Feature เห็ดหูหนู

‘คิทตี้ ชิชา’ หรือ ‘แนนโน๊ะ’ กับ 10 เพลงโปรดของเธอ

  • Writer: Kunchanit Liengudom
  • Photographer: Chavit Mayot

“สวัสดี เราแนนโน๊ะนะ”

นาทีนี้จะมีซีรีส์เรื่องไหนฮอตฮิตไปกว่า ‘เด็กใหม่’ อีก !! เอาเป็นว่าไปไหนก็มีแต่คนพูดถึงตัวละครหลักของเรื่องอย่าง ‘แนนโน๊ะ’ ที่สวยโหดและโคตรดาร์ก รวมถึง คิทตี้ – ชิชา อมาตยกุล ที่มาสวมบทบาทในครั้งนี้ด้วย Fungjaizine ไม่ขอพลาดที่จะพาเธอมาพูดถึงเพลลิสต์ 10 เพลงโปรดก่อนที่จะไปเจาะลึกถึงตัวละครแนนโน๊ะในซีรีส์ รวมถึงทำความรู้จักคิทตี้ให้มากขึ้นด้วย บอกเลยว่ามุมมองของเธอก็ไม่ธรรมดาสมกับการรับบทบาทนี้จริง ๆ

KITTY’S PLAYLIST

The XX – Performance

เพลงนี้คิทได้ไปดูสดที่สิงคโปร์ แล้วก็ได้ดูที่เมืองไทยอีกรอบนึง มันเป็นเพลงที่ตัวนักร้องผู้หญิงเขาร้องและเล่นกับกีตาร์แค่ตัวเดียว เรารู้สึกว่า เฮ้ยมันเพราะมาก เจ๋งมาก เนื้อเพลงมันมี meaning ในแบบที่เราเข้าใจความรู้สึกนี้ แบบคนที่เราเคยคิดว่าจะอยู่กับเราแต่เขาไม่อยู่แล้ว เราก็ต้อง put on performance ด้วยตัวเอง put on a show ด้วยตัวเราเอง ปกติเราชอบ The XX อยู่แล้ว ก็เลยตามไปดูที่สิงคโปร์ บินไปบินกลับ ตอนเขามาไทยก็ไปดู แต่คิทเสียดายเพราะเหมือนที่สิงคโปร์มันมีอังกอร์มีอะไรมากกว่าที่เมืองไทย อาจจะด้วยความที่มันเล็กกว่า ก็เลยน่าเสียดายนิดนึง

Lana Del ReyGods and Monsters

จริง ๆ ชอบอยู่สองเพลง ทั้ง Gods and Monsters และ Video Games แต่เอาเพลงนี้ละกัน คิทชอบ Lana Del Rey อยู่แล้ว คือเป็นหนึ่งในศิลปินไม่กี่คนที่เรายังซื้ออัลบั้มแล้วเอาซีดีไปเปิดในรถ เปิดไปเรื่อย ๆ แล้วก็ชอบ Gods and Monsters มากตอนที่มันถูกนำมาคัฟเวอร์ใน ‘American Horror Story’ แล้วก็เป็นเพลงที่เอามาใช้ tune in เวลาเล่นซีรีส์ ‘เด็กใหม่’ ด้วย เราว่าเนื้อเพลงมันมีความกวนตีน มีความเสียดสีด้วย

Halsey – Gasoline

ชอบทำนองมันอะ เป็นคนชอบฟังเพลงจากทำนอง เพลงนี้จะเป็นเพลย์ลิสต์ที่ฟังเวลาขับรถหรืออยู่บ้านแล้วเปิดทิ้งไว้แล้วก็ทำอย่างอื่นไปด้วย รู้สึกว่าเพลงมันไม่ได้วุ่นวายเกินไป

Radiohead – Creep

เป็นเพลงเก่ามากที่ชอบ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน คือฟังมานานมาก ๆ แล้ว แล้วมีโอกาสได้ฟังสดที่ Summer Sonic ปีที่แล้ว โห แม่งสุดยอดเลยอะ แค่ท่อนฮุค ‘But I’m a creep’ มันจำ มันอิมแพคมาก

The 1975 – Robbers

เป็นเพลงที่ชอบ mv ค่ะ ดูแล้วแบบเฮ้ย mv สวยจัง เหมือนเป็นเพลงที่เปิดทิ้งไว้ใน Apple TV แล้วก็มี mv หมุนไปเรื่อย ๆ กับเพลง คือเปิดได้ทั้งวันเลย ไม่ต้องเปลี่ยนเพลง

Bishop Briggs – Dark Side

คือคิทเป็นคนที่เวลานอนชอบเปิดเพลงทิ้งไว้ เพลงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงในเพลลิสต์ที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าใจเต้นแรงจนตื่น คือนอนได้แต่ห้องก็ไม่ได้เงียบเกินไป

Daniel Caesar – Get You ft. Kali Uchis

คือทั้งอัลบั้มเนี้ยเป็นอัลบั้มที่ชอบ แต่เพลงนี้เป็นเพลงที่ชอบที่สุด เหมือนบังเอิญได้ฟังตอนขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศพอดี แล้วก็ repeat อยู่นานมากจนหลับไปแต่เพลงนี้ก็ยังเปิดอยู่ รู้สึกว่าความพอดีของเพลงมันพอดีจังเลย เสียงผู้หญิงกับเสียงผู้ชายในเพลง

