ภูมิจิต: ชีวิตจริง
- Writer: Gandit Panthong
- Photographer: Thanawat Petchan
- Stylist: Varachaya Chetchotiros
- Art Director: Pitshaya Chonato
ภูมิจิต คือ วงดนตรีป็อบเพื่อชีวิตที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนได้แก่ พุฒิ – พุฒิยศ ผลชีวิน (ร้องนำ) , กานต์ – เกษม จรรยาวงศ์ (กีต้าร์) , บอม – ธิตินันท์ จันทร์แต่งผล (เบส) , แม็ก – อาสนัย อาตม์สกุล (กลอง) ผลงานที่ผ่านมาของพวกเขาคือ อัลบั้ม Found And Lost , Bangkok Fever , Home Floor และซิงเกิ้ล รั้น
ฟังเพลงของพวกเขาได้ทั้งหมดได้ที่ http://fungjai.com/artist/Poomjit
แฟนเพลงบางคนจู่ๆ ก็ทักมาหาเราในเฟสบุ๊คบอกว่าผมเลิกยาได้เพราะฟังเพลงพี่ มันเป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าเพลงที่ทำมันสร้างประโยชน์ให้กับคนฟังจริงๆ ตอนทำเพลงก็คิดเสมอนะว่าเพลงวงเรามันต้องให้คุณค่าอะไรกับคนได้ ดีใจที่เพลงของวงเรามันมีค่า
Born To Be Rockstars
“สวัสดีครับต่อหน้าผู้อ่าน ขณะนี้คือวงภูมิจิตครับ” คำกล่าวทักทายที่สุดแสนจะคุ้นเคยยิ่งนัก หากใครได้ดูการแสดงสดของวงนี้ ในบทสนทนานี้ที่ทุกท่านกำลังจะได้อ่านนั้น วงภูมิจิตจะมาเปิดใจถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาของพวกเขา เรื่องราวของอัลบั้มใหม่ที่กำลังเร่งทำกันอยู่ ชีวิตประจำวันของแต่ละคนเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตของพวกเขา มารับรู้เรื่องราวของวงดนตรีที่ให้พลังชีวิตไปพร้อมๆ กันกับวงดนตรีที่เรียกได้ว่า เป็นกลุ่มคนดนตรีที่มีคุณค่าอีกวงหนึ่ง
การเดินทางของวงภูมิจิตตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีกันรึเปล่า ?
พุฒิ: การเดินทางของวงภูมิจิตตอนนี้บางคนก็นั่งรถเมล์อยู่ บางคนก็นั่งเรือ แต่เรารู้ว่าเป้าหมายที่เดินทางไปไหนอยู่ตรงไหน จริงๆ ภูมิจิตทำอัลบั้มใหม่กันมาเรื่อยๆ นะ แต่ว่ามันเหมือนมีเรื่องหนึ่งที่ติดในใจเรามาตลอด เรารู้สึกว่า ถ้าเขียนเพลงใหม่ในช่วงก่อนหน้านี้เยอะ มันจะเป็นการเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่เยอะมาก มันเหมือนอยู่ในช่วงที่รอการตกผลึกชุดความคิดต่างๆ มากกว่า แล้ว ณ ตอนนี้ เรารู้สึกว่า พร้อมแล้วที่จะเล่าเรื่องอะไรก็ได้และมีเวลาในการมุ่งหน้าทำอัลบั้มใหม่อย่างเต็มที่แล้ว
บอม: ส่วนเราเดินทางแบบผาดโผนมากครับ ขนาดตอนที่ให้สัมภาษณ์อยู่ยังมีงานนอกแทรกมาอยู่ตลอดเลย ตอนนี้ก็เล่นดนตรีอยู่สองวง Dead Flower กับ ภูมิจิต ครับ
แม็ก: สำหรับผมชีวิตตอนนี้ก็วุ่นวายครับ เป็นการใช้ชีวิตแบบทำหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ต้องใช้พลังร่างกายและจิตใจค่อนข้างมาก ซึ่งต้องโทษความเฮงซวยของวงการเพลงไทยด้วยที่มันทำให้ศิลปินต้องมาทำโน่นทำนี่กันไปหมดเลย หลักๆ เราเล่นดนตรีตอนนี้อยู่ 3 วงนะ วงแสงระวี, Super Glasses Ska Ensemble และก็วงภูมิจิต ครับ
กานต์: ตอนนี้ของผมก็ถ่ายรูปอย่างเดียวครับแล้วก็ภารกิจใหม่เพิ่งเกิดขึ้นด้วยก็คือ การเลี้ยงลูกครับ
สถานะใหม่ของกานต์และแม็ก
กานต์: เป็นคุณพ่อแล้วครับตอนนี้ก็ยุ่งขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย เราจะไปลัลล้ากับชีวิตไม่ได้แล้ว เวลาส่วนตัวจะน้อยลง ส่วนใหญ่ตอนนี้ดูแลเรื่องงานกับดูครอบครัวเป็นหลักครับ
แม็ก: เหมือนกานต์เลย เรื่องเวลาไปเฮฮาจะหายไปเลย แต่ก็แปลกอย่างหนึ่งที่เราเองก็รู้สึกไม่อยากจะเที่ยวแล้วด้วย พอมีครอบครัวแล้วมันก็เปลี่ยนไปเอง มันจะไม่มีอารมณ์ของการอยากออกไปเที่ยว ที่สำคัญไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตถึงดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม ต้องคอยส่งเมียไปทำงานครับ
อะไรคืออุปสรรคที่ทำให้งานเพลงใหม่ของภูมิจิตไม่เกิดขึ้นสักที ?
