Playlist ของ จีน คำขวัญ
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
ถ้าพูดถึง คำขวัญ ดวงมณี พวกคุณอาจจะยังไม่รู้จักเธอเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากเคยดู mv ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น X0809 – Ho หรือ Stamp – Don’t You Go คุณจะต้องร้องอ๋อแน่ ๆ เพราะเธอคือผู้กำกับที่สร้างสรรค์งานออกมาได้น่ารัก เท่ และมีสไตล์ จนเรียกได้ว่า จีน คือผู้กำกับที่กำลังมีผลงานเป็นที่จับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในขณะนี้ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะมาฟังเพลงที่เธอชอบเพื่อรู้จักตัวตนของเธอให้มากขึ้นกันแล้ว
ถ้าอยากเริ่มวันดี ๆ การฟังเพลงที่สนุกหรือมู้ดดีก็จะทำให้เราอารมณ์ดีได้ทั้งวัน
Mono – Life in Mono
ไม่ใช่วง Mono ของญี่ปุ่นนะคะ อันนี้เป็นวงอังกฤษ เพลงนี้เป็นเพลงประกอบเรื่อง The Great Expectation จีนชอบหนังเรื่องนี้ แล้วก็ชอบเพลงมาก ๆ เพราะมันเป็นแนว trip hop ที่ชอบฟัง แล้วเพลงมันก็มีความ nostalgia นิด ๆ
Dexy’s Midnight Runners – Come On Eileen
ประกอบเรื่อง The Perks of Being a Wallflower ชอบดนตรีมาก คือใช้เป็นเพลงปลุกตอนเช้าด้วยเพราะรู้สึกว่ามันสดชื่นดี บวกกับการใช้เพลงในงานเต้นรำแล้วมันดูสุนกมาก ฟังแล้วอยากเต้นตาม นี่ก็โหลดโน้ตมาเล่นเปียโนด้วย จีนเป็นคนที่อินกับ soundtrack หนังเรื่องไหนแล้วจะหาโน้ตมาเล่นทันที
Bernard Herrmann – Twisted Nerve
เพลงประกอบฉากนึงในเรื่อง Kill Bill เป็นซีนที่นางเอกอยู่ในโรงพยาบาลแล้วมีตัวร้ายเดินมาพร้อมกับผิวปากเพลงนี้ ชอบมาก วนอยู่แค่นี้ แล้วดนตรีมันจะพีคขึ้น ชอบมู้ดตรงนั้นจนเอาไปใช้เป็นเพลงเดินแบบงานธีสิสของตัวเองด้วย จีนเป็นคนไม่ได้ชอบฟังเพลงหวาน ๆ ขนาดนั้น จะชอบเพลงหลอน ๆ นิดนึง
Jane Berkin – Jane B
ชอบนางแบบคนนี้มาก เป็น muse ของเราในการแต่งตัวด้วย แล้วเขาก็เท่มาก จริง ๆ แล้วเพลงนี้ทำมาจากเพลงคลาสสิกของ Chopin ประกอบหนังเรื่อง By the Sea น่าจะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ Brad Pitt กับ Angelina Jolie เล่นด้วยกัน หนังภาพสวยดี เกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่ แต่สุดท้ายเขาก็เลิกกันจริง ๆ
Suspiria – Suspiria