The Killers – Somebody Told Me

มันก็คลาสสิก รู้สึกว่ามันไม่เก่าอะ เหมือนฟังมานานมากแล้วแต่ฟังตอนนี้ก็ยังไม่เก่า ก็ยังสนุก คิทเอาไว้ฟังเวลาที่ต้องตื่นเช้าแล้วขับรถจะได้ไม่หลับ

The Pretty Reckless – Going to Hell

คิทชอบ Taylor Momsen อยู่แล้ว ชอบเพราะเขาเป็นนักแสดงที่มีความเป็นตัวของตัวเองมาก ๆ แล้วพอเขามาร้องเพลงเราก็มาติดตาม ชอบมาตั้งแต่อัลบั้มแรกไล่มาเรื่อย ๆ เลย รู้สึกว่าเฮ้ย เราชอบเพลงแนวนี้ ชอบความเกรี้ยวกราดของเขา ชอบที่เขาเขียนเนื้อเพลงเอง ชอบในความกวนตีนและไม่แคร์โลกของเขา จริง ๆ เป็นริงโทนมือถือด้วย

Tyler, The Creator – See You Again ft. Kali Uchis

เพลงนี้กับเพลงของ Daniel Ceasar มีความคล้ายกัน เป็นเพลงที่เปิดเมื่อไหร่ก็ได้ เหมือนเหมาะกับมู้ดจิบไวน์ ใช้ชีวิตสบาย ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เป็นเพลงที่เราไม่ต้องลุกไปเปลี่ยนบ่อย ๆ อะ

ปัจจัยที่ทำให้คิทตี้ชอบเพลงเพลงหนึ่งได้คือ

ชอบทำนองเพลง หรือมิวสิกวิดิโอ บางทีก็มีเนื้อเพลงด้วย เนื้อเพลงมันเท่มากอะไรแบบนี้ หรือบางทีดูซีรีส์หรือหนังแล้วมีเพลงเพลงหนึ่งถูกนำไปใช้ แล้วเฮ้ย เพลงนี้โดน เพลงนี้เจ๋ง เราก็จะเอาไป Soundhound หาชื่อเพลงเอา ส่วนมากเวลาชอบเพลงไหนเราก็จะ repeat มันอยู่อย่างนั้นในช่วงเวลานึง สมมติขับรถก็จะเปิดวนไปเรื่อย ๆ

TALK TALK TALK

โปรเจกต์ ‘เด็กใหม่ The Series’ เกิดขึ้นได้อย่างไร

จริง ๆ แล้วคิทเองก็อ่านและรับรู้มาคร่าว ๆ อีกที อาจจะให้ข้อมูลที่ไม่ได้ถูกต้อง 100% ทั้งหมดนะคะ ก็คือโปรเจกต์นี้เกิดจากว่าพี่เจ๋อ—ภาวิต จิตรกร ได้โจทย์มาให้ทำซีรีส์ที่ใหม่และแหวกแนว พี่เจ๋อก็เลยไปติดต่อพี่เล็ก—ดมิสาฐ์ องค์ศิริวัฒน ครีเอทีฟและเจ้าของ SOUR Bangkok ให้เข้ามาซัพพอร์ตทางด้านนี้ของโปรเจกต์ แล้วก็มีการ develop ไอเดียนู่นนี่นั่นกัน และได้พี่เล็ก—คงเดช จาตุรันต์รัศมี มาเขียนบทให้ ส่วนทีม production คือทีมบริษัท Jungka Bangkok ซึ่งทั้งหมดนี้เขาก็ไปหลอกผู้กำกับกันมาอีก 9 คน

คิดว่าการร่วมงานกับผู้กำกับหลายคนถือเป็นอุปสรรคไหม

จริง ๆ แล้วมันสนุกนะคะ เหมือนเราได้ลองทำงานกับทุกคนในแบบที่อย่างน้อยมันไม่ทันจะเกลียดกันแน่ ๆ เพราะงานมันจะจบไปแล้ว ในขณะเดียวกันพอเวลามันน้อย เราก็จะได้เห็นความเป็นเขาที่สุด ทุกคนจะต้องเป็นตัวเองให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะทำงานให้ได้ ไม่มีแบบ ‘ยังไม่สนิทไว้ก่อน’ หรือ ‘ยังไม่กล้าขอ’ อะไรแบบนี้ เพราะเฮ้ยไม่ได้ สองวันต้องเสร็จแล้ว และเราก็ได้เห็นผู้กำกับที่หลากหลาย ได้ลองทำงานกับคนหลาย ๆ แบบ สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือ ผู้กำกับทุกคนอยากให้งานออกมาดีแต่แค่วิธีการแต่ละคนมันต่างกัน

แล้วเราต้องเวิร์กช็อปก่อนการแสดงทุกตอนเลยหรือเปล่า

ใช่ค่ะ ทุกสัปดาห์ก็จะมีเวิร์คช็อปกับผู้กำกับและนักแสดงในแต่ละตอน แล้วก็ไปเวิร์คช็อปกับทางครูบิว ครูโน่ ที่โรงเรียน Bew’s Act-Things ซึ่งจะช่วยกันเซ็ตว่าตัวละครที่เราเล่นเป็นยังไงเพราะผู้กำกับเองก็ใหม่ พอมีครูสอนแอคติ้งเข้ามาเขาก็จะช่วยซัพพอร์ตว่าอ๋อ ตัวละครนี้เป็นแบบนี้นะ อันนี้ที่คิดว่าเขาอาจจะทำ จริง ๆ แล้วเขาทำไม่ได้หรือจะไม่ทำนะ หรืออันนี้เขาจะทำได้ประมาณไหนก็จะมีการ adapt ให้เข้ากัน

