5 เพลงโปรดของ MasterChef Thailand คนแรก แก้ว—ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร
- Writer: Gandit Panthong
- Photographer: Chavit Mayot
ช่วงสองทุ่มของวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นวันหยุดพักผ่อนของใครหลาย ๆ คน บ้างเลือกที่จะอยู่กับครอบครัว บ้างก็เลือกที่จะใช้วันหยุดให้คุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่วันนี้สำหรับชีวิตของ แก้ว—ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ เห็ดหูหนูจึงอยากจะพาไปทำความรู้จักกับ MasterChef คนแรกของประเทศไทย
5 เพลงโปรดของแก้ว
Taylor Swift – Safe And Sound feat. The Civil Wars
แก้วชอบหนังเรื่อง The Hunger Games มาก พอฟังเพลงนี้แล้วมันรู้สึกมีความหวังในชีวิตดี แม้ว่าชีวิตจริงมันจะแย่ยังไง แต่สุดท้ายแล้วพอผ่านพ้นวันไป ตื่นขึ้นมาแล้วเราจะพบกับวันใหม่ ตัวแก้วเองเป็นคนคิดมาก เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตก็อยากฟังเพลงที่มันให้กำลังใจตัวเอง ฟังล่าสุดเมื่อคืนเลย
Christina Aguilera – Reflection
แก้วชอบเพลงนี้มาก ๆ เนื้อหาของเพลงมันอธิบายตัวตนของเราได้ดี เพลงมันจะสื่อความหมายว่า ทำไมสิ่งที่เราต้องแสดงออกมากับสิ่งที่เป็นตัวเรามันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ตอนเด็กแก้วอินมาก เพราะเราเป็นคนที่ชอบดูการ์ตูนดิสนีย์
แล้วเรื่องมู่หลานเป็นเรื่องที่ตัวเราเองชอบตัวละครตัวนี้มาก เรารู้สึกว่าเขาเป็นผู้หญิงที่เก่งดี
The Script – Hall of Fame feat. will.i.am
จริง ๆ แก้วเป็นคนใช้ชีวิตทะเยอทะยานมาก แล้วพอเราฟังเพลงนี้มันก็ยิ่งทำให้อยากจะเป็นได้แบบในเนื้อเพลง เพลงนี้มันให้แรงบันดาลใจในชีวิต
Daniel Powter – Bad Day
เพลงนี้ฟังบ่อยตอนแข่ง MasterChef Thailand เพราะเราเครียดมาก มันไม่ได้มีแค่การแข่งขันทำอาหารอย่างเดียว มันมีในเรื่องคน เรื่องการสัมภาษณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันซับซ้อนมาก การมาอยู่ด้วยกัน 16 คนมันก็เริ่มมีการแบ่งกลุ่ม ทะเลาะกัน แก้วฟังเพลงนี้เพื่อให้เราผ่านวันแย่ ๆ ของเราไป เดี๋ยวตื่นเช้าขึ้นมาทุกอย่างก็หายไปและมันจะดีขึ้นเอง
Adam Levine – Lost Stars
แก้วรู้สึกว่า เราทุกคนเป็นเหมือนดวงดาว ทุกคนกำลังตามหาตัวเองให้เจออยู่ แก้วเชื่อว่าทุกวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อรู้ว่าเรากำลังตามหาอะไรให้กับตัวเอง สิ่งที่เราตามหาจะเป็นยังไง เพลงนี้จึงเป็นอีกเพลงที่แก้วชอบมาก
รู้เถอะเราอยากบอกคุณ — ก่อนที่จะมาประกวดการแข่งขันทำอาหารรายการ MasterChef Thailand แก้วเคยเข้าประกวด The Star ค้นฟ้าคว้าดาวปีที่ 8 มาแล้ว เธอร้องเพลง ฉันจะรอเธอ เพลงประกอบ แม่นาคพระโขนง เดอะมิวสิคัล ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ดีจนกระทั่งกรรมการให้เธอร้องเพลงเร็วและเต้นด้วย เธอทำไม่ได้ จึงกลายมาเป็นแก้ว MasterChef อย่างทุกคนเห็นกันในทุกวันนี้
Exclusive Talk
(บทสัมภาษณ์นี้สัมภาษณ์ก่อนที่จะรู้ผลการแข่งขันรายการนี้)
แก้ว ปวีณ์นุช เป็นใครมาจากไหน
