เห็ดหูหนู ‘มิวนิค BNK48’ และ ‘โจโจ้ พลอยยุคล’ สองนักแสดงจาก ‘SisterS กระสือสยาม’
- Writer: Pongtorn Klamdit and Yanabhus Suriyajai
- Photographer: Chavit Mayot
ปัจจุบันมีภาพยนตร์ต่างประเทศมากมายเป็นตัวเลือกให้กับผู้ชมอย่างไม่ขาดสายทำให้หลายปีที่ผ่านมาภาพยนตร์ไทยไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกอีกต่อไป แต่วัตถุดิบชั้นดีของบ้านเราอย่างเรื่องผีก็เป็นจุดเด่นในการสร้างภาพยนตร์มานาน ปีนี้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว หยิบตำนานกระสือมาตีความด้วยโจทย์ใหม่ทางยุคสมัยที่ไม่ใช่แค่ล่าอีกต่อไป พร้อมการได้สองนักแสดงอย่าง โจโจ้ พลอยยุคล และ มิวนิค BNK48 มาแสดงนำ เราเลยชวนพวกเธอมาพูดคุยถึงบทบาทในภาพยนตร์รวมไปถึงเพลงที่พวกเธอชอบที่ใครหลายคนไม่เคยรู้มาก่อน
ช่วงนี้ชอบฟังเพลงอะไร
โจโจ้: ถ้าตอนนี้หนูชอบ Thank You, Next กับ 7 Rings ของ Arianna Grande เพลงไทยก็ อิ้งค์ วรันธร กับ เอิ๊ต ภัทรวี เพลงบรรเลง lo-fi hip hop ฉันก็ชอบนะ (มิวนิค: อินดี้ป่าว) เป็นเพลงบรรเลง All I Want ของ Kodaline ก็ชอบเพราะเพิ่งไปคอนเสิร์ตมา
มิวนิค: ทำไมหนูไม่ฟังเพลงอะไรแบบนี้เลยนะ ช่วยด้วย (หัวเราะ) ส่วนใหญ่หนูจะฟังเพลงที่ไม่มีเนื้อ ฟังแต่ดนตรีถ้าเป็นเพลงหนูชอบ ผู้โชคดี ของ 9×9 ส่วนใหญ่หนูฟังเพลงเกาหลี ฟังแบบตั้งใจให้ตัวเองฟังไม่ออกเวลานั่งทำงาน ถ้าฟังเพลงไทยมันจะคิดตามเลยตั้งใจให้ตัวเองฟังไม่ออก
มีแนวเพลงที่ชอบไหม
โจโจ้: หนูจะชอบฟังพวกอิเล็กโทรเฮาส์ บีตลอย ๆ เศร้าคลุมเครือ เศร้าไปก็ไม่เอา
มิวนิค: หนูชอบฟังเปียโน
ศิลปินที่ชื่นชอบ
โจโจ้: Medasin, Anna of the North ชอบเพลง Lovers ประกอบภาพยนตร์ ‘To All The Boys I’ve Loved Before’ คือหนูชอบฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ หนูชอบศิลปินอินดี้หลายคนเหมือนกันที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตอย่าง HONNE แต่ตอนนี้เขาแมสไปแล้ว
มิวนิค: หนูชอบ Roy Kim เขามีเสียงที่หนูชอบ เสียงฟังสบาย ๆ
มุมมองต่อวงการดนตรีของทั้งสองคน
โจโจ้: หลากหลายขึ้นนะ อะไร ๆ มันก็ง่ายขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้อัดเพลงอะไรแบบนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเป็นนักร้องมีค่ายเพลงจริงจังก็สามารถอัดเพลงได้ มันเลยมีแนวเพลงที่หลากหลายมากขึ้น ศิลปินผุดเป็นดอกเห็ดมากขึ้น ผลงานจะได้แข่งขันกัน
มิวนิค: หนูยังรู้สึกใหม่กับด้านนี้อยู่เพราะก่อนหน้านี้หนูไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเพลงเลยก่อนมาเป็น BNK48 หนูว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับหนู เพลงของหนูส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่มีต้นฉบับแล้วมาเป็นเพลงแปล แต่ก็แปลกสำหรับหนูอยู่ดี ปกติไม่เคยเข้าห้องอัด ไม่เคยเรียนโน้ตเพลง ก็ต้องมาทำความเข้าใจกับมันยิ่งขึ้น
อยากเปลี่ยนอะไรไหม
โจโจ้: อยู่ที่ความชอบนะ ถ้าเราชอบมันก็คือชอบ ถ้าไม่ก็คือไม่
มิวนิค: หนูจะอินไปทาง K-Pop, J-Pop อะไรแบบนี้มากกว่า ชอบที่เขาเอาศิลปินมาจัดแสดงรวมกัน ประเทศไทยอาจจะมีแต่ก็ไม่บ่อย แต่แบบนี้มันจะเป็นแบบรายการผลัดกันไปเวลามีเพลงใหม่ หนูรู้สึกว่ามันเปิดกว้างนะ เหมือนที่ไทยก็มีทำอยู่แต่ก็ไม่บ่อยและยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ชอบไปงานเฟสติวัลไหม
โจโจ้: ชอบ ชอบมาก จริง ๆ ชอบไปคอนเสิร์ต ถ้ามีศิลปินที่ชอบมาเล่นคือไปแน่นอน บัตรราคาเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยง เพิ่งไป Maroon 5 กับ Kodaline มา เดี๋ยวมีไป Troye Sivan ส่วนถ้าเฟสติวัลเพิ่งไป Tomorrowland มาปีที่แล้ว
มิวนิค: หนูรู้จักแต่หนูไม่เคยไปเลย
ถ้าประเทศไทยมีเฟสติวัลบ้าง
โจโจ้: จริง ๆ มันก็มีหลายงานที่เป็นของเมืองนอกมาจัดที่ไทย บางทีรู้สึกว่ามันยังไม่ถึงนะ มี Wonderfruit ที่รู้สึกว่าเทียบกับเมืองนอกได้ อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศหรือคนในงานด้วย ฝรั่งเขาค่อนข้างจะเอ็นจอยกันมาก
มิวนิค: ปกติหนูเป็นคนไม่ค่อยชอบไปงานปาร์ตี้ ไม่ชอบไปที่คนเยอะ ๆ ยืนเบียด ๆ อยู่แล้ว อย่างที่บอกเป็นคนไม่ค่อยฟังเพลง แบบช่วงนี้เขาฟัง ธารารัตน์ กันก็ไม่ฟังเลย เป็นคนชอบฟังเพลงสบาย ๆ ฟังเรื่อย ๆ เข้า JOOX แล้วก็กดอัลบั้มรวมเพลงฟังสบาย
ถ้าไม่ฟังเพลงแล้วจะทำอะไร
มิวนิค: ถ้าให้เลือกก็ชอบเต้นมากกว่าร้องเพลง ชอบออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน ถ้าอยู่บ้านก็จะนอน
โจโจ้: น้องยังเด็กด้วย เพิ่ง 16 เอง นี่โตกว่าตั้ง 7 ปีก็ค่อนข้างคนละวัยกันพอสมควร
มิวนิค: หนูก็ไม่ใช่คนติดโทรศัพท์ด้วย (โจโจ้: แต่นี่ติดโซเชียลมาก) ไม่เล่นโทรศัพท์ก็อยู่ได้ เหมือนเวลาออกไปเที่ยวก็แทบจะทิ้งโทรศัพท์ไว้ในรถเลย ชอบไปดื่มด่ำกับธรรมชาติแล้วเก็บไว้ในความทรงจำแบบนี้มากกว่า (FJZ: ไม่ถ่ายรูปเหรอ) ไม่เลย ถ้าวันนึงหนูลงสตอรี่เกิน 3 อัน แฟนคลับก็จะบอกว่าแปลกมากเลยนะ
โจโจ้: แต่หนูชอบถ่ายมาก สตอรี่นี่แทบจะลงเป็นจุดไข่ปลา
อยากให้ประเทศไทยพัฒนาเรื่องอะไร
โจโจ้: ยานพาหนะ การเดินทาง ระบบขนส่งมวลชน อย่างเช่น BTS กับ MRT ใช้บัตรเดียวกันได้ไหม จะแยกกันทำไม ไม่เข้าใจ (หัวเราะ) มันควรติ๊ด ๆ ต่อกันได้เลย ไม่รู้ว่ามันจะมีวิธีไหนที่พอจะช่วยได้ไหม แต่ตอนนั้นไปประเทศจีนแล้วมีเมืองนึงเขาให้รถป้ายทะเบียนแบบนี้ขับวันคู่ ทะเบียนนี้ขับวันคี่ ก็ช่วยเรื่องรถติดได้
มิวนิค: หนูอยากพูดเรื่องรถติดแต่ก็ไม่ได้เรียนมา
อยากทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่การแสดงไหม
มิวนิค: หนูรู้สึกว่าหนูทำครบมากเลยตอนนี้ ทั้งงานแสดง ร้องเพลง เต้น วาไรตี้ หนูอยู่ BNK48 หนูได้ทำแทบทุกอย่างเลย พิธีกรก็ทำมาแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่วงการบันเทิหนูอยากเป็นแอร์โฮสเตส ชอบไปเที่ยว (โจโจ้: หนูไม่ได้ไปเที่ยวหรอกเป็นแอร์อะ) ชอบเดินทางก็ได้ (หัวเราะ)
โจโจ้: หนูอยากลองเป็นบาร์เทนเดอร์ ชงเครื่องดื่มเพราะว่าชอบกิน เราจะได้รู้ว่าแบบอันนี้คืออะไร อันนี้จิน อันนี้โทนิก ใครมาหลอกเราไม่ได้นะ (FJZ: เคยไปลองเรียนมาหรือยัง) เคยไปเรียนเป็นบาริสต้า ทำกาแฟ คือเรียนเพื่อให้รู้ว่าโอเคอันนี้ไม่ชอบเพราะไม่กินกาแฟ (หัวเราะ)
มิวนิค: หนูก็อยากเป็นบาริสต้า แต่หนูก็ไม่กินกาแฟ (โจโจ้: ใจบีบ ๆ)
จุดเริ่มต้นทางการแสดงของทั้งสองคน
มิวนิค: จำได้ต้นสุดเลยคืองานยำยำช้างน้อยกับแบรนด์จูเนียร์แต่ว่าบรรยากาศก่อนหน้านี้แคสเป็นสิบ ๆ จำไม่ได้เลย แม่พาไปก็ไป (FJZ: จำความยากง่ายในตอนนั้นได้ไหม) จำไม่ได้ จำไม่ได้เลยว่ารู้สึกยังไงจำได้แค่แม่พาไปแล้วหนูก็ไม่ได้รู้สึกชอบหรือไม่ชอบ รู้สึกเฉย ๆ ตอนเด็กก็ไม่ได้รับบทยาก ให้หนูยิ้ม หนูก็ยิ้มแล้วก็ได้งาน เพราะทุกครั้งที่ได้งานแม่ก็จะพาไปซื้อของเล่นแลกเปลี่ยน ก็เลยชอบทำเพราะได้ของเล่น (หัวเราะ)
โจโจ้: หนูต่อแถวร้านไก่ทอดเกาหลีชื่อดังที่สยามเซ็นเตอร์อยู่ มีพี่ทีมงานมาขอสัมภาษณ์หาวัยรุ่น 100 คนในกรุงเทพ ฯ ไปทำหนัง ตอนนั้นอยู่กับเพื่อน 4 คน เขาก็สัมภาษณ์เรื่องทั่วไป ความรัก ชีวิต ครอบครัว การเรียนเป็นยังไงแล้วเขาก็ขอคอนแทคเพื่อนคนนึงไป หลังจากนั้นนานมากเขาก็โทรมาบอกเพื่อนว่าให้เข้าไปแคส สัมภาษณ์เจาะลึกมากกว่าเดิม เขาบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่สัมภาษณ์แล้วก็ได้เงิน 350 บาท เราก็แพลนกันว่าจะเอาเงินไปกินแซลมอนต่อ หลังจากนั้นเขาก็โทรกลับมาว่าสนใจเอาชีวิตของเราไปทำหนัง ซึ่งก็คือเรื่อง ‘#BKKY’ อันนั้นคืองานแรก
ตอนนี้มุมมองการแสดงของเราเปลี่ยนไปมากไหม
มิวนิค: เปลี่ยนนะ ของหนูเหมือนก้าวกระโดดจากงานปกติที่ทำกับหนังเรื่องนี้ เพราะตอนแรกก็ได้บททั่วไป เล่นเป็นเด็ก เล่นเป็นลูก มันก็ไม่ได้มีบทที่ยากอะไร ร้องไห้คือยากสุดแล้ว พอมาเล่นเรื่องนี้มันเหมือนกระโดดอัพเลเวลขึ้นไป เจออารมณ์ที่ไม่เคยเจอ มันเหมือนมีอะไรอีกเยอะที่ต้องเรียนรู้ในวงการนี้
โจโจ้: เปลี่ยน เพราะว่าเรื่อง ‘#BKKY’ กับเรื่อง ‘SisterS’ ต่างกันเยอะ เรื่องนั้นเล่นเป็นตัวเองแบบ โจ้รับบทเป็นโจ้ แต่มาเรื่องนี้โจ้รับบทเป็นมีนา มันเหมือนเราเล่นเป็นอีกคนที่สภาพแวดล้อมรอบตัวคนละความคิดกัน เราต้องทำความเข้าใจตัวละครใหม่ เหมือนการแสดงเป็นงานที่เราไม่รู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เราจะเล่นเป็นใคร แค่เปลี่ยนบทไปเล่นเป็นอีกคนนึงเราก็ต้องเก่งคนละ เรื่องนี้หนูก็ต้องไปเรียนฟันดาบ เรียนโรลเลอร์เบลดเพิ่ม ในชีวิตจริงมันจะมีใครที่ได้ถือดาบ ได้เจอกระสือม็อคอัพ ถ้าอีกเรื่องนึงเราได้เล่นเป็นกุ๊กเราก็ต้องไปเรียนทำอาหาร มันเป็นอาชีพที่มีเสน่ห์
เตรียมตัวอะไรบ้างก่อนมาถ่าย SisterS
โจโจ้: เอาจริง ๆ ตอนแคสคือยังไม่รู้ว่าหนังมันจะออกมาแฟนตาซีและไซไฟขนาดนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นกระสือ รู้แค่ว่าเป็นหนังผีใหม่ของค่ายสหมงคล พอได้เข้ามาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องมาเจอแอ็กชั่นอะไรขนาดนี้
มิวนิค: รู้แค่นั้นเลยค่ะ ตอนหนูแคสมันเป็นบทที่ไม่ตรงกับในหนังเลย ซีนที่หนูแคสก็เดิน ๆ อยู่แล้วเป็นลม ตอนแรกก็รู้ว่าเป็นหนังผี น่ากลัวนิดนึง เพราะหนูเป็นคนกลัวผีมาก ทำไมพี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว เลือกเอากระสือมาทำตอนแรกก็ไม่เข้าใจ
โจโจ้: แต่ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเลือกกระสือ มันมีลูกเล่นให้เล่นเยอะสุดแล้ว
ก่อนมิวนิคมาเป็น BNK48 อีกหรือเปล่า
มิวนิค: ใช่ค่ะ ถ่ายจนจบแล้วนานมาก (โจโจ้: ปิดกล้องไปปีกว่าแล้วเนอะ) ใช่ ถ้ารวมตั้งแต่แคสก็จะ 3 ปีแล้ว แต่พอเขาลองเอาไปตัดต่อใส่ cg มันไม่ได้ก็เลยมีการถ่ายซ่อมกันอีกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
รับบทเป็นใครในเรื่อง SisterS
โจโจ้: มีนา ก็เป็นคนที่เหนื่อยนะคะ (หัวเราะ) เพราะเป็นคนที่ยอมเสียสละทำทุกอย่างเพื่อดูแลน้องที่ป่วยอยู่ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่รู้สาเหตุว่าน้องเราป่วยเป็นอะไร พ่อเราเป็นหมอยา แม่เราเป็นนักฆ่ากระสือ เขาก็มีปัญหากันมาตั้งแต่รุ่นแม่แล้วแต่ความซวยมาตกที่เราเหมือนเขามาล้างแค้นแม่ ก็คือลูก เราก็ต้องเรียนต่อสู้ เรียนการใช้อาวุธอาคมต่าง ๆ พ่อเราจะเป็นคนสอนให้เรา พ่อเราก็คือรวงสิงห์ รับบทโดยพี่ต๊อก ศุภกร แล้วมันจะมีจุดนึงที่ถึงทางแยกว่าน้องเราจะอยู่หรือจะไป ชีวิตน้องขึ้นอยู่กับเรา
มิวนิค: ในเรื่องหนูกับพี่โจ้คนละพ่อคนละแม่กัน เป็นลูกพี่ลูกน้อง พี่โจ้มีสายเลือดนักฆ่ากระสือ ส่วนแม่หนูเป็นกระสือ หนูเลยได้เชื้อกระสือมา เหมือนมันมีจุดเปลี่ยนที่เป็นกับไม่เป็น คือทุกคนตอนนี้คิดว่าหนูเป็นกระสือแล้วแต่ยังไม่ใช่ หนูแค่มีสายเลือดกระสือ (โจโจ้: เหมือนติดโรคมา) ใช่ ถ้าตอนอายุ 16 หนูไม่ถอดหัว หนูจะได้เป็นคนธรรมดาตลอดชีวิต แต่ถ้าหนูถอดหัวเมื่อไหร่ หนูก็จะกลายเป็นกระสือแล้วจะไม่สามารถกลับไปเป็นคนได้อีก พี่กับพ่อหนูก็เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อกดอาการจนอายุ 16 หนูก็จะรอด เหมือนหนังเรื่องนี้ต้องมารอดูว่าหนูจะกลายเป็นกระสือหรือเปล่า เพราะหนูไม่รู้ รู้แค่ว่าตัวเองป่วยแล้วก็ดื้อ เขาห้ามอะไรก็ทำหมด จะถอดหัวเนี่ยต้องมีปัจจัยหลายอย่างทั้งเรื่องอาหาร ผู้ชาย แต่ยิ่งห้ามก็ยิ่งทำ ก็ไม่มีใครบอกว่าเป็นอะไร เขาบังคับหนูทุกอย่าง
โจโจ้: เราก็ไม่รู้ว่าน้องป่วยเป็นอะไร รู้แค่ว่าป่วยก็ต้องดูแล ทุ่มเททั้งชีวิต ทิ้งทุกอย่าง การเรียนก็ต้องทิ้ง
คาแร็กเตอร์ของมีนาและโมรามีอะไรเหมือนตัวเองบ้างไหม
โจโจ้: เหมือนพี่ปรัชญาเลือกจากคาแร็กเตอร์อยู่แล้วเลยไม่ต้องปรับจูนอะไรมาก เหมือนแบบนี้ (ชี้ไปที่มิวนิค) ก็ดูขี้โรค อ่อนแอ ดูน่าทนุถนอม เราก็ห้าว ๆ แต่ก็ดูบอบบาง เป็นนักสู้จำเป็นที่ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น
ความท้าทายในการเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้
โจโจ้: cg ต้องใช้จินตนาการสูง เพราะเหมือนหนูเหมือนสู้กับลม อากาศ ผ้าสีเขียว แล้วก็ไม่รู้ว่าภาพจะออกมาเป็นยังไง ก็รอดูพร้อมกันวันรอบสื่อค่ะ
มิวนิค: หนูยังไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนเห็น trailer หนูก็แบบ โห (ทำหน้าตื่นเต้น)
กลัวผีไหม
โจโจ้: กลัว
มิวนิค: มาก
ถ้าต้องเผชิญหน้ากับกระสือจะทำยังไง
มิวนิค: วิ่ง (โจโจ้: จะทันเหรอ กระสือลอยมานะ) ก็ไม่รู้จะทำยังไง จะจับไส้ดึงลงมาก็ไม่ได้
โจโจ้: แต่ไม่เจอหรอกมั้ง อยู่ในเมือง คงต้องรอดูในหนัง
ฝากภาพยนตร์เรื่อง SisterS กระสือสยาม
โจโจ้: เชื่อว่าทุกคนจะต้องไม่เคยเห็นหนังกระสือแนวนี้แน่นอนเพราะว่ามันไม่ได้มาแค่ตัวเดียว จะได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง การใช้ชีวิตอยู่ การเอาตัวรอดของกระสือ เพราะว่ามันไม่ใช่แค่คนที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยหรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป กระสือก็ต้องเอาตัวรอด อยากให้ลองมาดูว่าพี่ปรัชญาเขาตีความกระสือยุคใหม่ออกมาเป็นยังไง
มิวนิค: ใช่ค่ะ จาก trailer ก็จะเห็นว่าแอ็กชั่นแฟนตาซีเยอะกว่าที่ทุกคนคิดไว้แน่นอน เรื่องนี้ก็จะเห็นความสัมพันธ์พี่น้องซึ่งปกติเราจะเห็นแบบชายหญิงแต่คราวนี้จะเป็นแบบพี่น้องแล้วก็มีแง่คิดหลายมุมมองมาก ๆ ที่สำคัญก็คืออยากให้เปิดใจเข้ามาดูค่ะ
โจโจ้: เดี๋ยวนี้คนไทยไม่ค่อยดูหนังไทยกันเท่าไหร่ ตัวเลือกเขาเยอะก็เข้าใจได้ อยากให้มาเห็นว่าฝีมือของคนไทยเป็นยังไง เพราะว่าก็ไม่เยอะนะที่หนังไทยจะทำเป็นแอ็กชั่นไซไฟ อยากให้ลองมาเปิดใจดูกันค่ะ