พุฒิ: เป็นเรื่องของเวลาแหละที่เป็นอุปสรรคมาก ภูมิจิตทิ้งช่วงจากการทำอัลบั้มใหม่มาจะ 5 ปีแล้ว วงเรามีงานเล่นเยอะ แถมช่วง 2 ปีแรกที่ออกอัลบั้ม Bangkok Fever กานต์ก็ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษจากนั้นพอกานต์กลับมา ก็เลยกลายเป็นว่า ทิศทางความคิดของมันกับเราไม่ตรงกัน ทำให้วงเราเองต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 2 ปีที่จะยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ตอนนี้ก็เป็นปีสุดท้ายที่พวกเราเริ่มมุ่งหน้าเพื่อจะทำอะไรบางอย่างกัน
แม็ก: ทุกวันนี้เราพยายามที่จะเรียบเรียงชีวิตให้ดีกว่าเดิมครับ อย่างน้อยวงเราพยายามหาเรื่องหาเวลามาเจอกันให้ได้ในทุกๆ สัปดาห์ครับ ถึงแม้เราไม่เจอคนในวง เราก็ต้องเจอเพลงภูมิจิตทุกสัปดาห์ ทุกวันนี้จะต้องมีเวลาให้วงภูมิจิตน้อยๆ สุดเลยก็ 3 ชั่วโมงเลยต่อวัน อย่างในอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกที่เราเอง น่าจะมีส่วนร่วมในการผลิตมากกว่าทุกอัลบั้มที่ผ่านมา ปกติคนจะเห็นโผล่มาตีกลองแล้วกลับบ้าน คราวนี้มันไม่ได้จบแบบนั้นแล้ว พูดง่ายๆ มันเหมือนเราเป็นผู้กำกับหนังที่ตัวเองเล่นน่ะครับ คือ ต้องเล่นด้วยแล้วก็ต้องมานั่งตัดต่อหนังด้วย มันคงจะต้องเป็นอะไรที่แปลกใหม่แน่ๆ มันจะเป็นอะไรที่เราปั้นได้ด้วยตัวเราเอง
แสดงว่าที่ผ่านมาก็ต้องปรับจูนความคิดกันหลายอย่าง ?
พุฒิ: ใช่ครับ ผลที่ได้รับมาจากการจูนความคิดครั้งนี้ก็หนักอยู่เหมือนกัน มันอยู่ในจุดที่ยากมาก เพราะเรากับกานต์ก็ถือว่าแรงด้วยกันทั้งคู่ ตอนนี้ก็เหมือนกับการจูนครั้งนี้มันลงตัวเข้าที่กันแล้วครับ
กานต์: อย่างที่พุฒิบอกเลย ตอนแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กลับมาเราก็ต้องปรับเยอะเลย เหมือนต่างคนต่างไม่ได้เจอกันมานาน แล้วแนวคิดมันเปลี่ยนกันไปเยอะ โตกันคนละทาง แต่ตอนนี้เราก็ผ่านจุดที่มันต้องจูนกันมาแล้วแหละครับ มันเหมือนเราได้เรียนรู้กันและกันมากขึ้นอีกด้วย
“พร” เพลงใหม่ของภูมิจิต
พุฒิ: ตอนนี้วงเรามีเดโม่ประมาณ 6-7 เพลงแล้ว แต่เพลงที่บันทึกเสียงคือเพลง พร ครับ โดยจุดเริ่มต้นเพลงนี้มันเริ่มมาจากเราตื่นเต้นมากกับการที่เห็นคนจริงจังกับการไปทำบุญ 9 วัด บางคนก็ตั้งใจทำบุญมากๆ เราก็เลยไปคุยกับเขาว่าได้อะไรจากการทำบุญบ้าง แล้วลองถามต่อไปอีกว่า เวลาสวดมนต์อ่ะแปลว่าอะไรเหรอ เลยมาลองนั่งแปลบทสวดมนต์มงคล 38 ประการดู เราก็เฮ้ยนี่มันไม่ใช่เรื่องสวดให้บ้านเราดีขึ้นเลยนะ แค่พระพุทธเจ้าบอกว่าจงคบเพื่อนดี ทำความดี ตั้งใจทำงานนะ ทำทั้งหมด 38 ข้อเนี่ย เดี๋ยวทุกอย่างมันดีเอง แล้วตัวเราเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ มันจะมีคำที่เป็นม็อตโต้ของโรงเรียนเลย ว่า ทำดีดีกว่าขอพร เราก็เลยเอาหลายๆ เรื่องมาผสมกันเขียนมาเป็นเพลง พร ได้ในที่สุดครับ
แม็ก: พาร์ทดนตรีเพลงนี้มันจะให้ความรู้สึกถึงสายฝนมากๆ เพลง ‘พร’ ภาพในหัวเราจะเหมือนกับสายฝนกระหน่ำซัดเข้าไปในกลางป่า เป็นเพลงที่พูดถึงการทำความดี เหมือนสายฝนชะโลมจิตใจที่กระหน่ำด้วยความชุ่มชื้นน่ะครับ
