Hugo: Nature Experience
- Writer: Gandit Panthong
- Photographer: Thanawat Phetchan
- Stylish: Varachaya Chetchotiros
- Art Director: Son of Jumbo
Hugo (ฮิวโก้) คือ ผลงานเดี่ยวของผู้ชายที่ชื่อว่า จุลจักร จักรพงษ์ ปัจจุบันผลงานเดี่ยวของเขาได้ออกมาทั้งหมดแล้วจำนวน 2 อัลบั้มได้แก่อัลบั้ม Old Tyme Religion และอัลบั้ม Deep In The Long Grass ซึ่งในอัลบั้ม Deep In The Long Grass สามารถฟังได้ที่นี่ โดยในปีหน้าคุณกำลังจะได้พบกับอัลบั้มเต็มภาษาไทยครั้งแรกจากเขาอย่างแน่นอน
มันไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะระบุว่าแนวเพลงของผมมันอยู่ตรงไหน หน้าที่ผมจบลงตั้งแต่เมื่อเพลงมันออกไปแล้ว ใครจะเอาไปไว้ตรงไหน บอกว่าแนวเพลงของผมอะไร จะคิดอะไรก็เชิญเลย
มีความลับที่อยู่ในใจ
เป็นความลับที่อยู่ข้างใน
ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่ส่องลงมาในบริเวณพื้นที่ของ The Jam Factory ย่านคลองสาน ครั้งนี้ฟังใจซีนมีนัดกับผู้ชายที่ชื่อว่า ฮิวโก้ – จุลจักร จักรพงษ์ เพียงแค่ได้ยินชื่อนี้ ความรู้สึกของทีมงานฟังใจซีนทุกคนแทบจะทำอะไรกันไม่ถูกแล้ว มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายทั้งตื่นเต้น กดดัน พวกเราทีมฟังใจซีนจะรับมือกับผู้ชายคนนี้อย่างไรดี เขาจะมาไม้ไหนกันแน่ และแล้ว ฮิวโก้ ก็ปรากฏตัวขึ้นใน The Jam Factory สถานที่ที่เราได้นัดพบ ผมในฐานะผู้เขียนไม่รอช้ารีบเดินตามไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับฮิวโก้ เริ่มต้นบทสนทนาของเราทั้งสองว่า “วันนี้เราจะคุยกันทุกเรื่องของคุณในรูปแบบธรรมชาติ ถามตอบกันง่าย ๆ นะครับ” ฮิวโก้ตอบผมว่า “เอาเลย เริ่มได้จะรออะไรอยู่ล่ะ” เมื่อสิ้นสุดคำนี้ เครื่องอัดเสียงของผมก็เริ่มทำงาน และบทสัมภาษณ์นี้ก็เกิดขึ้น เชิญอ่านได้เลย ณ บัดนี้ครับ
PART 1 : ดนตรีคือทั้งหมดของชีวิต
พูดถึงในแง่ของดนตรีสำหรับผู้ชายที่ชื่อ ฮิวโก้ คอนเสิร์ตที่เพิ่งแสดงจบไปเมื่อวันที่ 10 – 11 ตุลาคมที่ผ่านมาดูจะเป็นเรื่องที่ผมสนใจมากที่สุดว่าการแสดงครั้งนั้นถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของเขาแล้วหรือเปล่า การทำเพลงมาแล้ว 15 ปีในวงการเพลงได้ให้อะไรกับเขาบ้าง นักดนตรีใช่อาชีพหลักของเขาหรือไม่ คำถามเหล่านี้วนอยู่ในหัวผมจนเหมือนฮิวโก้อาจจะรู้ตัวว่าผมต้องการถามอะไรจากเขาจึงเอ่ยถามผมว่า “คุยเรื่องคอนเสิร์ตเราก่อนเลยก็ได้นะ”
รู้สึกอย่างไรบ้างกับคอนเสิร์ต Under City Light ที่เพิ่งจบไป
เรารู้สึกว่าไม่อยากให้ขั้นตอนการทำคอนเสิร์ตนี้มันจบไปนะ มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งดีใจว่าผ่านมาได้แล้วและก็ผ่านไปด้วยดี แต่อีกมุมหนึ่งก็ใจหายว่า จบแล้วเราจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อดี เพราะเมื่อเราตั้งเป้าหมายอะไรไว้แล้ว พอทำได้ มันก็จะมีความรู้สึกโล่ง ๆ เกิดขึ้น แต่เป็นความโล่งที่ว่างเปล่ามาก ๆ ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่เพื่อหาภารกิจใหม่ หาเหยื่อใหม่กันต่อไป
เรื่องบัตรคอนเสิร์ตที่ Sold out จนต้องเพิ่มรอบการแสดงอีกรอบ รู้สึกยังไงบ้าง
เรื่องการ sold out มันเกิดจากความเล็กของสถานที่ก่อนเลย มันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้โม้กับคนดูว่ามัน sold out นะ เราคิดมาตลอดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ เลยจองสถานที่เผื่อไว้อีกวันแล้ว ตัวของสถานที่มันไม่สามารถจุคนได้เกินพันคนแน่นอน เราไม่ชอบทำอะไรเว่อร์ ๆ ชอบทำอะไรเล็ก ๆ เอาให้สวย ๆ ดีกว่า พอดูจากกระแสที่มันเกิดขึ้น การจัดคอนเสิร์ตสองรอบมันจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าจะพอดีตัวสำหรับเรา ซึ่งผมดีใจมาก ๆ นะ มันก็สบายใจอยู่แล้วที่บัตรขายหมดไม่ว่าจะกี่รอบก็ตาม ดูผลตอบรับหลังคอนเสิร์ตก็รู้อยู่แล้วว่าคนมาดูงานของเราค่อนข้างเยอะจริง ๆ อย่างน้อยแค่เพื่อนคุณภรรยาก็ครึ่งฮอลล์แล้วครับ (หัวเราะ)
คาดหวังอะไรจากการจัดคอนเสิร์ต Under City Light
คอนเสิร์ตครั้งนี้เรื่อง Art direction กับทุกอย่างมันเป็นธีมเดียวกันอยู่แล้ว ตั้งแต่ปกอัลบั้มไปจนถึงการเริ่มทำงานกับทีม Lullaby Entertainment คอนเสิร์ตนี้จึงเหมือนเป็นแค่บทสุดท้ายของอัลบั้มนี้เท่านั้นเอง มันเป็นการถ่ายทอดธีมของความแตกต่างระหว่างเมือง ชนบท ธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้าง โดยเล่าเรื่องผ่านเครื่องดนตรีไฟฟ้ากับเครื่องดนตรีอะคูสติก การคาดหวังสำหรับเรามันจึงไม่มีมากเท่าไหร่ เป้าหมายหลัก ๆ ของเราแค่ต้องการเล่นทุกเพลงในอัลบั้มใหม่ มันไม่ใช่คอนเสิร์ตของฮิวโก้ที่จะจัดทุกปี ปีละครั้งแล้วก็มารวบยอดเล่นแต่เพลงฮิต ๆ มันเป็นแค่การนำเสนอเพลงใหม่ ๆ เหล่านี้ในมิติใหม่ของเราเท่านั้นเอง
การรวมตัวของนักดนตรีเบื้องหลังชุด Dream Team
เริ่มจากผมทำงานกับคุณเจ – มณฑล จิรา ครับช่วงที่ทำงานด้วยกันมันเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างการเดินทางกลับมาจากเมืองนอกของผมพอดี แล้วเขาก็ได้มาดูคอนเสิร์ตครั้งแรกของผมที่โรงละครอักษรา เธียเตอร์ มันคงเป็นจังหวะที่เราอยู่ประเทศเดียวกันในช่วงที่เหมาะสม เพราะก่อนหน้านั้น เราสองคนก็รู้จักกันมาก่อนจากการเล่นละครเรื่อง “ลูกผู้ชายหัวใจเพชร” หลังจากนั้นคุณเจก็ไปเรียนต่อเมืองนอก ไปเป็นพวก sound engineer, producer หาประสบการณ์ในการทำงานโหมดของเสียงเพลงก็ว่าได้ นี่ยังไม่รวมการเป็น music director ให้คนนู้น คนนี้เต็มไปหมด ส่วนตัวผมก็ไปเรียนในทางของผมด้วยเหมือนกัน พอประจวบเหมาะจังหวะที่ได้มาเจอกันในไทยแล้วผมเริ่มงานอัลบั้มใหม่ เขาก็ชวนไปดูห้องอัดบันทึกเสียงกัน ไปกับวงฝรั่งที่มาเมืองไทยในตอนนั้นเลย ภายหลังเมื่อต้องแยกย้ายกันไปกับวงฝรั่ง เจแนะนำให้ผมรู้จักกับมือกลองชื่อ คุณต๊อบ อยู่วง Artfloor ต๊อบเป็นมือกลองที่เจร่วมทำงานด้วยกันมานานแล้ว ต๊อบก็มาเล่นกับผมประมาณสองปีแล้วครับ ส่วนฝั่งของมือเบสก็ได้พี่เอ็ด มือเบสคนสุดท้ายของวงสิบล้อมาเล่นให้ เป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานาน คุณเอ็ดเป็นนักดนตรีที่น่ารักมากในช่วงที่ผมเข้ามาทำวงดนตรีใหม่ ๆ เขามีมิตรภาพที่ดี พร้อมแจมและร้องเพลงกับเราได้ตลอดเวลา ฝั่งของมือกีต้าร์ก็จะเป็นเบิร์ด Desktop Error คนนี้ผมรู้จักจากทางปาล์มมี่เป็นคนแนะนำให้รู้จัก ผมได้ยินชื่อวง Desktop Error มานานแล้ว เลยลองชวนเขามาแจม ๆ กันดู ส่วนอีกคนที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ คุณเอก วง Zero Hero มือกีต้าร์อีกคนหนึ่ง วง Zero Hero เป็นเหมือนตัวต่อจากวงสิบล้อมาก ๆ เป็นวงที่จะพาร็อคบ้านนอกไปสู่คนเมืองได้ ผมเชื่อว่าเขาเป็นคนสืบทอดอารมณ์แมน ๆ ของร็อคแมน ๆ บ้าน ๆ ได้ก็เลยชวนมาเล่นกัน โดยช่วงที่ผมไปเมืองนอก เอก วง Zero Hero และใหม่ วงสิบล้อ เป็นคนก่อตั้งงาน Rock N Roll Come Back อีกด้วย เป็นคนที่ทำให้เทศกาลรวมไปถึงองค์ดนตรีเล็ก ๆ ของเราเติบโตขึ้น ผมจึงถือว่าทุกคนที่ผ่านเข้ามาในวงผมล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งในองค์กรของผมทั้งสิ้น