เป็นคนชอบอะไรหลอน ๆ ดิบ ๆ นิดนึง แล้วดนตรีเรื่องนี้มันชวนเขย่าขวัญมาก มีความภูติผีอะไรด้วย แล้วหนังก็สวยมาก เป็นเกี่ยวกับโรงเรียนบัลเล่ต์ที่นางเอกเข้าไปแล้วเจอเขาทำลัทธิอะไรกันภายใน แนะนำให้ดูกัน เขากำลังจะทำรีเมคปีนี้มั้ง มี Dakota Johnson กับ Tilda Swinton เล่น
Clint Mansell – Lux Aeterna
Requiem for a Dream เป็นหนังที่ชอบเรื่องนึง ทั้งภาพ เนื้อเรื่อง และการตัดต่อ แล้วเพลงนี้มันส่งอารมณ์ในช่วงท้ายของหนังได้ดี ก็จะทั้งเล่นเปียโน แล้วก็ทั้งฟังเวลาอยู่คนเดียว ถึงเพลงมันจะเครียดนิดนึง แต่มันก็เพราะ ชอบคนแต่งเพลงคนนี้ด้วย
My Chemical Romance – Helena
จีนเป็นคนที่ฟังเพลงหลายแนวมาก แต่เราฟังที่ดนตรีและความหมาย เลยได้ทุกแนว ร็อกจีนก็ชอบแต่ว่าไม่ได้ฟังเจาะมาก สมัยเด็ก ๆ ก็ชอบเพลงของ My Chemical Romance มาก เราชอบดนตรีร็อกแนวนี้ เมโลดี้มันเพราะ คือทุกคนมันต้องเคยเป็นเด็กอีโมเว่ย แล้วเราชอบ mv นี้ตรงที่มี choreographer เอาศพมาเต้นบัลเล่ต์ได้อย่างสวยงาม เป็นงานศพที่สวยมาก มีการเอาร่มมาโบก เต้นรำหน้าโลงศพ หลายคนก็จะคิดว่าเราโรคจิต (หัวเราะ)
Muse – Hysteria
เป็นวงร็อกที่ชอบมากแล้วไปดูสดมาแล้วแบบ โห จริง ๆ ก็เล่นกีตาร์ไฟฟ้าบ้าง ก็จะชอบวงนี้กับ My Chemical Romance ที่ฟังเยอะขึ้นมานิดนึง
Feist – Inside Out
จริง ๆ ชอบเพลงเก่า ๆ อย่าง Bee Gees, The Beatles, The Carpenters ก็ฟัง แล้วชอบเวอร์ชันของ Feist เป็นพิเศษ เป็นการเอามาคัฟเวอร์ใหม่แล้วเราชอบ เสียงเท่ แล้วมู้ดเพลงเขาดี
Kraftwerk – It’s More Fun to Compute
ชอบมาก ทุกอัลบั้มเลย ซาวด์ดนตรีแบบ industrial คอมพิวเตอร์นิดนึง สมัยเรียนจีนทำคอลเลกชันที่ได้แรงบันดาลใจจากอัลบั้ม Computer World ก็จะเอาพวกเลขดิจิทัลที่เป็น biary 0101 มาทำเป็นลายปรินต์ กับแมทีเรียลที่เมทัลลิกนิดนึง ไปถ่ายในโลเคชันที่เป็นห้องคอมแบบโบราณ
TALK TALK TALK
ดนตรีมีผลต่อการทำงานของจีนยังไงบ้าง
ดนตรีมีผลต่อการทำงานของจีน ด้วยความที่เราเล่นดนตรีด้วยมั้ง จีนเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึกทางดนตรีมาก ถ้าต้องการคิดหนังหรืองานแนวไหนก็จะเปิดเพลงแนว ๆ นั้นบิ๊วตัวเอง แล้วมันจะเริ่มคิดได้ ซึ่งไม่รู้ว่าดีไม่ดีการที่เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวกับเพลงมาก พอฟังเพลงเศร้าก็ดิ่งเลย แต่พอเปลี่ยนไปฟังเพลงสนุกก็แฮปปี้ได้ จีนเชื่อว่าถ้าอยากเริ่มวันดี ๆ การฟังเพลงที่สนุกหรือมู้ดดีก็จะทำให้เราอารมณ์ดีได้ทั้งวัน
ทำไมถึงชอบเพลงประกอบภาพยนตร์
