Gene Kasidit: Born This way
- Writer: Gandit Panthong
- Photographer: Nattanich Chanaritichai
- Stylist: Varachaya Chetchotiros
- Art Director: Tunlaya Dunnvatanachit
ท่ามกลางแสงไฟที่สอดส่องในสตูดิโอแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครดินแดนสวรรค์ของใครหลายคน ครั้งนี้ฟังใจซีนมีนัดพูดคุยกับเจ้าแม่แห่งวงการเพลงไทยอีกหนึ่งคน เมื่อเวลาที่เรานัดหมายมาถึง ประตูของห้องสตูดิโอเปิดออกคำกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ พร้อมแล้วมาลุยกันเลย” ดังขึ้นและเมื่อสิ้นเสียงนี้ บทสนทนาของทีมงานฟังใจซีนที่ตั้งใจจะถามทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอก็เริ่มขึ้น โดยผู้ที่ถูก Fungjaizine สัมภาษณ์ในฉบับนี้ได้แก่ จีน-กษิดิศ สำเนียง หรือขุ่นแม่จีนนั่นเอง
Part 1 : Life Goes On
จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาเป็นจีน กษิดิศ อย่างที่หลายคนรู้จักกันในทุกวันนี้ ชีวิตของเธอผ่านเรื่องราวทั้งดีและร้าย มาโดยตลอด ฉะนั้นแล้วการสนทนาในช่วงแรกนี้จึงเป็นการพูดถึงชีวิตเรื่องราวในวัยเด็กทั้งหมดของเธอคนนี้ จุดหักเหในชีวิตที่เกิดขึ้นตอนนั้น ก้าวกระโดดครั้งสำคัญสู่ความเป็นเฟมินีน วงดนตรี Futon ทำไมถึงจุดล้มสลาย จีน กษิดิศจะพาพวกคุณไปทำความรู้จักกับโลกของเธอ ณ บัดนี้
ฉันเกิดมาเพื่อเป็นนักร้อง
ชีวิตตอนเด็ก เราเป็นเด็กเรียนคนนึง เด็กกิจกรรมตัวแม่เลย เป็นประธานนักเรียนด้วย อาจารย์ที่โรงเรียนเขาจะมีเซ้นส์กับเราเรื่องนึงก็คือ เรื่องเสียง เขาบอกเสียงโอเคดีก็เลยจับเราไปประกวดอ่านทำนองเสนาะ ต่อมาก็ให้ไปฝึกร้องเพลงไทยเดิมเหมือนเป็นการฝึกเสียงไปในตัวด้วย ให้ไปร้องเพลงในโอ่ง มีวันนึงตัวเกือบจะหลุดเข้าไปในโอ่งแล้วออกมาไม่ได้ด้วย (หัวเราะ) พอเราเริ่มทำกิจกรรมมากขึ้นก็จะไม่ค่อยได้เข้าเรียน อ่านหนังสือสอบ ๆ ไป ถือว่าโอเคอยู่ ที่บ้านเป็นครูบาอาจารย์ด้วยเรื่องเรียนเลยทิ้งไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เคร่งพวกวินัยมาก อย่างที่บอกเราสายกิจกรรมจะเกิดมาเพื่อเป็นนักร้องเลยล่ะตอนเด็ก ๆ
เรื่องราวเกี่ยวกับที่บ้านตอนเด็กเป็นอย่างไรบ้าง
ที่บ้านน่ารักมาก (เสียงสูง) ตอนที่มีอยู่ครบนะทุกอย่างแฮปปี้ แต่มันก็จะมีจุดดาร์กมากเช่นกัน คือ เราเสียพ่อไปตอนอายุ 11 ขวบ แม่ก็มีสามีใหม่ แต่ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นตามมานะ เราจะอยู่กับตากับยายเป็นหลัก ตากับยายเขาจะเคร่งกับแม่มากเลย อย่างแม่อยากจะเป็นแอร์โฮสเตส ตาก็ไม่ให้เป็น เพราะบ้านเราต้องเป็นครูทั้งหมดเท่านั้น ตัวเราเองจึงมาเข้าใจเองว่า ทำไมแม่ถึงปล่อยเราให้คิดเองทำเองในหลาย ๆ อย่าง ระยะหลังจึงมาคิดได้ว่า ทำไมเราถึงชอบร้องเพลง สาเหตุหลักมันมาจากตอนเด็ก ๆ เราตามแม่ไปงานแต่งงาน งานในหมู่บ้านบ่อยมาก เราจะเห็นแม่ร้องเพลงแล้วก็มองดูว่า เออแม่เรามีความสุขในช่วงเวลานั้น
ก็เลยคิดในใจ ลึก ๆ แล้วฉันก็อยากเป็นนักร้องมาตลอดนะ
ความรักในวัยเรียนที่สุดแสนพิเศษ
ช่วงมัธยมต้นเราจะอยู่โรงเรียนชายล้วน ทำกิจกรรมหนักมากโดยมันก็จะควบคู่กับเรื่องการเรียนไปด้วยนะ แต่เราก็เกิดความรู้สึกเบื่อการเรียนจัง พวกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ด้วยสมัยก่อนมันเยอะมาก เรากับแก๊งเพื่อนสนิท ณ ตอนนั้นเลยย้ายไปโรงเรียนสหศึกษา ซึ่งตอนนั้นเองมันก็มีบางสิ่งเกิดขึ้นในชีวิต เราเริ่มมีความรู้สึกตกหลุมรักกับเพื่อนในวัยเดียวกัน มีความสุขที่เห็นหน้าเธอ โทรไปหาเธอ ขอเพลงให้เธอฟัง มันเริ่มรู้สึกเกินเพื่อนรึเปล่า แต่ในขณะเดียวกันเราก็เกิดการต่อต้านตนเองเช่นกันว่าหรือเราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ช่วงมัธยมปลายจึงไปจีบทอมดูเลย โรงเรียนเรามันจะมีรุ่นพี่คนนึงที่สาว ๆ ในโรงเรียนอยากจะเป็นแฟนกับนางมาก ไอ้เราเองก็เป็นคนที่ชอบอะไรท้าทายด้วย เลยไปจีบทอม ตลกมาก (หัวเราะ) สุดท้ายก็เป็นได้แค่เด็กถือกระเป๋าให้นาง 3 – 4 เดือนอะ ไม่เวิร์กเลยเสียเวลา (เสียงสูง)