เวลามีคอนเสิร์ตปาล์มมี่ต้องมีฮิวโก้ คอนเสิร์ตฮิวโก้ต้องมีปาล์มมี่
ผมว่าเราอยู่ในยุคที่ต้องช่วย ๆ กันมั้ง ผมกับปาล์มมี่จริง ๆ แล้วก็เหมือนเพิ่งได้มาทำงานด้วยกันพักหลังนี่แหละ คือการที่ศิลปินนักร้องเดี่ยวสองคนมาอยู่ด้วยกันได้ มันต้องมีความคล้ายกันและก็ต้องแตกต่างในเวลาเดียวกันนะ ปาล์มมี่คือนักร้องที่โทนเสียงน่าฟัง แล้วเขามีความซีเรียสในการร้องเพลงอ่ะ ผมชอบคนซีเรียสมาก ชอบคนที่เอาตาย เอาจริงใส่ใจกับงาน เพราะถ้าไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราทำแล้วจะไปใส่ใจอะไรได้อีก ผมชอบความเด็ดเดี่ยวของเขาด้วย บางทีเขาสามารถตัดสินใจได้ดีกว่าผมอีก ทำตัวแมนกว่าผมด้วย ผมค่อนข้างนับถือเขามากนะ เพราะฉะนั้นแล้วมันก็ไม่แปลกที่ผมจะไปร่วมงานคอนเสิร์ตเขาและเขาก็มาร่วมงานคอนเสิร์ตของผม มันไม่ใช่การบังคับ เขาไม่ต้องมาคอนเสิร์ตผมก็ยังได้เลย แต่มันเป็นความรู้สึกที่ให้เกียรติในการทำงานด้วยกันมากกว่า ผมรู้สึกโอเคที่มีเขาอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตของผมทุกครั้ง
นักดนตรีเบื้องหลังสัญชาติไทยชุดนี้กับนักดนตรีชาวต่างชาติที่เคยร่วมงาน มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
ต่างกันนะ เริ่มที่วงคนไทยก่อน ทุกคนในวงนี้ ถ้าไม่มีผม พวกเขาก็เป็นศิลปินของเขาเองอยู่ดี มันจะต่างกันกับวง back up จากเมืองนอกโดยสิ้นเชิง ฝั่งนั้นจะเป็นเหมือนมือปืนรับจ้างเล่นดนตรีซะมากกว่า อาชีพของพวกเขาคือ การเล่นดนตรี เล่นดนตรีของใครก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มันจะเป็นคนละอารมณ์กัน เพราะฉะนั้นเรื่องของความเคร่งครัด ความโหดของฝีมือ แรงกดดันต่าง ๆ นักดนตรีฝั่งเมืองนอกพวกนี้มันจะโหดกว่า Broadway มันก็เล่นได้ พวกนี้จะเป็นยอดฝีมือ แต่ฝั่งของคนไทยจะมีความเป็นศิลปะมากกว่า เจตนาที่บริสุทธิ์กว่า มันก็แตกต่างกันออกไปนะ
การกลับมาเริ่มทำเพลงที่ประเทศไทยมีคนมาชวนไปเข้าค่ายบ้างมั้ย
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครชวนไปทำอะไรเท่าไหร่นะ เพิ่งจะมีระยะหลัง ตอนกลับมาไทย ผมมุ่งจะทำงานกับ Lullaby Entertainment ต่อก็เลยโดยไม่สนใจอะไร เพราะตัวผมพึงพอใจกับงานคอนเสิร์ตที่โรงละครอักษรา เธียเตอร์มาก ๆ ผมมองว่าขั้นตอนการทำงานทั้งหมด สุดท้ายแล้วมันเป็นกำไรสำหรับเราอยู่ดี ต่อให้ร่วมงานกับใครก็ตาม ไม่เห็นจะต้องทำตามสูตรค่ายเพลงหรือค่ายยักษ์ใหญ่อะไรเลย อีกคนที่มีส่วนในการทำเพลงของผมครั้งนี้ก็คือพี่โคอิชิ (โคอิชิ ชิมิสุ ค่าย SO::ON Dry Flower) พี่คนนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับวงการเพลงไทยที่ต้องมีคนแบบนี้อยู่ในวงการบ้านเรา ยกตัวอย่างง่าย ๆ การให้โอกาสวง Desktop Error ได้เกิดขึ้นในเมืองไทย ถึงเพลงของพวกเขา มันจะเป็นอะไรที่คนไม่ได้ฟังกันเยอะ แต่มันก็จำเป็นนะ เพราะถ้าเกิดวงการเพลงบ้านเรามีแต่คนทำอะไรซ้ำซาก สุดท้ายมันก็จะไม่มีการพัฒนาเกิดขึ้น การพัฒนามันควรจะมาจากทางอื่น ๆ บ้าง โดยเฉพาะทางที่ผิดเพี้ยนจากเพลงกระแสหลัก
เพลงของคุณจัดอยู่ในหมวดไหน เพลงกระแสหลักหรือเพลงอินดี้
มันไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะระบุว่าแนวเพลงของผมมันอยู่ตรงไหน หน้าที่ผมจบลงตั้งแต่เมื่อเพลงมันออกไปแล้ว ใครจะเอาไปไว้ตรงไหน บอกว่าแนวเพลงของผมอะไร จะคิดอะไรก็เชิญเลย ผมเลิกมานั่งระบุแล้วว่าใครควรจะมาเป็นแฟนเพลงผมหรือเป็นลูกค้า ผู้สนับสนุนผม ทุกคนเป็นตัวของตัวเองหมดแล้วเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นใครจะทำอะไร คิดยังไงก็เอาตามที่สบายใจกันเลย
แก่นที่แท้จริงหรือเรื่องเล่าที่ต้องการจะบอกในอัลบั้มชุด Deep In The Long Grass
แน่นอน อัลบั้มนี้มันคือจังหวะชีวิตของผมที่แตกต่างออกไปจากอัลบั้มชุดที่แล้วประมาณหนึ่ง ผมเติบโตขึ้นกว่าเก่ามาก มันจึงไม่ค่อยมีเพลงรักล่อแหลม อกหักหรืออะไรแบบนั้นอยู่ในอัลบั้มของผม มันจะมีแต่เรื่องที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวผม จากเพื่อน จากคนที่รู้จัก เป็นมุมมองของเขาบ้าง ของผมบ้าง ในพาร์ทของเนื้อร้องมันน่าจะโตกว่าหลาย ๆ อย่างที่ทำมาก่อนหน้านี้มาก
กระบวนการทำงานที่ไทยกับต่างประเทศแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
มันไม่ต่างกันมาก เพราะกระบวนการอัลบั้มที่แล้วกับอัลบั้มนี้ โปรดิวเซอร์ก็คนเดิมคือ Dave McCracken วงที่ผมใช้อัดอัลบั้มก็เป็นวงที่ผมทัวร์อเมริกาด้วยกัน ส่วนคนไทยจริง ๆ ก็มีแค่ผมกับคุณเจ – มณฑล สองคนนี่แหละ นอกนั้นเป็นคนอเมริกัน คนอังกฤษกันหมด ฉะนั้นแล้วในฐานะลูกครึ่งอย่างผมก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนตอบได้ว่าฝั่งไหนดีกว่ากัน เพราะผมไม่ค่อยคิดเชิงชาตินิยมสักเท่าไหร่ แค่เพลงเสร็จมันก็โอเคแล้วแหละสำหรับผม
รู้สึกอย่างไรบ้างในมุมมองของคนฟังเพลงคุณที่ชอบบอกว่า ทำไมคุณร้องเพลงฝรั่ง ทำไมไม่ร้องเพลงไทยเยอะ ๆ
ตัวเรายังไม่เคยเจอใครมาพูดแบบนี้ให้ได้ยินนะ เพราะว่าไปเล่นทีไร คนที่เขามาดูก็รู้ว่า ผมทำอะไรอยู่ มันถึงเวลาแล้วที่คนฟังเพลงต้องเข้าใจในสิ่งที่เราทำ ถ้าเป็นเมื่อ 15 ปีที่แล้วก็อาจจะเป็นอีกเรื่อง ณ เวลานี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว คนฟังเพลงเขาก็รู้อยู่แล้วว่า เขากำลังมาดูใคร ลูกค้าที่จ้างเรามาเล่นก็รู้ว่าเขาจ้างใครอยู่ รู้ว่าผมทำอะไรมา เพราะฉะนั้นผมแทบจะไม่เจอใครมาบอกสิ่งเหล่านี้กับผมเลย มันเป็นสิทธิของผมที่จะเล่นอะไรก็ได้ตามที่ผมรู้สึกว่าเหมาะสม คุณจ้างมาแล้วคุณก็ต้องรับได้ ผมไม่ได้เอาปืนจ่อหัวคุณให้จ้างผมหรือให้คุณมาดูซะหน่อย คนที่อยากมาดูก็มาเอง มันเป็นแบบนี้ ปีหน้ามันอาจจะเป็นเพลงไทยก็ได้ ต้องไว้ใจในตัวผม ถ้าไม่ไว้ใจก็ไม่ต้องจ้าง ผมไม่ซีเรียสอยู่แล้ว สำหรับใครที่บอกผมร้องแต่เพลงฝรั่ง ปีหน้าเดี๋ยวเจอกัน ได้ฟังเพลงไทยจากผมแน่นอน ตอนนี้กำลังทำอยู่ เริ่มสะสมกันแล้ว เชื่อใจผมได้ฟังแน่นอน
ทำทุกอย่างในวงการเพลงมาหมดแล้ว อยากทำค่ายเพลงบ้างไหม