พอผู้กำกับเปลี่ยนไป ตัว ‘แนนโน๊ะ’ ในแต่ละตอนมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม

มันเปลี่ยนไปด้วยรสชาตินะคิทว่า เหมือนเราไปจ้างเชฟจากทั่วโลกมาทำอาหารแบบสปาเก็ตตี้ นึกออกปะคะ โจทย์คือสปาเก็ตตี้แต่ว่าเชฟจากญี่ปุ่นก็คงทำแบบหนึ่ง เชฟไทยอาจจะทำแบบต้มยำ เชฟอิตาเลียนก็คงทำอีกแบบหนึ่ง คิทมองว่ามันเป็นอาหารจานเดียวกันที่มีรสชาติแตกต่างกันแต่ใช้วัตถุดิบเดียวกัน เหมือนถ้าเทียบกันแล้วตัวแนนโน๊ะเป็นเส้นในเมนูนี้ เส้นที่จะไปผัดกับอะไรก็ได้ แล้วมันจะออกมาเป็นอาหารจานนั้น คือคงไม่มีใครเอาเส้นไปบดหรือเอาไปทำเป็นข้าวอีกทีอะ ยังไงเส้นก็ยังเป็นเส้นอยู่ดี

มีสับสนบ้างไหมกับวิธีการทำงานแบบนี้

คือคิทโชคดีที่มีทีมครีเอทีฟ เรามองว่ามันเป็นสิ่งที่น่าจะใหม่มากสำหรับวงการละครหรือซีรีส์ในเมืองไทยกับการมีพาร์ทของครีเอทีฟเข้ามารวมกับครูสอนแอคติ้ง ซึ่งทั้งสองทีมก็เป็นคนที่ช่วยประคับประคอง ถ้าคิทงงอะไร คิทถามเขา เขาจะเป็นคนไปบี้คำตอบมาให้ หรือว่าถ้าคิทรู้สึกขัดแย้งกับผู้กำกับ เขาจะเป็นเหมือนคนกลางที่คอยไกล่เกลี่ยว่าอันไหนคืออันที่ถูกต้องที่สุด มันก็เลยไม่ได้เป็นการไฟท์กันแบบผู้กำกับก็ไม่รู้ คิทเองก็ไม่แน่ใจ เพราะพอมีคนกลางเขาก็สรุปได้หมดว่ามันเป็นอย่างนี้นะ หรือมันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร

คิทตี้เคยบอกว่าตัวละครแนนโน๊ะมีความคล้ายคลึงกับ ‘โทมิเอะ’ จากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง ‘คลังสยอง’ แบบนี้ปกติเราชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่แล้วหรือเปล่า

ใช่ค่ะ ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นมาก เมื่อสามวันที่แล้วคิทยังอยู่งาน Shonen Jump ที่ญี่ปุ่นอยู่เลย พูดแล้วดูแบบเนิร์ดมาก (หัวเราะ) คือมันเป็นงาน exhibition ที่ Shonen Jump ครบ 50 ปี ก็จะมีการนำภาพของแต่ละตอน ภาพที่อาจารย์วาดจริง ๆ ภาพที่ลงสีอะไรแบบนี้มาตั้งโชว์ แล้วเขาก็มีการเอาใบออริจินัลที่อาจารย์แต่ละคนวาด แบบที่มันมีเส้นวัด มีคำพูดที่แปะเป็นสติกเกอร์ลงไปในแต่ละช่อง เอาไปสแกนแล้วเอามาขายเฉพาะในงานนี้ เราก็อยากได้ แล้วก็คิดว่าถ้าไม่ได้ไปซื้อคงไม่ได้แน่ ๆ คือคิทอ่านการ์ตูนทุกอย่างเลย เหมือนพี่น้องและญาติส่วนมากจะเป็นผู้ชายด้วย เมื่อก่อนที่บ้านรับ Boom กับ C-KiDs ทำให้เรามีการ์ตูนอ่านทุกอาทิตย์

ยกตัวอย่างเรื่องที่ชอบหน่อย

อย่างที่ชอบมาก ๆ เป็นบิ๊กแฟนเลยก็คือ ‘Death Note’ แล้วก็เรื่องใหม่ของคนเขียน Death Note ชื่อ ‘Platinum End’ ส่วนที่อ่านอยู่ตอนนี้ก็มี ‘One Piece’, ‘Soma’ และ ‘The Promised Neverland’

ความเกี่ยวข้องของตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นกับแนนโน๊ะ

จริง ๆ แล้วในตัวละครของแนนโน๊ะมันมีการใช้ตัวการ์ตูนสองมิติมารวมกันอยู่ประมาณ 5-6 ตัว คือ

โทมิเอะ จาก ‘คลังสยอง’ 