แก้วเป็นเด็กคนนึงที่เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์หาวิทยาลัย สาขาเอกการแสดงค่ะ ซึ่งเอกการแสดงที่แก้วเรียนนั้นมันจะคนละอย่างกันกับการแสดงละครของคณะอักษรศาสตร์นะ พื้นฐานเราคือจะเรียนเกี่ยวกับละครเวทีว่า ละครเวทีเรื่องนึงเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เรียนพวกการกำกับต่าง ๆ การทำแสง สี เสียง หรือแม้กระทั่งการปีนนั่งร้านทำฉาก เราก็เรียนมาหมด เอาง่าย ๆ ว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการแสดงมันคือเอกที่แก้วจบมาค่ะ
ชอบสิ่งที่เรียนจบมามากน้อยขนาดไหน
ในวิชาเรียนทั้งหมดแก้วชอบการแสดงมากที่สุดนะ ที่เหลือคือก็เรียนเหมือนให้มันจบไปตามหลักสูตร แต่ในช่วงที่เรียนนิเทศศาสตร์ ตัวเราเองก็ยังรู้สึกชอบทำอาหารอยู่ตลอดเวลา ยิ่งถ้าเครียดจากงานที่คณะเราก็จะกลับไปทำอาหารที่บ้านหรือถ้าวันนั้นไม่ได้ทำก็ขอไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีอาหารก็ผ่อนคลายความเครียดได้แล้ว
ก้าวแรกสู่การเป็นเชฟของเด็กหญิงแก้ว
(ยิ้ม) มันเกิดขึ้นตอนอายุ 9 ขวบ เรียนอยู่ ป.4 จุดเริ่มต้นมันมาจากการที่แก้วเป็นพี่สาวคนโตแล้วก็มีน้องชายคนเล็ก ห่างกัน 6 ปี วันนั้นเราอยู่บ้านกันสองคนแล้วดูภาพยนตร์เรื่อง Lady and the Tramp (ทรามวัยกับไอ้ตูบ) ซึ่งในหนังมันจะมีฉากที่หมาสองตัวกินสปาเก็ตตี้กัน ปรากฏว่าน้องชายแก้วดูแล้วก็อยากกินสปาเก็ตเลยตัดสินใจลองทำอาหารเองดู จำได้ว่าที่บ้านมีวัตถุดิบพวกเส้นอยู่เอาไปลวกแล้วอืดด้วย ใส่ซอสมะเขือเทศกินกันเอง ทำกันมั่ว ๆ แล้วให้น้องชิมปรากฏว่า น้องแฮปปี้มาก ตัวแก้วเองก็สนุกไปด้วย หลังจากวันนั้นมาแก้วก็เลยให้น้องเป็นหนูทดลองในการกินอาหารมาตลอด
เด็กหญิงแก้วไปเรียนรู้วิธีการทำอาหารมาจากไหน
เริ่มมาจากเห็นแม่ทำอาหารในครัว แม่จะชอบให้แก้วช่วยหั่นผัก ทั้งบ้านจะรู้ว่าแก้วจะเป็นคนที่จมูกดีและประสาทสัมผัสในการรับรสดีที่สุดในบ้าน เพราะฉะนั้นเวลาชิมแกงหรือว่าทำเมนูพวกผัดผัก แม่จะเรียกแก้วมาชิมตลอดว่ารสชาติมันโอเคหรือยัง เติมอะไรเพิ่มเข้าไปดีในแกง สิ่งนี้มันคือความสามารถพิเศษที่เราเองก็ไม่รู้ว่าได้มาจากไหนเหมือนกัน เคยมีครั้งนึงแม่หั่นแอปเปิ้ลแล้วตอนกินแก้วก็บ่นว่าแอปเปิ้ลมันเหม็นกระเทียมมาก ๆ เลยนะแม่ แม่ก็แบบทำไม แม่ชิมดูแล้วก็ไม่แปลกกว่าปกตินะ แก้วก็บอกว่าเขียงมันหั่นกระเทียมมาก่อนหน้านี้รึเปล่า สรุปว่าใช่ด้วย แสดงว่าประสาทรับรสเราทำได้ดีมาก ๆ ในครั้งนั้น (หัวเราะ)
เมนูแรกในชีวิตนางสาวปวีณ์นุช
ตอนนั้นแก้วอายุ 16 แต่ไม่ใช่เมนูของแก้วแบบจริงจังนะ เป็นการไปจำสูตรมาแล้วลองทำอย่างเป็นทางการในชีวิตเท่านั้นเอง คือแก้วได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนที่เยอรมนีมา แล้วที่โน่นเขาทำอาหารกินกันเองหมดเลย ช่วงนั้นทำให้เป็นช่วงที่เราได้อยู่กับอาหารแทบทุกวัน โฮสต์เขาเลยสอนทำลาซานญ่าให้กับเรา พอกลับมาที่ประเทศไทยก็เลยทำให้ทุกคนในบ้านกินแล้วรู้สึกว่า เมนูนี้อร่อยจัง มันเป็นเมนูแรกที่แก้วตั้งใจทำในชีวิตเลย
ทางเลือกที่ต้องตัดสินใจระหว่างการเรียนนิเทศศาสตร์กับความรักในการทำอาหาร
ตอนแรกความคิดของเราคืออยากจะเรียนเชฟที่วิทยาลัยดุสิตธานี แต่ทางบ้านอยากให้เข้ามหาลัยของรัฐบาล ทั้งบ้านเรียนสายวิทยาศาสตร์กันหมดเลย เขาก็อยากให้เราเรียนคณะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เราก็เลยหาทางตรงกลางว่า ถ้าไม่อยากเรียนคณะพวกวิทยาศาสตร์เราจะเรียนอะไรดี เลยตัดสินใจยื่นคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไป แต่ลึก ๆ ก็ยังอยากเรียนทำอาหารอยู่ดี หลังจากนั้นพอใกล้เรียนจบก็เลยตัดสินใจไปคุยกับพ่อแม่ว่า ถ้าแก้วเรียนจบขอไปเรียนทำอาหารเพิ่มเติมได้ไหม เขาก็บอกว่า ได้แต่ต้องใช้เงินเก็บของตัวเองไปเรียนนะ สุดท้ายก็เลยได้เรียนทำอาหารสมใจค่ะ (ยิ้ม)