รู้สึกว่าเพลงประกอบหนังมันจะมีเมโลดี้ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกอีกแบบนึง ไม่เหมือนเพลงที่เราฟังทุกวัน มันมีความบรรเลง แล้วยิ่งเราดูหนังไปด้วยฟังเพลงไปด้วย ความหมายของเพลงกับความรู้สึกของหนังที่เพิ่งดูจบมันจะทำให้อินมาก ๆ ดนตรีคลาสสิกเองก็มีหลาย movement หลายอารมณ์ อาจจะมีความสดใสตอนต้น เศร้าตอนกลาง แล้วมาแฮปปี้อีกรอบในตอนท้าย มันก็คล้ายกับหนังเหมือนกัน
เล่นเครื่องดนตรีอะไรได้บ้าง
จีนเป็นเด็กที่ชอบดนตรีกับศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เลยได้เรียนเปียโนคลาสสิกตั้งแต่ตอนนั้นและเกือบจะไปทางสายเปียโนด้วย แต่เพิ่งจะมาค้นพบตอนที่จะไปสมัครสอบว่าเราไม่สามารถเล่นจนเกินลิมิต คือมันต้องซ้อมเยอะมาก ๆ เพื่อที่จะเป็นนักเปียโนมืออาชีพ แต่จีนชอบที่จะเล่นเป็นงานอดิเรกเวลาที่เราอยากผ่อนคลายจากอย่างอื่นมากกว่า เพราะมันช่วยระบายอารมณ์ความรู้สึกของเราได้ แต่ก็ยังเรียนก็ยังเรียนและเล่นเปียโนมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดเรียนตอนเข้ามหาลัยเพราะไม่มีเวลา ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยคิดจะหยุดเรียนเลย พอเจอคณะศิลปกรรมศาสตร์เข้าไปนี่งานเยอะมาก (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็ยังเล่นอยู่ แต่ตอนนี้นิ้วมันไม่ได้ไปเท่าแต่ก่อนแล้ว เพลงก็จะเลเวลไม่สูงเท่าแต่ก่อน เล่นเป็นซาวด์แทร็คเยอะขึ้น
ส่วนกีตาร์ไฟฟ้านี่หัดเองกับเพื่อน ตอนประมาณ ป.5 – ป.6 มีวงที่โรงเรียน ไม่ได้เล่นจริงจังมาก จำได้ว่ามีเพลง I Hate Myself for Loving You ของ Joan Jett & the Blackhearts เป็นวงร็อกขนาดจิ๋วหญิงล้วน ทำกับแก๊งเพื่อนสนิทตอนประถมขึ้นเวที Music Friday ของที่โรงเรียน
แล้วตอนนี้ไม่คิดจะทำวงเองหรอ
ก็เคยคิดกับเพื่อนมหาลัย Tuna Dunn เนี่ยแหละ เคยไปเล่นบ้านเขาเป็นวงเล็ก ๆ เป็นความสนุกชั่วครู่เฉย ๆ ไม่ได้มีเครื่องดนตรีจริงจัง ใช้กดผ่านแอพเอา มีเพื่อนอีกคนนึงแต่งเพลง แต่ด้วยความที่ทุกคนยุ่งมาก สุดท้ายก็เลยแยกย้ายกัน
เรียนแฟชันมาแต่ทำไมอยากทำหนัง
พูดตรง ๆ คือเป็นคนไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เป็นเด็กที่มีจุดยืนขนาดนั้น เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ตอนครูเขาถามว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรคะ เราก็จะตอบไม่ได้ ไม่รู้ เด็ก ๆ ตอนนั้นจะรู้จักแค่สายงานที่โดนปลูกฝังมา เขาก็ตอบกันหมอ หรือพยาบาล ส่วนตัวเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่อะไรที่เราอยากเป็น รู้แค่วิชาที่เราอินตอนนั้นคือดนตรีกับศิลปะ เลยกลายเป็นคำถามที่ไม่ชอบตอบครูไปเลย (หัวเราะ)