แล้วถ้าขอพรได้ 1 ข้อจะขออะไรกัน
พุฒิ: เราขอว่า จะเป็นคนไม่ขอพร เรารู้สึกว่าทุกครั้งที่ขอพร มันจะรู้สึกเหมือนคนที่ไม่มีทางไป แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ขอพรแล้วลงมือทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จแล้ว มันทำให้รู้สึกว่าโอเคเราอยู่ในจุดที่ทำอะไรได้โดยไม่ต้องขอพร นั่นแหละคือ สิ่งที่เราอยากขอ
บอม: อยากให้รวยครับ ขอให้มีเงินเยอะๆ เราอยากคิดอะไรได้แล้วทำเลย
กานต์: เราอยากขอให้ตัวเองแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วยทั้งครอบครัวครับ
แม็ก: ขอให้สุขภาพแข็งแรงก็พอครับ ทุกอย่างเริ่มต้นจากร่างกายแข็งแรงครับ เย้ เราออกไปลุยกันเถอะ
เรื่องรายได้มันขึ้นอยู่ว่าใช้อะไรเป็นตัววัดมากกว่า คือถ้าวัดเป็นตัวเงินแน่นอนเลยวงเราแม่งเป็นธุรกิจที่น่าจะล้มละลายไปตั้งแต่เมื่อ 10 ปีแล้วว่ะ
ที่ผ่านมาเบื่อรึเปล่ากับการเล่นเพลงเก่าเพลย์ลิสต์เดิมๆ ตลอด
พุฒิ: เบื่อครับ เพราะไอ้ความเบื่อเนี่ยแหละเลยต้องเริ่มทำเพลงใหม่ วงเราโชคดีนะที่มีเพลง 2 อัลบั้ม มันทำให้สามารถปรับเพลย์ลิสต์ให้มันไม่เหมือนกันทุกโชว์ได้ แต่สุดท้ายมันก็จะมีบางอย่างที่เรารู้แล้วว่า วิธีปั้นโชว์ให้สนุกมันต้องไปในทางนี้นะ ซึ่งสุดท้ายภูมิจิตก็จะแทรกเพลงโน่นเอาเพลงนี้มาโคฟเวอร์อยู่ดี สาเหตุพวกนี้แหละที่มันทำให้ต้องทำเพลงอัลบั้มใหม่กันแล้ว
ทุกวันนี้ยังคาดหวังกับรายได้จากการเล่นดนตรีอยู่รึเปล่า ?
พุฒิ: เรื่องรายได้มันขึ้นอยู่ว่าใช้อะไรเป็นตัววัดมากกว่า ถ้าวัดเป็นตัวเงินแน่นอนเลยวงเราแม่งเป็นธุรกิจที่น่าจะล้มละลายไป ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีแล้ว แต่เราเชื่อว่าการเล่นดนตรีมันมีบางอย่างที่มีค่ามากกว่าเงิน มันทำให้เรายังเล่นดนตรีจนถึงทุกวันนี้
ทำไมนักดนตรีต้องประกอบอาชีพอื่นไปด้วย เล่นดนตรีอย่างเดียวมันเลี้ยงตัวเองไม่ได้เหรอ ?
พุฒิ: พูดถึงเรื่องนี้ต้องขอเล่าหน่อยนะครับ เรามีทีมฟุตบอลทีมรักทีมหนึ่งในชีวิตครับ ชื่อว่า ทีมลิเวอร์พูล ซึ่งมันจะมีคำหนึ่งที่ใช้ในแมตซ์แดงเดือดเสมอว่า My Head And My Heart ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากทุกครั้งที่แมนยูเจอกับลิเวอร์พูล เราจะรู้สึกว่ายังไงแมนยูชนะแหละ แต่ในใจเล็กๆ ก็แอบคิดว่าลิเวอร์พูลมันน่าจะชนะบ้างดิ๊วะ ซึ่งในกรณีวงภูมิจิตก็เช่นเดียวกัน เราไม่สามารถเอาชนะโครงสร้างระบบอาชีพนี้ได้หรอก แต่ในใจก็คิดเสมอว่ามันต้องมีช่องเล็กๆ ที่ชนะมันได้สิ ถามว่าตอนนี้ชนะแล้วรึยัง ตอบตรงๆ เลยคือ ยัง เราไม่สามารถมีเงินก้อนใหญ่จากการเล่นดนตรีได้ ทุกคนก็ต้องทำอาชีพอื่นที่ทำงานหนักกันหมด มันคือคำตอบชัดแล้วแหละว่าเรายังชนะมันไม่ได้ แต่ว่าหลายอย่างมันอยู่ในแนวโน้มที่ดีขึ้น รายรับจากการเล่นดนตรีของเรามันไม่ได้ตกลงมันมีแต่ขึ้นเรื่อยๆ
กานต์: เลี้ยงตัวเองไม่ได้หรอกครับ มันไม่พออยู่แล้วการเล่นดนตรีมันเหมือนเป็นค่าขนมมากกว่า เหมือนงานอดิเรกที่ได้ค่าขนมอย่างหนึ่ง
บอม: ไม่มีทางเลี้ยงได้เลย มันไม่พอ (เสียงเศร้า) มึงเห็นกูทำงานมั้ยละ ทำแม่งทุกอย่างเนี่ย !!!!!!
