพลงที่ช่วงนั้นเราฟังอะไร แต่ก็ไม่ได้เอาทุกเพลงนะ จะเลือกเพลงที่เหมาะกับหนังและซีนนั้นจริง ๆ แต่ก็มีบ้างที่เราจะลองเอาเพลงใหม่ ๆ มาใส่ดู อย่างเราจะสังเกตว่าหนังไทยส่วนใหญ่จะใช้เพลงที่มีเปียโนกับกีตาร์เยอะมาก ตอนทำแม่รี่ ฯ กูเลยจัดกลองใส่แม่งไปเลย เพราะมันยังมีวิธีอีกเยอะแยะที่จะทำให้หนังน่าสนใจขึ้นได้

กับวงการเพลงไทยทุกวันนี้ พี่คิดว่ามันเป็นยังไงบ้าง

วงการเพลงยุคนี้มันคือการสู้กับระดับโลกว่ะ คือเมื่อก่อนมันเป็นการสู้ระหว่างวงดนตรีอิสระกับค่ายเพลง แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเราก็สามารถเข้าถึงกันได้หมดแล้ว มันเลยไม่ใช่แค่เรื่องการชิงพื้นที่กันตามชาร์ตหรือวิทยุกันอีกแล้ว แต่ต้องแข่งขันกันมากขึ้นเพื่อให้ตัวเองสามารถยืนออกมาเหนือกว่าคนอื่น

ปกติพี่ชอบฟังเพลงแนวไหน

เพลงป๊อปจ๋าอย่าง Kamikaze รุ่นแรกเราก็ฟังนะ หรือเพลงที่มีแร็ปหรือฮิปฮอปผสมอยู่ในเพลงอย่าง Limp Bizkit หรือ Linkin Park เราก็ชอบ แต่ที่ตามมานานกว่าวงอื่นหน่อยก็คงเป็น Radiohead กับ The Strokes เอาจริงเราเป็นคนที่ชอบฟังเพลงจากแผ่นซีดีหรือพวก YouTube แต่กับคอนเสิร์ตไม่ค่อยเท่าไหร่ ถ้าจะไปก็อยากไปงานแบบเล็ก ๆ ดูใกล้ชิดมากกว่า

ไม่อยากลองทำวงดนตรีเองบ้างเหรอ

อยากสิ เพราะเอาจริงเราตีกลองได้นะ คือมันเริ่มมาจากว่าปกติเราก็จะตีกลองคนเดียวอยู่ที่บ้านนี่แหละ แต่พอถูกเชิญให้ขึ้นไปเล่นด้วยในวันเปิดตัวหนัง ‘ฟรีแลนซ์ฯ’ แล้วเล่นร่วมกับคนอื่น ๆ แม่งสนุกว่ะ เลยมีคุยกับเพื่อนว่าลองมาทำวงกันดูไหม แต่อย่าเพิ่งจริงจังนะกูไม่เก่ง (หัวเราะ)

แสดงว่าพี่มีมือกลองขวัญใจล่ะสิแบบนี้

สำหรับเราคือเอม วง SLUR ว่ะ เวลาฟังเพลงของเขาแล้วรู้สึกว่าแม่งเจ๋งว่ะ ถ้าตีกลองได้อย่างนั้นก็คงดี ที่จริงทุกปีจะมีการกลับมาลองตีกลองเพลง SLUR ดูว่าเราตีอย่างเขาได้หรือยัง …ซึ่งก็พบว่าไม่ได้

ทำงานเยอะแบบนี้ มีช่วงของหมดบ้างไหม

เอาจริงมันก็หมดตั้งแต่หลังจากจบ ‘ฟรีแลนซ์ฯ’ ไปนั่นแหละ ช่วงนี้เลยต้องหาของป่าเองว่ะ คือมีอะไรกูลองหมด แต่ปีนี้ก็ถือว่าได้เติมความรู้ใหม่ ๆ ให้กับตัวเองเยอะอยู่นะ อีกอย่างเอาจริงเราก็ไม่ได้อยากทำหนังเกี่ยวกับเด็กมัธยมตลอดไปนะเว้ย! เราก็อยากทำเรื่องที่ไม่เคยทำบ้าง เพราะก็ไม่ได้อยากเอาของเก่ามาวนทำใหม่เรื่อย ๆ แบบนั้นมันดูไม่แฟร์กับคนที่เขารอดูงานเราด้วย