หลังจากรู้ว่าคงไม่ไปทางดนตรีอาชีพก็คิดว่าจะเข้านิเทศศิลป์ ศิลปากร ก็ไปเรียนวาดเส้นกับเพื่อน ๆ หลาย ๆ คน แล้วอยู่ ๆ เพื่อนก็ลากไปเรียนแฟชัน ก็ตามเพื่อน ก็ไปติวกับพี่บัณฑิตแฟชันตอนม.5 แล้วก็สอบ บังเอิญติดสอบตรงที่ จุฬา ฯ ก็เรียนแฟชันไป แต่ว่าพอเรียนตอนปีสอง เริ่มลงมือทำเสื้อ ก็คิดว่ามันเริ่มไม่ใช่ อยากซิ่ว แต่ทนเรียนจนจบ ก็คือทำได้ เพราะเป็นคนชอบหาแรงบันดาลใจแล้วมาคิดนำเสนอเป็นผลงานสักอย่าง ก่อนหน้านี้เพื่อนสนิทก็แนะนำว่าทำไมไม่เอาสิ่งที่ชอบหลาย ๆ อย่างมาทำรวมกันดูล่ะ
จีนเป็นคนชอบ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นดนตรี สนใจแฟชัน ชอบดีไซน์ แล้วไปยังไงไม่รู้ก็อยากลองทำวิดิโอ อาจจะเพราะชอบดูตาม Vimeo หรือเห็น ad campaigne ของแฟชันแบรนด์ต่าง ๆ ที่เราชอบก็อยากทำเองบ้าน ที่บ้านก็มีกล้องอยู่แล้วก็เลยลองถ่ายเองก่อน ถ่ายให้รุ่นพี่รุ่นน้องในคณะ ถ่ายไปเรื่อย ๆ จนอยู่ดี ๆ เหมือนมีคนเขาเห็นว่าเราถ่ายได้ ก็ทำให้แบรนด์เล็ก ๆ ก่อน อย่าง London Brown หรือ Greyray ก็ทำกับเพื่อนด้วย แต่พอทำเยอะ ๆ ขึ้นเราก็คิดว่าเราไม่ใช่สายคนถือกล้อง เราอยากเป็นผู้กำกับ วาง direction ให้กับหนัง แล้วเราก็อยากจะมีหนังแฟชันเป็นของตัวเอง ตอนปีที่แล้วก็บังเอิญได้ทำวิดิโอธีสิสให้จุฬา ฯ จริง ๆ แล้ว ทุก ๆ ปีจะมีคนทำให้อยู่แล้ว สองปีก็จะเปลี่ยนคนทำทีนึง ก่อนหน้านี้มีเพื่อนที่ทำกราฟฟิก ชื่อสอง (Songpicjo) ก็เป็นเพื่อนศิลปกรรมแต่มาทำ filmmaker เหมือนกัน ในแง่ของวิชวลมันก็ค่อนข้างนำเพราะแต่ละคนมีสไตล์ของตัวเอง พอได้ทำจากอันนั้น บังเอิญคนแชร์เยอะเฉยเลย ก็มีคนเห็นงานเราเยอะขึ้น ก็เลยมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ
ได้เอาทักษะจากการเรียนแฟชันมาปรับใช้กับหนังของเราไหม
เป็นเรื่องสไตล์ของหนัง เราจะรู้เรื่องการแต่งกายของแต่ละยุคว่ามันจะเป็นประมาณไหน หรือถ้าอยากทำให้มันใหม่หน่อยก็จะลองเอายุคนึงมาผสมกับปัจจุบัน ทั้งเรื่อง silouette เสื้อผ้า เรื่องสี สไตล์การแต่งตัว มันช่วยกับหนังมาก ๆ เวลาจีนทำงานของจีนเอง ด้วยความที่เราเรียนศิลปกรรมมา วาง direction ทั้ง set design costume หรือ mood and tone หนังเบื้องต้นได้ก่อนที่จะให้คนอื่นมา develop จีนไม่เคยเสียใจเลยที่เรียนแฟชันมาถึงมันจะไม่ชอบ หรือเรียนเปียโนมาแล้วมันจะไม่ใช่ในที่สุด แต่มันเห็นได้ชัดการงานเราว่ามันส่งผลให้เป็นคนแบบนี้ ทำงานอย่างนี้
