คุยกับ ‘พลอย พลอยไพลิน’ ถึงการค้นหาตัวเองหลังเรียนจบครบ 1 ปี พร้อมฟังเพลงโปรดของเธอ
- Writer: Peerapong Kaewthae
- Photographer: Chavit Mayot
- Visual Designer: Karin Lertchaiprasert
‘เรียนจบแล้วทำไรต่อ?’ อาจะเป็นคำถามธรรมดา ๆ สำหรับใครหลายคนที่ตั้งใจพุ่งเข้าสู่โลกของการทำงานจริงทันที แต่ พลอย—พลอยไพลิน ตั้งประภาพร กลับรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่ตอบยากมาก เลยให้เวลาตัวเองหนึ่งปีในการหาคำตอบว่าตัวเองเรียนจบแล้วอยากทำอะไรกันแน่ พร้อมเปิดเพจ พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ? คอยบันทึกการเดินทางของตัวเองไปพร้อม ๆ กัน จนวันหนึ่งได้ลองเดินทางออกจาก comfort zone และได้เขียนหนังสือเล่มแรกในชีวิต
ตอนนี้พลอยกำลังก้าวเข้าสู่ชีวิตบทใหม่คือการเป็นนางเอกในภาพยนตร์ ‘Low Season’ ที่ต้องใช้ทักษะ ประสบการณ์และความสามารถทั้งหมดลงไป หนึ่งปีหลังจากเรียนจบเธอได้ค้นพบอะไรบ้าง ลองไปคุยกับเธอกัน
PLOY’s PLAYLIST
เขียนไขและวานิช – แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร / ภาพฝันในจักรวาล
ไม่ได้ตั้งใจขายนะว่าเพลงนี้เป็นเพลงประกอบหนังที่เราเล่น เราเคยฟังมานานแล้วแต่ไม่ได้ชอบขนาดนั้นจนมาเล่นหนังเรื่องนี้ เพลงนี้ถูกเปิดทุกขณะที่เราเล่นหนังทั้งบิลด้วย ทั้งอธิบายอารมณ์ของหนังด้วย ทั้งกองฟังจนร้องเพลงนี้ได้ (หัวเราะ) พอเรากลับมา คิดถึงการออกกองเมื่อไหร่ก็จะเปิดสองเพลงนี้ฟังไปเรื่อย ๆ ลามไปถึงเพลงอื่น ๆ ของเขาด้วย จนเราเป็นแฟนคลับพี่เขียนไข ฯ ไปแล้ว
เรืองฤทธิ์ บุญรอด – เธอ
เป็นเพลงที่เวลาไปเที่ยวแล้วชอบเปิดฟัง / ฟังบน ฟังใจ
Warin – ฤดูกาล
มันไม่ค่อยมีเพลงผู้หญิงที่เป็นโฟล์กเท่าไหร่ เสียงเขาฟังแล้วมันรื่น ผ่อนคลาย คำศัพท์ที่เขาใช้ในเพลงมันละเอียดอ่อน พริ้วไหวไปตามเพลง
t_047 – รอสายรุ้ง / เพียงฤดู
ชอบการที่เขาเล่นกับธรรมชาติ เพลงของเขาจะมีทั้งเสียงแบ็คกราวด์ของใบไม้ แตรรถ เข้ามาในเพลง เราก็ชอบ / ฟังบน ฟังใจ
TALK TALK TALK
ตอนที่โดนถามว่า ‘เรียนจบแล้วทำไรต่อ’ ครั้งแรก รู้สึกยังไง
น่าจะเป็นความกดดันมั้งคะ เพราะเราไม่รู้ว่าจะทำไรต่อ ไม่รู้จะตอบเขายังไง ก็กดดันที่ต้องหาคำตอบให้เขา เป็นความคาดหวังของคนถามด้วย เขาต้องการรู้คำตอบแต่เราไม่มีให้ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่ก็มีเพื่อน รุ่นพี่ อาจารย์ที่จะถามกัน ได้แต่ตอบติดขำไปว่า ‘ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่รู้เลย’ แต่พ่อแม่ก็จะไม่ถาม เขาน่าจะรู้ว่าเราเครียดอยู่แล้ว
ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปทางสายหนัง
เราก็เป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เราก็ยังไม่มั่นใจจะเอาด้านนี้จริงจังรึเปล่า เหมือนความสับสนมากมาย
ผ่านมาปีกว่าละกับเพจนี้ ตอนนี้เราได้คำตอบหรือยัง
โอ้โห นิยามไม่ได้เลย คนถามเยอะมากว่าเราได้คำตอบรึยัง เราว่ายังนะ มันไม่เชิงว่าไม่มีคำตอบนะ แต่เราสนุกกับการทำอะไรหลายอย่างมาก เราได้ทำเพจ ทำ YouTube เขียนหนังสือด้วย แสดงละครไปด้วย ปีที่ผ่านมาก็ได้โอกาสเล่นหนังด้วย
อะไรนำพาให้ พลอย—พลอยไพลิน มาเป็นนักแสดงได้
(หัวเราะ) มันตลกมากเลย จริง ๆ เราไม่ได้อยากเป็นนักแสดงตั้งแต่แรก แต่เราแค่อยากมีค่าขนมมีเงินเก็บของตัวเอง แล้วเราก็ติดเกมตอนนั้นอยากได้ PSP คุณแม่ก็บอกให้เก็บตัง เลยอยากทำงานจึงเข้าวงการแคสโฆษณาแล้วก็มาเรื่อย ๆ ค่ะ
ตอนแรกกดดันไหม
มันไม่เชิงกดดัน มันเหมือนเราไม่ได้คาดหวังกับมันมากขนาดนั้นอยู่แล้ว เป็นความตื่นเต้นที่ได้ทำอะไรใหม่ ๆ เจอคนใหม่ ๆ ตลอดเวลา ได้อยู่หน้ากล้องอะไรแบบนี้
จนมาถึงหนังเรื่องแรกของ พลอย—พลอยไพลิน
อันนี้แหละกดดัน (หัวเราะ) ตอนแรกเราไม่ได้คาดหวังอะไร แต่พอทำไปเรื่อย ๆ เราก็คาดหวังว่าเราต้องดีขึ้นเพราะเราก็จริงจังกับมันแล้ว พอมันเป็นหนังด้วย มันคือสิ่งที่เราเรียนมาตั้งแต่มหาลัยด้วยก็อยากให้มันออกมาดีอย่างที่ตั้งใจไว้ เราได้ทำงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ทั้ง พี่โฟร์ ศกลรัตน์ พี่นิกกี้ ณฉัตร แล้วก็ พี่มาริโอ้ เมาเร่อ ทุกคนเป็นรุ่นใหญ่หมดเลยแล้วมาเล่นกับเราที่เป็นใครก็ไม่รู้ เราต้องทำให้ดีไม่ให้เขาผิดหวังที่เลือกเรามา
‘Low Season’ เกี่ยวกับอะไร
หนังรักโรแมนติก คนโสดสองคนที่อกหักมาเจอกัน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างเลยต้องมาเผชิญอุปสรรคด้วยกัน นางเอกเป็นคนเห็นผีเลยทำให้ไม่สมหวังในความรักเพราะแฟนกี่คนก็หาว่าเขาบ้า ส่วนพระเอกที่อกหักมาจากการเป็นผู้กำกับหนังอินดี้ เลยมาเขียนหนังผีแทน แต่ตัวเขาไม่เชื่อเรื่องผีเลยใช้นางเอกเป็นเครื่องมือในการพาตัวเองไปเจอผีให้ได้ เลยต้องมาร่วมภารกิจในการตามล่าผีด้วยกัน
แต่ตัวจริงพลอยไม่เห็นผีใช่ไหม
ไม่มี (หัวเราะ) ไม่มีเซ้นส์ค่ะ
ร่วมงานกับมาริโอ้ครั้งแรกเป็นยังไง
ตื่นเต้นมากกกก เราเห็นพี่เขาตามสื่อบ่อยมาก ติดตามหนังที่เขาเล่นตั้งแต่ ‘สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก’ หรือ ‘พี่มาก พระโขนง’ ดูเขาเล่นกับคนอื่นมาเยอะมาก ไม่คิดว่าวันนี้จะเป็นตัวเองที่ได้มาร่วมงานกับพี่เขา ก็ดีใจมาก ได้เห็นการทำงานของพี่เขา พี่เขาทำงานด้วยความสนุกอะค่ะ เขาไม่ได้คิดว่ามันคืองาน เขามากองถ่ายแล้วมีความสุขกับมัน มันไม่ได้เครียดหรืออะไรขนาดนั้น