โทมิเอะเนี่ยจริง ๆ แล้วในการ์ตูนญี่ปุ่นถ้าเป็นคนอ่านก็จะรู้ว่าไอ้ตัวที่มันผมดำตัดหน้าม้าอะมันต้องเป็นคนเลวเสมอ จะเป็นคนไม่ดี เป็นคนแปลก เป็นคนลึกลับหรือเล่นของอะไรแบบนี้ ซึ่ง EP ที่คล้ายที่สุดคือ EP 2 ที่มีการฟื้นและเกิดขึ้นมาใหม่ได้ แต่คิทว่ามันต่างกันตรงที่โทมิเอะมันฆ่าไม่เลือกและโทมิเอะไม่ได้มีความดีงามอะไร ทำเอามันอย่างเดียว

L กับ ลุค จาก ‘Death Note’

คิทเอามาเป็น reference เพราะคิทมองว่า L มันมีความผิดปกติอยู่มาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันคนกลับมองว่ามันน่ารักซึ่งแปลกดี แล้วอย่าง ลุค อย่างเนี้ย การที่ลุคชอบกินแอปเปิ้ลมันเหมือนโดเรม่อนชอบกินโดรายากิอะ คือมันไม่ได้จำเป็นกับพวกแกเลยนะ แต่ทำไมถึงกินวะ เรารู้สึกว่ามันคือสิ่งที่เจ๋ง คือมันไม่น่าเชื่ออะ มนุษย์ทั่วไปคงไม่มีใครชอบแอปเปิ้ลหรือโดรายากิได้ขนาดนั้น แต่เพราะมันไม่ใช่คนปกติมันก็เลยชอบแบบเกินเบอร์ไง

ยูโกะ จาก ‘xxxHolic’

ยูโกะเป็นเหมือนกึ่ง ๆ แม่มดที่จะทำให้ทุกความปราถนาเป็นจริงโดยแลกกับสิ่งตอบแทน ยูโกะจะมีกฎที่ตัวเองต้องรักษาแบบเป๊ะ ๆ ประมาณว่าอันนี้ทำไม่ได้ อันนี้ห้าม อันนี้จะไม่ยุ่งเด็ดขาด ซึ่งตอนที่สร้างแนนโน๊ะขึ้นมาเราก็มีกฎร่วมกันว่าแนนโน๊ะจะไม่ทำอะไรบ้าง เช่น ในขณะที่ทุกคนเกรี้ยวกราดกัน แนนโน๊ะจะไม่เป็นคนหยาบคาย จะเป็นแค่คนกวนตีนและเลวเฉย ๆ แต่ไม่ได้เป็นคนถ่อย เรารู้สึกว่าในเมื่อเขาเป็นซาตานมาจากอีกโลกหนึ่ง เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องที่ take effect มากเกินไป หรืออย่างที่แนนโน๊ะจะไม่สามารถอยู่ในที่ที่หนึ่งได้นานขนาดนั้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องย้ายโรงเรียนไปเรื่อย ๆ ก็เพราะต้องเก็บรักษาความลับในโลกมืดของตัวเองเอาไว้โดยที่ห้ามใครล่วงรู้อะไรแบบนี้

เอ็นมะ ไอ จาก Jigoku Shoujo

เรื่องนี้เป็นเรื่องของเว็บไซต์จากนรกที่อยากให้ใครตายก็ให้พิมพ์ชื่อใส่เข้าไป แล้วเดี๋ยวเอ็นมะ ไอจะไปเก็บให้ เราพยายามอ่านเพื่อหา reference ของไอเดียการเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้ามายุ่งกับโลกมนุษย์แต่มันไม่ใช่มนุษย์ แล้วทำอะไรที่มนุษย์ทำเองไม่ได้อะ มันจะต้องมีกฎกติกาของมันอยู่ ถึงแม้บางครั้งเราว่ามันจะต้องรู้สึกแย่มากแต่มันก็ยังต้องทำอยู่ดี

ยูเมโกะ จาบามิ จาก Kakegurui

มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการพนัน แล้วตัวละครตัวนี้ก็ผมยาวและตัดผมม้าเหมือนกัน มันบ้าพนันมาก และมันจะมีความสะใจด้วย เราว่าเฮ้ยคาแร็กเตอร์แบบนี้มันเจ๋งดีนะ คือถ้าแนนโน๊ะจะเป็นคนที่สะใจกับความชั่วของมนุษย์อะ มันคงสะใจแบบผิดปกติมาก ๆ

พวกนี้เราก็ไปทำการบ้านของเราเองเพื่อที่จะมาคุยกับครูที่สอนแอคติ้งว่าเออเราเจอแล้วนะ เรารู้สึกว่าตัวละครตัวนี้น่าจะต้องมีกติกาเป็นอะไรแบบไหนบ้าง ตัวละครพวกนี้เลยถูกนำมาใช้เป็นไอเดียของความคิด เช่น ฉันห้ามตกหลุมรักกับมนุษย์ หรือ ฉันห้ามมีความเห็นใจ เป็น mindset ที่จะต้องเป็นแบบนี้มาผสมกับการเคลื่อนไหวของร่างกายที่เขาดีไซน์ไว้ว่าให้เป็น ‘ยูนิคอร์นสีดำ’ เคลื่อนไหวไม่ช้าไม่เร็ว และมีความเยื้องย่างเบา ๆ หรือการใช้สายตาอย่างไรให้เหมือนงู คืองูไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่จ้องอะไรตรงหน้าขนาดนั้น งูมันล่อกแล่ก ในขณะเดียวกันเวลางูจ้องอะไรแล้ว มันก็ยังหมุนไปดูอีกว่ามีมุมอื่นให้กูมองอีกไหม