การทำวิดิโอให้สินค้าประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่เครื่องเขียน ไปจนเสื้อผ้า มีความยากง่ายต่างกันยังไง
เราพยายามจะเอาสไตล์ของเราไปบวกกับผลิตภัณฑ์ของเขาว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร เช่น แบรนด์ Greyray ที่เป็นเครื่องเขียน อย่างอันที่เป็นดินสอเราทำกับสอง เขาก็บอกว่าจุดประสงค์ของมันคือพกพาไปไหนก็ได้และสะดวกกับคนอาชีพสายครีเอทีฟที่จะต้องสเกตช หรือจดบันทึก ก็เลยวางคาแร็กเตอร์ให้กับตัวดินสอ โดยมันมี 4 สี แต่ละสีให้ moon & tone ต่างกัน สีเข้มหน่อยจะดูเป็นสถาปนิกหรือเปล่า สีส้มก็เป็นแฟชันดีไซเนอร์ ก็ค่อนข้างแฮปปี้กับการที่คนมาให้เราทำงานเพราะเขาอยากได้สไตล์ของเรา
สไตล์งานของจีนคืออะไร
เท่าที่คนอื่นสัมผัสได้เหมือนเป็นการเอาของเก่ามาเล่าใหม่ มีกลิ่นแบบเรโทรนิดนึง แต่ไม่ได้เก่าจ๋า อาจจะมีบางงาน เช่นงาน Rompboy ที่ตั้งใจให้มันออกมาดูเหมือนโฆษณาย้อนยุคไปเลย แล้วก็ไม่ใช่คนหวานด้วย เวลาทำงานผู้หญิงก็จะไม่ได้ girly ขนาดนั้น พอต้องไปเจองานผู้หญิงก็อาจจะมีความ contrast นิดนึง ก็แล้วแต่ลูกค้าด้วย
แฟชันหรือศิลปะสไตล์ไหน ยุคไหน ที่เราชอบเป็นพิเศษ
ชอบ surrealism ชอบ Salvador Dali จริง ๆ impressionism อย่าง Vincent van Gogh ก็ชอบ แต่งานเราก็ไม่ค่อยออกมาเป็นแนวพวกนี้เท่าไหร่ สำหรับแฟชันเราชอบ 50s 60s เพราะมันมีความคาบเกี่ยวที่น่ารักซึ่งกันและกัน ถ้า 50s จะกระโปรงบาน ยาวหน่อย สีพาสเทล ส่วนแล้วพอ 60s มันจะสั้นกุด miniskirt ซึ่ง silhouette มันก็จะยังมีความคาบเกี่ยวกันหน่อย หรือความป๊อปของปลาย 60s ที่ไปผสมกับกางเกงขาบานของต้น 70s ก็ชอบ
ทีมงานที่อยากร่วมงานด้วยเป็นคนแบบไหน
ทำงานดี ทำด้วยแล้วสบายใจ ส่วนใหญ่ก็ชอบทำงานรุ่นใกล้ ๆ กันแหละ เพราะรู้สึกว่าเป็นพลังของคนรุ่นใหม่ เราทำงานไปด้วยกัน โตไปด้วยกัน