แม็ก: เล่นดนตรีหลายวงมันไม่ก็ยังไม่พอเลี้ยงตัวเอง ค่าใช้จ่ายหลายๆ อย่าง ความรับผิดชอบในชีวิตมันเยอะขึ้น ทุกอย่างตอนนี้มันเหมือนเป็นการไปออกรบ มันต้องทำให้ท้องอิ่มก่อนถึงจะไปออกรบได้ครับ
เคยท้อกับการเล่นดนตรีมั้ย
พุฒิ: เคยอยากเลิกทำไปเลย แต่มันเหมือนว่ามีเรื่องบางเรื่องคาใจเราอยู่ ทำให้รู้สึกว่า ถ้าหนีมันจะไม่ได้คำตอบนะเว้ย อย่างน้อยที่สุดวงเราจะดังหรือไม่ดัง เรายังได้รู้ผลลัพธ์ของมันไง ถ้าเราทำเพลงมันเหมือนกับงานศิลปะอะไรสักชิ้นที่มันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ตอนอายุ 60 – 70 ปี กลับมานั่งฟังก็รู้ว่าที่เราทำมัน เหมือนเป็นการแสตมป์ไว้ว่า ชีวิตเราช่วงหนึ่งก็เคยมีงานแบบนี้ทำออกมานะ ซึ่งทุกคนมันควรจะมีงานแบบนี้ทำเก็บไว้ ทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์ในชีวิตครับ
แฟนเพลงภูมิจิตคือพลังสำคัญ
พุฒิ: สำคัญมาก ทุกคนแหละที่ฟังเพลงเรา อย่างแฟนเพลงบางคนจู่ๆ ก็ทักมาหาเราในเฟสบุ๊คบอกว่า ผมเลิกยาได้เพราะฟังเพลงพี่ มันเป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าเพลงที่ทำมันสร้างประโยชน์ให้กับคนฟังจริงๆ ตอนทำเพลงก็คิดเสมอนะว่า เพลงวงเรามันต้องให้คุณค่าอะไรกับคนได้ ดีใจที่เพลงของวงเรามันมีค่า อันนี้คือรางวัลแท้ๆ เหมือนเราได้รางวัลทางดนตรีเลย มันดูมีคุณค่าสูงมากจนทำให้คนอื่นดีไปด้วย อีกเรื่องหนึ่งคือ การมีแฟนคนหนึ่งมาเป็นแฟนเราเนี่ยแหละ เราคิดว่าถ้าไม่ได้เล่นดนตรีเราคงไม่เจอเขาอ่ะ คงเป็นเด็กเนิร์ดที่ใช้ชีวิตไปวันๆ การเล่นดนตรีมันทำให้เราเจออะไรดีในชีวิตเยอะไปหมดเลย
ชีวิตในแต่ละวันหากไม่ได้มีเสียงดนตรีมาเกี่ยวข้องทำอะไรกันบ้าง
พุฒิ: เราตื่นประมาณ 6.30 น. เราจะเช็คก่อนว่ามีใครส่งเพชรมาให้เราในเกมส์ Line Ranger ก่อนจะนอนเล่นเกมส์ในมือถือประมาณ 3-4 เกมส์ ก่อนออกไปทำงานทุกครั้ง พอถึงที่ทำงานก็จะไปคุยเรื่องแผนงานวันนี้กับหัวหน้า กลับมาตอบอีเมลของลูกค้า ทีนี้มันก็จะมีงานสองแบบหลักๆ ที่ทำคือ งาน Service กับ งานประกอบ วันทำงานเราจะไม่มีเรื่องของดนตรีมาเกี่ยวข้องเลย นอกจากใส่ซีดีฟังระหว่างขับรถไปทำงานหรือกลับบ้านแค่นั้น ซึ่งช่วงหลังที่ขับรถไปทำงาน เราจะเปิด Demo ของภูมิจิตไประหว่างขับรถ มีอัดเสียงเก็บไว้บ้างนิดหน่อยบางทีคิดอะไรได้อัดตรงนั้นเลย
บอม: ทำของขายครับ ทำเสื้อรับออเดอร์ลูกค้า มันขึ้นๆ ลงๆ แหละชีวิตเรา มันเป็นอะไรที่ไม่แน่นอนเลย อย่าง 2-3 อาทิตย์ที่แล้วก็ไม่มีงานเลย สถานที่ขายของก็ไม่มี แต่กลับกันพอมาเดือนนี้งานเสื้อเข้ามาเยอะมาก กลายเป็นว่ายุ่งมากไปอีกชีวิต ส่วนการทำไอสลัด (I-Salad) มันก็เริ่มจากการทำเสื้อแล้วออเดอร์ไม่เข้า พอเสื้อไม่เข้าชีวิตก็เริ่มไม่มีแดกครับ เรามีลูกน้องที่เราต้องดูแลอีกคนหนึ่ง แต่พอไม่มีตรงนั้นมันก็ไม่มีงานทำ เลยลองดูปรากฏว่าเวิร์กดีเลยทำเรื่อยมาจนตอนนี้ นี่ว่าจะทำร้านข้าวเพิ่มด้วย ชีวิตเราปากกัดตีนถีบมาก
กานต์: ของเราก็ออกไปถ่ายภาพครับ คือ เราทำงานหนังสือก็จริง แต่ถ้าวันไหนไม่มีงานก็อยู่บ้านนอนสบายๆ เวลาว่างก็พอมีเยอะหน่อยครับ