ยิ่งเติบโตความฝัน…ยิ่งหายไป
ตอนนั้นเราเบื่อทุกอย่างเลย เรื่องการเรียน การไปสอบต่าง ๆ เลยรีบสอบเทียบแล้วก็ย้ายเข้ามากรุงเทพมหานครมาเรียนได้ปีนึง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อดี จะไปสมัครเรียนมหา’ลัยก็ไม่โอเคอีก เพราะเราเห็นชุดนักศึกษาแล้วมันเซ็ง ๆ ต้องใส่ชุดนี้ตลอด 4 ปีจริง ๆ ใช่ไหม ก็เลยไม่สมัครเรียน อารมณ์แบบเสรีภาพของฉันมันหายไปไหน โดยในขณะเดียวกันก็ทิ้งความฝันการเป็นนักร้องไปเลย เราส่งเดโมไปตามค่ายเพลงต่าง ๆ เยอะมาก ไม่ผ่านเลยสักค่าย ตอนนั้นจัดฟันด้วย มันบวม หน้าเลยดูไม่สวย หน้าไม่ดีก็จบแล้ว ยุคนั้นมันเป็นยุคของหน้าตาล้วน ๆ เราเลยตัดสินใจงั้นหยุดเรื่องเรียนไปก่อนแล้วกัน ขอไปลองทำงานที่ Tower Records ดู มันเปิดหูในการฟังเพลงเราเยอะขึ้นมาก ๆ ได้เจอเพลงแปลก ๆ เต็มไปหมดจากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับไปทำหนังสือ Metro แล้วก็ย้ายงานต่อเนื่องมาที่ BK Magazine ด้วยความที่เราดูแลคอลัมน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวกลางคืนมันก็เลยทำให้เราต้องออกข้างนอกทุกวัน ไปตามดูบาร์ ดูร้านอาหารเปิดใหม่ ทำให้สังคมกลางคืนของเรากว้างขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นและทำให้เราได้เจอกับเรื่องราวที่ทำให้เรากลับสู่เส้นทางสายดนตรี
Futon วงดนตรีชื่อแปลก
สมัยที่เราเริ่มทำงานแล้ว เราเรียนภาษาอังกฤษแบบรุนแรงมาก เรียนจากเพลง จากปกซีดี ปกเทปแล้วสังคมทำงานที่เราทำอยู่มันเป็นคนต่างชาติด้วยก็เลยได้ภาษามาเยอะ หลังจากที่เกริ่นไปเมื่อกี้แล้วพอเราทำงานกลางคืนเยอะ ๆ เราก็ได้ไปรู้จักกับดีเจหลาย ๆ คน หนึ่งในนั้นคือ บี Futon(พอล แฮมป์ไชร์) ตอนนั้นเขาเป็นดีเจที่เราชอบมาก เพลงที่เปิดมันดีมาก (เสียงสูง) เราจะตามเขาไปฟังตลอด จนวันนึงเราทำงานได้ครบ 1 ปีพอดี บีก็โทรมาว่า จะออดิชันหานักร้องนำวงดนตรีของเขาชื่อวงว่า Futon (หัวเราะ) เราก็คิดในใจอะไร ชื่ออะไร ฉันรู้จักแต่ซูชิโว้ย เขาก็เล่าให้ฟังว่าจะมีโปรดิวเซอร์ด้วยนะชื่อ เดวิด (เดวิด โคเกอร์) ถ้าจีนว่าง ๆ ลองมาเจอกันหน่อยสิ เราก็ตอบตกลงไปแบบอะ ๆ ไปลองดูหน่อย วงเขาจะ คัฟเวอร์เพลงของ The Stooges ชื่อเพลง I Wanna Be Your Dog แถมให้แปลเนื้อไทยมาด้วยก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเห็นเป็นออดิชันเลยแปลให้เหมือนเป๊ะเลย งู ๆ ปลา ๆ ปรากฏว่า วันที่ไปออดิชันบีบอกเราว่า จีนต้องไปแข่งกับคนญี่ปุ่นด้วยนะ นางไปแปลภาษาญี่ปุ่นมาเหมือนกัน วันนั้นก็อัดเพลงกันปกติปรากฏว่า ที่เขาเรียกเราไปออดิชันเล่น ๆ เขาก็ใช้จริงนะส่งไปให้คลื่น Fat radio แบบงง ๆ เลย
เรียกง่าย ๆ ว่า Futon เป็นคนปลุกความฝันการเป็นนักร้องให้กลับมาอีกครั้ง
มันเป็นเรื่องของโอกาสด้วยล่ะ ช่วงที่ทำงานอยู่ BK Magazine เราฟอร์มวงของตัวเองไปด้วยอยู่แล้ว ถึงขนาดเขียนโฆษณาในการหาสมาชิกของวงด้วยนะ แต่มันไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ มือกีตาร์เขาก็กลับประเทศไปก่อนที่เราจะเริ่มเขียนเพลงตัวเองแล้ว เกือบเหมือนหนัง Sing Street เลย แล้ววงก็ล่มไปแล้ว มาเจอ Futon ก็ลองดู ก็เปิดอีกโลกหนึ่งของเราเลย ว่าเพลงเต้นรำมันไม่ได้มีแค่ Trance, Drum’N’Bass หรือ House เราสามารถผสม Rock หรือ Punk กับ Electronic ได้ มันเหมือนเป็นการทำความรู้จักกับโลกใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย
โชว์แรกของ Futon ที่สุดวุ่นและแสนป่วง
Oh my god!! ลืมเนื้อด้วยงานแรก เข้าเพลงไม่ทันเลย โชว์ของ Futon ยุคแรกจะมีความเป็น Backing Track สูงมาก ถ้าไม่เป๊ะก็จะโอกาสพังสูงมาก เหมือนเล่นที่คลับ Ministry of Sound สุขุมวิทซอย 12 มันเป็นห้องใต้ดิน จำได้ว่าวันนั้นใส่เสื้อ วง Nirvana เปรี้ยวมาก ใส่กางเกงยีนส์เท่ ๆ (หัวเราะ) เหมือนเพลงของวงทำให้เราเริ่มสนใจในเรื่องของการ Mix and Match การแต่งตัวมากขึ้น แต่มาคิดอีกทีสมัยนั้นเราทำอะไรลงไป (หัวเราะ) ดีสมัยนั้นไม่มีโซเชียลไม่งั้นตาย ๆ แน่เลย