หลายคนบอกว่าคนรุ่นนี้เป็น generation หลักที่เริ่มมาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับการที่มีอินเทอร์เน็ตแล้วการมีตัวตนของเด็กรุ่นเรามันเร็วขึ้นด้วยหรือเปล่า อย่างเจนก่อนเรากว่าเขาจะได้ทำงานดี ๆ หรือมีงานมาเยอะขนาดนี้คือเขาต้องอาศัยความตั้งใจมาก ๆ มันไม่ได้มีช่องทางให้คนเห็นง่าย จีนก็ยอมรับว่าคนเห็นงานเร็วเพราะอินเทอร์เน็ตด้วย คนรุ่นเรามันโตมาอย่างนี้ แต่เราก็ไม่ได้ไปเทียบรุ่นกับเขา เราก็เพิ่งเริ่ม ที่ว่าเรามาขับเคลื่อนกันเยอะเพราะโลกมันเปลี่ยนไปมากกว่า แต่ก็ยอมรับว่าเด็กรุ่นใหม่เก่ง ๆ กันเยอะจริง การที่โลกมันเปลี่ยนไปทำให้คนรุ่นเราเห็นอะไรมากขึ้น เปิดรับศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์กันมากขึ้น จะเห็นว่าช่วงหลัง ๆ มีงานดีออกมาให้ได้ดูอยู่ตลอด
ผู้กำกับที่ชอบ
ส่วนใหญ่เป็นโปรดักชันเฮาส์ของแคนาดา สไตล์เขาติดจะอินดี้นิดนึง แล้วก็ของ Flash Factory เป็นคนทำแฟชันฟิล์มที่เล่าเรื่องได้ดี ตอนนี้อาจจะมีคนทำแฟชันฟิล์มเยอะมากที่แบบสวย ๆ ขายของอย่างเดียว พื้นฐานแฟชันฟิล์มมันไม่ได้เล่าเรื่องอะไรอยู่แล้ว แต่ผู้ก่อตั้ง Flash Factory คือคนที่จบฟิล์มมา ด้วยเหตุนี้มันทำให้เขายึดการเล่าเรื่องก่อนแล้วค่อยเอาแฟชันมาใส่ ซึ่งกลับกันกับจีนที่เป็นคนเรียนแฟชันมาแล้วกำลังพยายามเพิ่มทักษะการเล่าเรื่องเข้าไป เราชอบงานคนนี้เพราะเขาสามารถทำทั้งสองอย่างให้ออกมาดูดี อีกคนชื่อ Sebastian Grouset เพิ่งไปตามงานเขามา น่าจะเพราะสไตล์หนังเขาเหมือนกัน เขาเป็นผู้กำกับฝรั่งเศส สไตล์ภาพ ลักษณะการใช้ซาวด์ การ transition มันก็เลยจะมีความเป็น French New Wave อยู่
MV Don’t You Go ของแสตมป์ได้กลิ่นอายแบบนั้นมาด้วยหรือเปล่า
อาจจะด้วย เพราะเป็นคนชอบผู้หญิงผมหน้าม้าเหมือน Jane Berkin ตอนนั้นจีนฟังเพลง Don’t You Go แล้วนึกถึงการไล่จับ ตอนแรกจะทำเป็นหนังแขก แต่คิดว่าจะเกรียนไปหน่อยเลยมาแนวสยองขวัญแทน ถ้าใครดู mv นี้จะเห็นว่ามุขมันเก่า มันเชย การหลบ จ๊ะเอ๋ วิ่งเข้าไปในเขาวงกตแบบหนัง The Shining แต่เราอยากเอามาทำให้คอนทราสต์กับเพลงเขาที่ดูเป็นสมัยใหม่ น่าจะสนุกดี
ทีนี้พอคิดถึงเขาวงกตก็ลองหาดูว่าในไทยมีเขาวงกตที่ไหนบ้าง เผอิญเคยไปเที่ยวปีใหม่กับที่บ้านมาที่เขาใหญ่ก็นึกถึง Pete Maze เคยนั่งรถผ่าน คิดว่าไม่ค่อยมีคนใช้เท่าไหร่ แล้วก็มีอ่างเก็บน้ำ ส่วนบ้าน พอเรื่องเรามาฟีลนี้ก็คิดว่าควรจะเป็นบ้านฝรั่งหน่อย เป็นรีสอร์ทที่เขาใหญ่เหมือนกัน ส่วนในบ้านก็ถ่ายที่บ้านของเพื่อนพ่อที่เขาไม่อยู่แล้วในหมู่บ้าน แยกถ่ายสองวัน
การเริ่มมาทำ mv มีที่มาที่ไปจากอะไร