แม็ก: เรามีงานเกี่ยวกับเสียงดนตรีทั้ง 7 วันเลยครับ กลางวันเราทำเพลงโฆษณา ทำในสายงานพวกเพลงประกอบด้วย ชีวิตเรามันกลายเป็นว่าช่วงกลางวัน คือ ช่วงเวลาแห่งการขายงานลูกค้า ตกกลางคืนก็เล่นดนตรีตามร้าน แต่เดี๋ยวนี้ไม่เล่นทุกวันแหละ เมียไม่อยากให้ออกกลางคืนทุกวัน แต่ก็ยังต้องเล่นอยู่เพราะ ‘วงแสงระวี’ ก็ต้องหากินทางนี้ เราเองเลิกขาดไม่ได้แน่ๆ ไม่งั้นน้องในวงจะไม่มีตังค์จ่ายค่าเช่าบ้านเลยต้องช่วยๆ กันไปก่อน ก็เลยกลายเป็นว่า ‘ชีวิตต้องอยู่กับดนตรีให้มากที่สุดครับ’
การพักผ่อนคือช่วงเวลาที่ดี
พุฒิ: ส่วนตัวเราเองโชคดีหน่อยที่เจ้านายไม่ให้ทำงานเสาร์ – อาทิตย์ ช่วงเวลาของวันหยุดก็จะเป็นวันที่เรามอบให้ครอบครัวและแฟน อาจเจียดเวลาส่วนนึงไปทำเพลง บางทีช่วงทำงานเดือดๆ ก็ไม่มีวันหยุดนะ ทำตลอดเจ็ดวัน ซึ่งรู้สึกว่าโคตรเหนื่อยเหี้ยๆ เลย
แม็ก: คำถามนี้เป็นคำถามที่หลายๆ คนถามเยอะมาก ตั้งแต่สมัยจัดรายการวิทยุตอนตี 4 แหละ เราขอพูดไว้ตรงนี้เลยว่า วิธีการพักผ่อนของเราไม่ได้อยู่ที่ว่าจะนอนเวลาไหน เราเคยไปหาหมอ เขาบอกว่า ประเด็นสำคัญในการพักผ่อนไม่ได้อยู่ที่ว่าจะนอนเวลาไหน ประเด็นอยู่ที่ว่านอนนานเท่าไหร่ก็ต้องนอนนานเท่านั้น สมมุติว่าเราเคยนอน 5 ชม. ไม่ว่าจะอะไรก็ตามเราก็ต้องนอนให้ครบ 5 ชม. แต่หลังๆ ปรับตัวขึ้นเยอะ เพราะต้องตื่นไปส่งเมียตอนเช้าด้วย แต่เชื่อมั้ยอย่างบางวัน เรามีงานขายเพลงโฆษณา ตกเย็นมาเล่นวงภูมิจิต งานเดียวแล้วกลับบ้าน วันนั้นจะรู้สึกว่าชีวิตเราใช้ไม่คุ้มเลย มันชินกับการต้องไปต่อ มีหลายๆ คนเดินมาถามเราว่า ไม่ไปไหนต่อเหรอ ปกติจะเห็นเราวิ่งไปที่อื่นต่ออย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกคนก็แปลกใจรวมทั้งเราด้วยที่ว่าเรามีชีวิตอยู่แบบนี้ได้ด้วยเหรอ (หัวเราะ) พอเวลาที่ไม่ได้ทำอะไรมากเกินไป ก็จะรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรา มันจึงกลายเป็นเรื่องแปลกไปแล้วสำหรับเราตอนนี้ถ้าจะอยู่เฉยๆ นะ ประกอบกับเราค่อนข้างเป็นคนไฮเปอร์ด้วยแหละ
เชื่อว่ามันเป็นยุคที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเพลงไทยครับ มันจะไปสู่ยุคที่เพลงมันจะถูกฮิตขึ้นมาแบบประหลาดและแปลกๆ ซึ่งเป็นช่องทางที่ดีสำหรับคนที่ทำเพลงเองนะ ซึ่งเพลงอินดี้ไม่จำเป็นต้องทำยากแล้ว มันอยู่ที่วิธีการนำเสนอว่า จะทำให้เพลงคุณเป็นที่รู้จักได้มากขึ้น ช่องทางมันหลากหลาย
ความฝันขั้นสูงสุดของชีวิต
พุฒิ: เราอยากเห็นคนมางานศพเรา ไม่รู้ทำไมนะ มันเหมือนเป็นจุดสุดท้ายที่อยากรู้ว่า ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่าเอาเข้าจริงมันก็คงทำไม่ได้หรอก ได้แต่หวังว่าเราคงทำอะไรที่มันดีพอแล้วจากไปก็รู้ว่างานศพเรามันคงออกมาประมาณนี้แหละ เหมือนบทสรุปของชีวิต เรารู้สึกว่าเรื่องชีวิตมันเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันยาวๆ และวันที่คนเราสามารถคุยเรื่องนี้กันยาวๆ ได้มันก็คือวันตายของเราเอง เราไม่เคยกลัวความตายนะ เรากลัวเจ็บมากกว่า