เมื่อความฝันเป็นความจริง ‘ศิลปิน’ คำนำหน้าที่ถูกเพิ่มเข้ามาในชีวิตของเธอ
จริง ๆ เราเป็นคนไม่ค่อยตื่นเต้นกับอะไรพวกนี้นะ คิดแค่ว่าฉันเจอโอกาสที่ดี มีรายได้ แต่มันก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับมันมาก ในขณะเดียวกันคนอื่นอาจจะคิดว่ามันยิ่งใหญ่มาก อย่างสมัยก่อนไปเล่นเมืองนอกก็ดีสนุกเหมือนได้ไปเที่ยวฟรี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือน Rockstar เราขอแค่มีกินโอเคแล้ว ตอนนั้นเราก็ออกจากงานเลยนะ คือ ถ้าออกไปจากงานก็รู้แล้วว่ามันไม่มีความแน่นอนกับงานเต้นกินรำกินนะ ต้องอยู่ให้รอด มันก็มีช่วงที่จน ช่วงที่พอใช้ สุดท้ายมันก็อยู่ที่เราว่าจะใช้แบบไหน อย่างตอนไปเมืองนอกจนมาก ของมันแพง (หัวเราะ) จะทำอะไรก็ต้องคิด มันก็เลยไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เอาเป็นว่าเหมือนไปเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ กับแฟนเพลงใหม่ ๆ มากกว่า พอไปร้องเพลงกับคนที่เป็นเจ้าของภาษามันก็เลยทำให้เราท้าทายว่า มันจะด่าเรามั้ยเนี่ย แต่สุดท้ายเราก็ร้องไป แต่ว่าสมัยก่อน มันจะมีความกดดันสูงกว่าตอนนี้ เพราะว่า เพลงเนื้อหามันจะค่อนข้างดาร์กเยอะมาก เพลงที่สว่างก็สว่างไปเลย ใช้เวลาหลายเพลงเหมือนกันกว่าจะรู้ว่าเสียงแบบไหนโอเค เราก็คิดในใจ ‘โถ่ อีดอก ทำมาตั้งกี่เพลงแล้ว เพิ่งจะรู้เหรอ’ (หัวเราะ) แล้วแบบมันป่วงมาก ก็ไม่เข้าใจพี่เดวิดเขามักจะให้เพลงเสียงคีย์ต่ำกว่าเราตลอด แล้ว Range ของเสียงเรามันจะสูงก็เลยแบบต้องร้องเสียงอั้น ๆ อยู่ เพลงมันเป็นคีย์ของ Bowie เขาพยายามจะให้เราเป็น Bowie แต่เราป่วงมาก บัดนี้ก็ยังไม่มีการแก้ไขเกิดขึ้น (หัวเราะ) พอมาถึงตอนเป็น Gene Kasidit ก็บอกเลยว่า หนู ๆ เปลี่ยนคีย์ให้เจ้ด่วนเลย
ปี 2003 – 2008 คือ ยุครุ่งเรืองของวง Futon
วง Futon ทำมาทั้งหมด 5 ปี ตอนท้าย ๆ มีเรื่องราวนิดหน่อย แต่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะ จริง ๆ วง Futon เกิดขึ้นมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ตัวเอง ยุคนั้นมันจะมีแต่เพลง House ส่วนใหญ่ในบ้านเรา วงเราเกิดมาเพราะบ้านเรายังไม่มีแนวเพลงดาร์ก ป่วง ๆ เกิดขึ้น ถ้าไปทำเพลงแนวนี้อยู่ที่ประเทศอังกฤษก็จะมีศึกเยอะมาก แต่โชคดีที่ทุกคนอยู่ประเทศไทยหมดเลย เริ่มทำกันชุดแรกก็ปกติ มีงานเล่นบ้างสนุกสนานกันไป พอชุด 2 เป็นวงจริงจังขึ้น มีคนเข้ามาร่วมทำกันเยอะ จากที่ทำสนุกสนานในอัลบั้มแรก ตอนนี้มันมีค่ายแล้วตัวพวกเราเองจะเจอเรื่องของการตลาดเยอะมากในอัลบั้มนี้เลยไม่ค่อยสนุกเท่าไร พอมาชุดที่ 3 เริ่มมีการจากลาของสมาชิกในวง เดวิด เขาจะมีความเป็น Producer สูงมาก แต่พอเขามาเจอ Producer อีกคนที่มาช่วยทำอัลบั้มนี้ด้วยมันก็กดดันมาก เพราะไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นก็เลยขอออกไปในตอนนั้น ช่วงนั้นก็เหลือสมาชิกในวงหลัก ๆ ยุคแรกก็มีโอ๋ มีเรา มีบี และก็ไซม่อน ซึ่งไซม่อนเขาก็มาดูแลรับช่วงต่อโดยมองเห็นว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำอยู่มันน่าจะเวิร์ก ชุด 3 จริงจังมาก กะบุกตลาดใหญ่เลย แต่ด้วยการจัดการที่มันผิดพลาดเลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่โชคดีที่เราได้ไปรุ่งเรืองอยู่ในญี่ปุ่นด้วยอยู่พักนึง รู้สึกว่าฉันเป็นศิลปินจริงอะไรจริงก็ตอนนั้นเลย (หัวเราะ) พอหลังจากนั้นกำลังจะเริ่มทำชุดที่ 4 วงเราจะไปเซ็นสัญญากับค่ายหนึ่ง เขาจะเปลี่ยนแนวเพลงเราให้เป็น Modern Rock เราก็ตกใจว่า ห๊ะอะไรเนี่ย เราไม่ได้อยากไปสายร็อกนะ โดยอัลบั้มที่จะออกตอนนั้นมีชื่อว่า Siamese Tease แต่ก็ไม่ได้ออกนะ เราเจอเรื่องราวหลาย ๆ อย่างที่รู้สึกว่าคนรอบ ๆ ตัวเขาไม่โอเคกับทิศทางของวงเรา แล้วทีมงานที่ดูแลก็ไม่ใช่ทีมงานเดิม เจอสายตาแปลก ๆ มองก่อนไปเล่น เลยตัดสินใจบอกเพื่อนในวงเลยว่า บาย ไม่ทำตรงนี้แล้วจึงกลับไปทำ DEMO ในคอมพิวเตอร์แล้วทิ้งไว้เยอะมาก ซึ่งต่อมามันก็ต่อยอดให้เรากลายเป็น Gene Kasidit
PART 2 : สุดเหวี่ยงหลุดไปเลย…ถ้ารักจะสุดต้องหลุดไปเลย
หลังจากที่ชีวิตของจีน กษิดิศ เริ่มต้นบนเส้นทางสายดนตรีมาได้สักระยะนึงแล้ว การเดินทางของเธอกำลังดำเนินต่อไป ประสบการณ์ทั้งหลายสั่งสอนให้เธอเติบโตขึ้น ทั้งการเล่นดนตรีก็ดีรวมไปถึงการใช้ชีวิตที่เดินทางมาถึงจุดที่เปิดเผยกับสาธารณชนแล้วว่าตัวจริงของเธอคือใคร การกล้าตัดสินใจในบางสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยบางอย่าง เธอพบเจอกับเรื่องราวอะไรบ้าง ชีวิตของเธอในบทที่ 2 กำลังเริ่มต้นขึ้น
ถึงเวลาเริ่มใหม่กับศิลปินเดี่ยวที่มีชื่อว่า Gene Kasidit
ทุกอย่างเหมือนเริ่มใหม่เลย ทำไมชีวิตฉันต้องเริ่มใหม่อีกแล้ว (หัวเราะ) แต่เราชอบความท้าทายนะ ตอนนั้นรู้จักกับน้อง ๆ หลายคนที่ค่าย Smallroom แล้วได้มีโอกาสคุยกับพี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์) ปรากฏว่า ถูกคอกันเรื่องเพลงเลยลองส่งเดโมดู พี่รุ่งก็บอกทำไมเพลงเอ็งมันมืดขนาดนี้ ตอนนั้นปี 2008 เราทำเพลงไปทั้งหมด 15 – 16 เพลงแล้วเป็นภาษาอังกฤษล้วน ๆ เพราะเราจะคิดงานกว้าง ๆ ไงไม่ได้คิดแค่เมืองไทย แล้วบางครั้งการเขียนเพลงภาษาอังกฤษมันจะเข้าถึงง่ายกว่า ภาษาไทยมันจะมีข้อยกเว้นสูง สุดท้ายพี่รุ่งก็โยนไปให้ทางต้าร์ (Cyndi Seui) เขาก็ดึงความสวยงาม ความอิเล็กทรอนิกกลับมา เพราะฉะนั้นอัลบั้ม Affairs จะเป็นอัลบั้มที่เราชอบและรักที่สุด มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนฝูงคนรักอะไรทั้งหลายแหล่ อารมณ์เหมือน Adele เลย (หัวเราะ)
กระแสตอบรับตอนเป็น Gene Kasidit ที่แตกต่างจากการเป็นจีน Futon
คนงง (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นเราก็แต่งตัวป่วงขึ้นไป เริ่มเกิดความรู้สึกว่าฉันเริ่มเบื่อเสื้อผ้าผู้ชาย เริ่มแต่งหญิงทีละนิด แต่ยังไม่พบรองเท้าส้นสูงที่ถูกใจ เราก็จะใช้เวลานิดนึง พอเจอปุ๊บแล้วแบบดีมาก (ยิ้ม) ตอนนั้นยังเป็นยุคใส่วิกอยู่ ตอนแรกจะมีคนแอนตี้ในตัวเราเยอะมาก ทั้งเพื่อนเก่า เพื่อนสนิท หรือว่ารุ่นพี่ที่เรารู้จัก โดยแรงต้านพวกเนี่ยเราพอเข้าใจได้นะ มันมีมาตั้งแต่สมัยที่เป็น Futon ละ ที่เป็นเกย์อะ จริง ๆ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้แต่งหญิงเลย แต่เราชัดเจนกับตัวตนมาตลอดอยู่แล้ว ใครถามเราก็บอกเราชอบผู้ชาย เราเปิดเผยมากนะตอนนั้น เขาถามเราก็ตอบ เราไม่ได้เก็บอะไร มีแฟนเพลงผู้หญิงเขาก็เสียใจ เสียใจ 2 รอบด้วย รอบแรกคิดว่าเราเป็นคนญี่ปุ่น รอบที่สองคิดว่าเราเป็นผู้ชาย ก็อยากขอโทษเธอด้วย ส่วนตัวเราคิดเองว่า สุดท้ายการเปิดตัวแบบนี้มันเป็นการสกรีนคนฟังเพลงด้วยว่าจะฟังที่เพลงหรือจะดูที่เพศสภาพของเรา ตอนนั้นโดนด่ากระจุยเลยไปให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ เรื่องเพศ เรื่องเกย์ เราโดนด่าพ่อล่อแม่เลยก็เสียใจนะ แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่า ไม่ต้องไปยุ่งกับคนพวกนั้นดีกว่า ตอนนั้นยังไม่มีโลกออนไลน์มันเป็นแค่เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ ตรงคอมเมนต์จำได้เลยเขาบอกว่า ‘ไม่สงสารพ่อแม่บ้างเหรอ’ อ่านแล้วก็อยากจะบอกว่า พ่อเสียแล้วค่ะ ไปบอกพ่อยังไงดี มีคนมาพูดขนาดนี้
ก้าวเข้าสู่โลกแฟชั่นอย่างเต็มตัว
ตอนนั้น คือ ยังแต่งตัวไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ เรายังไม่เจอทางที่ใช่ ยังไม่เจอรุ่นพี่ที่คอยไกด์เรา ก็จะผสมหลาย ๆ แบบ จนเหมือนไปเล่นคอนเสิร์ตนึงแล้วเริ่มแต่งหญิงครั้งแรก ลงเวทีมามีคนส่งข้อความมาเยอะมาก อารมณ์แบบเป็นอะไร เธอแต่งหญิงทำไม ตลกมาก ทำอะไรบนเวที ให้คนดูหัวเราะเธอเหรอ เมื่อกี๊เธอเป็น Bowie ตอนนี้เธอเป็นอีบ้าอะไร ซึ่งมันแรงมาก โดยข้อความพวกนั้นมันมาจากหลายคนที่เรารักและศรัทธาด้วย เราก็เฮ้อตายละฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกเหรอวะ ก็ไม่เป็นไรไหน ๆ จะมาทางนี้แล้วก็ทำให้มันสุดโต่งไปเลย ก็เริ่มเจอสังคมแต่งหญิงได้ไป ซี้กับพี่อาร์ต (อารยา อินทรา) ชีก็จะช่วยชี้ทางให้เราแต่งตัวแบบไหน เราก็ลองไปเรื่อย แล้วก็จะมีเพื่อนสนิทคนนึงชื่อ CC เขาจะเป็นคนที่เบื่ออะไรพร้อม ๆ กันกับเรา CC จะมีความ Update เรื่องสไตล์และแฟชั่นเยอะกว่าเรา แล้วก็เราก็จะเริ่มแบบแต่งหญิงออกไปในที่แปลก ๆ ที่ไม่ค่อยได้ไป (หัวเราะ) ผมตอนนั้น Lady Gaga ต้องกราบอะ ในตอนนั้นก็เริ่มเจอตัวเองช่วงนึงว่าเราชอบแนว Vintage นะ การแต่งตัวของเรา อะไรที่มันเลื่อม ๆ หน่อย ชุดเดรส ถ้าเจออะไรที่ถูกใจมันก็ไปได้อีกเยอะ เหมือนเราเริ่มสนุกกับมันมากขึ้น เปิดโลกใหม่ เสื้อผ้าผู้หญิงมันสนุกมากนะพอได้แต่ง