ก็ไปทำให้วงของแฟนเพื่อนอย่าง Boydarin เป็นวงร็อก ๆ นิดนึง หลังจากนั้นก็เป็น X0809 ทำกับสอง อันนี้มันมากเพราะวงเขาสนุก ๆ อยู่แล้ว สองก็เป็นคนพลังเยอะ จีนเองก็ให้ทำอะไรกวน ๆ ก็ได้ ไม่ได้เป็นคนนิ่ง ๆ ขนาดนั้น เลยออกมาเป็นแบบนี้
ทุกคนจะเข้าใจว่ามัน 80s แต่เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลย อาจจะด้วยลุคภาพ สี แล้วก็ letterbox เป็นสัดส่วนแบบนั้น จริง ๆ มันเพราะลิมโบ้กว้างไม่พอ สไตลิงเสื้อผ้าก็ไม่ได้พาเราไป 80s ขนาดนั้น ส่วนความแรนด้อมในนั้นคือการโยนไอเดียกัน แล้วคิดว่าจะทำยังไงให้ภาพมันกวน ๆ เน้นสนุก ทำอะไรไม่แคร์สังคม โดยที่เนื้อหาก็ยังเสียดสีผู้หญิงคนนึง แล้วน้องคาริสาก็เล่นเก่งมาก
แล้วการทำวิดิโอธีสิส This is not sa Stone ยากไหมเพราะสไตล์ของดีไซเนอร์แต่ละคนไม่เหมือนกันเลยแล้วต้องจับมาอยู่ด้วยกัน
ไม่ยากค่ะ เหมือนจะจัดกลุ่มกันก่อนว่าอันไหนสตรีท อันไหนดู feminine ก็พยายามหา mood and tone ให้เข้ากัน แล้วเลือกใช้หลาย ๆ เพลงในนั้น แต่ใช้ transition ให้มันพอจะไปต่อกันได้ จีนใช้เพลงจากค่าย creative cloud มัน free music archive สำหรับคนเอาไปใช้ในโปรเจกต์ส่วนตัว หรืองานที่ไม่เกี่ยวกับการค้าได้ แล้วก็ไปเจอเพลง The Beatles กับ I’m Not in Love ของ 10 cc มิกซ์กันอยู่แล้วเราชอบเพลงนี้ เผอิญว่ามีรุ่นน้องชื่อน้องป่าน Juli Baker เขาทำคอลเลกชันที่ได้แรงบันดาลใจจาก The Beatles พอดี เลยไปด้วยกันได้ ส่วนวันที่ไปบล็อกช็อตก็คือคิดไว้แล้วว่าเรามีโลเคชันนี้ ๆ นะ เราจะเอาทั้ง 4 สถานที่ กับ 3 วันที่ถ่ายนี้มาต่อกันยังไงให้มันดูสมูธ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องเดียวทั้งหมดหรอก
ทำไมต้องมี fashion film แค่ภาพนิ่งไม่พอหรอ
พอเป็นวิดิโอเราสามารถเล่าอะไรได้มากกว่านั้น อย่างที่มาของแบรนด์เขา หรือใส่ mood and tone บางอย่าง มันเป็นอีกช่องทางนึงที่ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ แล้วเดี๋ยวนี้วิดิโอก็เป็นอีกช่องทางนึงที่คนสมัยนี้เสพกันด้วย
Fashion film ของแบรนด์ไหนน่าสนใจ
แต่ก่อนชอบ Prada รู้สึกว่าเขามา ตอนนี้โดน Gucci แซง คือ Gucci ได้ director ที่เก่งมาก สามารถพลิกแบรนด์เขาได้โดยการหาความเป็นสตรีทกับ identity ของแบรนด์ เคยคุยกับเพื่อนว่า ถ้าไปแยกชิ้น Gucci ก็จะเอามาใส่ในชีวิตประจำวันได้ง่ายมาก silhouette มันไม่ยาก แต่ด้วยลาย print หรือ detail ต่าง ๆ พอเขาเอามา mix and match แล้วมันรู้สึกใหม่แค่นั้นเอง ของ Miu Miu ก็ดี หลัง ๆ จะเล่าเป็นหนังสั้นที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวของผู้หญิง
