Playlist ของ คิ้ว – อนงค์นาถ ยูสานนท์
- Writer: Teeraphat Janejai
- Photographer: Chavit Mayot
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนทุกคนน่าจะได้เห็นโฆษณาสองชิ้นสองสไตล์บนหน้า news feed ชิ้นหนึ่งเป็นโฆษณาของ Greyhound Original กำกับโดยเต๋อ — นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ อีกหนึ่งเป็นของ Sunsnack ผลงานสร้างสรรค์จากทีม Salmon House โดยมีจุดร่วมกันคือ มีนักแสดงสาวใสคนเดียวกัน คือ คิ้ว — อนงค์นาถ ยูสานนท์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง สยามสแควร์ ที่กำลังจะฉายสิ้นเดือนนี้ด้วย Fungjaizine ก็ไม่พลาดที่จะชวนเธอมาพูดคุยพร้อมกับเพลย์ลิสต์เพลงที่เธอโปรดปราน
Playlist ของ คิ้ว อนงค์นาถ
Tom Odell – Hold Me
ชอบเวอร์ชั่นนี้ เป็นโชว์ในงานแฟชันโชว์ของ Burberry ซึ่งมันแตกต่างจากออริจินัลมาก เราว่าความหมายมันดีมากที่ตอกย้ำความรู้สึกของตัวเองว่าเราปล่อยให้คน ๆ หนึ่งจากไป แต่พอเรากลับมามองตัวเอง เรากลับรู้สึกว่าไม่น่าทำแบบนั้นลงไป และก็ยังจำความรู้สึกตอนที่เขากอดเราได้อยู่ ยังได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจของเขา
Armchair – น้ำหนัก
ชอบมาก ฟังเพลงนี้มานานมากแล้ว แล้วมีประโยคหนึ่งที่ชอบมาก คือ เมื่อให้น้ำหนักกับสิ่งไหน ก็ให้ความรู้สึกกับสิ่งนั้น แล้วเรารู้สึกว่าประโยคนี้มันจริงมาก ๆ ฟังแล้วอบอุ่นมากเลย
King of Convenience – Mrs. Cold
เวลาฟังเพลงของเขาทั้งสองคนจะรู้สึกผ่อนคลายมากเลย เวลาเหนื่อย ๆ เซ็ง ๆ มาก็จะเลือกฟังวงนี้ก่อน ฟังได้ทุกเพลงทุกอัลบั้มเลย
Silly fools – เพียงรัก
เป็นเพลงที่ต่อให้เปิดฟังในห้องคนเดียวก็ยังมีพลังเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ต ชอบความรู้สึกของเพลงที่อยากจะบอกให้เขารู้ว่ามีรักอยู่ตรงนี้นะ และก็ยังมีท่อนที่น่ารักแบบ และอยากรู้ว่าจะมีใครมารับเอาไว้ ฟังแล้วรู้สึกได้ว่าเขาเห็นคุณค่าของความรักมาก
Squeeze Animal – ฉันไม่เหงา
ชอบความประชดในเพลง ซึ่งเราก็มักจะมีความรู้สึกแบบนี้อยู่บ่อย ๆ ชอบบอกคนอื่นว่าเราไม่เหงา เราโอเค แต่จริง ๆ แล้วโคตรเหงาเลย ได้แต่คิดในใจว่าจะไม่มาหาจริงเหรอ ก็เป็นเพลงที่เอาไว้ประชดนิดนึง แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีใครรู้หรอก (หัวเราะ)
Exclusive talk
เริ่มเข้าวงการมาได้ยังไง