ไม่ทำอ่ะ (หัวเราะ) ผมไม่รู้จะทำทำไม ผมไม่ได้ถนัดธุรกิจ ผมทำมันต้องเจ๊งแน่ ๆ ขนาดคนที่เก่ง เขายังเจ๊งเลย ค่ายเพลงดี ๆ ยังอยู่กันไม่ได้ แล้วผมเป็นใครมันจะไปรอดได้อย่างไร ผมไม่เชี่ยวชาญด้านนี้เลยนะ
มองวงการเพลงบ้านเราเป็นยังไง
สำหรับผม สุขภาพคนดนตรีน่าจะดีนะ ถึงแม้ในฝั่งธุรกิจอาจจะไม่ได้ดีกว่าวงการเพลงสมัยก่อนก็ตาม แต่ว่าความหลากหลายมันมีมากขึ้น ยกตัวอย่างวง Yellow Fang ก็สามารถอยู่ร่วมเวทีเดียวกันกับปาล์มมี่ได้แล้ว มันเป็นอะไรที่หลากหลายดี มีทั้งวงประหลาด ๆ เกิดขึ้นมากมาย รวมไปถึงการทำงาน Rock n Roll Come Back ของเราด้วยที่มันทำให้ได้เจอกับอีกซีกโลกของวงการเพลงไทย ซึ่งสมัยก่อนมันแทบจะไม่มีเลย ไม่มีสิทธิได้แสดงผลงานเลยสำหรับวงท้องถิ่น สมัยนี้แค่มีอุปกรณ์เล่นดนตรีก็นำไปพัฒนารสนิยมตัวเองในการเล่นดนตรีได้แล้ว ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นต้องรวยนะ แค่มีไฟในการทำเพลงก็พอแล้ว สำหรับผมรู้สึกว่าเด็กรุ่นนี้มีความเป็นปัญญาชนมากขึ้นในเชิงดนตรี
วงดนตรีไทยหน้าใหม่ ๆ ที่ฟังอยู่ในตอนนี้
ฟังเราฟังทุกแนวเพลงเลย Desktop Error, Yena ผมก็ชอบ Monomania วงนี้ก็เล่นสดดี สหายสายลมโปรเจกต์ของเบิร์ดก็ดี แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วผมเป็นแฟนเพลงตัวจริงของ Silly Fools, คาราบาว เลยนะ ดนตรีลูกทุ่ง หมอลำ ลูกกรุง พวกนี้ผมก็ฟังหมด ชอบมากด้วย
ใครในวงการเพลงที่คุณอยากร่วมงานด้วย
อยากร่วมงานกับพี่ปู – พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ครับ แล้วก็อีกคนที่อยากร่วมงานด้วยก็คงจะเป็นคุณจรัล มโนเพ็ชร แต่เสียดายที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนคนอื่นก็ได้ร่วมงานไปเยอะแล้วเหมือนกันนะ อย่างพี่ใหม่ เจริญปุระ ผมก็ร่วมงานมาแล้ว ตอนครั้งที่ได้ร่วมงานกัน พี่ใหม่เชียร์วงสิบล้อมาก ทั้งที่ตอนนั้นมีแต่คนเกลียดวงสิบล้อ พี่ใหม่เชิญพวกผมไปเป็นแขกรับเชิญถึงสองรอบ รวมถึงพี่แอ๊ด คาราบาวก็ได้ร่วมงานกันทั้งในห้องอัดและบนเวที คนที่อยากร่วมงานจริง ๆ อีกคนก็คงจะเป็น ต้น Silly Fools รู้จักกันดีครับคนนี้ เขาเคยมิกซ์เพลงให้ผมครั้งหนึ่ง อยากลองทำงานกับเขาดูสักครั้งครับ เพราะเขาเก่งมาก ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นกีต้าร์นะ งานในห้องอัดเขาก็น่าสนใจเช่นกัน แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมากเท่าไหร่เดี๋ยวเขาได้ใจ (หัวเราะ)
ความแตกต่างของวงสิบล้อกับผลงานเดี่ยวที่ชื่อว่า Hugo
แตกต่างอย่างชัดเจนนะ การเป็นศิลปินเดี่ยวกับการเป็นสมาชิกคนหนึ่งในวงมันไม่เหมือนกันเลย หนึ่งเลยมันแตกต่าง สอง คือมันเป็นดาบสองคมนะ การเป็นสมาชิกหนึ่งคนในวงดนตรี ชีวิตเราทั้งหมดก็ฝากอยู่กับคนอื่นด้วย คนอื่นสามารถพาเราจมหรือพาเราขึ้นก็ได้ เราเกาะเขากินก็ได้หรือเขาจะพาเราดิ่งลงไปก็ได้ บางทีเขาแบกเรา บางทีเราก็แบกเขา มันก็อบอุ่นดี แล้วมันก็พร้อมเคลื่อนตัวกันเสมอ ถ้าทุกคนยังหนุ่ม ๆ ยังไม่มีภาระมีลูกเมียมันก็คิดจะไปเล่นที่ไหนก็ได้ ไปไหนก็ไปไม่ต้องจ้างก็ได้ เพราะทุกคนมีส่วนได้ส่วนเสียเท่ากัน แต่ข้อเสียสำหรับตรงนั้นก็คือ คำว่า Compromise มันไม่ควรมาอยู่ใกล้คำว่าศิลปะ การทำวงดนตรีมันต้องเด็ดขาด แต่พออยู่ในวงมันเด็ดขาดไม่ได้ก็ลำบากแน่ ๆ ศิลปินเดี่ยวมันก็มีอิสระในการตัดสินใจได้มากกว่า ไม่ต้องมานั่งประชุมกัน แต่มันก็เหงา เพราะเราทำคนเดียว แล้วทุกคนก็เป็นลูกจ้างเราหมด มันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่พูดตรง ๆ ผมชอบแบบเดี่ยวมากกว่านะ เพราะว่ามันกำหนดทิศทางได้ แถมเราโตแล้วด้วย มีลูก มีเมียแล้ว ผมไม่คิดมาฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนอื่น ไม่เอาดีกว่า
ผมเล่นดนตรีเป็นอาชีพมาจะ 16 ปีแล้ว แน่นอนผมไม่ได้ทำฟรี มันสำคัญมากสำหรับผม รวมไปถึงการลงแรงกาย แรงสมองของผมที่ทุ่มเทลงทั้งหมดไป ผลตอบรับที่ได้รับมามันคุ้มค่ามาก ๆ นะ เงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญเพียงอย่างเดียว กระบวนการทำงานก็สำคัญมากด้วยเช่นกัน
การทำวงดนตรีสิบล้อตอนนั้นในแง่ของยอดขาย ขาดทุนหรือเปล่า
ไม่ขาดทุนนะ ทำเงินเป็นล้านเลย ทัวร์คอนเสิร์ตยับเลย เพราะว่าชุดแรกที่ทุกคนบอกว่าเจ๊งเนี่ย ตอนนั้นขาย 25,000 ม้วนเลยนะ ณ วันนี้ต่อให้ดังให้ตายยังไงก็ขายไม่ถึงหรอก 25,000 ม้วน มาถึงผลงานชุดที่ 2 – 3 ที่อยู่แกรมมี่อันนี้คือกำไรล้วน ๆ ส่วนชุดสุดท้ายโดนแบนไม่ได้วางขาย แต่สุดท้ายแล้วจริง ๆ ผมก็รู้สึกว่าถ้าคุณอยากฟังสิบล้อคุณก็ฟังเถอะ ไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร เหมือนที่ผมบอกไม่ได้บังคับใจกันอยู่แล้ว
ค่าตอบแทนในการเล่นดนตรีสำคัญมากน้อยแค่ไหนในชีวิตของคุณ
สำคัญมากสิครับ (หัวเราะ) ถ้าทำเป็นอาชีพยังไงมันก็สำคัญ ถ้าเป็นงานอดิเรกมันก็อาจจะไม่สำคัญก็ได้ ผมเล่นดนตรีเป็นอาชีพมาจะ 16 ปีแล้ว แน่นอนผมไม่ได้ทำฟรี มันสำคัญมากสำหรับผม รวมไปถึงแรงกาย แรงสมองของเราที่ลงทุนไป ผลตอบรับมันคุ้มค่ามาก ๆ นะ มันไม่ใช่เรื่องของเงินทองอย่างเดียวนะที่สำคัญ แต่ความสำคัญก็คือการได้ดำเนินงานตามขั้นตอนของเรามากกว่า นั่นแหละคือรางวัลของมันเพียงแค่ได้ทำ ผมก็แฮปปี้แล้ว สิ่งที่ผมต้องการก็คือเงินเป็นหลักอยู่แล้ว อาจจะมากกว่านี้หรือน้อยกกว่านี้เราก็โอเคถ้าได้รับเงินมา ผมชอบเล่นดนตรี ชอบทำให้คนอยู่ในห้วงเวลาของผม ช่วงเวลาชั่วโมงสองชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน มันเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างบริสุทธิ์มาก ๆ สำหรับผม
ใช้คำว่าศิลปินไส้แห้งกับคุณได้ไหม
ใช้ไม่ได้ครับ เพราะว่า ผมไม่ได้ขาดทุนอะไรเลยในการทำเพลง ผมประกอบอาชีพสุจริต จ่ายภาษีทุกปี (หัวเราะ) แล้วก็มีเงินกินไม่ได้ขอตังค์มาเล่นดนตรี เสียงดนตรีมันพาผมไปทั่วโลก ถ้าผมจะไส้แห้งก็เพราะ ไม่ค่อยได้กินอาหารเช้ามากกว่า ถึงอย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ทุกคนนะที่จะทำได้แบบผม ผมเป็นคนที่โชคดีที่ชีวิตเต็มไปด้วยโอกาสที่มีตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนโต เพราะฉะนั้นจะให้มาภูมิใจกับมันมากก็ไม่ใช่ จะมาคิดว่าตัวเองเป็นคนเก่ง เป็นคนเจ๋งยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย ผมเป็นแค่คนที่มีโอกาสเยอะและบ่อย ผมมีครอบครัวที่พร้อม เพราะฉะนั้นมันไม่ได้เป็นอะไรที่ผมภาคภูมิใจมากสักเท่าไหร่ ขณะเดียวกันผมก็รู้ว่าผมทำอะไร ผมถึงจุดไหนด้วยอะไร ผมแยกแยะมันออก เพราะงั้นถ้าใครจะมาบอก มาวิจารณ์อะไรก็ตาม มันก็จะไม่กระทบกระเทือนตัวผมแน่นอน ใครจะคิดอะไรก็คิดไป เพราะ สุดท้ายความจริงเป็นอย่างไรตัวผมก็รู้เอง