หลังจากที่ผมกับแก้วสนทนากันมาได้สักระยะนึง ผมได้เห็นถึงสายตาแห่งความเชื่อมั่นในตัวของแก้วเป็นอย่างมาก การไล่ล่าตามความฝันของเธอเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจสำหรับผม หลังจากที่เรียนรู้เรื่องราวชีวิตของเธอมาคร่าว ๆ ก็ถึงเวลาแล้วล่ะครับที่เราจะเดินทางเข้าสู่ช่วงเวลาที่เธอเป็นผู้ร่วมแข่งขันรายการ MasterChef Thailand
MasterChef รายการประกวดทำอาหารระดับโลกกับการตัดสินใจที่แก้วขอเลือกเอง
สิ่งที่ทำให้แก้วตัดสินใจไปแข่งขันรายการนี้เลยเพราะก่อนหน้านี้แก้วดูแลอาม่ามาตลอด และที่บ้านเองก็มองว่าแก้วอยู่บ้านดูแลอาม่า ถ้าชอบทำอาหารก็ทำอาหารขายแค่นั้นก็พอแล้ว เขามองแค่นั้น แต่พอเราอยู่ดูแลอาม่ามาประมาณ 3-4 เดือนกลับพบว่า มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเราเลย ไม่มีเป้าหมายในชีวิต รู้สึกแบบซึมเศร้าเลย ไม่รู้จะทำอะไรดี แต่วันนึงเพื่อนก็ทักมาว่า รายการ MasterChef จะมาทำในประเทศไทยนะ เราเองก็เคยดู MasterChef Australia มาแล้ว 3 ซีซั่น ซึ่งแต่ละซีซั่นมันจะใช้เวลาประมาณ 80 ชั่วโมงได้ จึงตัดสินใจไปแข่งขัน แต่ยังไม่กล้าบอกที่บ้านนะ (ยิ้ม) แอบไปคนเดียวก่อน รอบแรกที่แข่งประมาณ 2 พันกว่าคน โดยเขาจะคัดเลือกเหลือ 120 คนสุดท้าย เมนูที่ทำรอบคัดเลือกคือ ไก่ม้วน ข้างในเป็นซอสแอปเปิ้ล กินกับซอสโยเกิร์ตรมควัน มีป๊อปคอร์นและขนมปังประกอบอยู่ด้วย เป็นอาหารแนวกึ่งคาวกึ่งหวาน นี่คือเมนูแรกของแก้วในการประกวดครั้งนี้ค่ะ
การแข่งขันรอบ 120 คนสุดท้ายที่สนุกและตื่นเต้น
ตอนเข้ารอบแล้วก็ไปบอกพ่อกับแม่นะ แต่ที่บ้านก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาเท่าไร ทุกคนนึกว่าเราไปแข่งเล่น ๆ วันที่ไปแข่งรอบนี้พ่อเป็นคนไปส่งด้วย คือไปส่งลงรถแล้วเขาก็รอรับตามเวลาที่เราบอกไว้เลย ไม่ได้อยู่ดูด้วย ทิ้งลูกไว้ (หัวเราะ) พอไปถึงตอนนั้นทางรายการเขาจะให้เตรียมวัตถุดิบก่อนแล้วเอาอาหารไปทำเตรียมให้คณะกรรมการชิม ปรากฏว่าตอนที่เตรียมวัตถุดิบยังไม่ได้เข้าไปในห้องข้างใน แก้วก็มือสั่น สั่นแบบจับมะม่วงแล้วมือสั่นเอง คิดในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตื่นเต้นมาก ยิ่งพอเข้าไปยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองตอบอะไรไม่รู้เรื่องเลย เป็นการเจอกรรมการที่ไม่มีสติที่สุดแล้วในชีวิต ยิ่งพอกรรมการยังไม่ได้ชิมมันก็ยังทำให้เราไม่มั่นใจเอามาก ๆ ก่อนหน้านี้เราก็เอาเมนูนี้ไปให้คนสนิททุกคนชิมเขาก็บอกว่าอร่อย แต่ในมุมเราก็คิดว่ามันจะได้มาตรฐาน MasterChef Thailand รึเปล่า ปรากฏคนที่ชิมคนแรกเลยคือ ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิ์วัฒน์ เขาก็บอกว่า ดีครับ เราเลยมีความหวังว่าโอเคล่ะ แต่พอเจอเชฟป้อม (ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล) เหมือนโดนตบเลย (หัวเราะ) ตอนนั้นช็อกมาก คิดว่าไม่น่ารอดแน่ ปรากฏว่าพอมาถึงเชฟเอียน (พงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย) เกิดซีนตำนานการแล่ปลาอย่างที่ทุกคนได้ดูกันไป ตอนนั้นงงมาก อยู่ ๆ เชฟเอียนก็บอกว่าขอเวลาแปปนะครับแล้วหายไปเลยแก้วก็ยืนงงอยู่ตรงนั้น คิดในใจว่าเราควรจะเถียงเชฟเขาดีรึเปล่า จากนั้นประตูก็เปิดมีปลา 2 ตัวอยู่ในมือเชฟตัวมันใหญ่มาก เชฟเอียนบอกว่า ถ้าทำได้แบบเชฟเขาจะให้ผ่าน เราเองก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยหั่นปลาตัวขนาดนี้มาก่อน มากสุดก็แล่ปลากะพง ปลาทับทิม แต่ถึงตรงนั้นแล้วยังไงก็ต้องทำให้ได้
วินาทีที่ได้รับผ้ากันเปื้อนเข้าสู่รอบ 40 คนสุดท้าย MasterChef Thailand
ดีใจมาก แบบดีใจมากจริง ๆ ตอนที่เชฟเอียนบอกให้หยุด รู้สึกว่าทุกอย่างมันจบแล้ว หยุดคือตกรอบแล้วเหรอ เพราะเราเพิ่งแล่ปลาไปได้แค่ครึ่งตัวเองเลยคิดว่าแล่แค่นี้แล้วมันไม่ดีเขาเลยให้หยุด ปรากฏว่าผ่านเข้ารอบ พอได้ผ้ากันเปื้อนแล้วมันดีใจไม่หยุดเลย ปกติเราใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นมาตลอด นี่คือครั้งแรกที่เราใช้ชีวิตเพื่อความฝันของตัวเอง แต่พอเดินออกมาจากห้องนั้นก็แอบเฟลนิดนึง เพราะพ่อไม่อยู่ตรงนั้น พ่อนั่งรออยู่ในรถ เราเลยเปิดประตูรถเข้าไปแล้วบอกว่า ทำไมป๊าไม่รอในนั้น พ่อก็บอกว่า เอ้า ต้องรอด้วยเหรอ แล้วพ่อก็ถามว่าเราเข้ารอบเปล่า เราเลยพยักหน้ากลับ พ่อบอกว่าเก่งเนอะ แล้วหน้านิ่ง ๆ แต่เขาก็พูดต่อว่ามันเหนื่อยจริง ๆ นะ ก่อนหน้านี้พ่อกับแม่พูดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไปเข้ารอบ 16 คนสุดท้ายมาก่อนถึงจะยอมรับเรา อันนี้เพิ่งเข้า 40 คนสุดท้ายเอง เขาเลยยังไม่ได้ชมเราแบบเต็มที่มาก (หัวเราะ)
การเดินทางสู่ 16 คนสุดท้ายในรายการที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก
พอเข้าถึงรอบ 40 คนสุดท้ายแล้ว แก้วกลับไปซ้อมเยอะมาก ซ้อมการหั่นหัวหอมด้วย เพราะเราดูจากของเวอร์ชันเมืองนอกเอาว่า เขาหั่นอะไรบ้างในรอบนี้ หั่นหัวหอม หั่นแอปเปิ้ล หั่นไก่ ลงทุนไปซื้อไก่มาหั่นตาม ซื้อแอปเปิ้ลมาเยอะมาก 4-5 ถุง ปอกแอปเปิ้ลให้เร็วให้สวยมันต้องทำยังไง หัวหอมก็ฝึกสไลด์ไปร้องไห้ไป ปรากฏไปเจอของจริงเป็นขิง ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนในโลกด้วย แล้วขิงมันยากมากด้วยรูปทรง ความกลัวเริ่มเกิดขึ้น สภาพจิตใจตอนทำคือแย่มาก ในชามแก้วทำได้น้อยกว่าคนอื่นเลย เรามองชาวบ้านทำไมเขาทำได้เยอะจัง แต่ก็ทำไปเรื่อย ๆ จนเชฟเอียนเขาบอกให้หยุด ในใจก็คิดว่า อย่าเพิ่งขอแก้วทำก่อน ทำไม่ทันแล้ว พอเทลงมาเขาก็บอกว่า แก้วคิดว่ามันน้อยไหมครับ แก้วก็ตอบไปว่า คิดค่ะ มันน้อย เชฟก็ถามต่อว่าแล้วเท่ากันรึเปล่า เราตอบไปเลยว่า เท่ากันค่ะ แต่มันน้อยกว่าปกติล่ะ อันนี้เรารู้สึกแล้ว ปรากฏว่าเชฟเอียนบอกเลยว่ามันเท่ากันมากกว่าคนอื่น เข้ารอบเลย แอบเห็นเชฟป้อมยิ้มด้วย จากนั้นก็ดีใจเข้ารอบไป เข้าสู่รอบการทำปลาทูต่อ พอรอบนี้มาเครียดกว่าเดิม เพราะมันยากมาก มีปลาทูตัวเดียว เวลาคิดเมนูน้อยมาก คนทั่วไปที่ดูอยู่ทางบ้านอาจจะคิดว่ามันมีบทรึเปล่ารายการนี้ อยากบอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันสด ๆ เลย มันจะมีช่วงเวลาให้เราคิดแปปเดียวตอนเปลี่ยนมุมกล้อง 2 นาทีเอง เห็นปุ๊ปแล้วต้องทำเลย ปลาทูคือรอบที่ยากสุดเพราะทุกคนไม่เคยเจออะไรแบบนี้ รอบนั้นเครียดมากกลัวพิซซ่าตัวเองไม่สุก แต่ตัดภาพกลับมาเราเห็นเชฟตัดพิซซ่าแล้วมันสุก คิดในใจเรารอดแล้ว เพราะเราคิดว่าเมนูนี้มันสร้างสรรค์นะจึงเข้าสู่รอบ 16 คนสุดท้ายได้สำเร็จ