บอม: อยากเปิดร้านข้าวครับ (ยิ้ม)
กานต์: เราอยากทำกิจกรรมเพื่อสังคม เริ่มคิดมาหลายปีแล้ว รู้สึกว่า ภายในเร็วๆ นี้ต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้มันจะคาใจในชีวิตมากๆเลย เราจะนอนตายตาไม่หลับ
แม็ก: เราอยากอยู่เฉยๆ แล้วได้เงินครับ แต่ถ้าสมัยเด็กๆ อยากเตะฟุตบอลครับ อยากไปเล่นพรีเมียร์ลีก (หัวเราะ)
วงการเพลงบ้านในช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างสำหรับภูมิจิต
พุฒิ : วงการเพลงบ้านเราตอนนี้มันมีไอดอลเยอะขึ้นมากนะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ไอดอลจำนวนมากเนี่ย สร้างคุณค่าได้มากน้อยแค่ไหน ทุกวันนี้เราเป็นไอดอลด้วยการแค่ต่อต้านโลก โดยที่ไม่ได้ทำงานอะไรเลย ผลิตคำคมๆ เราก็กลายเป็นไอดอลได้แล้ว หรือแค่ถ่ายรูปสวยๆ โชว์หน้าอกให้มากหน่อย แล้วมันก็ถูกเรียกว่า ‘ไอดอล’ สิ่งสำคัญจริงๆ สำหรับไอดอลมันน่าจะทำประโยชน์อะไรให้กับคนรอบๆ ตัวอาจจะไม่ต้องเยอะมากก็ได้ สำหรับเราช่วงนี้เราอาจจะไม่ได้สนว่า ทุกคนมีความฝันหรือเปล่า แต่เราสนว่าความฝันที่ทุกคนทำมันมีประโยชน์มากน้อยขนาดไหน ทุกคนอยากได้การนับหน้าถือตาเยอะะ แต่กลับสร้างคุณค่าในตัวงานของตัวเองน้อยลง ซึ่งสุดท้ายแล้วเราก็ต้องกลับมาเรื่องเดิมมันต้องสร้างคุณค่าไปพร้อมกับมูลค่าอยู่ดี แต่ตอนนี้มันกลายเป็นทุกคนมีมูลค่า แต่ไม่มีคุณค่า
แม็ก: เหมือนอยู่ในกาแล็คซี่ จักรวาลหลายๆ จักรวาลครับ แต่มันจะมีจักรวาลหนึ่งที่เราสนใจเรียกว่าเพลงป็อปล้านวิวครับ เราไม่เคยรู้ว่าเพลงพวกนี้เขาไปฟังกันตอนไหน ไม่เคยรู้เลยว่า แม่งมีแนวแบบนี้ในโลกด้วย เช่น มีวงหนึ่งทำเพลงออกมาที่เราไม่รู้จักเลย ผมมั่นใจด้วยว่าคนที่อ่านฟังใจซีนก็คงไม่เคยได้ยินชื่อวงนี้เหมือนกัน แต่มียอดวิวในยูทูป 42 ล้านวิว คนแถวบ้านเราก็รู้จักเพลงนี้ แต่ทำไมเราไม่รู้จัก เลยรู้สึกว่า วงการเพลงไทยมันผิดที่ผิดทางหรือเปล่า หรือใครกันแน่ที่ผิด วงภูมิจิตเองรึเปล่าที่กำลังผิดทาง หรือว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศไปผิดทาง มันก็ไม่มีใครรู้ว่า ใครไปผิดทาง บางเพลงแม่งแทบไม่ได้โปรโมททางวิทยุ – โทรทัศน์เลยแค่ปล่อยไปในยูทูป มันไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยมากๆ ที่จะดังได้ขนาดนี้ เราว่าวงการเพลงตอนนี้มันกลายพันธุ์ไปหมดแล้ว อาทิเช่นเพลง รักเดียว – ปู พงษ์สิทธ์ อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมาดังทั้งที่ ไม่ได้โปรโมทอะไรทั้งนั้น ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย ! นอกจากจักรวาลฟังใจ เพลงที่เราฟังกันอยู่แล้ว แต่หารู้ไม่ว่ามันยังมีจักรวาลหนึ่งที่เราไม่รู้จักและตลาดใหญ่มากเลยนะ ใหญ่กว่าหลาย 10 เท่า เราเคยได้สัมผัสในมุมที่เพื่อนๆ ในวงไม่เคยเจอ คือเราไปลองเล่นเพลงภูมิจิตในผับ คนก็งงๆ นิ่งๆ แต่พอขึ้นไอ้เพลงที่เป็น 42 ล้านวิวมา คนจะเฮดังมาก มันเป็นเรื่องที่ส่วนตัวเรากำลังวิจัยเรื่องนี้อยู่ แอบวิจัยเงียบๆ ไม่บอกใคร คือแค่อยากรู้ว่า มันเป็นเพราะอะไรนั่นแหละ