คิทตี้กับแนนโน๊ะมีส่วนที่เหมือนกันบ้างไหม

จริง ๆ เราเป็นคนเก็บตัวเหมือนแนนโน๊ะ หมายถึงว่าเราเป็นคนไม่ค่อยเฮฮาเท่าไหร่ ไม่ได้อยู่ท่ามกลางความล้งเล้งได้ เราจะชอบอยู่เงียบ ๆ

ปัญหาที่ถูกตีแผ่ในซีรีส์เรื่องนี้

คิทอยากให้ทุกคนมองว่าซีรีส์เรื่องนี้มันไม่ได้พูดถึงสังคมในโรงเรียนอย่างเดียว อย่าง EP4 มันเป็นเรื่องของเงิน ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหน จะจบจากโรงเรียนไปแล้วหรือเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว มันก็จะมีเรื่องของเงินเสมอ ทั้งหมดเราแค่นำเสนอเป็นสังคมตัวอย่างให้ดูเฉย ๆ หรืออย่างเช่นหนึ่งใน EP ทั้งหมดเนี่ยจะมีตอนหนึ่งที่พูดถึงเรื่องการโพสต์คำพูดพล่อย ๆ เขียนอะไรพล่อย ๆ แล้วเอฟเฟกต์กับเรื่องราวจริง ๆ เป็น EP ที่ชื่อว่า ‘Wonderwall’ ที่อะไรก็ตามที่ถูกเขียนในกำแพงห้องน้ำจะเป็นจริงเสมอ คือทุกคนชอบเขียนกำแพงห้องน้ำอะ เป็นอะไรไม่รู้เหมือนกัน ซึ่งมัน symbolic ไปถึงวอลของเฟซบุ๊กที่เราชอบโพสต์อะไรในแบบที่บางทีเราไม่ได้คิดด้วยซ้ำ เราเขียนเอาขำอะ อย่างสมมติเขียนว่า ‘ป้าที่เซเว่นด่าเก่งจัง ไปเป็นหมาไหม’ แต่เขาดันกลายเป็นหมาจริง ๆ คือเราไม่เคยสนใจผลของการกระทำเลยไง เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ก็คงไม่มีใครอยากเขียนอะไรอะ เราคงรู้สึกแย่ แต่ว่ามันลบไม่ทันแล้วเพราะคุณเขียนกันไปหมดแล้ว อย่างเรื่องนี้เราก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องของโรงเรียนเท่านั้น มันคือโลกปัจจุบันที่ทุกคนมีกำแพงหนึ่งอันในเฟซบุ๊กให้เขียนอะไรก็ได้

เคยมีเรื่องหรือปัญหาไหนในซีรีส์ที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตเราบ้างไหม แล้วเรารับมือกับมันอย่างไร

คิทเป็นคนโชคดี เพราะยังไม่เคยเจอความรุนแรงขนาดนั้นมาก่อน มันก็จะมีบาง EP ที่เราเจอเรื่องของความอิจฉา แต่เราก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเบาถ้าเทียบกับตัวซีรีส์แล้วนะ อย่างความเกลียดชังที่คิทเจอคือความเกลียดชังในโลกโซเชียล ซึ่งอาจจะเหมือนตอนที่อยู่ดี ๆ แนนโน๊ะก็ไปเซิ้งหน้าเสาธงแล้วก็มีคนมาด่าเต็มไปหมด แต่ทุกคนที่ด่าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ชื่อยังชื่อปลอมเลย รูปก็ปลอม แต่เราคือคนที่ถูกเขาด่าแล้วมันระบุตัวเราชัดเจนมาก พอคิทรับบทแนนโน๊ะมันก็ทำให้คิทเรียนรู้ว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะต่อล้อต่อเถียงกับใครอะ เราทำได้แค่ช่างแม่ง ทำได้แค่ไม่สนใจเขา เพราะถ้าเราสนใจเขาเมื่อไหร่เราเป็นคนที่ต้องรับภาระทุกอย่างเอง เราเป็นคนที่รับคำพูดที่เขาด่าเรามา แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นอะ เราว่าทั้งหมดทั้งมวลเนี้ย ไม่ได้มีใครเกิดมาเพื่อที่จะถูกด่า ไม่มีใครอยากรับสิ่งนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราควรเอาตัวเองไปไว้ให้ห่างจากมัน เช่น เรารู้ว่าเขาด่าก็อย่าเข้าไปนั่งอ่านคอมเมนต์หรือเสพโซเชียล เราควรปามือถือทิ้งแล้วไปอยู่ที่อื่น ไปอยู่กับเพื่อน อยู่กับคนที่รักเราและคนที่ใส่ใจเรา ไม่ใช่ว่าทำให้ตัวเองแย่ลงไปเรื่อย ๆ ด้วยการเสพสิ่งที่ไม่ดี

คิดอย่างไรกับการที่สังคมชอบตัดสินคน โดยเฉพาะคนที่มีรูปลักษณ์ภายนอกดูเป็น ‘คนแรง ๆ’