จุดเริ่มต้นของอัลบั้ม Blonde เริ่มจากการออกไปซิ่งกลางคืน
พอเริ่มแต่งหญิงแล้ว ภายใต้จิตสำนึกของเรามันจะมีเรื่องนึงที่เรารู้สึกกับมันมาตลอดก็คือ เราไม่เคยประสบความสำเร็จกับชีวิตรักแบบเกย์ ๆ เลย เราจะชอบผู้ชายที่มีความแมนสูงมากก็เลยรู้สึกว่าแล้วเจ้ ๆ คนอื่นเขาเป็นยังไงกันเรื่องความรักแบบนี้ ปรากฏว่าเป้าหมายของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป ช่วงนั้นเราก็เลยค่อย ๆ เรียนรู้ ลองหลาย ๆ อย่าง ก็เลยควบอาชีพการเป็นนักร้องและอาชีพแต่งหญิงมืออาชีพไปพร้อม ๆ กัน เลยออกซิ่งกลางคืนตลอดมันก็เลยเกิดมาเป็นอัลบั้ม Blonde ขึ้นมาโดยพื้นฐานมาจาก Party Girl เลย เราเอาชีวิตการเที่ยวกลางคืนมาเขียนเป็นธีมในอัลบั้มนี้ อย่างเพลง รักสนุก มันก็อารมณ์แบบฉันหลุดมาแล้ว ฉันไม่สนใจ เก็บคำว่ารัก ฉันไปเจอคนที่มีคู่แล้ว กินไม่ได้อดไปสิ แค่อยากจะขอ ขอเต้นรำก็พอแล้วแฮปปี้แล้ว เจ็บลืม มันเป็นสตอรี่ที่เกิดขึ้นเจ็บแล้วต้องลืมนะ อีกนาน อารมณ์แบบเจอคนที่ถูกใจคนนึงแล้วเขาก็จากไป เพลงนี้เราอินมาก อินแบบเมื่อไรเราจะได้เจอคน ๆ นั้น แล้วก็มาเจอ Soulmate ในตอนนี้ ในที่สุด ทุกอย่างก็กลายเป็นอดีตไป (ยิ้ม)
ถึงวันที่มีคนมาเรียกเราว่า ขุ่นแม่
งงสิ ตอนแรก ๆ ขุ่นแม่คืออะไรเหรอไม่เข้าใจ เราดูแก่เหรอ (หัวเราะ) นี่ฉันอุตส่าห์ไปโบท็อกมานะ แต่ก็จริง ๆ คุณแม่เขาก็ 30 อัพกันแล้ว ตอนแรกไม่เข้าใจ ซึ่งแต่ละคนที่ถูกเรียก เขาจะเป็นคุณแม่จริงอะไรจริง คือ เป็นไอคอนนำเทรนด์บางสิ่งที่เป็นเรื่องดีงาม ฉันก็คิด ทำไมต้องเรียกกันแบบนี้ด้วย เราก็เป็นแค่นักร้อง ร้องเพลงบรรเทาจิตใจ เราได้เงินใช้จากตรงนี้ก็โอเคแล้ว แค่รักษามาตรฐานแล้วทำให้ดีก็โอเคแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็เป็นคนที่คอยตอบคำถามเด็ก ๆ เวลาอินบ็อกซ์มาในเฟซบุ๊ก Oh my god
Club Friday ต้องชิดซ้ายเมื่อตอบคำถามกับขุ่นแม่ GKใน Facebook
เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาถามจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง ทุกเพศเลย หลัก ๆ คำถามปัญหาชีวิตรัก คิดว่า เจ้เป็นศิราณีมาจากไหนกัน (หัวเราะ) เขาก็จะอินบ็อกซ์เข้ามา คำถามอารมณ์แบบหลงรักคนนี้ แล้วชีวิตมันเหมือนเพลงเรานะ เลยเข้าใจอ่อทำไมพวกเอ็งถึงเป็นแฟนเพลงฉัน แต่เราคิดว่าปัญหาคือทุกอย่างมันต้องมีทางออกหมด ตั้งแต่ตอนทำวง Futon ละ ก็จะมีน้องเป็นแฟนเพลงเรา ชีวิตเขามืดมาก ตอนนั้นนางอยู่ประถมศึกษาเอง นางถึงขนาดกับทำร้ายตัวเอง เราก็เลยต้องแบบบอกให้เขาคิด เขาก็เชื่อฟังคำสอนของเรา สุดท้ายนางก็มีสติ นางก็ไม่ทำแบบนั้นแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะมีปรึกษาเรื่องความรัก แล้วก็มีอินบ็อกซ์มาขอลายเซ็นไปให้แฟน ขอคลิปวิดีโอบ้าง (เสียงสูง) แต่ก็ทำนะ ถ้าขอดี ๆ ก็ทำให้บางทีมีมาขอให้เราเซ็นแผ่นก็อธิบายเขาไปแล้วว่าเดี๋ยวเข้าออฟฟิศเซ็นให้ก็มาทวงแบบทุกวันเลย เราก็พิมพ์ตอบไปว่า หนู… จะดุแล้วนะ (หัวเราะ) ซึ่งแฟนเพจเราดูแลเองทุกอย่างหมดเลย แฟน ๆ ในแฟนเพจจะป่วงคล้ายกันหมดเลย โชคดีที่ไม่ค่อยมีใครรุนแรงอะไรกันเท่าไร
จุดสูงสุดของชีวิตการเป็นศิลปิน
ไม่นะ ไม่เคยคิดเลย คือ จุดสูงสุดของการเป็นนักร้องจริง ๆ อย่างที่บอกว่า มันตื่นเต้นกับอะไรพวกนี้มันไม่มีอะไรชี้วัด แต่ละสิ่งที่เราทำเนี่ยให้มันแฮปปี้ทั้งเราและคนที่เขารับจากเราก็จบแล้ว
เพลงที่ชอบที่สุดของตัวเองตั้งแต่ทำมา