3

ชีวิตที่กำลังเข้าสู่ช่วงอายุ 33 ปี พี่เริ่มมองหาความมั่นคงบ้างหรือยัง

โห ไม่คิดเลยว่ะ สำหรับเรารู้สึกเหมือนชีวิตกำลังเริ่มต้นด้วยซ้ำ เพราะเอาจริง ๆ สิ่งที่เราฝันมาตั้งแต่ช่วงเริ่มทำงานตอนแรกว่าจะทำอาชีพนี้เลี้ยงตัวเองให้ได้ มันเพิ่งจะเป็นจริงช่วงนี้เอง เลยไม่ได้คิดว่าจะต้องซื้อบ้านใหญ่ ๆ หรือซื้อรถใหม่ มองหาความมั่นคงอะไรทั้งนั้น แค่อยากให้ชีวิตทุกวันมันราบรื่นก็พอ แต่อย่างไรก็ตามพื้นฐานเราเป็นคนขี้งกฉิบหายอยู่แล้ว เลยสบายใจได้ว่าจะไม่ถังแตกแน่นอน

และกับเรื่องความรักล่ะ ดูใครเป็นพิเศษอยู่หรือเปล่า

เอาง่าย ๆ เลยนะ ยังไม่พร้อมว่ะ พูดเหมือนเด็กสมัยเรียนเลยเนอะ (หัวเราะ) แต่รู้สึกว่าอยากทำงานก่อนจริง ๆ และเราดันเป็นคนที่ทำงานแล้วก็จะเทใจไปเต็มที่ ถ้ามีแฟนมันจะเกิดความรู้สึกว่าไม่แฟร์กับเขา ถึงเขาจะบอกว่าไม่เป็นไรนะ แต่เอาจริงแม่งก็เป็นไรอยู่ดี อย่างน้อยก็กับตัวเราเอง และพอโตขึ้นเราก็จะพบว่าช่วงหนึ่งปีแรกของการคบกันแม่งโคตรไม่จริง (เสียงหนักแน่น) มันคือภาพลวงตามาก ๆ และกว่าจะผ่านปีนั้นไปมันก็เต็มไปด้วยเรื่องราวไปแล้ว คราวนี้จะทำอะไรก็ยากแล้ว เลยคิดว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งเลยดีกว่า อีกอย่างเราก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าไปจีบใครแบบ “เธอ ๆ ขอไลน์หน่อย” ไม่ใช่แน่ ๆ แต่ถ้าจะต้องมีก็คิดว่าคงเป็นอะไรที่ธรรมชาติอย่างการอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ แล้วรู้สึกขึ้นมาเองแบบนั้นมากกว่า

อยากรู้ว่าผู้หญิงในสเป็กของพี่มีความเหมือนกับตัวละครผู้หญิงในแต่ละงานของพี่บ้างไหม

ก็นิดหน่อย แต่เอาจริงเราชอบผู้หญิงที่หน้ามีคาแรคเตอร์นะ แต่ท้ายสุดเราว่าถ้าจะอยู่กันได้ก็คงต้องเป็นคนเหมือนแม่เราอะ คือหายไปนาน ๆ ก็แค่งอน ไม่ได้โกรธอะไร วางใจเราในทุกเรื่องและคอยช่วยเหลือได้บ้าง

ถามถึงวัยเด็กกันบ้าง สมัยนั้นพี่เป็นเด็กแบบไหน

ถ้าถามแม่เรา แม่จะบอกว่าเราพูดมาก พูดไปเรื่อย ไม่เหมือนน้องชายที่เงียบกว่าเยอะ แต่เอาจริงแม่เราก็พูดมากนะ (หัวเราะ)

พี่คิดว่าเด็กยุคนี้กับยุคก่อนต่างกันมากแค่ไหน

มันก็ต่างกันที่ยุคนี้โลกได้ให้อุปกรณ์กับคนเท่ากัน YouTube, Facebook อะไรอีกมากมายที่สามารถสร้างอะไรก็ได้ เพียงแต่เราจะต้องรู้ข้อจำกัดตัวเองด้วยว่ามีอะไรบ้าง และค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อ เราว่าทุกวันนี้แต่ละคนรู้จักความชอบของตัวเองกันหมดแล้วนะ เพียงแต่จะนำสิ่งเหล่านั้นมาสื่อสารกับคนในวงกว้างยังไงมากกว่า และไม่อยากให้ไปกลัวว่าจะทำซ้ำกับใคร อยากให้โฟกัสที่คอนเทนต์มากกว่า เพราะมันคือการบอกว่าคุณมีมุมมองต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไร เราไม่อยากให้ไปเอาเป็นเอาตายกับเรื่องใครทำก่อน-หลังพวกนี้