เรามองว่ามันเศร้ามากนะ บนโลกใบนี้ทุกคนเกิดมาพิเศษ ไม่มีใครเหมือนกัน 100 % แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะยินดีร่วมกันไม่มีใครสามารถเป็นใครได้ดีไปกว่าตัวเขาเอง แต่ทุกคนกลับพยายามเปรียบเทียบ มันเหมือนการเปรียบเทียบสิงโตกับช้างว่าใครเก่งกว่า มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อทั้งสองมันมีความพิเศษที่ไม่เหมือนกัน คิทมองว่าเราควรจะเรียนรู้แล้วถามคนที่รักเราจริง ๆ ว่าเรามีความพิเศษตรงไหน แล้วก็ cherish มัน อยู่กับมัน ไม่ใช่อยู่กับสิ่งที่เรามองว่าคนอื่นจะว่าเรา เช่น เราเล่นเปียโนเก่งมากแต่เราเป็นคนเตี้ย เราไม่เห็นจะต้องอยากสูงเลยเพราะมันไม่ได้จำเป็น นึกออกไหม ขณะเดียวกันคุณเป็นคนอ้วนที่มีความสุข เป็นคนที่ทุกคนรักเพราะความตลกของคุณ คุณก็ไม่จำเป็นต้องผอมอะ คุณสามารถเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุดได้เสมอถ้าคุณรักตัวเอง

คิทตี้ชอบความเป็นแนนโน๊ะตรงไหนบ้างและไม่ชอบตรงจุดไหนบ้าง

คือเราไม่มีอะไรที่จะไม่ชอบเกี่ยวกับแนนโน๊ะเลย คิทชอบที่แนนโน๊ะคือตัวละครสมมติที่สามารถเป็นทั้งความกลัวของคน แล้วก็เป็นสิ่งที่เมื่อคนมองแล้วพยายามจะเป็นให้ได้ด้วย อย่างเช่น แนนโน๊ะเป็นคนที่จะมาบอกว่า ‘ถ้าคุณไม่ทำชั่ว คุณก็จะปลอดภัยนะ ชีวิตคุณจะมีความสุขดี’ หรือ ‘ถ้าคุณเป็นคนดีอยู่แล้ว ไม่ว่าความชั่วจะมาล่อคุณแค่ไหน คุณก็จะไม่ไป’ ขณะเดียวกันแนนโน๊ะก็ยืนยันว่าคนดีไม่ได้หมายความว่าคุณทำดีมาสิบปีแล้ววันนี้คุณจะทำเลวได้ แต่คุณต้องดีจนถึงวันสุดท้ายในชีวิต เพราะถ้าคุณบอกว่าคุณเป็นคนดีแต่แนนโน๊ะมาล่อคุณแล้วคุณไป ก็แสดงว่าคุณไม่เคยเป็นคนดี คุณแค่ยังไม่เคยเจอแนนโน๊ะเฉย ๆ  (FJZ: แล้วถ้าคน ๆ นั้นเขาแค่ทำพลาดไป เราจะไม่ให้โอกาสเขาเลยเหรอ) มันคือการที่ว่าคุณจะยอมรับความจริงต่อจากนั้นได้ไหม เพราะคนที่ทำพลาดแล้วยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง มันคือการเริ่มต้นใหม่เสมอ ปัญหาคือคนส่วนมากเวลาที่ทำพลาดไม่ค่อยมีใครอยากยอมรับในความผิดที่ตัวเองทำ เหมือนอย่าง EP2 มันไม่ได้ทำให้เห็นว่าคุณฉลาดขึ้น ถ้าคุณฉลาดขึ้นคุณคงไม่ฆ่าเขาอีก คุณคงจะมีความเมตตาหรือไปกราบขอโทษเขา แต่นี่คือการที่คุณทำผิดแล้วคุณอยากได้โอกาส แต่คุณก็ยังทำผิดอีก แล้วคุณจะเอาโอกาสไปเพื่ออะไร หรืออย่าง EP3 ทุกคนอาจจะมองว่าแนนโน๊ะปั่นให้คน ๆ นี้ทำชั่ว นั่นคือด่านหนึ่ง แต่แนนโน๊ะก็ปั่นอีกว่าจะสารภาพความจริงไหมล่ะ ซึ่งสุดท้ายแล้วตัวละครก็ยังเลือกที่จะโกหกเพื่อให้ตัวเองแฮปปี้ต่อไป ทั้ง ๆ ที่เขาสามารถทำได้หลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแย่งไมค์มาแล้วยอมรับความจริงว่า ‘หนูเป็นคนไม่ดีค่ะ หนูลอกงานเขา’ แต่มันเป็นเรื่องยากที่คนเราจะยอมรับความผิดจริง ๆ ไง

มีคนบอกว่าตอนสุดท้ายของ EP3 ที่ตัวละครอยู่เป็นโลกสมมติ

ด้วยความที่ซีรีส์เรื่องนี้มันเป็นซีรีส์แฟนตาซี พอมีคำนี้ทุกอย่างมันเลยเป็นเบอร์ที่เกินจริง คือเรื่องมันไม่ได้เกิดขึ้นในโรงเรียนข้างบ้านคุณ แต่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่ทุกอย่าง extreme เป็นพิเศษ มันไม่ใช่โรงเรียนที่มีครูเชียร์เด็กแค่หนึ่งคน แต่เขาทำให้เห็นเลยว่า ทุกคนต้องเป็นอัจฉริยะ เป็นด้านไหนก็ได้แต่ต้องเป็นกันให้หมด โลกทั้งหมดคือโลกของความเป็นจริงในภาวะของซีรีส์นะ คำถามคือทุกคนมองไม่ออกจริง ๆ หรอว่างานมันปลอม มันไม่ใช่แค่ตัวละครตัวเดียวที่ยอมรับความจริงไม่ได้ คนอื่นก็ไม่มีใครอยากจะยอมรับว่า ‘เออกูพลาดว่ะที่ดูงานมันไม่ออก’ ทุกคนก็เลยเลือกที่จะไปต่อ มันเหมือนเวลาที่มีคนไปแหกคนในอินเตอร์เน็ต แล้วพอถึงเวลาที่ทุกคนรู้ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้นจริง ๆ  ไม่เห็นมีใครกลับมาขอโทษเลย เนี่ยมันคือเรื่องเดียวกัน