ความฝันสูงสุดในการทำดนตรี
ถ้าจุดสูงสุดกึ่งเพ้อฝันเลยนะ คงจะเป็นไปเล่นที่ Budokan Stadium ประเทศญี่ปุ่นเหมือนวง Cheap Trick แล้วก็อัดอัลบั้มแสดงสดที่ Budokan Stadium ไปเลย คงจะสนุกน่าดู คนดูเต็ม ๆ ด้วยนะครับ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันหมดยุคไปแล้วหรือเปล่ากับการจะทำอะไรแบบนั้น
เพลงของคุณไประดับโลกแล้ว รู้อย่างไรบ้างกับคำว่าระดับโลกในที่นี้
ไม่รู้สึกอะไรกับมันนะ มันไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ เราพูดได้ว่าเพลงเราเป็นดนตรีภาษาอังกฤษที่จำหน่ายไปทั่วโลก แค่คุณเอาเพลงไปขายไว้ใน iTunes มันก็จำหน่ายทั่วโลกแล้ว คำพวกนี้มันจึงไม่ได้เกี่ยวหรือสำคัญเท่าไหร่ เพราะเรารู้สึกว่า เราเป็นศิลปินไทยหนึ่งคนที่ร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษได้แค่นั้น ภาษาอังกฤษมันก็เหมือนภาษาไทยอ่ะ มีสัมผัสนอก สัมผัสใน กติกาประหลาด ๆ ในการแต่งเพลงของมัน คำว่าระดับโลกมันจึงไม่สามารถไปกำหนดได้ว่าอะไรคือระดับโลกสำหรับผม
รู้สึกแปลกบ้างใจรึเปล่าที่เพลง 99 Problems ไปอยู่ในรายการประกวดร้องเพลง
มันก็สมควรจะไปอยู่ในนั้นพอ ๆ กับเพลงของคนอื่นเขาเหมือนกันแหละ ไม่แปลกรู้สึกแปลกใจนะ เพราะเราก็ทำมันออกมาเพื่อให้คนได้ฟัง เพื่อให้คนรู้จัก เพื่อให้คนอยากร้องตาม ถ้าคุณเอาเพลงคนอื่นไปร้องได้ ทำไมถึงจะไม่เอาเพลงผมไปร้องบ้างล่ะ ถ้าฟังแล้วไม่เอาไปร้องเนี่ยจะน้อยใจนะ (หัวเราะ)
ดนตรีได้ให้อะไรกับชีวิตของคุณ
ให้ทุกอย่าง ให้เรามีอาชีพ ได้เดินทางไปที่ต่าง ๆ ที่ไม่เคยไป ให้สังคม ให้เพื่อน พูดง่าย ๆ มันก็คือ ทุกอย่างเลย เงินทองที่ผมใช้ทุกวันนี้ ผมก็หามาได้จากการเล่นดนตรี เพราะฉะนั้นแล้วมันให้อะไรกับผมเยอะมาก ๆ จริง ๆ
จะเล่นดนตรีไปอีกนานแค่ไหน
คงเล่นต่อไปเรื่อย ๆ เท่าที่ทำได้นะ ผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งราคาค่าตัวเราตกแล้ว ก็ต้องมาคิดอีกที ผมเชื่อว่านักดนตรีทุกคนมีตัวเลขในใจที่ต้องการนะ อยู่ที่ความพอใจมากกว่า ถ้าวันหนึ่งผมรู้สึกว่า มันไม่ได้ราคาเท่าที่ควรหรือมันไม่คุ้ม ตัวเราเองหยุดพัฒนาแล้ว อาจจะไม่เล่นต่อ ตอนนี้ผมมีความรู้สึกเป็นนักร้องที่ดีกว่าเมื่อ 15 ปีที่แล้วนะ ดังนั้นผมจึงยังไม่เห็นทางลงของอาชีพนี้ แต่วันหนึ่งมันก็ต้องมีสิ่งนี้เกิดขึ้น แต่บางทีมันก็อาจจะไม่มีก็ได้ อย่างพี่แอ๊ด คาราบาว เขาก็ยังคงเป็นนักร้องที่ทรงประสิทธิภาพเสมอ เขายังเป็นคนที่คนฟังเพลงยังต้องการฟังเพลงเขาทุกคืน ขณะนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่มีแคตาล็อกในการบันทึกประวัติศาสตร์วงการเพลงเมืองไทยมานานแล้ว ตัวผมเองก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น จริง ๆ เมืองไทยอาจจะมีวงคาราบาววงเดียวก็ได้แล้วจบไปเลย ไม่ต้องมีวงอื่นก็ยังทำได้ เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามมันไม่มีความแน่นอนอยู่แล้ว บางอาชีพอย่างนักเขียนเช่นคุณหรืออาจจะเป็นจิตรกร งานที่ดีที่สุดของพวกเขาอาจจะมีดีตอนอายุ 60, 70 หรือ 80 ก็ได้ ใครจะไปรู้ ผมได้ไปดู Leonard Cohen ที่ Albert Hall ตอนนั้นเขาอายุ 70 กว่าปีแล้วนะ แต่มันเป็นการแสดงดนตรีที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลย เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่รู้ว่าจุดจบมันจะอยู่ตรงไหนเหมือนกัน
PART 2 : ชีวิตง่าย ๆ สไตล์ “ฮิวโก้”
หลังจากคุยกันเรื่องดนตรีกับฮิวโก้แล้ว ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ยึดมั่นและศรัทธาสิ่งที่เขาทำอย่างดีเยี่ยมเลย ระหว่างนั้นฮิวโก้ขอผมเบรกพักเพื่อสูบบุหรี่สักครู่ พร้อมทั้งจิบน้ำหวานอร่อย ๆ ไปพร้อมกับผม ตอนนี้ผมชักอยากรู้ต่อแล้วสิว่าชีวิตเขาที่แท้จริงเป็นอย่างไร ลูก ๆ ของเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง ไหนจะคำถามที่ผมมักได้ยินจากคนรอบตัวเรื่องความหล่อของเขาอีก ว่าแล้วก็ได้เวลาถามต่อกันเลยดีกว่า
จุดพลิกผันจากอาชีพนักแสดงสู่การเป็นศิลปิน
จริง ๆ ตอนนั้นผมกะจะเป็นนักดนตรีในช่วงสองปีสุดท้ายของการเรียนที่โรงเรียนอยู่แล้วนะครับ ผมมีวงดนตรีอยู่แล้วด้วย ช่วงเวลาที่กลับมาเมืองไทยก็ได้มีโอกาสคุยกับทางค่ายกันตนาว่าอยากทำวงดนตรี แต่เราไม่ได้มีปริญญาติดตัวเลย แล้วก็ไม่ได้มีอาชีพอะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วย ช่วงเวลาที่เป็นนักแสดงตอนเด็ก ๆ คือเราเห็นแก่เงิน เห็นแก่อิสระ ว่าอย่างน้อย ๆ เงินที่เราได้มาก็ไม่ต้องขอจากพ่อและแม่ เราจะทำอะไรก็ทำได้ เป็นอะไรก็เป็นได้ เลยมีความเอกเทศอยู่พักหนึ่งก็เลยรับงานในวงการครับ จริง ๆ เรื่องการเป็นนักแสดงมันก็ไม่ได้ห่างไกลจากตัวเรามากนะ เพราะตอนนั้นเราเคยเล่นละครเวทีมาบ้างสมัยเรียนอยู่ แต่งานละครที่ทำช่วงนั้น ผลสุดท้ายเมื่อมันออกฉายทุกอย่างมันก็จบ ผมไม่ได้มานั่งดูว่าผมเล่นเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้มันเกิดความรู้สึกที่ผมคิดว่า เราควรเลือกสิ่งที่เราจะทำถาวรไปกับมันได้ตลอดชีวิตนะ เราต้องชัดเจนกับทางเดินของเราแล้ว ไม่งั้นพอแก่ไปเรากลับลำไม่ได้ มันก็จบนะ อย่าง Johnny Depp ก็คงเป็นนักแสดงที่เก่งมาก ๆ เล่นได้ทุกบทบาท แต่ให้เขามาออกเทปจริง ๆ จัง ๆ เขาก็ทำไม่ได้ เพราะเขาเลือกเส้นทางของเขาไปแล้ว ผมเลยรู้สึกว่า ถ้าจะทำอะไรก็ต้องรีบทำรีบปักธงว่าเราอยู่ตรงนี้นะ อยากทำสิ่งที่เราชอบนั้นก็คือดนตรี ถ้าคนเราเลือกได้มันก็ควรเลือกสิ่งที่เราอยากทำ ผมเป็นคนที่มีโอกาสและค่อนข้างโชคดีอยู่ระดับหนึ่ง มันไม่ใช่ทุกคนที่จะมาเลือกได้ว่าอยากเป็นอะไรดี นักแสดงหรือนักร้องดี มันไม่ใช่ สำหรับเรื่องนักแสดงเอาจริง ๆ มีคนที่เก่งกว่าผมเยอะแยะที่พร้อมจะทำอาชีพนี้และให้เกียรติมันได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น การที่เดินทางนี้มันเป็นทางที่ผมเลือกแล้ว
ทุกวันนี้มีคนชวนไปเล่นละครบ้างรึเปล่า
ก็มีบ้างนะ บางอย่างถ้าเราสนใจก็จะไปทำเอง อย่างหนังเรื่อง Young Bao ผมก็ไปเล่นให้ ผมชอบคาราบาว ช่วงนี้ในปีหน้า มีฝรั่งติดต่อมาอยากจะทำละครเวทีที่ประเทศไทย ชวนผมไปเล่นด้วย แต่เราก็จะมีข้อแม้ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้นะ ถ้าเขาโอเคก็ทำ แต่ถ้าไม่โอเคก็ไม่เล่นก็ได้ ฝั่งการแสดง ผมอยากเขียนบทมากกว่าแสดงเองด้วยซ้ำ
อาชีพที่แท้จริงของคุณคืออะไร