ถ้า Futon น่าจะเป็น Morning After เพลงนั้นเขียนหลังจากที่ไป Fullmoon Party ครั้งแรก เนื้อเพลงป่วงมาก ถ้าเป็น Gene Kasidit มีหลายเพลง แต่ชอบ The Eternal Return สุด คือ น้าเอ็ด (มือกีตาร์วง Yarinda) จะเป็นคนแต่งกีตาร์เพลงนี้มาให้ เราอยากได้เพลงกีตาร์โปร่งเพื่อจบอัลบั้ม อยู่ ๆ เขาก็ส่งมาแค่เสียงกีตาร์แบบนั้นมาให้ เราก็บ้าแต่งเมโลดี้ออกไป ทุกอย่างมันดูเข้ากันหมด ได้ใช้ศักยภาพเสียงที่ดีที่สุด (หัวเราะ) เลยรู้สึกว่าชอบเพลงนี้มาก
แม่ คือ กำลังใจอันยอดเยี่ยมของ Gene Kasidit
จริง ๆ ที่บ้านของเราแม่จะค่อนข้างเปิดอยู่แล้วค่ะ มันจะมีอยู่ครั้งนึงช่วงที่เที่ยวซอย 2 ยุคแรก ๆ แล้วเราไปเที่ยวตลาดนัดจตุจักรก็ใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นมากไปกับแก๊งเกย์ฝรั่ง เกย์ไทย ช้อปปิ้งกันแล้วพี่ชายไปเห็นเหมือนโป๊ะแตก พี่ชายก็ไปฟ้องแม่ เราก็มีความรู้สึกเอ๊ะทำไมช่วงนี้แม่เงียบ ๆ ไม่เห็นโทรมา จู่ ๆ แม่ก็โทรมาบอกว่า แม่เป็นห่วง ยังไงหนูก็ให้มันปลอดภัยนะ Safe Sex นะ ล้ำไปอีก (หัวเราะ) นั้นคืออาการ Come Out ครั้งแรกในตอนที่แม่รู้ว่าเป็นเกย์ แล้วก็มีครั้งที่ 2 คราวนี้แต่งหญิงละ เราไปเล่นที่เชียงใหม่แม่ก็เหมือนจะรู้นิด ๆ ละว่าลูกเราเริ่มแต่งหญิงแล้วนะ วันนั้นเรานอยด์มากมันตื่นเต้นไปหมดเลย แม่ก็มาหาที่โรงแรม เราก็กลัวว่าแม่จะว่าอะไรรึเปล่า ปรากฏว่า แม่พูดคำแรก ‘เฮ้ยสวยจัง’ มันไม่มีอะไรดีเท่านี้อีกแล้ว นางชมตลอดเลย ชมช่างแต่งหน้าด้วยว่า แต่งหน้าให้เราสวยจัง อยากจะบอกแม่จริง ๆ ว่านี่แต่งเองนะแม่นะ (หัวเราะ) แม่ก็จะกำลังใจมาตลอด ปกติความสัมพันธ์ของแม่กับเรามันจะเหมือนเพื่อนกันมากกว่าจะไม่ค่อยได้คุยเรื่องที่จริงจังกัน เพราะฉะนั้นการคุยเรื่องนี้มันเป็นการคุยจริงจังที่สุดแล้วเท่าที่คุยกับแม่มาก็แฮปปี้ดี ดีใจที่แม่เข้าใจเราทุกอย่างเลย ยิ่งตอนนี้นางเล่นไลน์ เราก็จะส่งรูปให้นางบ่อย ๆ ส่งรูปแฮปปี้กันตลอดเลย
คุณแม่พูดอะไรถึงลูก ๆ หน่อย
ขอบคุณด้วยนะคะ ที่เห็นความตั้งใจของเรามาตลอด การทำเพลงแล้วทุกคนมีความสุขไปกับมัน ไม่ว่าจะเป็นคนฟังรุ่น ไหน ๆ เราก็ดีใจมากแล้ว มันไม่ได้มีเยอะหรอกโลกใบนี้ที่คนฟังจะเปิดใจฟัง รักเราได้ขนาดนี้ เอาเข้าจริงแล้วประเทศไทยก็ยังโหดร้ายกับ LGBT อยู่ดี แต่ก็อยากขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่รักเรา
Final Part : Take A Change
หลังจากที่คุยกันในเรื่องราวชีวิตของเธอไปแล้ว บทสุดท้ายที่อยากจะพูดคุยกันกับเธอในครั้งนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของ LGBT มุมมองที่เธอมีต่อเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้เธอจะเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกของเรา รวมไปถึงเรื่องราวมากมายที่ฟังใจซีนถาม จีน กษิดิศจะตอบตรง ๆ ไม่มีตัด
ย้อนกลับไปมองเด็กชายจีนตอนนั้น ถ้ามีโอกาสบอกเขาได้ อยากบอกอะไรเด็กคนนั้น
แต่งหญิงด่วน (หัวเราะ) อย่ารอ อย่าเสียเวลา จะได้เป็นสาวสวยไปเลย อันนั้นตอบความจริงนะ ถ้าตอบแบบสวย ๆ ก็พูดยากนะ เพราะว่าจริง ๆ แล้ว เรามาเข้าใจตอนนึงว่าบางครั้งมันมีหลายสิ่งที่เราไม่สามารถจะไฟต์ได้จริง ๆ เพราะบางคนมันมีพื้นฐานที่ต่างกัน ถ้าเกิดเด็กทุกคนเก่ง ฉลาด เอาตัวรอดได้ มันก็เป็นเรื่องดี แต่โดยรวม เรื่องที่จะพูดความจริงกับคนใกล้ตัวมันยังไม่กล้าจะพูด เราก็ต้องทำลายเงื่อนไขตรงนั้นก่อน ส่วนใหญ่มักจะสร้างเงื่อนไขนี้กับตัวเอง ถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจเรา เราก็ต้องยอมรับว่า เขาไม่เข้าใจ แต่ถ้าวันนึงถ้าเราทำบางสิ่งแล้วพิสูจน์ตัวเองว่า เราเป็นคนโอเคนะ เขาก็จะต้องเห็น เพราะว่าพ่อแม่เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่รักลูกตัวเอง แล้วมันกลายเป็นว่าถูกครอบงำโดยกฎอะไรบางอย่าง ทำให้เขาไม่รู้ว่าอะไรมันปลอดภัยสำหรับลูก อะไรมันไม่ปลอดภัยสำหรับลูก สุดท้ายแม่ก็ต้องรู้ เข้าทางแม่ค่ะ ถูกต้องที่สุด (หัวเราะ) มันก็พูดยากนะ แต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน เราไม่มีวันหรอกที่จะไปเข้าใจคน ๆ นึงได้ลึกซึ้ง เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว จะไปเข้าใจกับบางบ้านที่เขาผ่านอะไรมาเยอะแค่ไหน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจมันก่อนเลยอันดับแรก