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากทางบ้านกับการเข้ารอบ 16 คนสุดท้าย
ที่บ้านของแก้ว อาม่าจะเชียร์คนแรกเลย เป็นแฟนคลับตั้งแต่เข้ารอบ 120 คนสุดท้าย อาม่าบอกว่า อาหนูแก้ว
เก่งที่สุดเลย อาม่าของแก้วจะตัวเล็ก ๆ น่ารัก ส่วนพ่อกับแม่เนี่ย จุดพลิกเรื่องราวทั้งหมดมันคือ ตอนที่เทปแรกมันออกมา เทปแล่ปลาแซลมอนแล้วทุกคนก็เริ่มมาโจมตีพ่อกับแม่ ทั้งส่งไลน์ โทรมาหา แบบทำไมถึงไม่ให้ลูกตามความฝัน ทุกคนดู
อินกันมาก จากนั้นพ่อกลับบ้านมาก็ถามเราเลยว่า นี่ป๊าเป็นคนแย่ขนาดนั้นเลยเหรอลูก (หัวเราะ) อันนั้นน่าจะเป็นจุดที่ทำให้สองคนเริ่มเชียร์แบบจริงจัง กรุ๊ปเพื่อน ๆ ของพ่อแม่ก็จะคุยกันเรื่องนี้ตลอด แม่ก็จะชอบอวดลูกสาว ตอนนี้ก็เลยอวดทุกคน ทำฟันอยู่ก็บอกว่าดูรายการ MasterChef Thailand รึยังคะ ลูกสาวแข่งอยู่นะ
โลกแห่งความจริงมันโหดร้าย
การมาแข่ง MasterChef Thailand ครั้งนี้มันเครียดมาก ถึงแก้วจะดูเหมือนเป็นคนเงียบ ๆ ในรายการ แต่ความจริงแล้วแก้วมีแก๊งนะ พี่นิค พี่จำลอง พี่ ๆ พวกเนี่ยเขาจะเป็นคนที่ชอบพูดเรื่องราวชีวิตให้เราฟัง เราเองก็อยากเป็นผู้ฟังที่ดีเลยชอบฟังพี่ ๆ เขา เราเลยจะซี้กับกลุ่มนี้เป็นหลัก มันจึงทำให้อย่างในตอนแข่งขันทีม (EP10) เราตัดสินใจเลือกคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจมากกว่า เราไม่ได้มองว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง ก็เลือกทีมไปแบบนั้น แต่ปรากฏว่าสลับหัวหน้าทีม ตอนนั้นช็อกเลย เพราะทีมโน้นเราคุยกับเขาน้อยมาก พอไปอยู่ทีมโน้น เราก็พยายามทำตัวของเราให้ดีที่สุด ต้องไปช่วยพวกเขาในแบบของเรา มันก็เลยเป็นความเครียดอีกอย่างนึงที่เกิดขึ้นนอกจากการทำอาหาร ยิ่งพอเราแพ้แล้วด้วยยิ่งเครียดหนัก ส่วนช่วงที่รู้สึกว่านี่มันคือเกมการแข่งขันแล้วก็คือช่วงที่เหลือ 7 คนสุดท้าย ในรายการทุกอย่างมันจริงมาก มีการเล่นเกมกันอยู่ตลอดเวลา มันเลยรู้สึกว่านี่คงเป็นโลกแห่งความจริงที่เราต้องเจอกับมันแล้วสินะ
ถึงวันที่ ‘มาร์ค’ ต้องออกจากรายการ
ตอนนั้นแย่มาก เราโทษตัวเองล่ะ เพราะถ้าเราชนะเราก็ไม่ต้องมายืนตรงนี้ คิดตลอดว่า ตอนนั้นทำไมถึงไม่ทำขนมให้ดีกว่านี้ ไม่คุมสติให้ดีกว่านี้ แต่สุดท้ายมาร์คก็มาบอกว่าไม่เป็นไรเลยพี่ ผมรู้ว่ามันสำคัญกับพี่มากกว่าผมในการแข่งขันครั้งนี้ สำหรับนิสัยมาร์คจริง ๆ แล้วน้องเขาเป็นเด็กดื้อ อย่างที่ทุกคนเห็นในรายการนั้นแหละ (หัวเราะ) แต่เขาไม่เคยไปด่าใครนะ เขาจะเป็นคนดื้อเงียบ มุมมองแก้วคิดว่าน้องเขาโดนมาเยอะนะทุกรอบที่แข่งขันเลย ยิ่งมีรอบนึงแก้วจะช่วยมาร์ค น้องตอบกลับมาว่า พี่แก้วทำลายสมาธิผมครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นคิดในใจอยากจะโยนรองเท้าลงไปเลย
การเดินทางของแก้วกับรอบ 6 คนสุดท้ายที่จะแพ้ไม่ได้