นักดนตรีครับ จริง ๆ แล้วอาชีพนักดนตรีมันเปรียบเหมือนอาชีพพวกขนส่งมากกว่า เหมือนเราขนส่งอุปกรณ์เครื่องดนตรีจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดที่เราได้รับมอบหมายไว้ ย้ายคนของเราจากจุดนี้ไปที่จุดที่วางไว้แล้วมาคำนวณว่า คุ้มมั้ยที่จะย้ายของพวกนี้ไปให้คนได้ดูกัน การเล่นดนตรี 2 ชั่วโมงของผม หากนับจริง ๆ แล้วเวลาที่เหลืออีก 22 ชั่วโมง มันคือการขนส่งเพลงไปให้คนฟังนะ เพราะในที่สุดสินค้าที่มีอยู่ในวงการนักดนตรี มันก็คือการแสดงสด ซึ่งต้องทำการขนส่งไปให้ถึงจุดหมายให้จงได้
กิจกรรมยามว่างของผู้ชายที่ชื่อว่า Hugo ที่รู้แล้วคุณจะต้องรู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้
กิจกรรมของผม แค่เมียกับลูกตอนนี้ก็กินเวลาที่เหลือไปหมดแล้ว (หัวเราะ) มีอ่านหนังสือ วาดรูปบ้าง ดูหนังปกติเหมือนมนุษย์ทั่วไป ผมเป็นคนที่ไม่ได้มีชีวิตที่ตื่นเต้นเท่าไหร่ ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบระทึกขวัญมากมาย เพราะ แค่เป็นประชากรในเมืองไทยก็ระทึกขวัญพอแล้ว
งานดนตรีเยอะขนาดนี้แบ่งเวลาเลี้ยงลูกอย่างไร
สำหรับช่วงนี้ งานดนตรีมันไม่ได้เยอะเกินไปนะ ส่วนมากร้านเขาจ้างผมก็แค่วันเสาร์ – อาทิตย์ วันธรรมดาน้อยมากที่จะมีงานเล่น ชีวิตของผมก็เอาไว้เข้าห้องอัดเพลง ลูกคนแรกตอนนี้ก็เข้าโรงเรียนแล้ว ผมทำงานกับเจ – มณฑล จิรา ทำงานตั้งแต่ช่วง 9 โมง ถึง 5 โมงเย็นมันก็จบแล้ว มันไม่ได้มาแบบ เฮ้ย ต้องรอฟีลก่อนถึงจะอัดเพลงตอนกลางคืนดึก ๆ ได้ ไม่ใช่แล้ว การทำงานของผมกับเจค่อนข้างเป็นเรื่องเป็นราวนะ พอหลังจาก 5 โมงเย็น ลูกกลับมาจากโรงเรียน เราก็อยู่กับเขาตั้งแต่เวลานั้นเลย ส่วนช่วงเช้าก็ใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็กคนที่สอง เรื่องการแบ่งเวลามันเลยดูไม่ค่อยขัดแย้งกันเท่าไหร่ ถ้าอัลบั้มไทยออกมาแล้วมีเพลงติดหูผู้คน ผมก็อาจจะหายไปสักพักหนึ่งมั้ง ตอนที่ทำเพลงอัลบั้มชุดที่ 2 มีช่วงหนึ่งที่ตัวเล็กอยู่ ๆ เขาก็เกือบจะลืมผมไปแล้ว ผมก็เลยกลัวลูกลืมน่ะ (หัวเราะ) บางทีอาชีพนี้มันก็มีเงื่อนไขของมันคือ ต้องเดินทาง เหมือนเราไปทำงานแล้วส่งเงินกลับมามันก็ไม่แปลกที่ตอนนั้นเขาจะลืมผมนะ
มีความคิดอยากให้ลูกเป็นนักดนตรีไหม
ไม่ต้องเป็นก็ได้ แต่อยากเป็นก็ดี ถ้าเป็นนักดนตรีมันก็ควรจะเป็น Musician หรือคนที่หากินด้วยฝีมือนะ ไม่ได้ต้องมาเป็นศิลปินเดี่ยวทำหน้าหล่อ ๆ ผมอยากให้ลูกเล่นดนตรีเป็นทุกอย่างนะ ให้เขาได้มีความสามารถที่กว้างกว่าเรา เพราะเรารู้ว่าเราทำอะไรได้บ้างแต่มันแค่ประมาณหนึ่งเอง ผมไม่สามารถทำได้ทุกอย่างไม่ได้เป็นแบบพี่บอย โกสิยพงษ์ พี่ฟองเบียร์หรือพี่หนึ่ง ณรงค์วิทย์ พวกเขาเหล่านั้นเป็นนักดนตรีอีกแบบหนึ่งที่อาจจะสมบูรณ์กว่าผม ถ้าลูกผมเขาอยากเป็นนักดนตรีจริง ๆ ผมคงแนะนำเขาเรียนพวกเปียโนหรือพวกเครื่องเสียงต่าง ๆ แต่เอาจริงมันก็ยากอยู่ดี บางทีลูกผมอาจจะขบถผมเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลยก็เป็นได้นะ หรือไม่แน่เขาอาจจะเหมือน เจสซี่ เมฆวัฒนา ไปเลยก็ได้ เจสซี่ร้องเพลงเพราะมาก เล่นกีต้าร์เก่งอย่างพ่อเลย ซึ่งนั้นก็น่ารักมาก
บทสนทนาที่เกิดขึ้นกับลูกคุยเรื่องอะไรกันบ้าง
คนโตเขาอายุ 4-5 ขวบเอง มันก็ใช่เรื่องอะไรที่ลึกมาก เขาจะมาถามเราเรื่องที่เด็ก ๆ หลายคนที่ชอบถามมากกว่า บางทีเราฟังแผ่นเสียงเขาก็จะถามว่าใครร้อง เขาเป็นใคร แล้วตายหรือยัง กระดูกเขาอยู่ที่ไหน แล้วขุดขึ้นมาดูได้ไหม อะไรประหลาด ๆ ของเขา แต่ก็น่ารักดีนะ ตอนนี้เขาบ้าไดโนเสาร์มากก็จะถามแต่เรื่องชีวประวัติของไดโนเสาร์แต่ละตัว วิวัฒนาการของสัตว์บนโลกนี้ แล้วทำไมคุณยายถึงแก่กว่าเรา อะไรแบบนี้ คำถามแบบเด็ก ๆ แต่ผมก็ชอบตอบนะ สนุกดี
แฟนเพลงรุ่นเยาว์คือลูกตัวเอง
ลูกผมฟังทุกเพลงเลยนะ (หัวเราะ) งานคอนเสิร์ต Under City Lights เขาก็ชอบนะ มาเป็นกำลังใจให้เลย แต่เขาก็จะมีโลกส่วนตัวของเขา ผมจะรู้ว่าลูกชอบเพลงของผมก็ตอนที่เขามาร้องเพลงให้ฟังเนี่ยแหละ แถมเขาชอบไปงาน Wonderfruit มากนะ แล้วนี่ก็ถามผมว่าปีนี้ไปเล่นไหม เราก็บอกว่าไม่เล่นเพราะ Line up งานเขามันไม่ซ้ำกัน เขาก็เข้าใจว่าเทศกาลไลน์อัพต้องไม่ซ้ำกัน เริ่มเรียนรู้เรื่องวงการดนตรีได้เรื่อย ๆ จากผมเลยนะ
ครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต
มันสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น การมีครอบครัวมันดีมาก ๆ มันทำให้เราไม่ไปคาดหวังหรือผูกความสุขทั้งหมดไว้กับอาชีพอย่างเดียว แล้วยังทำให้เราเด็ดขาดในการตัดสินใจมากขึ้นด้วยนะ ไม่ต้องมีลูกเกรงใจ ถ้าให้ตัดสินใจอะไรสักอย่าง สมัยก่อนถ้าใครชวนไปเล่นดนตรีต่างจังหวัดอาจจะไปนะยังดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ แต่ตอนนี้มันพูดได้ง่าย ๆ เลยว่าเราไม่ค่อยไปแล้ว มันต้องคิดเยอะ ๆ ไม่ต้องเกรงใจเพื่อนด้วย บางทีเพื่อนชวนออกไปทำเหตุการณ์อะไรที่ไม่ค่อยจำเป็น ผมก็ไม่ไปอยู่บ้านกับครอบครัวดีกว่า นอกจากจะเป็นงานวันเกิด งานศพหรืองานแต่ง โอเคงานพวกนี้ผมไป แต่ถ้างานอื่นที่ไม่ใช่เล่นดนตรีบอกเลยว่าไม่ไปจะอยู่กับลูก
ชีวิตตอนนี้ถือว่ามีความสุขที่สุดแล้วหรือยัง
มีเลยแหละ แต่มันก็จะมาเป็นช่วง ๆ ช่วงที่เงียบเหงา เราก็จะนั่งเซ็ง นั่งคิดว่าอะไรวะ ทำไมเราจะต้องมีช่วงเวลาแบบนี้ด้วย แต่เอาชีวิตตอนนี้ถือว่าค่อนข้างโอเคมาก ๆ เลย
ความรักคือสิ่งที่เติมเต็มให้คำว่าครอบครัวสมบูรณ์แบบ
ความรักอย่างที่ทุกคนคิด อาจจะหมายถึงความโรแมนติก ความรัก ความใคร่ ผมคิดว่ามันเป็นการกระทำมากกว่า มันไม่ใช่ความรู้สึก คือเรารู้สึกยังไงก็ได้นะ ทุกคนทำได้หมด แต่ถ้าคุณรู้สึกแล้วไม่กระทำมันก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นความห่วงใยที่เมียมีให้กับเราหรือความที่เป็นเพื่อนอยู่ด้วยกันมาหลายปี บางทีคิดเหมือนเราบ้าง คิดไม่เหมือนเราบ้าง อยู่ด้วยกันช่วยกันทั้งในด้านงาน ด้านชีวิต แน่นอนว่าความรักของผมไม่มีความหดหู่เกิดขึ้นเลย ผมมีเพื่อนหลายคนที่ใช้ชีวิตอิสระมาก ตอนแรก ๆ ชีวิตก็ดูดีนะ จะทำอะไรก็ได้ ทำได้สบาย ๆ ด้วย แต่พอดูภาพรวมของมันแล้ว ผมไม่อยากจะแลกชีวิตกับมันเลย มันเป็นมุมที่ต่างคนต่างสงสารซึ่งกันและกันมากกว่า เขาก็สงสารผมที่ติดยึดกับบ้าน ส่วนผมก็สงสารเขาที่ชีวิตดูอ้างว้าง ไร้จุดหมายชิบหาย
คุณไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้ใช่มั้ย