แล้วคิดว่าไอ้เรื่องการด่าหรือแหกกันในโซเชียลแบบไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้มันจะหายไปหรือน้อยลงได้บ้างไหม

คิทว่าจริง ๆ แล้วสังคมหรือโลกใบนี้จะดีขึ้นได้ มันเหมือนการทำความสะอาดบ้าน เราไม่ได้ทำแค่หนึ่งครั้งแล้วบ้านมันจะสะอาดตลอดไปทั้งชีวิต มันต้องทำตลอด ขณะเดียวกันถ้ามีคนทำความสะอาดบ้านอยู่ 2 คน แต่มีอีก 10 คนทำให้สกปรกมันก็ไม่สะอาดสักที เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะทำให้มันดีขึ้น ทุกคนก็ต้องเริ่มจากตัวเอง เฮ้ย งั้นกูจะไม่ทำแบบนี้แล้วนะ แล้วไม่ใช่แค่ไม่ทำในระยะเวลาหนึ่งด้วยนะ คิทมองว่าถ้าสุดท้ายแล้วทุกคนค่อย ๆ หยุดทำอะไรแบบนี้ แล้วคนที่ทำกลายเป็นคนส่วนน้อยอะ เขาจะเริ่มรู้สึกอับอายและหยุดไปเอง แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ามันสลับกันอยู่ คนที่รุมด่าคือคนส่วนมาก แล้วบางทีคนเราก็ชอบอยู่ข้างคนส่วนมากเพราะมันจะรู้สึกปลอดภัยกว่า

อยากให้ลองประเมินการแสดงของตัวเองในบทแนนโน๊ะหน่อย พอใจกับสิ่งที่เราทำมากน้อยแค่ไหน

ถามว่าพอใจไหม คือคิทก็ทำไปเต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนอะไรได้ก็คงอยากจะเพิ่มเวลาในการถ่ายให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้มีเวลาไม่เกิน 40 ชั่วโมงในการถ่ายทำหนึ่งตอน คือมันค่อนข้างโหดมาก ๆ ถ้าได้เพิ่มเป็นสามหรือสี่วันต่อตอนมันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แล้วร่างกายก็จะได้พักมากกว่านี้

Feedback ของ ‘เด็กใหม่ The Series’

มันเกินกว่าที่คาดหวังกันไว้ เพราะตอนแรกเราคิดว่ามันจะเป็นซีรีส์นอกกระแส ด้วยทุกอย่างที่มันเป็นอะ มันดูอินดี้มากประมาณหนึ่ง เราก็ไม่ได้คิดว่าอยู่ดี ๆ มันจะ mainstream กลายเป็นซีรีส์ที่คนมาดูกันขนาดนี้ กระแสแรกที่ทุกคนชอบและสนุกกันก็คือกระแสของการคัฟเวอร์เป็นแนนโน๊ะ แบบอยู่ดี ๆ มีคนเต้นที่เสาธงแล้วก็ลงคลิป อันนี้เราว่ามันเป็นเรื่องตลกและสนุกดี หรือพวกแฟนอาร์ตต่าง ๆ ที่เราเห็นแล้วเฮ้ยเจ๋งว่ะ แบบขอบคุณมาก กระแสอันที่สองคือการที่คนเข้ามาแชร์เรื่องของตัวเอง เช่น EP3 เนี่ยค่อนข้างเยอะ มีคนเข้ามาบอกว่าเคยโดนครูขโมยงานไปให้เพื่อน เคยทำงานมาส่งแล้วครูหาว่าไปลอกเขามา เคยกูเกิลแล้วเอางานไปส่ง ส่วน EP แรกก็จะมีคนมาเล่าว่ามีเรื่องเกิดขึ้นที่โรงเรียนตัวเอง มีคนโดนข่มขื่น ครูคบกับเด็ก อะไรต่าง ๆ นานา ซึ่งเราดีใจนะ เหมือนถ้ามันไม่มีซีรีส์เรื่องนี้คนอาจจะไม่ได้ตระหนักว่าเรื่องพวกนี้มันมีอยู่เยอะจริง ๆ มันไม่ได้เป็นความคิดที่ว่า ‘เออมันคงมีแหละ แต่ไม่รู้ที่ไหน’ แต่มันช่วยยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องมั่วซั่ว แล้วก็กระแสอีกอย่างหนึ่งคือมันสนับสนุนให้คนคุยกันมากขึ้น ทำให้คนคิดวิเคราะห์และเชื่อมโยง เราได้เห็นภาพของคลาสเรียนหนึ่งที่เปิดซีรีส์ดู อันนี้เห็นแล้วดีใจจริง ๆ เพราะเราอยากให้มันเป็นซีรีส์ที่พ่อแม่ลูกหรือครูกับนักเรียนดูแล้วได้มาคุยกัน ได้แชร์ความคิดกัน ได้มองอีกมุมมอง ได้หาวิธีแก้ปัญหาสำหรับสิ่งที่อาจจะยังไม่เกิดขึ้นแต่ว่าปลอดภัยไว้ก็ดีกว่า