เริ่มมาจากงานแรกที่คนอาจจะยังไม่รู้กัน คือ หนังสารคดี ของพี่เบิ้ล — นนทวัฒน์ นำเบญจพล ผู้กำกับฟ้าต่ำแผ่นดินสูง เรื่องที่ไปเล่นชื่อเรื่องว่า #BKKY เป็นสารคดีกึ่งฟิกชันที่เอาวัยรุ่นมาสัมภาษณ์หนึ่งร้อยคน ถ่ายเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคิ้วอยู่ม.6 ซึ่งก็ยังติดปัญหานิดหน่อยก็เลยยังไม่ได้ฉาย แล้วก็เมื่อวานนี้เลย (16 มีนาคม) ตารางฉายก็ออกมาสักที เรื่องนี้เราเล่นเป็นทอม ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเป็นยังเด็กผู้หญิงผมยาวอยู่เลย พอได้มาเล่นเรื่องนี้ก็เลยต้องตัดผมสั้น ตอนนั้นยังไม่เคยมีผลงานอะไรมาก่อน แต่ที่เข้าไปเล่นเรื่องนี้ได้เพราะเขาเรียกไปสัมภาษณ์ ค่าจ้าง 300 บาท เหมือนเป็นงานวิจัย เราว่างก็เลยไป อยู่ดี ๆ ก็พลิกมาเอาไปทำหนังเฉยเลย เขาก็เลยชวนไปเล่น ตอนที่รู้ว่าต้องเล่นเป็นทอม ก็ลังเลนิดหน่อย แต่ก็อยากลองดู น่าสนุกดี
สนใจเรื่องการแสดงมาก่อนแล้วหรือเปล่า
ก็สนใจ แต่เดิมเป็นเด็กกิจกรรมมาโดยตลอดอยู่แล้ว เป็นลีดเดอร์ เป็นประธานเชียร์สีแดง ได้แชมป์ด้วย (หัวเราะ) พอมีโอกาสก็เลยอยากลองดู น่าจะสนุก เป็นประสบการณ์ใหม่
ทำไมถึงเลือกเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ วิชาเอกการแสดงและการกำกับการแสดง
ชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อกับแม่ก็ชอบดูหนัง เป็นกิจกรรมหลักของที่บ้านเลย พ่อกับแม่ก็ชอบเก็บหนังเก่า ๆ ไว้ เราก็หยิบมาเปิดดูบ่อย ๆ นั่งดูได้ทั้งวันเลย เรียกได้ว่าโตมากับหนัง พอจะต้องเลือกคณะก็เลยถามตัวเองว่า เราอยากรู้อะไรเกี่ยวกับหนังบ้าง ก็พบว่าเราอยากรู้กระบวนการผลิตก่อนจะมาเป็นหนังสักเรื่อง แต่ละ genre มันมีวิธีคิดวิธีทำแตกต่างกันอย่างไร คนสร้างเขาคิดอะไรกัน ส่วนที่เรียนอยู่คือ การแสดงและการกำกับการแสดงสำหรับภาพยนตร์ ซึ่งสำหรับเรา มันเป็นวิชาที่ได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ไปด้วย มีเรื่องจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของตัวละครตัวหนึ่งว่ามันเป็นมาอย่างไร ทำไมเขาถึงได้มีเหตุผลหรือการตัดสินใจแบบนี้
จริงๆ แล้วการแสดงมันยากไหม หรือว่าแค่หน้าตาดีก็พอ
เราเชื่อว่าใคร ๆ ก็แสดงได้ แต่ถ้าจะแสดงให้ดี เราจะต้องทำความเข้าใจในตัวละครนั้นให้ลึกซึ้ง คนภายนอกอาจจะมองว่าการแสดงมันไม่ยากหรอก ก็แค่เล่นไปตามที่ผู้กำกับเขาสั่ง แต่ถ้าเราจะทำให้ตัวแสดงนั้นมีมิติ ราวกับว่าเราเป็นคนนั้นจริง ๆ เราต้องทำการบ้านเยอะมาก อย่างเราเองเวลาทำงานเราจะจริงจังมาก คนอื่นอาจจะมองว่าเราเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง แต่จริงๆ เราตั้งใจกับการแสดงทุกครั้ง เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราให้ใจกับอะไรอย่างหนึ่งแล้ว สิ่งที่จะได้กลับมามันจะคุ้มค่าเสมอ
การเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยยากแค่ไหน
เราก็ต้องจัดเวลาชีวิตให้ดี ๆ เวลารับงานก็จะพยายามหาช่วงเวลาที่ไม่ตรงกับเวลาเรียน แต่ส่วนมากก็แอบ ๆ ไป ไม่เป็นไรหรอก (หัวเราะ) ดีที่เราคิดว่าการทำงานก็เหมือนการได้ใช้ชีวิตไปด้วย ถึงเวลาเที่ยวเล่นเราอาจจะน้อยกว่าคนอื่นก็ไม่เป็นไร เพราะการทำสิ่งนี้ก็ทำให้มีความสุขเหมือนกัน
แล้วการทำงานแบบไหนที่จะทำให้เราไม่มีความสุข
การทำอะไรที่ไม่เป็นตัวเอง ซึ่งก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้รับงานที่เป็นตัวเองไปทั้งหมด แต่บางงานที่แหวกแนวมาก ๆ อย่างเช่นให้ไปเป็นพริตตี้ เราไม่ได้มองว่าการเป็นพริ้ตตี้มันแย่นะ แค่มันตรงข้ามกับนิสัยของเราหรือตัวตนของเรา ซึ่งก็จะทำให้เราแสดงออกมายาก แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นเลย ถ้าได้ลองจริง ๆ ก็ดี จะได้รู้ไปเลยว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร
นักแสดงในดวงใจ
นาตาลี พอร์ทแมน ในเรื่อง Jackie เขาเล่นเป็นคนมีอายุได้ดีมาก เขาสวมบทของ Jackie Kennedy ได้สมบูรณ์จริงๆ ลบภาพที่เราเคยมีกับเขาตอนที่เล่นเป็น Alice ในเรื่อง Closer ไปเลย ก็เลยรู้สึกว่านี่แหละคือการแสดงที่ดีในความคิดของเรา ถ้าเป็นนักแสดงไทยคงเป็นพี่สายป่าน อภิญญา
ติดนิสัยช่างสังเกตจากสาขาที่เรียนด้วยหรือเปล่า
จริง ๆ ก็เป็นคนช่างสังเกตอยู่แล้ว เราชอบนั่งดูคนไปเรื่อย ๆ สังเกตว่าทำไมเขาถึงนั่งท่านี้ เขากำลังคิดอะไรอยู่ เขากำลังรออะไรอยู่หรือเปล่า บางทีมองไปมองมาเราก็เอามาแต่งเรื่องเลย (หัวเราะ)
บทบาทแบบไหนที่อยากเล่น
อยากเล่นเป็นตัวละครที่เป็นไบโพลาร์ เพราะรู้สึกว่าตัวเราเองก็เป็น ถ้าดูภายนอกอาจจะดูเป็นคนที่ยิ้มง่ายมาก เพราะเราคิดเสมอว่าเวลาเจอปัญหาอะไรเราจะยิ้มไว้ก่อน แต่ข้างในก็คงไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นยังไง เวลาเราเศร้า เราก็ดิ่งลงไปสุดเหมือนกัน
รู้สึกอย่างไรเมื่อเป็นคนที่ใคร ๆ รู้จักแล้วเราต้องยิ้มให้เสมอ
บางทีมันก็มีเหนื่อยบ้าง เพราะวัน ๆ หนึ่งเราอาจจะผ่านอะไรมาเยอะ แต่คนที่เพิ่งเจอเราเขาก็ไม่รู้เรื่องด้วย ซึ่งเราก็ไม่ควรจะโยนความรู้สึกทางลบไปให้เขา แต่เอาจริง ๆ เราก็ยังไม่ได้ดังมากถึงขนาดที่คนจะมาทักทายเราบ่อย ๆ และก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าเราจะดังแล้วหรือยัง เพราะเราสนุกกับงานมากจนไม่ได้โฟกัสเรื่องเรตติ้ง ขนาดเรื่องเงินก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ได้ออกไปทำอะไรใหม่ ๆ ได้เจอคนใหม่ ๆ ก็สนุกแล้ว
มีวิธีจัดการความรู้สึกเศร้าอย่างไร