4

พี่เต๋อสนใจเรื่องแฟชั่นไหม

เฮ้ย เราสนใจมากเลยว่ะ ยิ่งช่วงหลัง ๆ เราดูหนังแล้วเห็นว่ามันมีรายละเอียดสนุก ๆ อย่างการจับคู่สีหรือการไล่เฉดสีของเสื้อผ้า ดูแล้วก็รู้สึกว่าสวยดี ถือเป็นอีกเทคนิคที่ทำให้งานดูน่าสนใจมากขึ้นได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยสนใจ

แล้วเคยอยากจะเปลี่ยนแฟชันอะไรในตัวไหม

คิดจะเปลี่ยนตลอดนะ แต่แม่งไม่รู้ว่าจะออกมาดีมั้ย คือเราก็ไม่ใช่คุณเฮ้าส์ Onion อะนะ จะให้มาแต่งตัวจัดก็คงไม่เท่เท่าเขา เราเลยจะชอบพวกเสื้อยืดที่มันใส่ได้ตามชีวิตประจำวัน แต่มีกิมมิคอะไรเล็ก ๆ ที่ทำให้มันดูพิเศษ เช่น ลายของมัน เนื้อผ้า หรือการตัดเย็บอะไรทำนองนั้น

ทำงานแบบนี้มานาน เคยเบื่อจนไม่อยากทำงานบ้างไหม

ไม่นะ มีแต่ถ้าไม่มีงานแล้วจะนอยด์ จะเป็นคนตื่นเต้นเมื่อได้ประชุมโปรเจคใหม่ ซึ่งเอาจริงมันก็ไม่ค่อยดีเพราะรู้สึกว่าตัวเองพักไม่ค่อยเป็น เวลาไม่มีงานทำก็เอาเวลาไปพักผ่อนก็ได้ แต่ทุกวันนี้จะต้องหาอะไรมาทำตลอดเวลา เลยพยายามแก้ด้วยการบอกตัวเองว่า “ใจเย็น ๆ นะมึง พักก่อนได้นะ”

เป็นผู้กำกับมานาน อยากลองเปลี่ยนมาเป็นนักแสดงเองดูบ้างไหม

โห แม่งยากว่ะ ถ้าต้องเล่นคงเล่นได้แค่เป็นตัวเองแบบนี้

แล้วถ้าเป็นบทพระเอก MV อกหักพอไหวหรือเปล่า

ให้เล่นเป็นตัวซ้ำเติมพระเอกอะได้ มึงเอาไหมล่ะ

ปี 2016 นี้พี่ได้ค้นพบอะไรบ้าง

(นิ่งคิด) เราปล่อยวางกับความคิดคนอื่นได้มากขึ้น ส่วนนึงก็เพราะเราเจอมาทุกรูปแบบแล้วแหละ ทั้งที่มาแซะ มาพูดให้ร้ายเรา หรือด่าแบบไม่มีชิ้นดีก็เคยมาหมด โดนจนค้นพบว่าเราเป็นตัวเองได้แค่นี้ ทำทุกอย่างให้เต็มที่ เลือกรับแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์กับเราดีกว่า พอปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ลงได้ก็จะมีเวลาว่างไปทำอะไรอย่างอื่นเพิ่ม เพราะยังไงสุดท้ายเราก็ต้องมีชีวิตต่อไปอยู่ดี …กลายเป็นฟังธรรมแทน ฟังใจ แล้วเนี่ย

ปีหน้าเราจะได้เห็นงานอะไรจากพี่บ้าง

เราพยายามจะทำหนังอินดี้เรื่องนึงให้เสร็จ น่าจะเป็นช่วงปลายปี และก็มีบทที่กำลังพัฒนากับทาง GDH กันอยู่

ถ้าจะเอา ‘เห็ดหูหนู’ ไปทำอาหารได้ตามใจชอบ พี่อยากให้เป็นเมนูอะไรดี

เชี่ย กูไม่กินเห็ดหูหนูว่ะ จบ.

5

 

ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ Onion Store เอกมัย 12

Facebook Comments

Next:


Tosaphol Leongsupporn

ทศพล เหลืองศุภภรณ์ นวมินทร์เกอร์ ผู้ชื่นชอบการได้คลุกคลีกับหนังสือ และชื่นใจเวลาได้ฟังเพลงเก่า ปัจจุบันทำงานอยู่ในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง