Whal & Dolph เรื่องราวตลอดหนึ่งปี ในการว่ายทวนน้ำตามฝันของแก๊งปลาตัวเล็กแต่ใจใหญ่
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
- Stylist: Varachaya Chetchotiros
- Art Director: Benyatip Sittivej
ณ เวลานี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Whal & Dolph คือวงดนตรีป๊อปคลื่นลูกใหม่ที่น่าติดตามมากที่สุดวงหนึ่ง กับสีสันของดนตรีฟังง่าย ทว่ามีรายละเอียดซับซ้อนและน่าสนใจ ด้วยระยะเวลาเพียงหนึ่งปีทำให้พวกเขามีแฟนเพลงติดตามและให้การตอบรับอย่างอบอุ่น นี่ก็เป็นโอกาสเหมาะที่เราจะชวนพวกเขามาคุยกันอีกครั้ง (อ่านบทสัมภาษณ์แรกของพวกเขาได้ ที่นี่ และอ่านที่มาของอัลบั้ม Rayon ได้ ที่นี่)
หนึ่งปีผ่านไปหลังจากปล่อยเพลง ยิ้ม Whal & Dolph ก็ได้รับการตอบรับที่ดีตลอด รู้สึกยังไงบ้าง
ปอ: สิ่งที่เราคิดไว้มันเป็นจริง เรารู้สึกว่าเพลงเรามันควรทำงานมาถึงจุดนี้ แต่แค่เมื่อไหร่จะมีคนมาเห็นซักที
น้ำวน: ก็คือเป็นเป้าที่ตั้งไว้เพราะเพลงเรามันเข้าถึงได้ไม่ยาก คิดว่ามันน่าจะไปได้ ถ้ามาไม่ถึงก็คงจะไม่เป็นไร แต่พอมันมาถึงได้ก็ดีใจ ถึงไม่ได้เหนือกว่าเป้ามากแต่ถือว่าทำได้สำเร็จ
ช่วงแรก ๆ ที่ยังมาไม่ถึงจุดนี้มีความท้อไหม
ปอ: มันก็มีบ้างนะ แต่ไม่ค่อยเท่าไหร่
น้ำวน: เอาจริง Whal & Dolph มีอายุประมาณ 1 ขวบ แต่เราทำดนตรีกันมาเป็นสิบปีแล้ว คือเราเคยเจอเรื่องราวที่ท้อกว่านี้มาเยอะมาก ดาร์กกว่าเยอะ ก็เริ่มมีภูมิ ตอนนี้แค่มี feedback จากที่เราปล่อยมาตอนแรกมันก็โอเคแล้ว
ปอ: แต่เอาจริงนะ เราว่าเราทำเพลงกันไว้เยอะแล้วด้วยแหละ สต็อกไว้ มันเลยไม่ท้อเท่าไหร่ แล้วคิดว่าจะปล่อยเพลงนี้ต่อกับเพลงนี้ พอมันปล่อยออกมาแล้วเกินเป้ามันก็ส่งผลต่ออีกเพลง จนมันดำเนินมาถึงจุดที่มันดี เราก็ดีใจกับมันด้วย มันเหมือนไม่ได้แบกความคาดหวังเท่าไหร่ ถ้าจะคาดหวังก็จะต้องเป็นอัลบั้มสองแล้วล่ะ (หัวเราะ)
เรื่องดาร์ก ๆ ที่เจอตอนนั้นมีอะไรบ้าง
ปอ: ก็ตอนนั้นเราทำวง Fits ส่วนน้ำวนทำ The Public Mansion แต่เพลงเราไม่มีคนฟัง (หัวเราะ)
น้ำวน: ของเรายังโชคดีหน่อย ด้วยความที่เรียนมหาลัยก็เลยไม่ได้วางแผนอะไรขนาดนั้น คือไม่ได้คิดว่าจะทำวงดนตรีเป็นอาชีพ เราแค่อยากทำ ก็คือปล่อยมาหนึ่งเพลง มีงานเล่น ก็เป็นงานฟรีบ้าง งานจ้างไม่แพง ใครชวนไปไหนก็ไป The Public Mansion นี่เหมือนคนจะชอบเยอะ แต่เหมือนเป็นการหลอกตัวเอง เพราะคนที่ชอบมีแค่เด็กศิลปากรกับในคณะแค่นั้น ทุกครั้งที่ไปเล่นงานอะไรก็ตามที่ศิลปากรคือ feedback ดี แต่คนนอกไม่รู้จักเลย งานนอกที่เราไปเล่นคนมาดูก็ไม่ค่อยเยอะ ส่วนมากก็นักดนตรีด้วยกันเอง ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเรามีแฟนเพลงหรือเปล่า ยุคนั้นเราไม่ค่อยได้เล่น social network เพราะมันยังไม่ได้บูมขนาดทุกวันนี้ ก็ติดต่อกับคนอื่นยากมาก เพจวงก็ยังไม่โตมาก มีแค่ YouTube ที่ให้อัพเพลงลงไป คอนเสิร์ตก็ไม่ได้จัดเยอะเท่าทุกวันนี้ที่มีผู้จัดเอาวงอินดี้ไปเล่นเยอะมาก ๆ แล้ว สมัยนั้นแทบไม่มีเลย มีแต่งานใหญ่ ๆ แล้วงานใหญ่ ๆ เขาก็ไม่ได้คิดถึงเรา ตรงนั้นทำให้เราคิดว่าจะทำต่อไปดีหรือเปล่า มันโอเคจริงไหม แล้วไฟล์แทร็คที่เป็น master จริง ๆ เนี่ย ไม่มีเลย แต่มีช่วงนึงที่เราเข้าไปอยู่ Spicy Disc อันนั้นได้ปล่อยมาสองเพลง อันนี้ก็แอบเป็นหนึ่งข้อที่ดาร์ก เป็นหนึ่งข้อที่เราก้าวข้ามไปไม่ได้ด้วยแนวเพลงหรืออะไรก็ตาม วิทยุเขาไม่เปิดเพลงเราเลยเพราะเขาเคยบอกว่ามันร็อกไป คือเป็นร็อกที่ฟังยาก นักร้องเก่าเราที่ชื่อนันก็เป็นคนแผดเสียง เขาก็บอกว่าเนี่ยลองคิดสภาพขับรถไปทำงานตอนเช้า ๆ แล้วมาเจอไอ้นี่กระแทกเสียงออกมา มันคงเป็นวันที่น่าหงุดหงิดแล้ว เขาเลยไม่เปิด ก็มาคิดว่าเราจะไปต่อได้จริงหรอวะถ้าเรายังทำกันต่ออย่างนี้ หรือว่าเราเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นดีไหม ทำไปก็เหมือนไม่มีใครฟัง ทำทำไมวะ
ปอ: ของเรานี่ดาร์กเลย …มันไม่ได้ท้อขนาดนั้นหรอก แต่สิ่งที่เราทำออกมามันยังไม่ถึงมาตรฐานที่ควรจะเป็น เวลาเราอัดแล้วเอามาทบทวนก็รู้สึกว่าทำไมมันขาดตรงนู้นตรงนี้วะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไง เพราะเราก็ประมาณนี้ มันเป็นเรื่ององค์ประกอบของตัววงมากกว่า จริง ๆ เราก็ชอบ Fits นะ เพลงมันก็ดีในแบบของมัน แต่ว่าด้วยช่วงเวลา จังหวะ หรืออะไรหลาย ๆ ทำให้มันไม่ไปถึงคนอื่น
น้ำวน: เฟลกว่าเราอีก ตอนที่ปล่อยเพลงมาแทนที่จะได้รับความนิยมเรื่อย ๆ ปกติเพลงแรกได้รับความนิยมน้อย ก็ถูกแล้ว แต่ไอ้นี่ปล่อยเพลงแรกมาได้รับความนิยมสุด ปล่อยเพลงสอง เพลงสามมา ก็หลั่นลงไปเรื่อย ๆ เพลงล่าสุดมีกี่วิววะ 800 ปะ เห็นแล้วแบบ… คือเราอยู่บ้านใกล้ ๆ มันก็เจอกันบ่อย ได้คุยกันบ้าง ก็ท้อแทน
ปอ: ตอนนั้นเราทำมาได้ห้าเพลง ปล่อยออกมาหมด พอหลังจากห้าเพลงแล้วเหมือนเพื่อน ๆ กับเราเองก็ไม่ได้คุยกัน ก็ท้อกันไปเอง ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนั้นนำ้วนชวนทำโปรเจกต์ Whal & Dolph เป็นช่วงเวลาขาลงของทั้งคู่มาเจอกัน ก็เลยคิดเพลงใหม่ไปด้วยเลย
น้ำวน: พอไม่มีงานเล่นแล้วก็มีเวลาเยอะขึ้น เราก็มาทำวงใหม่กันดีกว่า อย่างเราก็มีไลน์กีตาร์ที่มันป๊อป ๆ หน่อย แล้วปอก็มีเพลงแต่งที่เอาไปใช้กับวงไม่ได้ เลยเอามาลองดู
ตั้งใจให้ออกมาเป็นป๊อปแบบนี้ไหม ฝืนไหมเพราะปกติทำแต่เพลงร็อก
ปอ: เราไม่ได้คิดว่า Whal & Dolph มันจะเป็นยังไง เราแค่เอาสิ่งที่เราไม่ได้ใช้จากอันเก่ามาลองทำกัน เพราะมันเอาไปใช้กับวงเก่าไม่ได้ ความป๊อปที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะมาอยู่ในสมองเราเลย จริง ๆ มันมี เลยเอาออกมา
น้ำวน: ความตั้งใจแรกคืออยากให้เป็นอะคูสติกมาก ๆ มีกีตาร์โปร่งตัวเดียวแล้วร้อง อาจจะมีพวก percussion แค่เพลงเดียวแล้วก็จบ แต่เพลง ยิ้ม เพลงนั้นคือทำทิ้งไว้ แล้วระหว่างนั้นก็ไม่ได้ทำเพลงไหนอีกเลย จนผ่านมาปีนึง อยู่ดี ๆ ปอก็แต่งเพลงใหม่ได้ก็กลับมาทำอีกครั้ง พอทำได้เร็วก็เลยทำต่อ ทำมาได้ห้าเพลง แล้วก็ไม่ฝืนเลยเพราะมันก็สนุกในอีกรูปแบบนึง แล้วมันทำยากกว่าเพลงร็อกอีก คือเพลงร็อกแค่ท่อนนี้จะพีคเราก็เหยียบเอฟเฟกต์เสียงแตกละ ร้องเสียงดัง ๆ กลองตีดัง ๆ ก็เริ่มได้ละ เราชอบ reverb ก็กดแล้วเล่นไลน์อะไรก็ได้ให้ดูเท่ก็พอแล้วอะ แต่ป๊อปทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ มันเล่นกีตาร์โปร่งไง แล้วเราจะทำยังไงให้มันน่าสนใจที่สุด ก็พยายามทำให้มันมินิมัล ให้น้อยเข้าไว้ ซึ่งยากมาก ต้องคิดเยอะกว่ามาก ๆ แล้วตอนทำที่ว่ายากแล้ว ตอนจะเล่นให้คนสนุกยิ่งยากกว่า
แต่ป๊อปของ Whal & Dolph ก็เป็นป๊อปที่ทั้งฟังง่ายและซับซ้อนในเวลาเดียวกันนะ
ปอ: มือคีย์บอร์ดตายมาหลายคนแล้ว (หัวเราะ)
น้ำวน: เราให้คนมาช่วยเล่นหลายคนแล้ว อย่างพี่ท็อป มหัศจรรย์ธรรมดา กับทัน Zweed N’ Roll นี่คือต้องซ้อมกันเยอะมากกว่าจะเล่นได้ แล้วต่อมาก็ต้องการคีย์บอร์ด เราต้องการซาวด์ที่เยอะกว่านี้เพราะตอนไปเล่นสดมันเริ่มไม่เพราะแล้ว แต่เวลาซ้อมเราก็น้อยเพราะมันมีงานเล่นรออยู่ พอเขามาก็หนักหน่วงเลย มีเพลง Plastic Plastic ต้องซ้อมกันประมาณนึง ล่าสุดก็มีเรนนี่ ต้องคลำ ๆ ไม่สามารถเล่นได้ในครั้งแรก และล่าสุดคือภัคธ์ Jelly Rocket วันนี้กำลังจะมาซ้อมกับเรา (หัวเราะ) มันจะมีความประสาทแดกของเรากับปอคือเราอยากทำเพลงป๊อปจริง แต่ถ้าเราไม่ใส่อะไรที่เราอยากฟังลงไปด้วยเลยเนี่ย เราจะเบื่อไปเลยแน่นอน ถ้าไปเล่นก็จะไม่สนุก ต้องหาอะไรมากันตายนิดนึง
คิดยังไงกับการที่ศิลปินต้องไปเล่นงานที่ค่าตัวน้อยหรืองานฟรีเป็นใบเบิกทาง
ปอ: เราว่าอยู่ที่มุมมองของบางคนมากกว่า ถ้าคุณคิดว่าของคุณดีจริง ๆ คุณต้องโปรโมตมันก่อน ซึ่งขั้นตอนการโปรโมตมันก็เหมือนทุกบริษัทอะ คือต้องลงทุนลงแรงของคุณ คุณยอมได้ไหมกับการที่จะไปเล่นฟรีเพื่อให้ทุกคนได้เห็นผลงานของคุณ ผมเชื่อว่ามันไม่มีใครได้รับค่าตัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เล่นอยู่แล้ว คุณไปเล่นเถอะ เล่นให้เยอะที่สุดจนกว่าจะมีคนมาจ้างคุณ เพราะถ้าเขาอยากเห็นคุณเล่นอีกครั้งนึง แปลว่าคุณเล่นได้ดีพอแล้ว ซึ่งทุกวันนี้มันเริ่มจะเป็นอย่างนั้นแล้วนะ (หัวเราะ) ดีใจ (น้ำวน: อย่างอันนี้เขาเริ่มจ้างเราไปเล่น แล้วครั้งที่สองเขาก็จ้างเราแพงกว่าเดิม) ใช่ ก่อนเราจะเล่นกันครั้งแรกอะ เราต้องซ้อมหนักมาก ๆ นะ เพราะเราไม่อยากให้วงนี้เป็นอย่างวงที่เราเคยเป็นมาก่อน เราต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราเคยเล่นมาในชีวิต แล้วในทุกวันนี้มันก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จนะ เพราะว่าเสียงชื่นชมในโลกโซเชียลมันคือการที่คุณดูแล้วก็อยากดูอีก และคุณก็ชอบการเล่นสดของเรา
น้ำวน: น่าจะเป็นอารมณ์คล้าย ๆ เราไปดู Solitude is Bliss อะ เราเคยฟังเพลงเขาแล้วรู้สึกว่าเพราะสัส แต่พอไปดูเขาเล่นสดแล้ว แบบ เฮ้ยแม่ง เพราะกว่าฟังอยู่บ้านอีกว่ะ ก็ทำให้เราอยากดูอีกเรื่อย ๆ ถ้าเรารู้ว่าโซลิจูดจะมาเล่นที่ไหนเราก็จะไม่พลาดที่จะไปดูเขา เพราะมันน่าประทับใจ เราว่าเรื่องนี้สำคัญ
แล้วตอนเล่นสดที่ได้เพื่อนมาช่วย คือไปเจอกันได้ยังไง
ปอ: ตอนนั้นเรากำลังทำเพลงที่ชื่อ โอ๊ย อยู่ที่บ้าน ทันเป็นรุ่นน้องเราที่คณะ มันฝากสแนร์ไว้ที่บ้านเรา เดี๋ยวมาเอา เราก็เลยบอกทันว่า ช่วยไรหน่อยดิ ให้มาแจมแล้วจะอัดคลิปไว้ฟังว่าถ้ามีกลองแล้วจะเป็นยังไง แล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่มันมาตีกลองให้เราก็ไม่เคยปล่อยมันไปอีกเลย ตอนนั้นคือเราหามือกลองที่ตีแบบ Radiohead เราไม่อยากได้คนตีดัง ตีหนัก อยากได้คนตีเพราะ ซึ่งที่ทันมาตีในคลิปนั้นเราก็ฟังมาตลอด ว่าคนนี้แหละมือกลองเรา แล้วพอให้ลองมาตีแบบจริงจังก็รู้สึกว่าใช่จริง ๆ
อีกคนคือพี่ท็อป ตอนแรกวงมหัศจรรย์ธรรมดากำลังจะปล่อยเพลงที่ชื่อ กาลเวลา พี่ไอซ์เป็นนักร้องโทรมาบอกให้ปอไปช่วยถ่าย mv ให้หน่อย ก็ไป พอดีกับตอนนั้นเราเพิ่งปล่อยเพลง ยิ้ม ไป แล้วได้มาเจอพี่ท็อป ยังไม่สนิทเลยนะแต่ถามเขาว่า พี่มาแจมเบสป่าว ผมกำลังจะมีงานเล่น แล้วพี่ท็อปก็มาอัดเพลงให้เราเพลงแรก คือ นานนาน หลังจากนั้นพี่ท็อปก็ไม่ได้ออกไปอีกเลย (หัวเราะ) สองคนนี้ก็เหมือนสมาชิกในวงเราแหละครับ เขามีส่วนร่วมทุกอย่างในเพลง ไลน์เบส ไลน์กลอง ทั้งสองคนก็เป็นคนช่วยคิด ทั้ง 13 เพลงก็จะมีทุกทุกอย่างของเขาอยู่ในนั้น เราโชคดีที่ได้ครอบครัวที่ดี ส่วนคีย์บอร์ด ตอนนี้มีน้องบุ้งมาช่วยอัด เขาเล่นอยู่กับ The Toys อันนั้นเป็นคนอัดทั้ง 13 เพลง
นำ้วน: ทีแรกอะจะเอาบุ้งมาเล่น ตอนแรกก็ยังไม่ยุ่งมาก แต่ตอนเนี้ย ไม่รู้จะได้เจอกันเมื่อไหร่ ยากมาก แต่บุ้งก็มาช่วยอัดเพลงช่วงก่อนปิดอัลบั้ม ตอนนั้นเราถาม เขาก็บอกว่าเขาทำเพลงอยู่กับเพื่อน เพราะมีวงของตัวเองเหมือนกัน เราก็เลยต้องแบกซาวด์การ์ดกับคอมไปบ้านมัน บ้านไกลมาก (หัวเราะ) หรืออีกวันที่ทอยจะมาเล่นแถวบ้าน ก็เลยแบบ บุ้งซาวด์เช็กเสร็จมาอัดเพลงให้หน่อยดิ มันมีเวลาแค่สองชั่วโมงแค่นั้น แต่มันเก่งมาก
ปอ: ที่เจ๋งคือมันไม่เคยฟังเพลงมาก่อน (หัวเราะ) (น้ำวน: มาฟังเดี๋ยวนั้นแล้ว พี่เอาแบบไหน ๆๆๆ) มันเก่งมาก ถ้าไม่มีคีย์บอร์ดมันอัลบั้มเราก็ไม่สวยอะ ซึ่งทุกวันนี้คีย์บอร์ดที่มาเล่นก็เป็น เพลง เบอร์หนึ่ง เรนนี่ มือสอง ภัคธ์กำลังจะเข้ามาเป็นแก๊งเรา
น้ำวน: คือเราเหมามือหนึ่งมือสองที่เล่นให้ Scrubb มาเล่นให้ Whal & Dolph ด้วยเลย
Rayon มีคอนเซปต์อัลบั้มไหม หรือเป็นแค่การรวมเพลงที่แต่งมาทั้งหมด
ปอ: จริง ๆ เราไม่ได้ตัดเพลงไหนทิ้งไปเลยนะ มันเป็น 13 เพลงที่เราแต่งมาแล้วก็อยู่ในอัลบั้มนี้หมดเลย เรารู้สึกว่าช่วงเวลาที่เราทำเพลงพวกนี้มันใกล้กันมากจนมันเป็นกลิ่นเดียวกัน ทุกเพลงสามารถเชื่อมโยงกันได้ แต่เราเชื่อว่าอัลบั้มสองที่มันถูกทิ้งระยะไปมันก็จะมีความต่างขึ้นมานิดนึง แล้วเวลาเราทำก็คงจะออกมาเป็นอัลบั้มเหมือนเดิม เพื่อให้สีสันแต่ละเพลงออกมาใกล้เคียงกัน แต่จะต่างไปจากชุดแรกแน่นอน และคงเป็นบันทึกเรื่องราวในชีวิต เพราะเราเป็นคนเขียนเพลงจากเรื่องจริง ส่วนใหญ่ก็จะต้องเจอเรื่องหนักหน่อย
ทำไมถึงอินกับเสื้อฮาวายมากขนาดนี้ (rayon คือผ้าชนิดหนึ่ง มักนำมาผลิตเป็นเสื้อฮาวาย)
ปอ: คือน้ำวนมันชอบใส่อยู่แล้ว ใส่ตั้งแต่อยู่มหาลัย ปีหน่ึงใส่เสื้อนักศึกษาเลยใส่ไม่ได้ ผมเพิ่งมาใส่เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว ใส่ตามมันน่ะแหละ พอใส่แล้วมันก็สบายดีเหมือนกันนี่หว่า ก็เลยชอบใส่
น้ำวน: แต่ที่เอาเสื้อเรยอนมาตั้งชื่ออัลบั้ม มันก็แอบมีเหตุผลอยู่ คือผ่าเรยอนเป็นผ้าที่ใส่สบาย มันก็น่าจะเหมาะกับเพลงเรา แล้วลายภาพพิมพ์ในนั้นส่วนใหญ่ค่อนข้างจะมีเรื่องราวอยู่ ไม่ได้แค่สวยแล้วเอามาพิมพ์ ยิ่งเสื้อฮาวายแบบแบรนด์ดี ๆ ของญี่ปุ่น จะมีลายเซิร์ฟ ลายอะไร ก็เหมือนเพลงเราที่ฟังสบายแต่มีเรื่องราวที่เข้มข้นอยู่ในนั้น ไม่ได้ฟังแล้วแค่รู้สึกชิว
ปอ: ถ้าคุณแค่ฟัง ก็รู้สึกชิว แต่ถ้าตั้งใจเจาะไปถึงเนื้อเพลง คุณก็จะพบอะไรในความรู้สึกตรงนั้น
เคยบอกว่าเพลงของวงมีทั้งความเป็นป๊อป ไซคี ลูกกรุง… มันลูกกรุงยังไง
ปอ: เพลง น้ำตาฟ้า ท่อนคอรัสมันมีความลูกกรุ๊งลูกกรุง
นำ้วน: แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจให้ลูกกรุงจัด ๆ นะ จริง ๆ เราแค่มาหาคำนิยาม เราชอบให้มันเป็นแบบนี้แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไร แต่ฟังแล้วนึกถึงเพลงลูกกรุง ก็น่าจะเหมาะสม เพลงนี้ไม่ค่อยได้เล่นเพราะตอนปล่อยคนไม่ค่อยรู้จัก กลัวเล่นแล้วคนไม่สนุก จริง ๆ เคยเอาไปเล่นแล้วแหละ แต่คนดูซึม ไม่ได้ซึมว่าเศร้าอะไรนะ ไม่รู้จัก (หัวเราะ) งั้นไม่เล่นดีกว่า
เวลาตอนจะปล่อยเพลงเรียงลำดับก่อนหลังยังไง
ปอ: ตอนแรกมีแค่ ยิ้ม พ เพลงที่สามชื่อ น้ำตาฟ้า เพลงที่สี่ชื่อ โอ๊ย เพลงที่ห้าคือ นานนาน อันนี้คือไล่ตามไทม์ไลน์ที่แต่งเพลงเลย ห้าเพลงนี้เราค่อนข้างยังทำไม่เสร็จ แต่ตอนที่เราปล่อย ยิ้ม กับ พ มาแล้วเงียบ มันอาจจะเป็นที่รู้จักนิดนึง แต่เรารู้สึกว่าต้องเป็นเพลงที่ค่อนข้างขายของแล้ว ก็ลองปล่อย นานนาน ออกมา ก็ยังเงียบ (หัวเราะ) ไม่เงียบหนักหรอก แต่ก็ไม่ปังอย่างที่เราคิด ก็เลยปล่อยเพลงอื่นอีก ทีนี้คิดทำ mv ด้วย เป็นเพลง โอ๊ย ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพลงที่ทำให้คนรู้จักเราจริง ๆ แต่เราเชื่อว่าไม่ใช่แค่ mv เพราะเพลงด้วยนะ เพลงก็มีความแปลก มันผสมกัน
น้ำวน: ตอนนั้นเรากังวลมาก คือฟังฮิปฮอปไง คือเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาแล้วคิดว่าถ้ามีบีตฮิปฮอปคงจะเท่มาก แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีแร็ปมีอะไรนะ แต่เพลงก่อนหน้าที่ปล่อยมามันมีความอะคูสติกสูง ก็เลยกลัวว่าแฟนเพลงจะโอเคไหม แบบ มึงจะยังไงเนี่ย แต่ว่าผลคือคนที่เป็นแฟนเพลงเก่าก็ยังชอบอยู่ แล้วก็ได้แฟนเพลงใหม่มาเต็มเลย
ปอ: แค่ไม่ใช่เพลงที่วิวเยอะสุด ที่มากสุดคือ นานนาน (หัวเราะ)
น้ำวน: ส่วนเพลงที่มียอดวิวรองลงมาคือเพลงที่ไม่ได้มีในอัลบั้ม คือเพลง พ ที่เป็น live session วิวไปสี่แสนแล้ว
ปอ: จริง ๆ แล้วมันเป็นเพลงที่พิการที่สุด เราเคยเรียกมันอย่างนั้น เป็นเพลงที่วิวน้อยที่สุดในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี แต่เราคิดว่าเพลงนี้มันเพราะมาก ทำไมคุณไม่ฟังกันวะ (น้ำวน: ยังไงมันก็ต้องมา) สุดท้ายมันก็มาจนได้ เหมือนคนก็ค่อย ๆ มาฟัง จนตอนนี้ก็เอาไปเล่นทุกโชว์เพราะคนอยากมาฟังสด ๆ
น้ำวน: ซึ่งทุกคนก็รอฟังจริง ๆ เพราะเพลงนี้ไม่สามารถฟังในอัลบั้มได้ ในแผ่น EP มีเหมือนกัน แต่ก็จะเป็นเวอร์ชันเดียวกับใน YouTube ที่เป็นกีตาร์สองคน แต่เวลาไปเล่นสดคือเราเล่นอีกเวอร์ชัน เป็นเต็มแบนด์
วงเคยให้สัมภาษณ์กับ Fungjaizine เมื่อนานมาแล้วว่า เพลงที่ออกมาในช่วงนั้นเป็นบันทึกชีวิตของปอในปี 2016-2017 แล้วเพลงไหนที่เล่าเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบมาก ๆ ในช่วงนี้บ้าง
ปอ: มันมีประมาณ 3-4 เพลงที่แต่งใหม่ตอนปี 2017 เอาเพลงเด็ด ๆ ละกัน ก็มี เก็บเธอเอาไว้ดูก่อน น่าจะเป็นเพลงรองสุดท้ายที่แต่ง ตอนนั้นเราคบกับคนคนนึง ยังไม่ได้เป็นแฟน แต่ทุกอย่างเหมือนเป็นแฟนกัน แล้วมันก็ผ่านไปเรื่อย ๆ จนวันนึงเรารู้สึกว่าทำไมมันเฉย ๆ จังวะ ทั้งที่ความเป็นจริงความสัมพันธ์ของเรากับเขามันค่อนข้างดีด้วยซ้ำ มันก็มีความคิดเข้ามาว่า เออ มันเป็นเพราะอะไรวะ เลยแต่งเพลงนี้ออกมาจากความรู้สึก ว่าเราอยากเก็บคนนี้เอาไว้ดูก่อน เพราะเรายังไม่หายเจ็บหรือเปล่า หรือเราอยากให้เวลามันนานกว่านี้จะได้ชัวร์ ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องดี รู้สึกว่าการเก็บใครซักคนไว้ดูมันเป็นการเสียเวลา จนสุดท้ายเราต้องบอกเขาไปว่าเราไปต่อไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่… (FJZ: ถ้ามันใช่มันก็ใช่) ใช่! เพลงนี้มันก็ออกมาจากหัวเราเอง อันนี้เป็นเพลงแรก ก็ รู้สึกผิดครับ แล้วตอนนี้ก็โดนเป็นคนถูกเก็บเอาไว้ดูเรียบร้อย! (หัวเราะ) กรรมตามสนองละจ้า จริง ๆ นะ แต่งเพลงนี้มาให้คนอื่น แต่สุดท้ายเรากลับมาโดนเอง เวรกรรมมีจริงครับ (น้ำวน: แผลสดครับ)
เพลงที่สองคือ ฉันยังเก็บไว้ ที่ร้องกับคุณเอิ๊ต ภัทรวี จริง ๆ เพลงนี้มันมีโครงมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว มีไลน์กีตาร์มาจากน้ำวน แต่งขึ้นมาแต่เรายังไม่ได้แต่งเนื้อสักที จนเรามีความคิดว่า อยากให้เป็นเรื่องของการที่คนที่เคยคบกันสองคน ต่างคนต่างเก็บความรู้สึกที่ดีที่เขาเคยอยู่ด้วยกันไว้ แล้วก็เอามา merge กับหนังที่เราชอบ คือเรื่อง ‘The Notebook’ เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันตอบโจทย์ เหมือนคนสองคนที่เคยรักกันมาก ๆ แล้วแยกจากกันไป สุดท้ายเขากลับมาเจอกันแล้วแค่มาพูดว่า เฮ้ย เรายังเก็บเรื่องนี้ไว้อยู่เลยนะ ผู้หญิงก็พูดว่าเราก็ยังเก็บไว้เหมือนกัน เหมือนยังเก็บเธอไว้ในความรู้สึก ให้มันอยู่ที่เดิมในใจของเรา เราเอาเรื่องพวกนี้มาผสมกันกลายเป็นเพลงนี้ เลยมีทั้งผู้หญิงพูด และผู้ชายพูด
เปลี่ยนไป เพลงนี้ผมแต่งให้คุณน้ำวน เราอยากให้มีเพลงนึงในอัลบั้มที่น้ำวนร้อง น้ำวนก็แต่งไลน์กีตาร์มา แล้วอีกสองวันเราต้องอัดเพลงนี้โดยที่ยังไม่ได้แต่งเลย เราก็นั่งคิดอยู่หน้าคอม จินตนาการว่าเราเป็นน้ำวนกำลังคุยโทรศัพท์กับแฟน ตอนนั้นมันเริ่มมีแฟน มันก็ได้แบบ ไลน์กีตาร์จะมีความเป็นแบบ lay back หน่อย ก็คิดว่า หรือเราจะพาตัวเองไปเป็นหนุ่มนิวยอร์กดีวะ ในเมืองที่มืด ๆ ท่อ ๆ มีแสงไฟสลัว ๆ แล้วคิดว่าเราโทรคุยกับใครสักคนที่ทำให้รู้สึกว่า แค่เราคุยกับเธอนะ การมองเมฆที่ลอยผ่าน หรือแสงของดาว เธอทำให้ทุกอย่างสวยงาม ดูเปลี่ยนไปหมดเลย
ทำไมถึงต้องเป็น เอิ๊ต ภัทรวี ที่มาร้องเพลง ฉันยังเก็บไว้
ปอ: คือเอิ๊ตเพิ่งกลับมาจากออสเตรเลีย มาดูเราเล่น ใครชวนมาไม่รู้ ที่ Good Space พี่ท็อปก็เล่นเบสให้เราตอนนั้น แล้วเอิ๊ตก็ชวนพี่ท็อปไปเล่น จากนั้นพี่ท็อปก็เริ่มสนิทกับเอิ๊ต แล้วเอิ๊ตก็เริ่มรู้จักเรา เราก็เลยคิดว่าถ้ามีนักร้องผู้หญิงสักคนนึงที่อยากให้มาร้องเพลงนี้ มันก็น่าจะต้องเป็นเอิ๊ต เสียงเขาน่าจะเหมาะ เป็นแบบฝัน ๆดิสนีย์ ๆ แล้วเอิ๊ตก็ชอบเพลงนี้ด้วย มันก็น่าจะเหมาะ
น้ำวน: แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ร้องดีมาก
พอปล่อยอัลบั้มเต็มออกมาแล้ว ในปี 2018 นี้จะทำอะไรกันต่อ
ปอ: ปีนี้เราก็เริ่มทำเพลงอัลบั้มใหม่ไปแล้วหนึ่งเพลง อยากให้มันมีต่อเนื่อง แต่อาจจะยังไม่ได้ปล่อยปีนี้ คงออกมาเป็น EP งาน Cat Expo สามเพลง แต่ยังไม่ชัวร์ แพลนปีนี้คือปล่อยเพลงที่อยู่ในอัลบั้มออกมาอีกเพลงสองเพลงก่อน แล้วก็เดี๋ยวจะทิ้งละ
น้ำวน: การทำงานของอัลบั้มนี้จะสิ้นสุดแล้ว ก็รอดูผลที่ตามมาว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป แต่แอบวางแผนไว้คร่าว ๆ แล้วว่าถ้า feedback ดีจะเป็นแบบนึง คืออาจจะ hold อัลบั้มสองไว้นานอีกนิดนึงแล้วทัวร์ต่อ ถ้าไม่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ยังไม่ค่อยเปรี้ยงปร้าง ก็จะเป็นอีกแบบนึง คือเขยิบอัลบั้มใหม่ขึ้นมาให้เร็วขึ้น
ปอ: เพราะสมัยนี้เป็นยุคของการสร้างผลงาน (น้ำวน: มันช้าไม่ได้) วงเยอะ แปปเดียวคนฟังก็ลืมแล้ว
แต่ถือว่า Whal & Dolph ปล่อยเพลงถี่มากนะ
ปอ: อันที่จริงถ้าเราไม่อยู่ค่ายเราจะปล่อยเพลงถี่กว่านี้อีก (หัวเราะ) ค่ายเบรกเราไว้
น้ำวน: เพราะค่ายต้องรอสล็อตปล่อยศิลปินคนอื่นด้วย ก็เป็นเรื่องดีแหละ แต่เราใจร้อน คือเราชอบมองว่าพอมันเริ่มซาแล้วเราก็จะซัด ตู้ม เราแต่งเพลงไว้เยอะมาก มีเพลงรอแล้วอะ ก็เหมือนการตลาดอีกแบบนึงที่เราไม่ต้องรอไตรมาสใด ๆ ทั้งสิ้น ฉีกกฎไปเลย แค่ซัดเลย
ใช้เวลาทำกันนานไหม
น้ำวน: คือเราทำเพลงกันมาอยู่แล้ว 4-5 เพลง ที่มีไฟล์มาสเตอร์อยู่แล้ว แล้วพอเข้า What the Duck เราก็ขอเขาทำอัลบั้ม แล้วก็คิดว่าจะทำยังไงให้ทันงาน Cat Expo ซึ่งตอนนั้นเหลือเวลาประมาณสองเดือน แล้วเหลืออีก 9 เพลง แล้วก็ทำทัน ไม่ได้ไฟไหม้ขนาดนั้น เสร็จก่อนประมาณ 2 อาทิตย์
ดูง่ายไปหมดเลย มีอุปสรรคอะไรระหว่างทำบ้างไหม
น้ำวน: มันมีอยู่ไม่กี่อย่าง เหมือนอย่างวันที่เอิ๊ตมาอัดร้องอันนั้นจะช้ากว่าที่เคยทำ เพราะเราควบคุมไม่ได้ เป็นคนอื่นมาก็ต้องค่อย ๆ จูนให้มันดีที่สุด เพราะไหน ๆ เขาสละเวลามาอัดกับเราแล้วเราก็ตั้งให้เวลากับเขาด้วย
ปอ: พวกเราอัดเพลงกันเร็วมาก คนละเทคสองเทคเงี้ย วันละเพลงสองเพลง พี่ท็อปก็อัดเร็ว อย่างเพลงนานนาน คืออัดร้องเทคเดียว ไม่อีดิต รู้สึกโชคดี จริง ๆ
น้ำวัน: มีวันนึงปออัดร้องสามเพลงไปเลย แล้วก็อัดเพลงอื่นด้วย เวลาออกห้องอัดก็ไม่ค่อยเลต
ถ้าคุณคิดว่าของคุณดีจริง ๆ คุณต้องโปรโมตมันก่อน ซึ่งขั้นตอนการโปรโมตมันก็เหมือนทุกบริษัทอะ คือต้องลงทุนลงแรงของคุณ คุณยอมได้ไหมกับการที่จะไปเล่นฟรีเพื่อให้ทุกคนได้เห็นผลงานของคุณ ผมเชื่อว่ามันไม่มีใครได้รับค่าตัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เล่นอยู่แล้ว คุณไปเล่นเถอะ เล่นให้เยอะที่สุดจนกว่าจะมีคนมาจ้างคุณ เพราะถ้าเขาอยากเห็นคุณเล่นอีกครั้งนึง แปลว่าคุณเล่นได้ดีพอแล้ว — ปอ
ชอบเพลงไหนที่สุดในอัลบั้ม
ท็อป: ผมชอบ โอ๊ย ครับ น่าจะเป็นไลน์เบสที่ซับซ้อนที่สุดในชีวิตที่ผมเคยคิดมาแล้วครับ ถ้ามหัศจรรย์ธรรมดามันก็เป็นเพลงค่อนข้างง่าย ส่วนประกอบดนตรีผมไม่ค่อยได้คิดอะไรที่ซับซ้อน แล้วมันเป็นแนวที่ไม่เคยทำ พอได้ทำก็สนุกดี แล้วมันก็เป็นความสดด้วย ไม่ได้คิดแล้วมานั่งแก้ คิด เปลี่ยนนิดเดียว แล้วเอาเลย (ปอ: เพลงส่วนใหญ่ของวงเราจะเป็นแบบนี้) อย่างเพลง ละเมอ ผมไปนอนหอไอ้ปอ แต่งเบสตอนกลางคืน ตอนเช้าอัดเลย พอมันสดแล้วมันดีครับ เหมือนเวลาอัดอะไรหลาย ๆ เทคแล้วบางทีเทคแรกอาจจะไม่ได้เนียนแต่มันก็ดีที่สุด
ทัน: จริง ๆ ชอบหลายเพลงเลยอะ แต่ตอนนี้ นานนาน แน่ ๆ (หัวเราะ) บางทีมันก็เป็นเพลงที่สนุกตอนที่เล่น บางทีมันก็เป็นเพลงที่เศร้าไปด้วยครับสำหรับผม มันเหมือนสองขั้ว
น้ำวน: เราชอบ ฉันยังเก็บไว้ ที่สุด คือเราจะฟังอัลบั้มในรถบ่อยมาก เหมือนทุกครั้งที่แทร็คนี้รันขึ้นมาก็จะอยากฟังอีกเพราะเพลงมันสั้น ชอบความสวยงามของทุกอย่างในเพลง อบอุ่นมาก (ท็อป: แต่จริง ๆ ก็เปลี่ยนเพลงที่ชอบไปเรื่อย ๆ) ใช่ แล้วแต่ช่วง
ปอ: เก็บเธอเอาไว้ดูก่อน ครับ แผลสดครับ คือตั้งแต่แต่งเพลงนี้เสร็จเรารู้สึกภูมิใจมากที่ได้แต่งมันออกมา มันเป็นเมโลดี้ที่พิเศษสำหรับเรา ทำไมไม่รู้ เราแต่งเสร็จแล้วเอามาโชว์ให้ทุกคนดูว่าแต่งเพลงนี้ได้ มันเพราะมาก มันดีกับตัวเรามากที่ได้แต่งเมโลดี้อะไรแบบนี้ออกมา รู้สึกภูมิใจกับทั้งดนตรี ทั้งเนื้อเพลง เนื้อหาของมัน อาจจะเป็นความแย่ที่สวยงามก็ได้นะ คือมันแย่แต่มันก็สวยงามสำหรับเรา (FJZ: ไม่ต้องร้องไห้นะ) หมายถึงตอนที่แต่งเพลงนี้สิ แต่เอฟเฟกต์แบบในเพลงมันไม่เกี่ยวกัน
อัลบั้มหน้า สีสันของเพลงจะต่างจากชุดที่นี้ไหม
ปอ: แน่นอนเลยครับ น่าจะเป็นเพลงฟังที่โยกได้มากขึ้น เพราะด้วยแล้วก็เต้นได้มากกว่านี้
น้ำวน: อัลบั้มแรกเราตั้งใจจะให้เป็นเพลงฟัง ตอนเล่นมันจะไม่ได้มีเพลงที่สนุกขนาดนั้น แต่อัลบั้มหน้าเราคิดว่ามันน่าจะต้องมีเพลงสนุกมากขึ้น อันนี้แค่ยักไหล่เบา ๆ
อยากร่วมงานกับใครอีกในวงการเพลง
ปอ: จริง ๆ ก็มีคนแอบมาชวนเหมือนกัน พี่โป้ โยคีเพลย์บอย คือเขาเคยแชร์เพลง โอ๊ย แล้วเราก็ทักไปคุยบอกว่าชอบพี่เขามาก พี่เขาก็บอกว่าดีใจที่ทำเพลงแบบนี้ออกมา ชอบ mv มากเลย เขาก็ขอเบอร์เราไว้ แล้วก็มีไปเจอเขาที่งาน Fungjai Awards เดินมาเกาะไหล่ ‘เฮ้ย ไอ้หนุ่ม เรามาทำอะไรด้วยกันดีไหม มาทำเพลงด้วยกัน’ แต่หลัก ๆ เขาอยากเล่น mv เขาชอบ มันดูบ้าน ๆ ดี เลยบอกพี่โป้ว่า ‘เดี๋ยวไว้เจอกันนะพี่’ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทักพี่เขาไปเลย (หัวเราะ) เพราะเราเหนื่อยมาก ก็คิดว่า มีแพลนไว้แล้วแหละ เดี๋ยวเจอกันนะครับ ฝากบอกพี่โป้ด้วย จริง ๆ เราวางแพลนให้อัลบั้มสองจะมีเพลงที่พี่โป้ร้อง แต่พี่โป้ยังไม่รู้ตัว (หัวเราะ) อยากไปกินร้านอาหารพี่โป้
น้ำวน: พี่โป้เปิดร้านอาหารใต้
ใครเป็นนักแต่งเพลงที่ชอบที่สุด
ปอ: ยากเลย หลายคนอะ เอาจริงชอบพี่เมื่อย Scrubb พี่โป้ โยคีเพลย์บอย แล้วก็คนแต่งให้อาร์มแชร์ หลายเพลงอะ เอาจริงก็ชอบ พี่บอย โกสิยพงษ์ น่าจะสี่คนนี้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราจริง ๆ
น้ำวน: ผมชอบคนที่แต่งเพลงให้ปาล์มมีอะ ไม่รู้ว่าเขาแต่งเองหรือเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่ทุกเพลงที่เขาร้องผมจะชอบเป็นการส่วนตัว ไม่รู้ว่าเป็นใคร
ทีแรกอยากมีค่ายอยู่หรือเปล่า
น้ำวน: ช่วงนั้นเริ่มอยากมีค่ายอยู่แล้ว คือเราเล็งไว้สองค่ายแหละ แล้วหนึ่งในนั้นก็มี What the Duck คือพี่เมื่อย Scrubb ชวนไปเล่นงาน Dood ที่เขาจัด เขาก็บอกว่า เพื่อนเขาที่ชื่อบอลอะ สนใจนะ (หัวเราะ) แล้วพี่เมื่อยก็บอกว่าให้คิดดูดี ๆ เพราะแกก็เชียร์ให้เราทำงานเอง แล้วพี่บอลก็ชวนมาคุยที่ค่ายแบบยังไม่ต้องตกลงก็ได้ เราก็ถามเขาว่าถ้าเรามาเราขอทำอัลบั้มเลยได้ไหม เขาก็บอกว่าได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร เหมือนเราได้ทำงานกับศิลปินที่เราชอบ แล้วเขาก็ชอบเราด้วย พี่บอลบอกว่าส่วนใหญ่ศิลปินที่เขาเลือกมาต้องเป็นแฟนคลับวงนั้นก่อน
ปอ: พี่บอลบอกว่าเขาฟังตั้งแต่เพลง ยิ้ม แล้ว พี่เมื่อยส่งให้ฟัง แล้วเขาบอกว่าไลน์กีตาร์วงนี้ไม่ธรรมดานะ ก็รู้สึกว่าเขารู้จักเราจริง ๆ ไม่ได้ผิวเผิน ก็เลยดูน่าสนใจ
ทำไมมิวสิกวิดิโอใช้นักแสดงชุดเดียวกันหมดเลย มีกิมมิกอะไรหรือเปล่า
ปอ: ไม่มีงบครับ (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า ตอนเราทำเพลง ยิ้ม มันก็ไปตามสูตรมิวสิกวิดิโอผู้หญิงน่ารักเนี่ยแหละ
น้ำวน: แล้วเราก็คิดว่าไม่น่ารอด เหมือนผู้หญิงไม่ได้เป็นความสนใจของคนที่เป็นแฟน Whal & Dolph ก็เลยคิดว่าถ้าเป็นพวกเราเองหรือน้อง ๆ ใน mv น่าจะดีกว่า
ปอ: มันก็น่ารักในสไตล์ของมันแหละ แต่ตัวที่สองเราอยากให้เข้มข้นขึ้น ในเพลง โอ๊ย มันน่าจะไปถ่ายที่ทะเลนะ แล้วช่วงนั้นเรามีไปเล่นที่จันทบุรีพอดี ก็มีไอ้พวกน้อง ๆ ที่เราสนิทด้วย ตามไปด้วย คือจะไปเที่ยว เราก็บอกว่าถ้าพวกมึงจะตามไปเที่ยวก็ไปถ่าย mv ด้วยนะ ไปเล่นเป็นแต่ละบทให้หน่อย แล้วเราก็ไม่ได้แพลนว่าใครจะเป็นอะไร ไม่มีสคริปต์ มีแค่โครงว่าเราจะถ่ายคนทุกคนที่อยู่ในนั้นเป็นชาวประมง แล้วชาวประมงพวกนี้จะต้องผิดหวังในความรัก แล้วก็ต้องเต้น ก็มีแค่สามอย่างนี้ ทั้งวันถ่ายตั้งแต่หกโมงเช้าถึงหกโมงเย็น แล้วไม่ได้ดูโลเคชันมาก่อน เพราะเราไปเล่นที่จันทบุรีก็เสร็จดึกมาก เดี๋ยวลองไปขับหาทะเลดูละกัน ไปตอนเที่ยงคืน ก็คิดว่าเอาตรงนี้ละกัน แต่ไม่เห็นอะไรเลยนะ แต่พอตอนเช้านี่คือสวยมาก เอาตรงนี้แหละ ก็มานั่งสัมภาษณ์ทีละคนว่าอยากเล่นบทอะไร ก็คิดสคริปต์ตรงนั้น อย่างไอ้ตี๋เล็กหน้าเด๊ดเป็นคนที่ต้องรอ คือตี๋มีคนที่เคยชอบแล้วเขาอยู่ต่างประเทศ แต่เขาไม่กลับมากูจะคิดถึงเขาไหม ตอนนั้นพี่ท็อปก็อกหักอยู่ ถามว่าทำไมพี่ท็อปต้องมากินปลาที่นี่คนเดียว ก็บอกว่า อ๋อ ก็เขาไม่มากับเราแล้ว เขาไปกินกับคนอื่นแล้ว เหมือนเอาเรื่องจริงมาเล่นด้วยอะ (หัวเราะ) เหมือนเอาเรื่องจริงปนเล่นมาผสมกัน แล้วจับทุกคนมาเต้น ตัดออกมากลายเป็น mv
น้ำวน: ก่อนที่จะมีน้องชวนไปเล่นที่จันทบุรี เรามีคิวถ่าย mv เพลงนี้อยู่แล้ว แต่จะไม่ได้ไปถ่ายที่จันทบุรี เลยล็อกคิวทุกคนว่าวันนี้ว่างตรงกัน พอมันมีงานที่นั่นมาแทรก ทีแรกเขานัดมาแล้วเราแคนเซิลไปแล้ว เพราะจะถ่าย mv แล้วอยู่ดี ๆ ปอก็บอกว่าที่นั่นก็มีทะเลนะ ก็เชี่ย โทรกลับไปดีกว่า ก็ถือโอกาสไปเล่นแล้วไปถ่าย mv ด้วย ก็ดีที่เราล็อกคิวไว้แล้ว ไม่งั้นคนก็ไม่น่าจะไปเล่นให้เยอะขนาดนี้
ปอ: ตั้งแต่ครั้งแรกที่ตัด mv เรารู้สึกว่าตัวนี้มันดีมาก คือดูแล้วอึดอัด บวกกับตลกด้วย ถ้าจำความรู้สึกที่ได้ดูเพลง โอ๊ย ครั้งแรก มันดีมากเลยเว่ย
น้ำวน: ซึ่งตอนแรกเรารู้สึกว่ามันมีความเสี่ยง เคยคุยกับตี๋เล็กว่า เออ เราดูแล้วเราชอบมาก แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะชอบไหม เพราะคนที่มาเล่นไม่มีใครเป็นนักแสดงเลย หน้าใหม่หมดเลย มีแค่ตี๋เล็กที่คนน่าจะเคยเห็นหน้ามาบ้าง แต่เราดูแล้วชอบมาก เราชอบแล้วอะ คนอื่นก็ต้องมีคนชอบบ้างแหละ ทุกวันนี้พวกน้อง ๆ นี่มีแฟนคลับนะ เวลาไปทัวร์ด้วยกันมีคนมาขอถ่ายรูป
ทำไมไม่เล่าเรื่องตามเนื้อหาในเพลงตรง ๆ ต้องคิดออกมาเป็นเหมือนหนังสั้นอีกเรื่องนึงไปเลย เล่าที่มาของแต่ละเพลงให้ฟังหน่อย
ปอ: เล่าตรง ๆ มันก็ไม่หนุกดิ แต่ไม่ได้แปลว่าทุกเพลงของ Whal & Dolph จะเป็นอย่างนี้หมดนะ เดี๋ยวคนก็เบื่อแล้ว เราก็จะฉีกไปเรื่อย ๆ ตัวหน้าอาจจะเปลี่ยนไปอีกแบบ ละเมอ มันมีไอเดียมาว่า มันเหมือนกับที่คุณยังละเมอถึงอะไรสักอย่าง
น้ำวน: เราแทนพญานาคด้วยการเป็นความเชื่ออะ ทีแรกมี reference เป็นหนังตลก
ปอ: ตอนแรกจะทำเป็น ‘RRRrrrr!!! ไข่ซ่าส์! โลกา…ก๊าก!!‘ แต่คิดไปคิดมามันดูยาก แล้ววันที่เราแชร์เสื้อลายแรกที่เป็นคนถือปลา เราได้ไอเดียมาจากคนถือพญานาค ก็คิดว่าน่าจะเอามาทำ mv ตัวใหม่ด้วย เพราะพญานาคเป็นสิ่งที่มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อว่ามันจะมีอยู่จริง เหมือนชายคนนึงกำลังตามหาคนรัก แต่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่ละคนก็เล่าพญานาคในแบบของตัวเอง บางคนก็เจอแล้วน้า มีความสุขดี บางคนมีลูกกับพญานาค บางคนก็ตามหามานานแล้วยังไม่เจอ ส่วนไอ้พระเอกมันก็ตามหาอยู่ ประมาณนั้น
ส่วนเพลง หากมันจะสายเกินไป ที่เป็นนักมวยตกอับ มันเป็นไอเดียตอนเราไปเล่นที่ขอนแก่นกันปีที่แล้ว เรานั่งกินข้าวกันอยู่แล้วหันไปเจอทีวี เป็นละครตอนเช้า มีสามตลกดังของไทยเล่น เราก็คิดว่า แล้วเขาจะคิดถึงอดีตของตัวเองไหมที่เคยรุ่งโรจน์มาก่อน เพราะตอนนี้มันอาจจะสายเกินไปแล้วที่เขาจะกลับมาเป็นนักมวย ตอนแรกจะเอานักมวยดังมาเล่น แต่คิดไปคิดมา ไม่มีงบ (หัวเราะ) ก็เลยเอาไอเดียต้นไปให้เม้ง Beam Wong คิดต่อ ตัวนี้เราไม่ได้เป็นคนทำทั้งหมดเหมือนตอน ยิ้ม โอ๊ย ละเมอ ทีแรกอยากทำเองทุกเพลง แต่ช่วงนั้นยุ่งมาก ไม่มีเวลา ประจวบกับเม้งอยากทำด้วย ก็อยากเห็นเม้งทำในรูปแบบของเม้ง พอออกมามันก็เป็นฟีล ๆ เม้งดี เข้าใจยากหน่อย แต่ถ้าดูแล้วเก็ตก็จะรู้ว่า นี่แหละ คนที่อดีตเคยสวยงาม เคยยิ่งใหญ่มาก่อน พอตกอับมาทำสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ แต่คุณก็ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นกับคุณแล้ว มันก็เหมือนกับที่คุณเคยมีความรัก คุณสุขสำราญ แต่สุดท้ายวันนึงคุณอาจจะผิดหวังกับมัน คุณมองกลับไปได้แต่คุณไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้ คุณยอมรับมันได้หรือเปล่า
ปอ: ตัวล่าสุด ก๋วยเตี๋ยว (จตุพงศ์ รุ่งเรืองเดชาภัทร์) ก็อยากทำ เอาไอเดียต้นไปเสนอ
น้ำวน: ตอนนั้นนั่งกินข้าวต้มอยู่หน้า Play Yard เจอหนังเรื่อง ‘The Devil’s Advocate’ ที่มันเป็นศาล เราชอบภาพที่ใส่สูทเก่า ๆ แล้วมีไอเดียมาว่า ถ้าผู้หญิงไปฟ้องศาลเพราะผู้ชายไม่ยอมคบด้วย มันก็น่าสนใจ ก็ไปโยนให้เตี๋ยวทำต่อ ก็ทำออกมาได้น่ารักดี แบบมานั่งคุยกันแล้วเข้าใจว่าเราต้องการแบบนี้ เข้าทางเตี๋ยวอยู่ประมาณนึง แต่เราว่าจะเปลี่ยนผู้กำกับไปทุก mv เพราะมีคนสนใจเยอะมาก แต่อันหน้านี่ดูก่อน มันหนีความประสาทแดกไปไม่ได้แน่นอน เราชอบแบบนั้น แต่เดี๋ยวก็ต้องดูว่าจะออกมามากน้อยขนาดไหน มันเหมือนเป็นงานคราฟต์ชิ้นนึง แต่ก็คงไม่ได้มาในแบบซีเรียสขนาดนั้น คงมาแนว absurd แต่ดูแล้วก็น่าจะได้อะไรนะ ไม่ได้ไร้สาระทิ้ง ๆ ไว้เฉย ๆ
แล้วได้ทำ mv ให้คนอื่นบ้างไหม
น้ำวน: เคยทำนะ แต่ไม่เคยทำสไตล์นี้ไปขายที่ไหน มันไม่ค่อยมีใครซื้อหรอก (หัวเราะ) ต้องทำเองถึงจะได้ทำอะไรแบบนี้
ปอ: แต่เราก็จะมีอะไรสอดแทรกเยอะมากถ้าคนเคยดู เราเคยเขียนไว้ ป้ายที่พี่เอม Slur ถือ จะเขียนว่า WTD คือ What the duck ที่เราอยากจะเข้าไปอยู่ในตอนนั้นแต่ยังไม่ได้อยู่ (น้ำวน: แต่เราสปอยล์คนอื่นไปเรียบร้อย) แล้วพี่เอมก็ถือแก้วสเลอปี้ เพราะอยู่วง สเลอ อะไรอย่างเนี้ย ก็ตลก ๆ กวนตีน ๆ
งานเล่นสดที่ไหนประทับใจที่สุดและเฟลที่สุด
น้ำวน: เฟลที่สุดน่าจะเป็นงานที่ตรัง คือเจ้าของร้านเขาอยากดูเราเลยจ้างไป แต่ที่นั่นเราไม่มีแฟนเพลงเลย มีแค่โต๊ะเดียว ขับรถมาจากต่างจังหวัดอีก แต่ตอนนั้นเราก็โอแหละ คิดซะว่าไปเที่ยว ได้ตั๋วเครื่องบินไปด้วย แต่ร้านไม่ค่อยมีคนและฝนตกหนักวันนั้น เล่น ๆ อยู่มีคนเข้ามาขอเพลงอื่นที่ไม่ใช่เพลงเรา ก็เฟล ๆ แต่ไม่ได้ดาวน์มาก แต่งานประทับใจมีหลายงานมาก
ท็อป: เรื่องเฟลผมเฉย ๆ มาก เพราะผมไปเล่นกับเอิ๊ต ผมผ่านงานที่บัคกว่านี้ แล้วเคยเล่น ๆ อยู่มีคนมาขอเพลงเพื่อชีวิต คือหนักกว่า Whal & Dolph ไปตรังเยอะอะครับ ถ้าเป็นงานที่เหงาที่สุดก็น่าจะเป็นงานนั้นแหละ คือวงเนี้ย งานที่ผมเคยไปเล่นถือว่าวงนี้มีแฟนเพลงที่น่ารัก มีงานนึงเล่นข้างนอก แล้วมีมหัศจรรย์ธรรมดาเล่นก่อน Whal & Dolph เล่นปิด เล่นเสร็จมีวงคั่นสักพัก ตำรวจมา เขาไม่ให้เล่น จากลานตรงนั้นก็ต้องย้ายเข้ามาข้างในห้องกระจกที่แคบมาก ๆ แต่แฟนเพลงของวงนี้น่ารักมาก ไม่มีใครบ่น เลตมาก ๆ แต่ไม่มีใครหงุดหงิด ทุกคนรอดูได้ ก็เป็นบรรยากาศที่ดี
น้ำวน: งานที่ประทับใจผมที่สุดคือที่ลาดกระบัง Art Street มันเป็นปรากฏการณ์เหมือนกันนะ คุยกับเด็กลาดกระบังแล้วเขาบอกว่าไม่เคยเห็นคนมาเวทีเล็กเยอะขนาดนี้ คือเราเล่นเวทีเล็ก แล้วคนเป็นพันมาดู เขาก็บอกว่าที่ให้วงเราเล่นเวทีเล็กเพราะอยากดึงคนมาบ้าง ตอนแรกก็แอบกังวลว่ามันจะเป้นยังไงวะ แต่พอถึงเวลาจะขึ้นนี่คนเยอะมาก แล้วเขาร้องเพลงเราได้หมดเลย เป็นภาพที่น่าดีใจ
ปอ: ของผมเป็นวันที่เราจัดปาร์ตี้คริสต์มาสกับแฟนเพลง เล่นทุกเพลงในอัลบั้ม แล้วมีเพลงนึงคือ ฉันยังเก็บไว้ ที่ต้องร้องกับเอิ๊ต จริง ๆ เราเพิ่งปล่อยอัลบั้มได้ไม่นานนะ ก่อนคริสต์มาส (ท็อป: เพิ่งปล่อยมาครึ่งเดือนเองมั้ง) แล้วเราบอกว่า เอิ๊ตไม่อยู่ ให้ทุกคนร้องเป็นเอิ๊ตได้ไหม ซึ่งทุกคนร้องได้ เล่นเพลงนั้นจบเกือบร้องไห้อะ รับแค่สามสิบคนเพราะเราอยากให้คนมาแค่นั้น ซึ่งเป็นแฟนเพลงจริง ๆ ที่เขาร้องได้ แล้วมันอบอุ่นมาก เป็นงานเล็ก ๆ ที่มีแต่คนอยากรู้จักเราจริง ๆ (น้ำวน: เป็นงานลับ จัดที่ Play Yard ช่วงกลางวัน มันก็มีบางคนบินมาจากต่างจังหวัด ไกลมาก น่าจะอุดร) บินมาดูเสร็จแล้วกลับเลย แล้วเขาก็มีความสุขอะ (น้ำวน: ถ้าเขามาแล้วเขาไม่สนุกเราจะเฟลมาก) เราจะเล่นให้เขาฟังทุกเพลงที่เรามีอยู่ตอนนั้น (น้ำวน: เขาก็ทักมาบอกว่าไม่เสียดายตังเลยที่มา รู้สึกดีมาก)
คนที่อดีตเคยสวยงาม เคยยิ่งใหญ่มาก่อน พอตกอับมาทำสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ แต่คุณก็ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นกับคุณแล้ว มันก็เหมือนกับที่คุณเคยมีความรัก คุณสุขสำราญ แต่สุดท้ายวันนึงคุณอาจจะผิดหวังกับมัน คุณมองกลับไปได้แต่คุณไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้ คุณยอมรับมันได้หรือเปล่า — ปอ
น้ำวน เป็น ‘วาฬ’ ปอ เป็น ‘โลมา’ แล้วคนอื่น ๆ ในวงเป็นตัวอะไรกันบ้าง
ปอ: ทุกคนที่มาเล่นให้เรามีชื่อหมด พี่ท็อปเป็น ‘ซาบะ’ เพราะเขาดูเหมือนคนญี่ปุ่น ทันเป็น ‘ปลาหมอ’ เพราะ (FJZ: ตายเพราะปาก?) ไม่ใช่ (หัวเราะ)
น้ำวน: ทันเคยเล่น mv บอกว่าเป็นหมอ มียาสมุนไพรคอยรักษา (ปอ: เพลง Plastic Plastic เป็นปลาทอง เพราะตาโต) เรนนี่เป็นฉลาม เพราะ ตอนนั้นบอกว่าจะใส่ชุดฉลามมาเล่น (ปอ: ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้ภัคธ์ ภัคธ์บอกขอชื่อด้วย) ล่าสุดภัคธ์ได้เป็น ‘ปลาภัคธ์กะเป้า’ แล้ว — FJZ
ฝากผลงาน
น้ำวน: ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยไปก็เป็นเพลง เก็บเธอเอาไว้ดูก่อน นะครับ เข้ากับจังหวะชีวิตดอล์ฟช่วงนี้ (ปอ: ไม่ตรงแล้ว! กูหลุดออกมาแล้ว) อ๋อ (หัวเราะ) แต่จริง ๆ เพลงนี้เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม ถ้าใครเป็นแฟน Whal & Dolph ก็น่าจะเคยฟังครับ ส่วนสำหรับใครที่ยังไม่เคยฟังก็ลองดูครับ ถ้าชอบก็ฟังเพลงอื่น ๆ ด้วย
ปอ: เราคิดว่าคนน่าจะเคยฟังในแทร็คบ้างแล้ว แต่ไปดูเราเล่นสดดีกว่า จะได้พบกับประสบการณ์ที่แตกต่างจากการฟังซีดีแน่นอนครับ
SIDE STORY
ปกติดู Netflix กันไหม
WD: ดูครับ
น้ำวน: แต่ตอนนี้เพิ่งเข้ามาในลัทธิ ยังดูไม่หลายเรื่องเท่าไหร่ ดู Stranger Things, Black Mirror, Narcos
ปอ: ชอบ Black Mirror มาก ๆ ชื่อตอน San Junipero มันเกี่ยวกับการใช้ชีวิต… ไม่สปอยล์ละกัน (น้ำวน: เป็นตอนที่ดีมาก ๆ ตอนนึง)
ชอบดูหนังที่บ้านหรือในโรงมากกว่ากัน
น้ำวน: ถ้าโสดจะชอบดูที่บ้าน แต่ตอนนี้มีแฟนแล้วก็ดูในโรงบ่อยมาก (FJZ: อ้าว มีแฟนก็ดูที่บ้านได้) (หัวเราะ) เอาจริง ก็ไม่ค่อยดูหนังแบบที่เป็นตอนเดียวยาว ๆ ที่บ้าน ถ้าอยู่บ้านก็จะดู Netflix ดูซีรีส์ อ่านการ์ตูน แต่แบบนี้ชอบเข้าไปดูในโรงมากกว่า
ปอ: จริง ๆ ชอบดูหนังที่ไหนก็ได้ที่เป็นหนังที่เราอยากดู แต่คงชอบในโรงมากกว่าเพราะมันมีสมาธิมากกว่า (น้ำวน: เออ ใช่ ก็เราเสียตังไปดูในนั้นแล้ว มือถือก็ไม่ได้ใช้ เล่นไม่ได้ ก็ต้องตั้งใจดู นั่นก็เป็นส่วนประกอบแหละให้หนังมันดูได้อรรถรสมากขึ้น)
ชอบหนังแนวไหน
ปอ: หนังชีวิต ชีวิตของคน ชีวิตรัก ดราม่า เป็นพ่อค้ายา พ่อค้าเพชร ชอบดูเพราะรู้สึกว่ามันได้เอาตัวเองไปอยู่ในอีกโลกนึงที่เราไม่มีทางไปอยู่แน่นอน ท่ามกลางการยิงเพื่อแลกเพชรอะ แต่เขาไปศึกษาอะไรเกี่ยวกับตรงนี้แล้วเอามาทำเป็นหนังให้เราเห็นชีวิตของคนพวกนั้น เราว่ามันน่าตื่นเต้นที่ได้ไปอยู่ในโลกนั้น
น้ำวน: ผมชอบดูหนังโรแมนติกคอมเมดี้ เพราะไม่ชอบดูหนังดราม่าเครียด ๆ เท่าไหร่ ชอบหนังที่ดูแล้วอมยิ้ม สนุก ๆ กับชอบหนังพวก last minute rescue ที่แบบ ดูไปแล้วอึดอัดมาก ๆ จนวินาทีสุดท้ายต้องมาลุ้นว่าจะช่วยได้หรือเปล่า สมัยนี้มันไม่ค่อยมีแบบนั้นแล้ว อย่างเรื่องล่าสุดที่ดูเป็นเรื่อง Argo ที่เขาปลอมตัวเป็นคนทำหนังเพื่อไปช่วยตัวประกันออกมา ตื่นเต้นมากกกก
ถ้า Whal & Dolph เป็นหนัง จะเป็นแนวไหน ใครกำกับ ใครแสดงนำ แล้วปอกับน้ำวนจะเล่นเป็นใคร
น้ำวน: เราน่าจะอยู่ในโซนหนังอินดี้ปะ (ปอ: ไม่เชิง หนังตลก พจน์ อานนท์ (หัวเราะ)) น่าจะเป็นหนังแก๊กปะ รู้จักใครก็อยากให้มาร่วมงานด้วย
ปอ: แต่เอาจริงกูชอบ เป็นเอก รัตนเรือง นะเว้ย พวก ‘ตลก69′ (น้ำวน: เออ หรือเราเหมาะกับตลกร้ายวะ พจน์ อานนท์ ตลกคาเฟ่ไปอะ) ใช่ เราเป็นแบบตลกร้าย ที่น่ารัก น่าจะเป็นหนังโรแมนติกที่มีความเป็นตลกร้าย ให้เป็นเอกกำกับดีกว่า
น้ำวน: ส่วนตัวชอบ เรย์ แม็คโดนัล แต่เราจะเล่นเป็นมือขวาตัวโกง ตั้งแต่เด็กแล้วไม่ชอบเป็นตัวหลัก อย่างคนชอบจูเรนเจอร์จะอยากเป็นตัวสีแดงกัน เราก็ขอเป็นสีน้ำเงิน ตัวที่ดรอปกว่า ส่วนตัวไม่ชอบตัวที่เด่นมาก ออกมาน้อยแต่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง
ปอ: ชอบ พลอย เฌอมาลย์ เหมือนกันนะ แต่ขอยุคใหม่หน่อย.. ไม่ค่อยได้ดูหนังเลยว่ะ เอาเป็นหนังที่มีพระเอกอย่างเดียวดีกว่า… รู้ละ นางเอกเป็นปาล์มมี น่าจะเท่ดี อยากเห็นเขาเล่นหนัง ส่วนเราขอเป็นน้องชายพี่เรย์ละกัน (หัวเราะ) ถ้ามีพี่ที่เท่ก็คงดี