ความท้าทายในการเล่นหนังครั้งแรก
อย่างแรกน่าจะเป็นเรื่องสถานที่ที่มันค่อนข้างจะยาก เราไปถ่ายหน้าฝนด้วย ต้องฝ่าโคลน ผ่านนาขั้นบันไดที่ไกลมาก มันเดินค่อนข้างไกลและต้องแสดงตามบทด้วย มันแตกต่างจากละครตรงที่มันมีหลายกล้องแล้วต้องเล่นให้เหมือนเดิมทุกครั้ง ก็ท้าทายมากจริง ๆ
เวลาอกหักคิดว่าไปเที่ยวที่ไหนน่าจะเยียวยาเราได้ดีที่สุด
เราว่าต้องไปเที่ยวที่มันเหนื่อย ๆ อะ เดินเหนื่อย ๆ จนไม่มีเวลาคิดถึงใครอะ ภูกระดึงอะไรยังงี้มั้งคะ เวลาเราเหนื่อยก็ไม่มีพลังไปคิดถึงส่วนอื่นแล้ว แค่โฟกัสไปกับการเดิน เดิน เดิน
ทุกครั้งเวลาเราไปเที่ยว แต่ละทริปเรามองหาอะไร
มันแล้วแต่อะค่ะ ถ้าไปกับเพื่อนเราก็เน้นสนุกเน้นมัน บางครั้งเราก็แบกคำถามไปหาคำตอบในทริปนั้นก็มี ตอนที่เราจะไปเนปาลเราก็คิดว่าเราจะทำมันได้มั้ย ก็แบกมันไปแล้วพยายามทำมันให้ได้ ถ้าเป็นทริปพักใจก็อาจจะไปนอนเฉย ๆ ก็มีเหมือนกันค่ะ
ทริปที่ประทับใจที่สุด
มันประทับใจทุกทริปเลยค่ะ ที่ทุกคนน่าจะเห็นคือทริปนั่งรถไฟจากจีนไปฝรั่งเศสอะค่ะ เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ใหญ่มาก ๆ ที่เราเคยทำค่ะ มันเปลี่ยนทั้งมุมมองความคิด เราได้เห็นโลกกว้างขึ้นก็เข้าใจอะไรมากขึ้น
เขียนหนังสือมันยากอย่างที่เราคิดไว้ไหม
ยากค่ะ ปกติเราจะเป็นมุมมองของคนอ่าน เสพคำศัพท์ของนักเขียน แต่พอเรามาเขียนจริง ๆ เหมือนมันคือศูนย์อะ เราต้องบรรยายทุกอย่างที่คิดหรือเห็นอะ อย่างเราจะอธิบายถึงภูเขาที่เราเห็นตอนนั้นมันเขียวประมาณไหน ชะอุ่มยังไง ท้องฟ้าสีอะไร สภาพอากาศเป็นยังไงหนาวขนาดไหน มันต้องอธิบายให้ละเอียดมากกว่าเดิมให้คนที่ไม่เคยไปต้องเห็นภาพได้ มันยาก มันเป็นศิลปะที่เราไม่เคยคิดจะเข้าใจมัน แต่พอเราเขียนเราเข้าใจเลยว่าคนที่เขียนเก่ง ๆ เขาเก่งขนาดไหน
จะมีเล่มสองไหม
อยากเหมือนกันค่ะ อยากรอให้ตัวเองเติบโตมากกว่านี้ก่อน อยากให้มุมมองของหนังสือมันเปลี่ยนไปจากเล่มแรกเหมือนกัน
ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเป็ดอยู่ไหม
เป็น (หัวเราะ) เวลาใครถามว่าทำอะไรบ้าง เราก็จะตอบไม่ได้ว่าเราเป็นอะไรทำอาชีพอะไรก็ไม่รู้ เพราะเราทำหลายอย่างมากเลย ตอนนี้ก็สนใจหลายอย่างมาก อยากลองทำธุรกิจเปิดร้าน อยากทำองค์กรช่วยเหลือสังคมค่ะ
ปีเดียวมันพอรึเปล่า ที่จะใช้ในการค้นหาตัวเอง