จริง ๆ มันถ่ายเยอะนะรอบนี้ อย่างตอนไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ทุกคนเลือกของเกินมาหมดเลย แก้วก็เลือกไป 1,200 บาท ต้องหยิบของออกจ่ายไปทั้งหมด 999.50 บาท (ยิ้ม) เรารู้สึกว่า มันเหนื่อยมากวันนั้น ยาก เครียด ตอนแรกแก้วไม่เครียดนะที่เปลี่ยนตะกร้ากัน เรานึกเมนูได้ทุกอย่างหมดแล้ว จนกระทั่งหม้อแรงดันมันพัง อุปกรณ์มันไม่ดีเหมือนตัวซีลรอบ ๆ หม้อมันหลุดออกมา แทนที่ควันจะขึ้นข้างบนมันออกทางด้านข้าง เราตกใจแบบอ้าวมันออกด้านข้าง ยิ่งพอมันเหลือ 15 นาที เราก็รีบเปลี่ยนหม้อเลยในใจคิดว่า 15 นาทีไม่น่าทันหรอก พอเอาออกมามันก็ไม่ทันจริง ๆ แต่ตอนกินเข้าไปก็รู้สึกมันอร่อยนะ คนธรรมดาก็คงโอเค แต่มันไม่ใช่มาตรฐานของ MasterChef Thailand แน่ จากนั้นเข้ารอบต่อไปเจอกับของที่พี่จำลองเลือกให้ ตอนแข่งมันจะมีบทสัมภาษณ์ที่เชฟเอียนถามแก้วด้วยว่า รู้สึกยังไงพี่จำลองเลือกของสิ่งนี้ให้ แก้วก็บอกว่า แก้วไม่ได้รู้สึกนะพี่จำลองจะแกล้งแก้ว เราก็เลยตะโกนบอกพี่จำลองเลย ขอบคุณนะ แต่หน้าพี่จำลองแบบ
ดูจ๋อย เขาก็มาพูดทีหลังบอก ปูอร่อยสุดเลยเนอะ ปูมันแข็งมากตอนแรก แก้วเอาที่เคาะเนื้อมาทุบมันยังไม่แตกต้องเอาสากหินทุบถึงจะแตก (หัวเราะ) พอทำเสร็จเราก็ดีใจมาก ๆ ที่เชฟเอียนกิน เขากินหลายรอบมาก ซู้ดแล้วซู้ดอีก
ปกติเราใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นมาตลอด นี่คือครั้งแรกที่เราใช้ชีวิตเพื่อความฝันของตัวเอง
รอบชิงกับการแข่งขันที่เต็มไปด้วยความฝันของนางสาวปวีณ์นุช
เราไม่เคยคิดว่าเราจะมาถึงรอบนี้ แต่พอมันมาถึงรอบนี้เราก็หวังแล้วล่ะว่าเราอยากจะเป็น MasterChef คนแรกของประเทศไทย แก้วลุ้นมากนะกับสิทธิพิเศษของรายการนี้ ต้องรอดูเลย แก้วเชื่อว่าคนที่ดูจะรู้สึกว่ามันประทับใจมาก ๆ รวมไปถึงเกิดความประหลาดใจด้วย
ความรู้สึกจากแก้วถึงกรรมการทั้ง 3 ท่าน
เชฟเอียน (พงษ์ธวัช เฉลิมกิตติ) — แก้วจะรู้สึกเหมือนจะโยงกับเชฟเอียนตลอด เพราะเขาเป็นคนที่ให้แก้วสัญญาและให้โอกาสแก้ว รู้สึกขอบคุณเหมือนเชฟเป็นอาจารย์ของแก้ว เชฟจะชอบแอบมาช่วยบ้างในบางครั้งด้วย (ยิ้ม) จะเข้ามาสอนเรา แต่กล้องจะไม่ตามมาให้คนทางบ้านเห็น
เชฟป้อม (ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล) — เชฟป้อมเป็นคนที่จากวันแรกที่รู้จักจนถึงวันนี้ต่างกันเยอะมาก เรารู้สึกว่าเขาห่วงเราจริง ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคุณแม่ แม่ที่ดุ ๆ แต่ก็หวงลูกนะ
ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิ์วัฒน์ — เป็นคนที่ไม่กดดันที่สุดเวลาเดินมา เพราะถ้าพี่เขาเดินมาจะสบาย ๆ เข้ามาก่อนเลย พี่เขาก็จะชมตลอด คำชมของเขามันดูเป็นบทกลอนที่ไพเราะไปหมดเลย
แก้วชอบทั้ง 3 คนเลย ตั้งแต่เดินเข้า MasterChef Kitchen ไปก็ไม่กลัวแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้สนิทกับกรรมการอะไรขนาดนั้น เขาจะมีระยะห่างของเขา แก้วเคยแอดเฟซบุ๊กเชฟป้อมไปเขาก็บอกว่า เอาไว้จบรายการก่อนนะคะค่อยคุยกัน (หัวเราะ) เราก็เลยโอเค
ความฝันของเชฟคือการมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง
คิดจะเปิดนะ แต่ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่นอน มันยาก การเปิดร้านอาหารร้านนึง การดูแลต่าง ๆ เราไม่เคยเรียนมา ต้องใช้เวลาศึกษาก่อน แต่อยากเปิดเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ สไตล์ญี่ปุ่น เราได้คุยกับลูกค้าที่เข้ามากินได้เยอะ ๆ คิดเมนูเปลี่ยนไปตามแต่ละเดือน คิดไว้ฟุ้ง ๆ แต่ที่บ้านก็คงจะถามว่าจะเปิดจริงเหรอเพราะเขาก็เป็นห่วงเหมือนเดิม เขารู้ว่าการทำอาชีพนี้มันหนักอยู่แล้ว
เสียงตอบรับจากทางบ้าน แก้วติดตามอยู่สม่ำเสมอ
ตอนแรกอ่านตลอดเลย เรากะว่าอ่านแล้วจะเอามาปรับปรุงตัวเอง อยากรู้ว่าเขามองเรายังไง พออ่านไปอ่านมาก็จะมีกระทู้เดิม ๆ ว่า แก้วเฟค แก้วแสดง เราก็แบบ เริ่มไม่สร้างสรรค์ละ ยิ่งสัปดาห์ที่โดนด่าเยอะ ๆ ยิ่งหนักเลย แสดงว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างมันเป็นการตัดต่อ ถ้าเขาชอบเราจริง เขาเชียร์เรา เขาจะรู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าสังเกตจริงจะเห็นว่าทำไมบทสัมภาษณ์มาร์คถึงไม่มีเลยใน EP ที่ดราม่ากัน เพราะมาร์คไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ มันคือการนำเสนอมากกว่าที่รายการจะนำเสนอออกมาเป็นแบบไหน มันก็เลยกลายเป็นแบบนั้นไป น้องมาร์คนี่แทบจะเป็นซึมเศร้าเลยนะ
ย้อนเวลากลับไปได้เธอก็จะมาแข่ง Master Chef Thailand
ย้อนกลับไปได้แก้วก็ยังจะตัดสินใจมานะ เพราะว่ามันเปลี่ยนชีวิตเราไปจริง ๆ อย่างน้อยทำให้พ่อแม่เรารู้ว่า เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรารักมากแค่ไหน แล้วเขายอมรับแล้ว อันนี้คือจุดหลักที่แก้วมอง แล้วอีกอย่างคือถ้าเราไม่เข้าแข่งขันรายการนี้ เราจะไม่รู้ว่าสังคมชีวิตจริงมันเป็นยังไง แก้วเป็นคนมองโลกในแง่บวกตลอด ถ้าเราทำดีกับเขา เขาก็จะทำดีกับเรา ตอนนี้ก็ผิดหวังละ แต่แก้วก็ยังอยากจะเชื่อต่อไปนะ
ชีวิตที่เปลี่ยนไปของแก้วกับการเจอแฟนคลับที่ตามดูรายการนี้
รู้สึกเขินนะ ครั้งแรกโดนขอถ่ายรูปที่แมคโคร ตอนนั้นไปซื้อกระดูกหมูอยู่ แล้วก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาแล้ว
บอกว่า แก้ว MasterChef รึเปล่าครับ เสียงลั่นแมคโครเลย เราก็บอกใช่ค่ะ เขาก็บอกว่าเชียร์อยู่นะครับ ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยครับ เราก็งง โอเค ถ่ายก็ถ่าย (หัวเราะ) จำได้ว่าเขินหน้าแดงมาก มันแบบเป็นความรู้สึกว่า เฮ้ย เราตื่นเต้นอ่ะ
วันนั้นหน้าเราแย่มาก เขาก็ถ่ายรูปเราไปด้วย หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยกล้าออกจากบ้าน แถมถ้าโดนถ่ายรูปแล้วเราแต่งตัว
ป้า ๆ แบบนี้เขาคงงงกันพอดี แต่แก้วเป็นคนแต่งตัวแบบนี้อยู่แล้ว แก้วจะชอบใส่กระโปรงยาว กางเกงขายาว ส่วนที่เขิน ๆ อีกครั้งก็ตอนนั้นไปกินบุฟเฟ่ต์ที่เซ็นทรัลเวิล์ด นั่งกินอยู่ก็มีน้องผู้หญิงมาเติมน้ำให้ เราก็เลยบอกว่าขอผสมน้ำชากับเก๊กฮวยได้ไหมคะ เขาก็แบบได้ค่ะ แล้วยิ้มให้เรา เรางงว่าทำไมเขายิ้มหวานจัง เขาเลยเฉลยว่า หนูเชียร์อยู่นะคะ พี่แก้วตัวจริงน่ารักมากเลย แล้วหน้าเราก็ค่อย ๆ แดงขึ้นมาถึงหูเลย เพื่อนที่ไปกินด้วยแซวว่า แก้วบิดจะเป็นกุ้งแล้วนะ
จบเรื่องราวในรายการ MasterChef Thailand กันไปแล้ว หลาย ๆ คนคงจะรู้แล้วสินะครับว่า แก้วได้เป็นแชมป์รายการนี้ (แม้เธอจะบอกผมอยู่เสมอตลอดการสัมภาษณ์ว่าให้ลุ้นเอาว่าใครจะได้ แต่ผมมองสายตาเธอก็พอรู้แล้วล่ะครับว่านี่คือสายตาของแชมป์แน่ ๆ) เข้าเรื่องกันต่อครับ พาร์ตต่อไปนี้ผมอยากถามในเรื่องสบาย ๆ บ้างว่าตัวตนแก้วจริงแล้วเธอเป็นคนอย่างไร จะนิ่ง ๆ เหมือนในรายการไหม ได้เวลาไปรู้จักตัวตนของเธอนอกเวลาทำอาหารกันแล้ว
ตัวจริงของแก้วคือหญิงสาวที่ชอบอะไรแมน ๆ
ในช่วงเวลาปกติ ถ้าไม่ทำอาหารแก้วก็ดูรายการโทรทัศน์ นอกจากนั้นก็เล่นเกม PS4 เล่นพวกเกม Devil May Cry, Havest Moon, Final Fantasy XV, Bloodborne เล่นเกมสายบอย ๆ เลย อ่านการ์ตูนเยอะมาก พวกทำอาหารด้วยยอดกุ๊กแดนมังกร, One Piece, Naruto นิยายต่าง ๆ ก็อ่านหมดเลย ดูหนังเยอะเหมือนกัน อย่างล่าสุดก็เพิ่งไปดู What Happened to Monday แก้วชอบนางเอกมาก เขาเล่นเก่งมาก นอกจากทำอาหารแล้วแก้วก็ชอบการแสดง แก้วจะชอบดูคนแสดง ถ้าเขาแสดงดี ๆ ก็จะนั่งดู
เมื่อแก้วดูตัวเองในรายการ MasterChef Thailand
รู้สึกว่าทำไมยัยนี่มันดูแบบว่าง้องแง้งจัง เราดูแล้วก็รู้สึกว่า เป็นคนแบบนั้นจริง ๆ เหรอ อย่างตอนที่คุยกับปู เราคุยไปตอนไหนนะยังไม่รู้เลย (หัวเราะ) แก้วเป็นคนชอบคุยกับสัตว์ ชอบคุยกับลูกหมาเล่นกับมัน แต่คุยกับปูเราก็งงนะ มันตลกตัวเอง แล้วก็อีกเรื่องที่เห็นชัดเลยคือความไม่มั่นใจในตัวเอง ที่ไม่มั่นใจเพราะบุคลิกและหน้าตาของเราเวลามีคนชมก็จะคิดว่า เขาชมจริงรึเปล่านะ พอเห็นตัวเองในทีวีก็จะแบบหน้ากลมนะ แก้มจะแตกแล้วเนี่ย แต่แก้วจะชอบตัวเองเวลาทำอาหาร หน้าเราดูมีความหวัง ปกติไม่ค่อยเห็นตัวเองในมุมนั้น มีแต่คนทักว่าตาเศร้า ๆ แค่นั้นเอง
นิสัยที่แท้จริงของแก้ว
แก้วเป็นคนพูดเยอะมากกับเพื่อน เป็นคนติดเพื่อนมาก ขี้เหงา ถ้าสมมุติว่าอยู่กับเพื่อนสนิท แก้วจะอ้อนแบบคิดถึงจังเลย โอยเหนื่อยจังเลย พูดไม่หยุด เพื่อนก็จะแบบเฮ้ยหยุดบางเถอะ (หัวเราะ)
ความรักของนางสาวปวีณ์นุช
ไม่มีสเปคหน้าตาที่ชอบนะ แต่แก้วชอบคนเก่ง เก่งในที่นี้คือไม่ต้องเก่งเว่อร์นะ มีเป้าหมายในชีวิต ไม่จำเป็นต้องเป็นเชฟด้วย แก้วชอบคนที่คุยกันรู้เรื่อง เขารักในสิ่งที่เขาทำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจเราเลยก็ไม่ใช่ ก็ต้องสนใจบ้าง ๆ ประมาณนี้ค่ะ
ก่อนจากกันสิ่งที่แก้วอยากฝากทุกคนก็คือ
มันยากจัง ปกติเขาพูดอะไรกัน (หัวเราะ) อยากให้รายการนี้มันเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลาย ๆ คนที่มีความฝัน ถ้าคุณมีความฝันหรือคุณอยากทำอะไรเริ่มทำเลย เพราะถ้าไม่เริ่มมันก็จะไม่มีวันเป็นจริง
หลังจากผมถามคำถามนี้แก้วจบ ผมได้พูดคุยกับเธอต่อเล็กน้อยก่อนจะจากกันไป การคุยกับแก้วในครั้งนี้เป็นการคุยที่สนุกสนานมาก ทุกคำถามที่แก้วตอบเธอจะมีรอยยิ้มให้กับคำถามนั้นอยู่เสมอ มันยิ่งเป็นการทำให้ผมรู้ว่าหากเราได้อยู่กับสิ่งที่เรารักแล้วเราจะรู้สึกมีความสุขมากที่สุด สุดท้ายนี้ก็ได้แต่หวังว่าสักวันนึงผมคงจะได้กินอาหารฝีมือ MasterChef คนนี้สักครั้ง ไม่ก็คงได้ไปนั่งอยู่ในร้านอาหารของเธอสักครั้งก็ยังดี แล้วเจอกันใหม่เมื่อมีโอกาสครับ สวัสดี / คิดถึงคนอ่านเสมอ
Trick วิธีวัดความอร่อยจากอาหารสไตล์แก้ว MasterChef Thailand
- จัดจานสวยไหม อาหารตาคือสิ่งแรกในการทำอาหาร
- ความสุกของโปรตีนที่ได้รับ ยกตัวอย่างเช่น เนื้อหมูหากสุกมากจนเกินไปกลายเป็นหมูแข็งเหมือนยางรถมันก็จะไม่โอเค
- รสชาติถึงหรือเปล่า ถ้าคุณทำอาหารฝรั่งแนะนำว่าให้ปรุงแค่เกลือพริกไทยก็พอแล้ว มันเหมือนเป็นเวทมนตร์ของอาหาร แค่ใส่เกลือไปทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเลยล่ะ ไม่เชื่อลองดูสิ
- สุดท้ายขอบจานต้องสะอาด ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดจานซะ
- เสิร์ฟได้เลย เดินดี ๆ ระวังสะดุดอะไรล้มเข้าล่ะ