ไม่เจ้าชู้เลย เราหวงของเรามากเกินไปด้วยซ้ำ คือไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบความสวยความงามของเพศตรงข้ามที่เห็น ๆ กันนะ แต่แล้วไงอะ มีเมียแล้ว แล้วจุดจบมันจะเป็นยังไง เราก็รู้ถ้าเราทำเรื่องที่ไม่ดี เรื่องความยุติธรรมมันมีให้เห็นบ่อยอยู่แล้วสำหรับเรื่องพวกนี้ ถ้าเรามีกิ๊กได้ เขาก็ต้องมีได้ด้วยสิ เราก็ไม่อยากให้มี ไม่อยากให้เขามีมากกว่าเราอยากจะมีอีก ก็ขอให้ค่าพวกนั้นที่เราสัญญากันไว้มันไม่เปลี่ยนแล้วกัน เพราะถ้าค่านั้นเปลี่ยนเมื่อไหร่คงจะวุ่นวายน่าดู แต่เราแฟร์นะ เราไม่อยากให้เขามี เราก็มีไม่ได้ มันง่ายมากเลย มันไม่ได้เป็นอะไรที่ลึกหรือคุณธรรม ความดีอะไร มันคือความเห็นแก่ตัว การเอาตัวรอด ที่ผมไม่เจ้าชู้เพราะถ้าเจ้าชู้มันก็ไม่รอด ทุกอย่างที่มีพัง ความไว้วางใจที่มี พังหมด ตัดสินใจง่ายมาก แล้วผมก็ไม่ได้ขนาดที่มีผู้หญิงมาถวายประเคนตัวให้ผม มันใช่ที่ไหน โอกาสที่จะต้องหาอะไรแบบนี้มันก็ต้องไปเที่ยว ไปเฝ้า ไปจีบ เอาเบอร์มา พาไปกินข้าว พาไปดูหนัง มันไม่ใช่ง่าย ๆ นะ สมมุติพอลองจีบแล้วเขาอยากจะมีหรอ แฟนที่มีเมียมีลูกแล้ว มันไม่มีใครอยากมีหรอก มันเลยง่ายมากที่ผมจะไม่เป็นคนเจ้าชู้ ทุกวันนี้ผมยังทึ่งเพื่อน ๆ ผมที่เจ้าชู้กันเลยว่า ทำแล้วนอนหลับได้ทุกคืนสบายใจได้ยังไง ไม่กลัวพังหรอ เก่งน่าดูเลย เป็นผมทำไม่ได้อ่ะเครียดตายห่า แค่คิดในมุมกลับว่าถ้าเมียเรามีแบบนี้บ้างมันก็เจ็บสุด ๆ แล้ว
เคยอกหักผิดหวังกับความรักบ้างรึเปล่า
เคยสิเหมือนโลกจะแตกอะ แต่พอมีสติแล้วได้อ่านหนังสือหรืออ่านอะไรก็ตามจะรู้ว่า เรื่องพวกนี้มันเคยเกิดขึ้นแล้วไม่รู้กี่ครั้งในชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แล้วสามเดือนผ่านไปหรือระยะเวลาเท่าที่มันควรจะเป็น เราก็จะมีความคิดที่เปลี่ยนไปได้ ยิ่งถ้าเราตัดขาดทั้งการพบปะกันทางสังคมแล้วย้ายหนีหายไปเลย มันจะง่ายทำให้เราทำใจได้เร็วขึ้นนะ
สาว ๆ กรี๊ดคุณเยอะมาก คิดว่าตัวเองเป็นคนหล่อไหม
(หัวเราะ) มันหลากหลาย บางทีเราก็เห็นว่ามัน เป็นช็อตที่สร้างสีสันให้ชีวิตเขาในเวลานั้น แล้วก็เป็นหน้าที่เราด้วยที่มาให้ความบันเทิงและประสบการณ์ที่ครบครันแก่คนชม มีเล่นคอนเสิร์ต แจกลายเซ็น ถ่ายรูปกับแฟนเพลงด้วย ก็สมควรแล้ว ถ้ามันเป็นสิ่งที่เขาคาดหวังและเป็นสิ่งที่เราพร้อมจะทำ เขาก็ควรจะได้รับ พวกเรื่องความหล่อมันไม่ต้องเป็นผมหรอก ยิ่งสมัยก่อนตอนเป็นวงสิบล้อแล้วไปเล่นตามเทค ตามบาร์ เป็นใครก็ได้บนเวทีอ่ะ วงอะไรก็ได้ คนที่อยู่บนเวทีมันจะมีรัศมีขึ้นมาทันที เพราะคุณอยู่บนนั้นไง มันมีค่า เป็นคนในสายตาประชาชน แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับผมเลย ผมไม่มีก็ได้ตรงนั้นอ่ะ แต่ก็ต้องทำความเข้าใจว่ามันมาพร้อมกับสิ่งที่เราทำ บางทีถ้าเราล่องหนได้ในบางโอกาสเวลาเดินตลาดเราก็อยากทำ ไม่ต้องให้คนรู้จักว่าเราคือใคร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องทำอะไรแบบนั้น ผมแลกและเลือกทางของผมไปแล้วจะมานั่งบ่น นั่งแปลกใจกับมันก็ไม่มีประโยชน์ ผมไม่เคยเป็นคนปกติอยู่แล้วก็เลยไม่รู้สึกอะไรกับหน้าตาตัวเอง ผมแค่มีกำพืดทั้งฝั่งพ่อ ฝั่งแม่ วิถีชีวิตที่เลี้ยงผมมาก็ไม่รู้จะปกติได้ยังไง มันแค่เป็นสังคมที่แตกต่างสองแบบเท่านั้นเอง สังคมฝรั่ง สังคมเมืองนอก ครอบครัวผมมีทุกนิกาย ทุกเชื้อชาติ ผมว่าจริง ๆ ไม่มีใครปกติหรอก ไม่ได้คิดอยากจะปกติเลยด้วยซ้ำ ผมไม่เคยต้องการให้คนมาคิดว่าผมติดดิน ใครอยากคิดว่าผมอยากทำตัวติดดินหรืองก คุณเข้าใจผมผิด ผมทำตัวในแบบที่ผมชอบ ไม่ได้ติดดินเลย ผมอยากกินข้าวร้านข้างถนน เพราะว่ามันอร่อยนะ ถ้ามันติดแอร์แล้วอยู่ในที่หรู ๆ ผมก็ไป แพงกว่านั้นผมก็ซื้อมากิน มันไม่เกี่ยวเลย แค่รู้สึกชอบเฉย ๆ ก็อุดหนุน ชอบวงคาราบาว ก็ไม่ใช่ชอบเพราะคาราบาวติดดิน แต่ชอบที่คาราบาวเป็นวงที่เจ๋ง ไม่เกี่ยวกับชนชั้นวรรณะใด ๆ ทั้งสิ้น
การมีครอบครัวมันดีมาก ๆ มันทำให้เราไม่ไปคาดหวังหรือผูกความสุขทั้งหมดไว้กับอาชีพอย่างเดียว แถมยังทำให้เราเด็ดขาดในการตัดสินใจมากขึ้นด้วยนะ ไม่ต้องมีลูกเกรงใจ ถ้าให้ตัดสินใจอะไรสักอย่าง
มีอาชีพอื่นที่อยากทำไหมนอกจากเป็นนักดนตรี เป็นนักแสดง
อยากเป็นช่างไม้ครับ ถ้ามีช่วงว่างพอแล้วมีเวิร์กช็อปหรือมีโอกาส มีใครที่จะมาสอน สมมติถ้าลูกเราเรียนจบแล้วมีเวลาให้กับตัวเองได้บ้างกับสักเรื่องหนึ่ง ก็คงจะเป็นเรื่องนี้แหละ อยากทำเก้าอี้สวย ๆ ให้ได้สักตัวก็คงจะดี พูดแล้วก็อยากกลับไปเรียนเพาะช่างเหมือนกัน สนใจเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก่อนจะมีช่วงที่ผมเข้าไปนั่งหลังห้องที่เพาะช่างทั้งที่ไม่ได้เรียน แต่ที่บ้านรู้จักกับอาจารย์ก็ให้ไปนั่งเรียนดู วาดรูปพวกลายกนก วาดพญานาค ผมก็จะพอมีทักษะทางด้านนั้นอยู่ ช่วงเด็ก ๆ ลงไปอีก ผมก็ได้มีโอกาสคลุกคลีกับอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี เขาก็เป็นคนที่มีอิทธิพลกับเราเยอะมาก ๆ ช่วงเรา 8-10 ขวบเป็นช่วงเวลาที่ผมแฮปปี้กับเรื่องนี้ที่สุด แต่ถ้าให้เป็นช่างไม้จริง ๆ คงต้องอยู่ต่างจังหวัด ต้องมีบริเวณที่จะเลื่อย ขัด ทำที่รก ๆ สร้างงานของเราได้
อยากใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดหรืออยู่ในเมืองกรุงเทพมหานคร
ใจผมอยากอยู่ต่างจังหวัดนะ แต่เป็นไปไม่ได้หรอก ช่วงนี้ก็อยากให้ลูกได้เรียน ได้มีสังคม ภรรยาผมก็เป็นคนมีสังคม มีเพื่อนเยอะ มันก็คงเงียบเหงาเกินไป ถ้าไปอยู่ต่างจังหวัดในตอนนี้ โอกาสการทำงานของเรามันอยู่ในเมือง มันก็ต้องเริ่มจากในเมืองสู่นอกเมือง แต่ถ้าวันหนึ่งผมสามารถกล่อมแฟนให้ไปอยู่ต่างจังหวัดได้ก็คงจะไปอยู่แบบเงียบ ๆ เกลียดรถติด เกลียดสถานที่ที่คนเยอะ มันวุ่นวายไม่ค่อยสงบ
ถ้าตามติดชีวิตฮิวโก้ได้หนึ่งวันจะพาไปไหน
คุณคงจะเบื่อตายเลย (หัวเราะ) ผมจะนั่งอ่านหนังสือแล้วก็ค้อนมองข้ามห้องว่าเมื่อไหร่คุณจะปล่อยผมอยู่เฉย ๆ คนเดียวสักที คือถ้าคนไม่ได้สนิทด้วยจะให้มาใช้ชีวิตทั้งวันกับใครก็ไม่รู้ ผมไม่ได้เป็นคนน่ารักขนาดนั้น ค่อนข้างต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ก็คงจะจำใจยอมพาไปล่องเรือดูชีวิตคนริมคลอง เหมือนผมพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวเลย พาไปดูวัดพระแก้ว ไปดูเรื่องราวรามเกียรติ์ ดูเข้าไปเลย ดูประตูลายรดน้ำที่วัดสุทัศน์ ไปดูวัดโพธิ์ ไปหอศิลป์ ไปปากคลอง ดูผักดูดอกไม้อะ อยากได้เสื้อเดี๋ยวพาไปสะพานพุทธ จากนั้นมา The Jam Factory มาซื้อหนังสือแนว ๆ เดี๋ยวเล่าให้ฟังว่า พี่ดวงฤทธิ์เขาเป็นใครยังไง ถ้าไปต่างจังหวัดพวกจังหวัดเชียงรายก็พาไปดูบ้านดำ ไปตามสถานที่ที่น่าพาไป ผมไม่ได้เป็นเด็กแนวหรอก ไม่ได้รู้อะไรมากกว่าพวกคุณเลย ถ้าผมหมดหนทางจริง ๆ คงชวนคุณไปกับผมแล้วแนะนำกับพี่ป๊อก Stylish Nonsense แล้ว ฝากพี่ป๊อกไปเลยครับ คนนี้เขาต้องการทำอะไรที่น่าสนใจกว่านี้ครับ พี่ป๊อกช่วยพาไปต่อทีครับ ผมจนมุมแล้ว ผมยอมแพ้ (หัวเราะ)
แสดงว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก
มาก!!!!!!