เราวางแผนไว้หนึ่งปีเนอะ แต่สุดท้ายเรารู้สึกว่าในการค้นหาความหมายของชีวิตหรืออะไรก็ตาม มันไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว ทุกคนมักจะมีคำถามเสมอแล้วมันก็ไหลไปเรื่อย ๆ แต่เรารู้สึกว่าพอหมดหนึ่งปีแล้วเราต้องกลับมาโฟกัสกับงานที่เราต้องทำซักที แต่จะไม่หยุดสงสัยนะว่าเราจะทำอะไรต่อ คงหาว่าเวลาอื่น ๆ ไปทำอะไรใหม่ ๆ ด้วย
คนอื่นที่ไม่ได้มีโอกาสเท่าเรา จะแนะนำให้เขาค้นหาตัวเองยังไง
เรารู้สึกว่าบางคนที่มีโจทย์ในชีวิตไม่เหมือนกัน ต้องแบกภาระครอบครัว ไม่มีกำลังไปทำตามความฝัน เรานับถือคนเหล่านี้เหมือนกันนะ ที่เขาเก็บความฝันเขาไว้แล้วทำเพื่อคนข้างหลังหรือคนที่อยู่ข้าง ๆ เขา อยากให้เขาภูมิใจในสิ่งที่เขาทำมากกว่าเสียดายที่ตัวเองไม่ได้ทำตามฝัน มันก็เหมือนความฝันของเขาที่อยากจะดูแลใครซักคนเหมือนกัน ถ้าความฝันที่เขาอยากทำยังอยู่ ซักวันก็ต้องทำมันได้อย่างแน่นอน
วัยรุ่นยุคนี้ถูกกดดันให้ประสบความสำเร็จเร็วเกินไปรึเปล่า
ใช่ เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยากประสบความสำเร็จเหมือนกัน แต่พอเวลามันผ่านไปแค่ปีเดียว จริง ๆ เราก็ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ให้เวลาตัวเองได้คิดได้ทำอะไรไปเรื่อย ๆ ถ้าเรารีบไปแล้วมันไม่มีความสุขมันก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าทำไปเรื่อย ๆ ในแนวทางที่เราตั้งไว้แล้วเรามีความสุขกับมันไปเรื่อย ๆ มันก็เหมือนกัน อยู่ที่ระหว่างทางเรามีความสุขกับมันรึเปล่า
‘การประสบความสำเร็จ’ ในนิยามของพลอยคืออะไร
ไอ้คำว่าประสบความสำเร็จเราก็ยังไม่รู้เลยว่านิยามของมันคืออะไร บางคนอาจจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง มีครอบครัวมีลูก แต่ละคนมันแตกต่างกัน แต่สำหรับเราคิดว่าการได้มีความสุขในทุก ๆ วันมันก็ดีแล้ว
มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่เพิ่งเรียนจบไหม
ยินดีด้วยนะคะที่เรียนจบแล้ว (หัวเราะ) อย่าไปกดดัน อย่าไปคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ทุกคนมีทั้งสิ่งที่เก่งและไม่เก่ง ถนัดไม่เหมือนกัน สิ่งที่ทุกคนตั้งคำถามหรือเครียดเนี่ยทุกคนเคยผ่านกันมาหมดแล้ว ไม่ใช่แค่รุ่นเรา ผู้ใหญ่ที่โตมาก ๆ บางครั้งเขาก็สับสน อยากให้ทุกคนใช้เวลา ได้ลองทำอะไรที่ตัวเองอยากลองทำ ถ้าไม่มีโอกาสหรือมีภาระที่ต้องทำจริง ๆ ก็อยากให้ทำมันให้เต็มที่ที่สุดและมีความสุขกับทุกวัน
ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ของ พลอย และกิจกรรมใหม่ ๆ ที่เธออยากลองทำได้ที่ พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?
เปิดบ้านคุยกันแบบเต็มอิ่มกับ ‘ปาย’ และ ‘บีม’ จาก FEVER
มาคุยกับ Earth Patravee และ Jan Chan กับเรื่องราวของเพลง ‘อยากให้มาด้วยกัน’