ทุกวันนี้มองเรื่องราวของกะเทยในสื่ออย่างไรบ้าง ซึ่งภาพรวมปกติกะเทยจะถูกนำเสนอไปในทางตลกเสมอ
จริง ๆ มันก็มีเยอะขึ้นนะ แต่สุดท้ายสื่อก็ไม่ได้นำเสนอเรื่องของเรามากหรอก เพราะเราไม่ได้มีเรื่องที่ข่าวคาวรุนแรง ไม่รู้เหมือนกัน คือเราไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว มันเป็นความจริง เขาก็ต้องไปหาดาราโน้น เราก็เป็นแค่นักร้องคนนึงเป็นแค่เครื่องประดับในแต่ละงาน แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรนะ เราก็ยอมรับ ขอให้จ่ายเงินจริงละกัน (หัวเราะ) จะทำไรก็ทำเถอะ ที่เขามองว่า LGBT เป็นแนวตลกตลอดเวลา เรื่องพวกนี้มันก็ยังครองเยอะอยู่ดี เพียงแต่เราก็ดันไปตลกกันหมดด้วยไง คนไทยกับเรื่องตลกมันเป็นของคู่กัน เราเป็นชาวรักสนุก หนูจะเป็นสายสวยหรูมันไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับตรงจุดนั้น แต่เราก็ดีใจที่คิดว่าเราเป็นคนจุดประกายในเรื่องนี้ ซึ่งจริง ๆ มันก็ควรมีนานแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ตัวนะ แต่คนที่เป็นแบบเรา เชื่อว่าในสังคมไทยมีมานานแล้ว แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรเท่านั้นเอง ตอนแรก ๆ ก็งงว่าทำไมคนเก่ง ๆ ที่เป็นแนวนี้มักจะอยู่เบื้องหลังตลอด แล้ววงการเพลงทำไมมันถึงไม่มีแบบนี้เลย แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาเป็นอย่างนั้นไง แต่เราดันเป็นคนแบบนี้มาด้วย ก็แปลกดีว่าทำไมไม่มีใครทำ เรามีความรู้สึกว่า มันควรจะมีมานานแล้ว T-Girl ไม่จำเป็นต้องสายสวยอย่างเดียวก็ได้ เธอไม่ต้องทำนมตลอดเวลาก็ได้ ถ้าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายก็เอา มันอยู่ที่ตัวตนของเธอมากกว่า แล้วทุกวันนี้ผู้ชายฝรั่งหรือคนไทยก็คิดว่ากะเทยก็เป็นกะหรี่อยู่ดี ถ้าไม่ทำงานคาบาเรต์ก็ขายตัว เพื่อนเราโดนบอกว่า เป็นพนักงานเซเว่นเหรอครับ เราก็เคยโดนนะ มักจะถูกหาว่าเราเป็นช่างทำผมหรือไม่ก็สไตล์ลิสต์บ่อยมาก มีครั้งนึงประทับใจมาก แท็กซี่บอกว่า พี่เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบรึเปล่า (หัวเราะ) เราก็เลยให้เขาไปเพิ่ม 100 บาท หนูเลิฟ เปรี้ยวมากแบบอึ้งมาก เท่จริง ๆ ทำงานกับเจมส์ บอนด์ อยากทำมานานแล้ว
ทุกวันนี้ยังโดนสังคมพูดถึงเราในแง่ลบอยู่รึเปล่า
เมื่อก่อนเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ออกไปเจอจุดนั้นเท่าไร เลวร้ายที่สุดคงเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ให้เข้าบาร์ ซึ่งเราก็เข้ามาตลอดด้วยนะ ที่เขาไม่ให้เข้าเพราะว่ามีคนกลุ่มนึงในนั้นซึ่งเป็นผู้หญิง เหมือนไปฟ้องหัวหน้าว่า พวกกะเทยขโมยของ เหมือนมาขายตัว ซึ่งพวกเขาก็ขายอยู่เหมือนกัน แต่ผู้ชายก็เลือกชะนีปะ แล้วเขาก็ไม่ให้เข้า ผู้จัดการซึ่งเป็นคนที่เจอกันบ่อย บอกว่า เอ้าจีน ๆ นี่เอง เข้ามา เราก็ขึ้นเลยว่า ทำไมเหรอฉันเป็นจีน กษิดิษ เข้าได้เหรอ ถ้าเป็นคนอื่นเข้าไม่ได้เพราะอะไร เข้าใจปะ มันป่วงมาก แล้วเขาก็ไปด่าไอ้การ์ดที่ไม่ให้เราเข้าตอนแรก เราก็ว่ามันไม่แฟร์นิ ถ้าฉันไม่ได้เป็นนักร้อง เธอจะให้ฉันเข้ามั้ย จากนั้นมีอีเมลมาหา ง้อก็ช่างมัน เราถูกแบนหลายเดือนเลยเป็นปีแห่งการถูกแบน แต่ทุกครั้งก็จะอีเมลมาขอโทษกัน เราก็จะบอกว่า เราไม่สนใจ กาหัวออกไปให้หมด
ชินกับเรื่องพวกนี้ยัง
ชินนะให้มองมันเป็นเรื่องตลกไป ที่เขามาแอบด่าเราก็ให้มองเป็นเขามาแอบจีบเรารึเปล่า อย่าไปมองในแง่ร้ายเลย เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสดีกว่า แต่เหตุการณ์พวกนี้ยังไม่มีเกิดขึ้นในชีวิตเรานะ ทุกวันนี้เราว่ามันก็แฮปปี้มาก ๆ แล้วสำหรับเรา
รู้สึกอย่างไรกับกับสังคมไทยในตอนนี้