กานต์: เหมือนว่า เดี๋ยวนี้ทำเพลงเขาแคร์กันแค่ว่าเพลงทำออกมาแล้วโดนไม่ได้โดนแค่นั้นก็พอแล้ว
บอม: แล้วทำไมไม่โดนเราบ้างวะ (หัวเราะ)
แม็ก: เชื่อว่ามันเป็นยุคที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเพลงไทยครับ มันจะไปสู่ยุคที่เพลงมันจะถูกฮิตขึ้นมาแบบประหลาดและแปลกๆ ซึ่งเป็นช่องทางที่ดีสำหรับคนที่ทำเพลงเองนะ ซึ่งเพลงอินดี้ไม่จำเป็นต้องทำยากแล้ว มันอยู่ที่วิธีการนำเสนอว่า จะทำให้เพลงคุณเป็นที่รู้จักได้มากขึ้น ช่องทางมันหลากหลาย มันไม่จำเป็นต้องลงทุนอัดไปที่โทรทัศน์ และวิทยุกันอีกแล้ว
วงดนตรีที่น่าจับตามองสำหรับภูมิจิต
บอม: วง Yena กับ Dead Flower ครับ (หัวเราะ) ต่อให้ไม่เป็นสมาชิกในวงก็ชอบครับ เพลงแม่งดูเข้าท่าดีออก
แม็ก: ผมชอบ The Ginkz นะ เพราะถ้าวงนี้อยู่ต่างประเทศเนี่ย วงนี้เทียบรุ่นกับ Dream Theater ไปแล้ว ถ้าคนที่ทำเพลงหรือคนที่แบบฟังดนตรีมาหลายแนวกว้างๆ คุณจะรู้ได้เลยว่า พวกเขาไม่ธรรมดา คือ เป็นเด็กเรียนดนตรีที่ใช้สกิลในการเล่นดนตรีได้คุ้มค่ามาก เพลงของเขาจะมีการทดลองอยู่ตลอดเวลา มันมีความป๊อปและย้อนแย้งไปสู่กระแสดนตรีด้วย อย่างเช่นเพลง โน้ตที่ใช่ในวันที่ช้ำ ไส้ในของดนตรีมันมีการทำอะไรบางอย่างที่น่าทึ่งมาก ผมว่าวงนี้น่าจับตามองมากครับ
กานต์: Paradise Bangkok Molam International Band ครับ อยากรู้ว่าพวกเขาจะไปถึงจุดไหน วันนี้เพลงแนวที่เขาทำกันอยู่มันเริ่มมาแล้วแหละสำหรับเรา เขาบิดโน้ตเพลงออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงมากๆ เหมือนบางเพลงสัดส่วนไม่ง่ายเลยนะ มันคิดซับซ้อนกว่าหมอลำปกติเลย อยากจะดูว่าพวกเขาไปได้ไกลแค่ไหน อยากให้กำลังใจครับ
พุฒิ: วง aire ก็ดีครับ แต่นี้เลยที่เราสนใจ ‘แร็พเอก’ ครับ หลายๆ คนชอบไปด่าเขา แต่เรารู้สึกว่าเขาโคตรเป็นศิลปินเลย มีอยู่วิดีโอนึงมีคนดูเขาประมาณ 2-3 คนเอง แต่แร็พเอกเล่นเต็มที่มันส์มาก วงนี้ด้วย Migrate To The Ocean เราก็ชอบ ฟังกี่ทีก็นึกถึงภูมิจิตอัลบั้มแรกเสมอเลย
แต่มันจะมีจักรวาลหนึ่งที่เราสนใจเรียกว่าเพลงป็อปล้านวิวครับ เราไม่เคยรู้ว่าเพลงพวกนี้เขาไปฟังกันตอนไหน ไม่เคยรู้เลยว่า แม่งมีแนวแบบนี้ในโลกด้วย
ในฐานะที่เดือนนี้มีวันผู้ใช้แรงงานแห่งชาติ อยากบอกอะไรกับพวกเขาบ้าง
พุฒิ: อยากให้เขาภูมิใจในตัวเอง เพราะว่า ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ทุกคนอยากรวย ซึ่งจริงๆ แล้วมนุษย์มีความหลากหลาย ทุกคนต้องมีฟังก์ชั่นและหน้าที่ของตัวเอง เรารู้สึกว่าผู้ใช้แรงงานก็เป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นที่สำคัญมากสำหรับสังคมไทย เราควรจะขอบคุณพวกเขามากๆ ดั่งคำที่ท่านพุทธาสภิกขุ สอนไว้ว่า มันจะดีมากถ้าเราเลิกระบบทุนนิยมหรือระบบคอมมิวนิสต์ และกลับมาใช้ระบบเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไรก็ตามสุดท้ายมันก็คือ เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเราก็ต่างคนต่างอยู่ในโลกที่ช่วยเหลือเผยแพร่เสมอ เราไม่สามารถขาดฟังก์ชั่นใดฟังก์ชั่นหนึ่งได้เช่นกัน