จากที่ทำมาชอบงานไหนที่สุด
พูดยาก ที่ผ่านมามันเหมือนเป็นช่วงทดลองว่าจะทำออกมาแล้วเป็นไง คือทุกงานเราก็ตั้งใจ เพียงแต่แต่ละงานก็มีคาแร็กเตอร์ต่างกัน ก็มีงานนึงเป็นงานที่เราทำตอนเรียนจบใหม่ ๆ ถ่ายเองง่าย ๆ คิดสดหน้ากอง เราทำกับเพื่อน ๆ แบบไม่ได้ benefit ทั้งเพื่อนที่ทำสไตลิ่ง ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า แม้กระทั้งนางแบบ ทำเพราะตอนนั้นทุกคนอยากได้พอร์ต เป็นการออกกองที่สนุกและร้อนมาก ๆ
ความยากที่เจอในแต่ละกองแล้วรู้สึกควบคุมไม่ได้ มีวิธีจัดการยังไง
จีนยอมรับว่าชั่วโมงบินน้อย สำหรับกองแฟชันไม่เท่าไหร่ กอง mv เราต้อง pre production หรือต้องเป็นคนที่ชัดเจนเด็ดขาดกว่านี้มันถึงจะอยู่ภายในเวลา เพราะมันต้องแข่งกับคิวถ่ายไม่งั้นโดน OT แล้วงบจะบาน ต้องอาศัยการทำงานให้มากขึ้นด้วย ทุกครั้งที่ผ่านมาได้นี่ก็ต้องขอบคุณทีม คือทุกคนก็ช่วยกันทำงาน teamwork ดี ส่วนงานโฆษณามีสองตัวที่เป็นลูกค้าซีเรียส ต้องทำให้ห้างกับบิวตี้ คือเราไม่สามารถทำงานที่เป็นตัวเองได้ 100% ต้องทำให้สิ่งที่ลูกค้าเขาอยากได้ให้มาอยู่ในสไตล์งานของเรา ตอนนี้จีนยังพยายามทำให้ชัดอยู่ เรายังเด็ก เวลา double head ที่ต้องเจอลูกค้าก็มีความกดดัน ก็เข้าใจได้ว่าลูกค้าเขามีโปรดักต์และอยากรู้ว่าเราจะทำออกมาเป็นยังไง เราก็ต้องอธิบายเขาให้ได้ว่าทำไมเราอยากทำแบบนี้ มันไม่ใช่ pure art หรือไม่มีที่มาที่ไปไม่ได้ มันต้องมีเหตุผลให้เขา
คิดจะทำหนังขนาดยาวไหม
ก่อนหน้านี้ไม่คิดเพราะรู้สึกว่าเป็นคนสมาธิสั้น แล้วหนังยาวต้องใช้เวลาอยู่กับมันนานมาก ๆ แต่พอเราดู La La Land แล้วรู้สึกอยากทำเพราะมันเป็นหนังเกี่ยวกับความฝัน แล้วเราชอบผู้กำกับคนนี้มาก รู้สึกว่าถ้าเราเก่งขึ้นแล้วก็อยากจะทำบ้าง เอาดนตรี แฟชัน สิ่งที่เราชอบมาผสมกัน แต่เร็ว ๆ นี้มีคิดจะทำหนังสั้น ยังหาเวลาว่างอยู่เพราะรู้สึกว่าต้องเคลียร์หัวให้โล่งก่อน และจะ advance ไปอีกถ้าคิดจะแต่งเพลงเองด้วย ทำไมเราไม่ลองแต่งเพลงให้กับหนังตัวเองในเมื่อเราเล่นเปียโนได้ แต่เป็นโปรเจกต์ในระยะยาวมาก ๆ นะ เพราะต้องใช้เวลา
จะกลับไปทำแฟชันดีไซน์อีกไหม
ไม่ ตอบได้เต็มปากเต็มคำเลย (หัวเราะ)
ติดตามผลงานของจีนได้ที่ไหน
เพจ และ Vimeo ถ้าเป็น instagram ก็จะเป็น A Film by Khamkwan ค่ะ