Hugo มีเพื่อนเยอะรึเปล่า
ไม่รู้ว่าเยอะหรือเปล่า แต่ก็ไม่น้อยนะ ส่วนมากก็คนเล่นดนตรีหรือเคยทำงานด้วยกัน แต่คงจะเป็นเพื่อนชุดเดิม ๆ ไม่เยอะเท่าคนอื่นเขา แต่คงหาเวลาไปเจอเพื่อนได้น้อย ส่วนมากจะอยู่คนเดียวมากกว่า มันเป็นความยินดีเลยอ่ะที่ได้อยู่คนเดียว สบายใจกว่า เพราะลูกนอนแล้ว แฟนไปเที่ยวกับเพื่อน เราก็ดูทีวี อ่านหนังสือ ดูพวกเลกเชอร์ในยูทูบ พวกนักเขียน นักคิด นักปราชญ์ที่ตายซี้ม่องเท่งไปหมดแล้ว ผมก็เปิดดูได้หมด เว็บข่าวสาร ข่าวการเมือง ข่าวต่างประเทศ ข่าวบันเทิงเมืองนอกแบบบ๊อง ๆ บางทีก็ฮาดี แต่หลัก ๆ ของการเล่นยูทูบของผมคือการไปฟังบทสัมภาษณ์สมัยก่อนเนี่ยดีมาก ได้ฟังอาจารย์เจ๋ง ๆ พูดเรื่องดี ๆ เพียบเลย แถมไม่ต้องจ่ายค่าเทอมอีกสบายมาก
เปิดทีวีดูพวกสื่อของไทยบ้างไหม
ดูน้อยอ่ะ เลือกดูบางอย่างเฉพาะที่สนใจมากกว่า ถึงเราจะเป็นคนไทยก็ตาม แต่บางอย่างเราไม่เก็ท แล้วบางทีก็ดูแล้วโมโห แต่บางทีผมชอบรายการของทีม Spoke Dark นะ ชอบมากเลย หรือไทยรัฐทีวี รายการพวกเคเบิ้ลใหม่ ๆ ที่พอจะดูมีมุมมองที่แตกต่างออกไปจากช่องปกติ แต่ถ้าพวกช่องปกติที่ได้ดูล่าสุดเลยคงจะเป็น ละครทองเนื้อเก้า ลำยองอ่ะ ผมดูเรื่องนั้น ชาวบ้านเขาดูกันทั้งเมืองเลยจำได้ ผมรู้สึกว่าละครของพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ Detail มันสูงดี ชุด ฉาก ดูแล้วรู้สึกสนุก ไม่น่าเบื่อ ชอบบทผู้หญิงที่แรง ๆ อย่างลำยองนะ ทำให้เรารู้สึกว่าบทผู้ชายในละครเรื่องนี้มันดูอ่อนลงไปเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะปกติผู้ชายจะต้องเป็นพระเอกไฮโซ การดำเนินเรื่องมันจะน่าเบื่อหน่อย แล้วก็ไม่มีความน่าเชื่อถือด้วย โลกแห่งความจริงผู้ชายเลวกว่านี้เยอะ แต่พอผู้หญิงมาทำให้มันเลวบ้าง ทำเต็มที่ไม่รู้ทำไมรู้สึกดีแบบแปลก ๆ (หัวเราะ) เรื่องนี้ผมไม่ถึงกับติดนะ แต่ก็ยินดีที่จะดูเลย ส่วนมากแล้วถ้าผมจะกลับมาดูละครผมจะถามเมียผมว่า เรื่องนี้จำเป็นต้องดูไหม พอบอกว่าจำเป็น โอเคผมก็นั่งดู แต่ถ้าพูดถึงภาพรวมของโทรทัศน์บ้านเราตอนนี้ เมื่อเปิดดูแล้ว รู้สึกว่าการปรับเสียง การมิกซ์เสียงมันยังไม่ได้มาตรฐาน เสียงยังไม่ค่อยโอเค ทำให้ผมเนี่ยจะเป็นดูหนังฝรั่ง ดูข่าวสารคดี พวกสัตว์ป่าอะไรแบบนี้กับลูกมากกว่า
คิดว่าตอนตัวเองอายุ 70 ปี ณ เวลานี้จะนั่งทำอะไรอยู่
ถ้าไม่อยู่ในดินก็คงนอนอยู่เฉย ๆ ให้หนอนกินไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่ะ ยังไม่รู้เลย แต่เป็นไปได้คงจะเดินอยู่ในบ้านของแม่ บ้านจักรพงษ์อยู่ในมุมมืด ๆ แล้วหลาน ๆ ต้องกลัวเราชิบหายเลย อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ อาจจะดุ และขี้หงุดหงิดก็ได้
ผมไม่ได้คลั่งการเมือง ผมไม่ได้พูดอะไรที่พวกคุณทุกคนไม่รู้ ผมแค่รู้สึกว่า ผมกลัวคุกน้อยกว่าคุณ ไม่มีใครเขาจับผมหรอก เพราะ ผมไม่ได้เป็นคนสำคัญ แต่บางคนไปคิดกันเองไปกลัวว่าถ้าพูดเรื่องพวกนี้มันจะไม่ดีต่อชีวิตเขา แต่จริง ๆ แล้วผมไม่ได้เป็นภัยต่อใครนะ ไม่ว่าจะภัยต่อทหาร ภัยต่อทักษิณ ผมไม่ได้เป็นภัยต่อใครทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นภัยสังคมด้วย ผมแค่ตอบคำถาม
PART 3 : สังคมไทยในใจ “ฮิวโก้”
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงในเรื่องที่ผมสนใจอยากจะได้ยินทัศนคติจากฮิวโก้สักครั้ง หลังจากที่อ่านสื่อไหน ๆ ก็มีแต่คนคุยเรื่องกับการเมืองเต็มไปหมดเลย ทำให้ผมรู้สึกว่า เฮ้ย เราจะไม่ถามก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วนี่เป็นเรื่องราวและมุมมองของฮิวโก้ล้วน ๆ ถามตรงตอบตรงว่าแต่สังคมไทยในใจของเขาเป็นอย่างไร เชิญอ่านกันต่อเลยครับ
สังคมไทยตอนนี้เป็นยังไง
มันมีหลายสังคมนะของไทยเราเนี่ย จะมาพูดรวมทั้งหมดในหนึ่งเดียวไม่ได้หรอก เพราะมันหลากหลายมาก สังคมรุ่นใหม่ รุ่นเด็ก ๆ ที่กำลังจะมาในอนาคตก็ดูพอมีความหวัง ถึงแม้เขาอาจจะไม่ได้ยึดติดหรืออินกับเรื่องที่รุ่นพ่อรุ่นแม่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่ไม่ใช่ว่าสังคมไทยในตอนนี้มันจะแย่นะ แค่มันป่วยมาก ๆ เท่านั้นแหละ แต่ก็ไม่ได้แย่กว่าสังคมประเทศอื่นสักเท่าไหร่ มันมีหลายอย่างในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยไม่เคยเผชิญเหมือนกับประเทศอื่น ๆ บางทีเราอาจจะไปหมกมุ่นกับเรื่องที่ไม่มีสาระมากเกินไปก็ได้ เรื่องพวกนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อนนะ แต่ก็นั้นแหละมันก็ไม่ได้มีประโยชน์มากแน่ ๆ ถ้าผมจะพูดถึงเรื่องนี้ทั้งหมด
อยากให้ลูกโตมาในสังคมแบบไหน
อยากให้โตมาในสังคมที่ยอมรับเรื่องความแตกต่างได้ อยากให้ลูกโตมาในสังคมที่พัฒนาและเจริญพอจะยอมรับความจริง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อยากให้ลูกเติบโตในประเทศที่สบายใจ และเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ของประเทศตัวเองด้วย เพราะประวัติศาสตร์มันไม่ใช่เรื่องเลว หรือเรื่องดี ประวัติศาสตร์คือเรื่องที่กำลังกระทบเราในปัจจุบัน ผมอยากให้ลูกเติบโตมาในสังคมที่ลึกซึ้งกับประวัติศาสตร์ของตัวเองและลึกซึ้งกับประวัติศาสตร์ของประเทศด้วย เข้าใจและให้ความสำคัญกับคนจากทุกเส้น ทุกคณะ ทุกแบบที่เชิดชูความหลากหลาย แล้วก็หวังว่าจะพัฒนาสังคมเมืองบ้าง มันพูดยากเพราะเราบังคับไม่ได้ สังคมจริง ๆ ที่ทุกคนโตขึ้นมามันไม่ใช่สังคมชาวบ้าน ประเทศกว้างใหญ่ แต่มันคือสังคมที่รอบ ๆ ข้างมันเป็นหมู่บ้าน มันจะมีคำสุภาษิตอยู่คำหนึ่งที่ผมจำได้ “จะเลี้ยงเด็กดี ๆ ขึ้นมาคนหนึ่ง มันต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน ไม่ใช้คนใดคนหนึ่งเลี้ยง”
การเป็นประชากรชาวไทยทุกวันนี้ ชีวิตแฮปปี้ไหม