เบื่อ ไม่จบไม่สิ้น มันเป็นเลข 8 แล้ว แทนที่มันจะเดินหน้ามันก็ถอยหลังอีก เรารู้สึกว่าคนรุ่นเราโชคดีมาก ๆ การมีอิสระออกไปทำอะไรต่าง ๆ มันเป็นสิ่งที่คนควรจะมี ปัจจุบันนี้ถ้าจะมีอิสระต้องรอให้ถึง 20 ปีก่อนถึงจะออกไปผจญโลกได้ ซึ่งจริง ๆ ชาวโลกเขาไปถึงไหนกันหมดแล้ว เรายังอยู่ในระบบอะไรไม่รู้ แอบเบื่อการศึกษาไทยด้วย เราแก้อะไรมันไม่ได้หรอก ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้มานานแล้ว เกลียดการคอรัปชันที่สร้างกันมา เรื่องเอาเงินไว้ก่อน ไม่คำนึงถึงเรื่องอื่น ๆ เอาง่าย ๆ รางรถไฟแบบใหญ่ ๆ เขาก็มีนะ เรายังมีอันเล็ก ๆ อยู่เลย
ให้เป็นนายกได้ 1 วัน ขอนโยบายหาเสียงหน่อย
ไล่ทุกคนที่เคยทำงานตรงนี้ออกให้หมดก่อน คือ ไม่ชอบระบบสังคมที่ไทยมีความเป็นมาเฟียสูง มันสูงในทุกวงการเลยนะ การเปิดรับไอเดียต่าง ๆ ด้วยที่ไม่ได้มีความใหม่เลย ชาวโลกเขาถึงไหนกันแล้ว เรายังอยู่ที่เดิมอยู่เลย
คิดว่า พรบ. คู่สมรส ควรมีแล้วรึยัง
ควรจะเป็นประเทศแรกในโลกที่มีเลยด้วยซ้ำ มันควรจะเป็นแบบประเทศไทยเป็นเมืองที่ต้อนรับทุกเพศ เป็นประเทศที่เป็นมิตร ทุกคนในโลกจะมองว่ามันดีมากสำหรับ LGBT ถ้าทำแบบนั้น เอาง่าย ๆ ขอแค่จะไปเปลี่ยนจากนายให้เป็นนางสาวได้ก็โอเคแล้ว เจ้ขอแค่นี้เถอะ ห้องน้ำด้วยขอห้องน้ำกลางได้ไหม ตอนนี้เข้าห้องน้ำชายแล้วรู้สึกผิด
ทุกวันนี้ Gene Kasidit เข้าห้องน้ำหญิงหรือชาย
ตอนแรก ๆ ก็จะเข้าห้องชาย แต่เรารู้สึกว่า โครตไม่ใช่เลย มีวันนึงแต่งตัวเต็มยศมาก ไปเข้าห้องน้ำชายทุกคนก็เหวอ แต่ในขณะเดียวกันไปเข้าห้องน้ำหญิง ผู้หญิงก็จะงง ๆ ตอนหลังมาก็กล้ามากขึ้น ถึงวันนั้นไม่ได้แต่งตัวเต็มก็ตาม เราต้องเพิ่มความซูเปอร์ดัดจริตเข้าไป ห้องน้ำผู้หญิงสะอาดมากนะ
เห็นด้วยกับเรื่องของอาชีพโสเภณีถูกกฎหมายรึเปล่า
โอเคนะ ถ้าเขาเลือกที่จะยอมขายร่างตัวเอง ถ้าทำให้ถูกต้อง แต่ว่าบ้านเราทุกอย่างถูกควบคุมหมด มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นการค้ามนุษย์อยู่ดี
ทุกวันนี้ถ้าไม่เป็นนักร้องจะทำอะไร
อยากทำรีสอร์ต เราชอบทะเลมาก ๆ อยากทำแบบอารมณ์เจ้าของโรงแรมเก๋ ๆ แล้วเราไปร้องเพลงของ Gene Kasidit ให้ลูกค้าฟัง (หัวเราะ) มันคงแฮปปี้น่าดูเลย
มุมมองความรักของ Gene Kasidit เป็นอย่างไร
ความรักเรามองเป็นเรื่องของพลังพิเศษอะไรบางอย่าง ยิ่งเกิดกับคนที่เขารักเรากลับมา มันจบ โอเคแล้ว มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องกาย มันเป็นการอยู่ด้วยกันทางจิตวิญญาณ สร้างความตื่นเต้นกันตลอดเวลา แต่กว่าจะหลงรักมันก็ยากมากนะ ถ้าคนที่มันคลิ๊กมันก็จะไปได้ตามอัตโนมัติ ทุกอย่างจบ เราเจอผู้ชายที่พร้อมจะเดินไปกับเราได้ สุดท้ายสิ่งสำคัญคือ เซ้นส์ของเรา ถ้าเรารักใครแล้ว เขารักเราจริง ๆ เราก็ต้องหยุดตรงนั้น เพราะว่าคนเรามันไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกันบ่อย ๆ
ส่งท้ายฝากอะไรถึงคนอ่านกันหน่อย
ดีมาก สนุกมาก น้อง ๆ เก่ง เพื่อเด็ก ๆ สมัยนี้จะได้รู้ว่าอะไรคืออะไร ทุกอย่างเกิดมาจากประวัติศาสตร์หมด ดีใจที่ได้คุยกัน ขอบคุณที่อ่าน คำถามสนุกมาก มันยาวมาก ๆ เลยนะ อัลบั้มใหม่เร็ว ๆ นี้เดี๋ยวคงได้ฟังกัน ตอนนี้เราทำเดโม่ไปได้ 5 เพลงแล้ว จะมีอะไรใหม่เยอะเลย มีการแร็พเข้ามาในเพลงด้วย เชื่อว่าอีกไม่นานคนคงจะได้ยินอะไรใหม่ ๆ แน่นอน แอบเบื่อเพลงเก่าแล้ว อยากร้องเพลงใหม่ ไว้เจอกันนะทุกคน รัก xoxo
สุดท้ายไม่มีใครรู้หรอกครับว่าอนาคตหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีกกับจีน กษิดิศ บางทีนี่อาจจะเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวในชีวิตของเธอก็เป็นได้ แต่หลังจากได้สัมภาษณ์ในบทสัมภาษณ์นี้แล้ว สำหรับผม เธอคือหญิงสาวคนนึงที่น่ารักมาก มีอัธยาศัยที่ดียิ้มแย้มตลอดเวลา รอยยิ้มของเธอช่างมีเสน่ห์กับผมเสียเหลือเกิน เพราะฉะนั้นแล้วถ้าคุณจะชอบหรือหลงรักใครสักคนจงอย่ามองเพียงแค่เปลือก โปรดมองให้ลึกเข้าไปอีกแล้วคุณจะพบว่า ขุมทรัพย์ทางจิตใจมันมีความสำคัญมากกว่าหน้าตาหรือเพศสภาพเป็นไหน ๆ ผมขอเรียนตามตรงเลยว่า ผมรักในความคิดของคุณเข้าให้แล้ว จีน กษิดิศ แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าครับ xoxo