เราเลือกที่จะจมอยู่ตรงนั้นไปเลย ไม่ชอบปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง รู้สึกอะไรก็ปล่อยไปตามนั้น เพราะถ้าเราพยายามไปฝืนตัวเอง มันจะเป็นการทำร้ายตัวเองในทางอ้อม ถ้าเศร้าก็ปล่อยให้เศร้าไปเลย เราจะกลัวอะไร อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าเรายังมีความรู้สึกอยู่ อาจจะเป็นเพราะเราเชื่อว่าภาวะคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเอง มันอยู่ไกลจากตัวเรามาก คนอื่น ๆ อาจจะไม่เหมาะที่จะใช้วิธีนี้ แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะใช้วิธีไหนก็ต้องมีสติ และที่สำคัญคือต้องรักตัวเอง เพราะเราเกิดมาคนเดียว และก็ตายคนเดียว
สรุปแล้วเป็นคนแบบไหน
ยากที่จะจำกัดความออกมาเป็นคำไม่กี่คำ รู้สึกว่ามีหลายอย่างผสมอยู่ในตัวเอง ถ้าทำงานเราจะเป็นคนจริงจัง แต่ในความจริงจังของเราก็มีความสนุกอยู่ในนั้นด้วย เพียงแต่เราไม่ได้สนุกแบบเด็ก ๆ นะ เรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ รวม ๆ ก็คงเป็นคนสดใส ร่าเริง บ้าพลัง แต่ถ้าเศร้าก็จะสุดโต่งเหมือนกัน ในขณะที่เราก็เป็นคนที่ชอบอยู่เงียบ ๆ คิดอะไรอยู่คนเดียว
กิจกรรมยามว่าง
ชอบเดินงานนิทรรศการ ชอบตามไปดูงานของศิลปิน ชอบตัวเองตอนที่ได้อยู่ในบรรยากาศแบบนั้น การที่เราไปดูงานของศิลปินสักคน เราได้โฟกัสงานของเขา เรารู้สึกว่ามันเป็นการเสริมสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง เราได้พิจารณา ได้ตั้งคำถามกับงาน เราคิดว่างานศิลปะจะเป็นงานศิลปะไม่ได้ถ้าไม่มีคนเดินเข้าไปตั้งคำถาม บางทีมันอาจจะเป็นแค่แก้วธรรมดาใบหนึ่งตั้งอยู่กลางห้องก็ได้ ถ้าไม่มีใครเข้าไปมอง ให้ความสนใจ (มีงานที่ดูไม่รู้เรื่องไหม?) ก็มี แต่เราก็ยังสามารถตั้งคำถามได้อยู่ดีว่าทำไมเราถึงดูไม่รู้เรื่อง
ดูเป็นคนชอบตั้งคำถาม?
เราชอบตั้งคำถามกับตัวเองทุกวันเลย ชอบสังเกตว่าตอนนี้เรารู้สึกอะไรอยู่ ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้ ทำไมเราถึงมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้แบบนี้ ทำไมคนกลุ่มหนึ่งถึงมารวมตัวกันได้ ทำไมพอพวกเขามารวมตัวกันแล้วดูลงตัว อยู่ดีๆ ทุกคนก็พูดจาคล้ายๆ กัน
ผลงานล่าสุดที่กำลังจะเข้าฉาย ‘สยามสแควร์’
เล่นเป็น มีน เป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริง สดใส มีนิสัยบางอย่างที่คล้ายกับตัวเราเองด้วย คือ อยากพูดอะไรก็พูดเลย พูดอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งทุกกลุ่มก็น่าจะมีคนแบบนี้อยู่สักหนึ่งคน เป็นเหมือนแมลงวัน ที่คอยแง๊วๆ อยู่ข้าง ๆ ทุกคนตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วมีนเป็นตัวละครที่รู้อะไรเยอะมาก แต่แค่ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร เป็นเพื่อนสนิทกับเฟิร์น (เหม่เหม ธัญญวีร์) เป็นคนที่คอยซัพพอร์ตเฟิร์น เพราะเฟิร์นจะเป็นคนน่ารักมีหนุ่มมาจีบเยอะ เราก็จะคอยสแกนให้ สยามสแควร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับ วัยรุ่น 10 คนที่เป็นเพื่อนสนิทกันจากการเรียนพิเศษที่สยามสแควร์ แต่อยู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ไฟดับทั้งสยามฯ และก็นำมาซึ่งเหตุการณ์ลึกลับ ไปดูกันเยอะๆ นะคะ 30 มีนาคมนี้ทุกโรงภาพยนตร์
แล้วแต่ก่อนเคยเป็น ‘เด็กหยาม’ หรือเปล่า
ใช่แล้ว เป็นเด็กหยาม (หัวเราะ) เพราะเรียนอยู่ที่มาแตร์เดอี นั่งบีทีเอสสถานีเดียวก็ถึงสยามแล้ว ไปบ่อยจนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สอง เป็นสถานที่ที่มีเรื่องราวของเราอยู่เยอะ รักครั้งแรก ได้มีแก๊งค์เดินเล่นด้วยกัน กินข้าว ดูหนัง แต่ตอนนั้นจะชอบหมกตัวอยู่กับร้านของรุ่นพี่ที่รู้จัก ชื่อร้าน New Kids on the wall เพราะส่วนใหญ่เพื่อนจะเรียนพิเศษกัน แต่เราไม่ค่อยเรียน ไม่ค่อยได้สมัครเรียนด้วย และก็มีที่สมัครแล้วไม่เข้าเรียนด้วย (หัวเราะ)
ชอบอะไรในสยามสแควร์
ชอบบรรยากาศกับความรู้สึกในตอนนั้น มันเป็นที่ที่มีอดีตของเรา สยามสแควร์บรรจุเรื่องราวของเราตั้งแต่เด็กจนโตไว้เยอะมาก เป็นที่ที่เชื่อมโยงเรากับผู้คน กับเพื่อน กับสิ่งของ กับประสบการณ์ พอโตขึ้นก็ไม่ค่อยได้ไปแล้ว แต่สยามฯ ก็ยังเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการนัดเจอเพื่อนเสมอ
เคยมีหนุ่มสยามฯ มาจีบไหม?
ก็มีบ้าง (หัวเราะ) มาขอเบอร์ ซึ่งเราเองก็จะไม่ค่อยให้ เพราะตกใจ ไม่ใช่ว่าการขอเบอร์มันดูไม่ดีนะ แต่แค่บางจังหวะเราก็ไม่ทันตั้งตัว แต่โดยส่วนตัวแล้วเรากลับมองว่าคนที่เลือกจะโทรมาคุยกับเราเลย แทนการส่งสติ๊กเกอร์ ไม่ได้แอบมาฟอลโล่วเราในโซเชียลมีเดียมาก่อน เราว่าคนนั้นดูมีอะไรนะ เขาน่าจะจริงใจและอยากคุยกับเราระดับหนึ่งจริง ๆ ถึงเลือกที่จะโทรมาเลย เราก็ว่าดีนะ ใจ ๆ กันไปเลย
สเปคหนุ่มที่ชอบเป็นอย่างไร
ไม่มีเลย ก็จริงอยู่ที่หน้าตามันก็เป็นสิ่งแรกที่เราจะได้เห็นจากเขา แต่ถ้าจะคุยกันจริง ๆ ก็ต้องรู้จักนิสัยใจคอกันระดับหนึ่ง เราชอบคนเก่ง คนที่มีความเป็นผู้นำทางความคิด โตกว่าเรา เราเป็นคนชอบฟังมากกว่า แล้วก็น่าจะดีที่เราจะได้ต่อยอดความรู้ไปด้วยกัน ที่สำคัญคือต้องสื่อสารกับเรารู้เรื่องด้วย เพราะเราพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง (หัวเราะ)
มีผลงานอะไรให้ติดตามอีกเร็ว ๆ นี้บ้าง
มีหนังผีอีกเรื่องชื่อว่า เปมิกาป่าราบ เป็นหนังผีคอเมดี้ และหนังสั้นของพี่ปัน – พี่แป๋ว ผู้กำกับอวสานโลกสวย และก็มิวสิกวีดีโอของ Seal Pillow ด้วย ฝากติดตามด้วยค่ะ