ในเรื่องปากท้องของผม ส่วนตัวโอเค แฮปปี้มาก แต่เชิงของปัญหา หรือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ไม่เท่าไหร่ เพราะมันเหมือนไม่ใช่เรื่องของเราด้วยซ้ำ เรื่องการเมือง เรื่องสังคม มันมีบางอย่างที่ ใช่ มันพูดได้ว่า เราอยากจะปราบปรามคอร์รัปชัน แล้วใครจะทำล่ะ พูดกันเหมือนกับเราทำกันเองได้ มันไม่ใช่เรื่องของคนดี คนเลวนะ พวกเราทุกคนนั้นแหละคอร์รัปชันกันหมด เราคอร์รัปชันกันพอ ๆ กับนักการเมืองที่เราประณามกัน แถมวิธีการที่เรานำมาใช้ในตอนนั้นมันทำให้เราถอยหลังไปอยู่ยุคจอมพลสฤษดิ์ แต่เป็นยุคจอมพลสฤษดิ์ที่มีอินเทอร์เน็ตนะ (หัวเราะ) มันจะเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ ต่อไปไม่ได้หรอก ปัญหาตอนนี้คือทุกคนจะให้ความสำคัญกับเจตนาของตัวเองมากน้อยแค่ไหน บางครั้งคิดว่าเจตนาตัวเองดี แสดงว่าคุณเป็นคนดีแล้ว คนควรจะเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วไอ้เจตนาที่คุณมีปัจจุบันนี้มันไม่สำคัญแล้ว โลกนี้เป็นโลกของผลกระทบ ผมไม่สนหรอกว่าคุณเจตนาดีมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าคุณขับรถชนลูกผม ผมก็มีปัญหากับคุณแน่ ๆ ถึงคุณจะเป็นคนดีแค่ไหนก็ตาม ผมไม่สนเวลาที่คนเรามันเมา มันไม่ควรเลยที่จะขับรถ เพราะฉะนั้นเจตนาที่มี มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผม นี่ยังรวมไปถึงเรื่องราวของพวกนักการเมือง ผมคิดว่าทุกคนกำลังคิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ดี แล้วทำไมไม่มีใครเข้าใจ ทำไมมีแต่คนใส่ร้าย ผมเชื่อในเจตนาของพวกเขาทุกคนนะ แต่ผมไม่เชื่อความสามารถ ผมไม่เชื่อในความเหมาะสม ความคล่องตัวต่าง ๆ ไม่เชื่อวิธีการและปรัชญาที่นำมาใช้ด้วย เพราะปรัชญามันจะมีผลกับการกระทำ แล้วมันจึงทำให้เราเอาหลักการอะไรมาใช้อ้างในสังคมไทยมันก็จะไม่เกิดประโยชน์ ในเมื่อกฎหมายสูงสุดของประเทศมันสามารถฉีกเมื่อไหร่ก็ได้ กฎหมายเล็ก ๆ ย่อย ๆ ใครจะมาตัดสินใจ ในเมื่อบางคนขับรถชนคนตายติดคุก แต่บางคนขับรถชนคนตายไม่ติดคุก งั้นเราจะคุยเรื่องกฎหมายกันไปทำไม ในเมื่อมันไม่มีหลักการหรือไม่มีอัตราอะไรเอามาวัดได้ มันไม่มีความเที่ยงตรง มีแต่สามทุ่มกับบ่ายสาม มันไม่เคยมีเที่ยง
รู้สึกว่าตัวเองคลั่งการเมืองมากน้อยแค่ไหน
ผมไม่ได้คลั่งการเมือง ผมไม่ได้พูดอะไรที่พวกคุณทุกคนไม่รู้ ผมแค่รู้สึกว่า ผมกลัวคุกน้อยกว่าคุณ ไม่มีใครเขาจับผมหรอก เพราะ ผมไม่ได้เป็นคนสำคัญ แต่บางคนไปคิดกันเองไปกลัวว่าถ้าพูดเรื่องพวกนี้มันจะไม่ดีต่อชีวิตเขา แต่จริง ๆ แล้วผมไม่ได้เป็นภัยต่อใครนะ ไม่ว่าจะภัยต่อทหาร ภัยต่อทักษิณ ผมไม่ได้เป็นภัยต่อใครทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นภัยสังคมด้วย ผมแค่ตอบคำถาม อย่างกับสิ่งที่ผมพูดมันประเสริฐ ถ้าเรื่องมันไม่จริงผมก็ไม่พูด แถมผมไม่ได้ต้องการจะพูดด้วย เพราะผมไม่ได้คิดว่าคำพูดของผมมันจะเคลื่อนขบวนการอะไรได้ ผมพูดตามที่ผมรู้สึก แล้วหากว่าคำพูดผมนั้นมันมีผลกระทบกับชีวิตของผมขนาดนั้น มันก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะลองดูว่ามันเหมาะสมไหมที่เราจะมาพูดเรื่องพวกนี้ หรือคนอื่น ๆ คิดว่ามันเหมาะสมไหมที่คน ๆ หนึ่งพูดเรื่องที่ค่อนข้างตรงและจริง ผมไม่ได้พูดอะไรบ้า ๆ นะ ไม่ได้ชวนใครไปปฏิวัติ ไปล้มระบอบอะไร ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมด้วยซ้ำ แล้วผมก็คิดว่าเรื่องของวาจาที่ทุกฝ่ายพูดอะไรออกมากัน บางเรื่องที่ผมเห็นด้วยก็มีนะ แต่ส่วนการกระทำ ผมไม่เห็นด้วยกับสักฝ่ายเลย แล้วผมก็เห็นใจหลายฝ่าย เช่น ฝั่งเสื้อแดง ผมไม่เห็นด้วย แต่ผมเห็นใจพวกเขา เข้าใจฝั่งที่ต่อต้านทักษิณว่ากลัวอะไรอยู่ ใช่ น่ากลัวอยู่ เขาฉลาด เขาเก่ง เขามีเงินเยอะ เขามีคนชอบเขาเยอะด้วย ผมเข้าใจคุณที่จะไม่เอาเขา เพราะมันก็น่ากลัว แต่สิ่งที่คุณทำมันไม่ได้ทำให้เขาน่ากลัวน้อยลง เขาก็เหมือนเดิมของเขาอยู่อย่างนั้น มันอยู่ที่เขาจะเลิกคิด มันไม่ได้อยู่ที่คุณน่ะ เพราะฉะนั้นผมเห็นใจทุกฝ่ายครับบอกตรงนี้เลย
ถ้าให้ได้เป็นนายกได้ 1 วันสนใจมั้ย
ไม่มีทาง พ่อผมเป็นฝรั่งด้วย ผมรับราชการไม่ได้ ไม่เคยคิดอยากจะเป็นเลย
ติดสังคม Social Media มั้ย
พักหลังเพิ่งมาเห็นประโยชน์ของมันนะ เป็นประโยชน์ที่มีต่องานมาก ๆ (หัวเราะ) การมีสังคมพวกนี้มันทำให้ครอบครัวผมที่อยู่หลากหลายประเทศได้ติดตามชีวิตกันและกัน ได้หายคิดถึงกันบ้าง คงเป็นปกติสำหรับคนไทยมั้งที่คิดแบบนี้กันหมด อย่างแฟนเพจผมก็เล่นเอง แต่จะมีพี่อาร์ตช่วยเป็นแอดมินให้อีกคน เราทำงานด้วยกันก็จะประชาสัมพันธ์ข่าวของเราไป Instagram ก็เล่นเอง มันเยี่ยมมาก เป็นสื่อฟรีที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะมันอิสระในการเคลื่อนตัวทำให้เราคล่องแคล่ว ผมชอบมากเลยโปรแกรมนี้
คนตาม Like Page Hugo ใน Facebook ถึง 1 ล้านคนแล้วรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาไม่ได้ตามผมหรอก มือเขาอาจจะแค่ไปกดปุ่มกดไลค์ มันไม่ได้อะไรขนาดนั้น แต่ว่ามันก็ดีแหละ มันสามารถประชาสัมพันธ์โดยไม่ต้องพึ่งสื่อเยอะ เยี่ยมนะ อะไรที่ไม่ต้องพึ่งสื่อบันเทิงในประเทศนี้ เยี่ยมเลย บันเทิงสุด ๆ
อยากบอกอะไรกับคนที่ฟังเพลงเราบ้าง
ฟังไม่รู้เรื่องก็อย่าไปฟังครับ ถ้าฟังอยู่แล้วผมก็ไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มเติมนะ คุณก็ได้รับสิ่งที่ผมนำเสนอทั้งหมดแล้วก็ฟังไปดิ เยี่ยมเลย ไม่มีอะไรจะพูดครับ (หัวเราะ)
ทุกวันนี้กลัวคนทั่วไปลืมเราไหม
ไม่อะ ลืมเถอะ ผมจะได้คิดออกว่าจะทำอย่างอื่นอะไรดี อาจจะไปอยู่เบื้องหลังก็ได้ อะไรก็ได้ที่เป็นดนตรี ที่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ มันไม่ได้เป็นประเด็นหลัก กลัวลูกลืมมากกว่า
ส่งท้าย Hugo มีอะไรจะบอกคนอ่านบทสัมภาษณ์นี้มั้ย
ไม่ต้องเชื่ออะไรทุกอย่างที่ผมพูด ทุกอย่างที่ผมพูดและผมทำ เพราะผมทำได้ ถ้าผมทำไม่ได้ ผมก็คงไม่ทำ ถ้าผมพูดแล้วเดือดร้อนก็คงไม่พูด เพราะฉะนั้นอย่าไปให้ค่าอะไรกับสิ่งที่ผมพูดเลย ขอบคุณมากที่ติดตาม ขอบคุณมากที่สนับสนุนผลงาน ใครทำอะไรได้ก็ทำไป ขอบคุณครับ
“หลังจากบทสนทนานี้จบลง ฮิวโก้และผมนั่งคุยกันต่ออีกสักพักพร้อมกับนั่งดูบรรยากาศของ The Jam Factory ไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาที่จะถ่ายรูปปกของฟังใจซีนฉบับนี้ ผมจึงได้ส่งตัวฮิวโก้ไปกับทีมงานของฟังใจซีนต่อ ทิ้งผมนั่งยิ้มให้ตัวเองในใจว่า นี่คงเป็นบทสัมภาษณ์ที่ดีอีกหนึ่งอันในปีนี้แน่นอน ตลอดช่วงเวลาที่ได้คุยกับฮิวโก้ ผมรู้สึกสบายใจมาก ๆ เหมือนคำถามที่วนอยู่ในหัวของผมก่อนหน้านี้ถูกใช้ไปจนหมด บรรยากาศการพูดคุยมันเต็มไปด้วยความรู้สึกจริงและสัมผัสได้ ทุกคำที่พูดออกมาจากปากเขาล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนโลกใบนี้ ธรรมชาติของคนทุกคนแตกต่างกันออกไปแน่นอน และนี่คือธรรมชาติของผู้ชายที่ชื่อว่า ฮิวโก้ – จุลจักร จักรพงษ์ / แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าครับ
ปล.ถ้าพวกคุณชอบฮิวโก้ไม่แน่ในงานเห็ดสด คุณอาจจะได้เห็นก็ได้นะ ใครจะไปรู้
ขอขอบคุณ The Jam Factory สำหรับสถานที่ถ่ายทำใน ‘เห็ดทอล์ค’ ฉบับนี้