กานต์: อยากฝากเรื่องเกี่ยวกับการทำงาน คนเราทำงานถึงจุดหนึ่ง เราจะเริ่มสังเกตว่า วิธีการทำงานและการทำเงินมันมีหลายแบบ เรามองว่า คนทำงานหนักไม่ได้แปลว่าขยันนะ คือ มันขยันได้หลายแบบ วิธีการหาเงินมันเยอะ อยากให้ลองมองวิธีในการทำงานหลายๆ แบบด้วย คิดกับมันเยอะๆ อย่าใช้แรงเยอะมากเกินไป
บอม: ขอให้มีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วันครับ เหมือน น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แต่หัวใจอ่อนๆ ของเธอทำด้วยอะไร (หัวเราะ)
แม็ก: ภูมิใจที่ได้เป็นผู้ใช้แรงงานเถอะครับ ผู้ใช้แรงงานจะรู้สึกว่าน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เชื่อผมเถอะครับเป็นผู้ใช้แรงงานมันดีครับ
ฝากอะไรถึงแฟนเพลงและผู้ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่หน่อย
พุฒิ: อยากให้ทุกคนฟังเพลงในเว็บไซต์ฟังใจกันเยอะๆ ครับ อ่านฟังใจซีนด้วย ที่สำคัญรบกวนรอฟังเพลงจากอัลบั้มใหม่ของวงภูมิจิตด้วยนะครับ อัลบั้มนี้พวกเราจะมีความอะคูสติกขึ้น แก่ขึ้นตามวัย มั่นใจว่าออกปีนี้แน่นอน ฝากติดตามด้วยนะครับ
กานต์: ฝากติดตามผลงานด้วยครับชุดนี้เราโตขึ้น แล้วก็เปลี่ยนจากฟังยูทูปมาฟังฟังใจกันเถอะครับ เราจะได้มีเงิน แถมอัลบั้มหน้าเราจะใช้ระบบ Crowndfunding มาร่วมด้วย จะเป็นอย่างไรรอติดตามกันนะครับ
บอม: ขอฝากรักแล้วกันครับ (หัวเราะ)
แม็ก: ฝากให้ชาวฟังใจลองเปิดใจรับฟังเพลงอื่นๆ ครับ อาทิเช่น ลองไปฟังเพลง 40 ล้านวิวที่ผมบอกครับ เพื่อจะได้อะไรใหม่ๆ มันได้อะไรใหม่ๆ แน่นอนครับ
เราอยู่ในยุคที่ทุกคนอยากรวย ซึ่งจริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนต้องมีฟังก์ชั่นและหน้าที่ในการทำงานของตัวเอง เรารู้สึกว่าผู้ใช้แรงงานก็เป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นที่สำคัญมากสำหรับสังคมไทย เราควรจะขอบคุณพวกเขา เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนระดับหัวสมองอย่างเราจะเข้าใจและลงมือทำด้วยตัวเองได้
ช่วงเวลาที่ผ่านมาของการใช้ชีวิตภายใต้ชื่อวงดนตรีนามว่า ‘ภูมิจิต’ ชื่อนี้เป็นสิ่งที่พวกเขามีความสุขและทุ่มเทกับมันเป็นอย่างมาก การทำเพลงไม่ใช่แค่การทำเพลง แต่มันคือการสร้างคุณค่า สร้างประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้ฟังผ่านบทเพลงของพวกเขา ……จงภูมิใจที่ฟังภูมิจิต
ขอขอบคุณสถานที่ถ่ายภาพ
เปลี่ยนวิถีชีวิต… ท่ามกลางตึกสูง ท่ามกลางมลพิษ ท่ามกลางความวุ่นวาย มาอยู่… ท่ามกลางต้นไม้ ท่ามกลางอากาศสดชื่น ท่ามกลางเสียงนก เสียงกระรอก… ในป่า
“ในป่า อาร์ท คอมเพลกส์” ศูนย์รวมผู้รักศิลปะและธรรมชาติใจกลางกรุงเทพอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS พระโขนง (สุขุมวิท 46) แบ่งเป็นอาคารและสำนักงานทั้งหมดรวม 15 ยูนิต
สนใจติดต่อ
080 – 887 – 9985
www.naiipa.com
facebook.com/naiipa.art