เราเคยเป็นนางเอก mv เพลง ให้เธอได้ฟัง ของ New Mandarin ด้วย

จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องบังเอิญค่ะ รู้จักกันกับทางผู้กำกับ เขาก็ติดต่อมาแล้วก็ส่งเพลงมาให้ ซึ่งคิทก็เฮ้ยชอบเพลง เพลงมันเท่ มันเจ๋งมาก ก็เลยไปถ่ายกัน ถ่ายง่าย ๆ กองเล็ก ๆ แบบทั้งกองมีอยู่ 7 คนอะไรแบบนี้

Bio ใน Instagram เขียนว่าเป็น scriptwriter ผลงานในฐานะคนทำหนังของเรามีอะไรบ้าง

ที่ผ่านมาผลงานชิ้นแรกของคิทคือทำ script consult เรื่อง ‘ตุ๊กแกรักแป้งมาก’ แล้วก็เป็นครีเอทีฟกับ consult อยู่ที่บริษัท Transformation Films ปกติมีหน้าที่คอยอ่านบทและแก้บท มีการเสนอขายไอเดียด้วย ตอนนี้ก็มีบทภาพยนตร์ที่กำลังเขียนและขายให้กับทาง Transformation Films อยู่

ชอบงานแสดงหรืองานเบื้องหลังมากกว่า

จริง ๆ คิทมองงานเบื้องหลังเป็นอาชีพหลัก ส่วนงานนักแสดงคิทมองเป็นงานพาร์ตไทม์ เป็นงานที่เราทำแล้วเราหลงใหลในตัวโปรเจกต์จริง ๆ แต่ไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อเลี้ยงชีพ

คิทตี้เคยเป็นสมาชิกวง Kiss Me Five ในค่าย Kamikaze ตำนานของวัยรุ่นยุคก่อนด้วย ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

การเป็นศิลปินเนี่ยมันมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ทุกครั้งที่เราอยู่บนเวที เราจะได้รับความรักในทันที ซึ่งงานอื่น ๆ ไม่เคยให้ได้ หมายถึงการเป็นนักแสดงหรืออะไรก็ตาม กว่าเราจะเห็น feedback จากคนว่าชอบผลงาน แต่การเป็นนักร้องร้องเพลงอยู่แล้วมีคนร้องตามได้ มีคนส่งเสียงเชียร์ คิทมองว่ามันเป็นความสุขที่สุดยอดอย่างหนึ่งเลยนะ เหมือนทุกอย่างที่ทำมาเหนื่อยมันเห็นค่าทันที แต่อย่างซีรีส์เรื่องนี้กว่ามันจะฉาย เขาก็ต้องไปตัดต่อไปทำอะไร เราก็หายเหนื่อยไปแล้ว พอซีรีส์มันบูมขึ้นมา เราดีใจแต่ความรู้สึกมันไม่ได้ปัง! เหมือนตอนที่ร้องเพลงอยู่แล้วเห็นคนร้องตามได้

แล้วเราคิดอยากจะกลับไปเป็นนักร้องบ้างไหม

จริง ๆ ก็มีที่คุยกับทางแกรมมี่ไว้ อาจจะเป็นเพลงประกอบซีรีส์หรือยังไง เราก็กำลังคุยกันอยู่

ถ้าเปรียบเทียบความชอบในการร้องกับการแสดงล่ะ

เหมือนที่ผ่านมาเราเป็นนักร้องในแบบที่ไม่ใช่แนวของเราเท่าไหร่ หมายถึงว่าถ้าเราจะร้องเพลงเราก็อยากจะร้องแบบ Lana Del Rey หรืออะไรแบบนี้ ซึ่งเราก็หวังว่าถ้ามันมีโอกาสแบบนั้น แล้วเราได้ทำและมันออกมาโอเค แบบคนฟังฟังแล้วแฮปปี้ เราก็คงจะอยากทำมัน เพราะเรามองว่าถ้าเราทำงานประเภทนี้ มันต้องไม่ใช่เราคนเดียวที่มีความสุข มันหมายถึงคนที่รับมันไปด้วย แต่ถ้าเราเป็นคนร้องเพลงเลวร้ายมาก แบบร้องเพลงไปไม่มีใครอยากฟังอะ เราว่าเราควรจะหยุด (ฮา)

ฝากผลงานทิ้งท้ายตามธรรมเนียมเด้อจ้า

ก็ฝากซีรีส์เด็กใหม่นะคะ Girl from Nowhere ออนแอร์ทุกวันพุธเวลา 10.25 น. ทางช่อง GMM 25 และรีรันวันเสาร์ 11.55 น. ไม่มีฉายทางออนไลน์จนกว่าซีรีส์จะจบค่ะ

แนนโน๊ะ

Facebook Comments

Next:


Kunchanit Liengudom

นิดหน่อย อินเทิร์น ณ ฟังใจ, สิงหา-กันยา ปี 61 ช่วงที่เพื่อนฝึกงานออกกันไปหมดแล้ว รักการดูหนัง ชื่นชอบการฟังเพลงที่ร้องตามได้เป็นพิเศษ