มีความสุขกับสิ่งที่ทำในแบบของ Mattnimare
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Neungburuj
เมื่อปลายปีที่แล้วเราเกิดความประทับใจหลังจากได้ดู live ของวง Mattnimare ที่เล่นได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเพลงอย่าง ความสุข ทำให้เราอยากถามถึงการทำงานและมุมมองในการเขียนเพลงและการเล่นสดในแต่ละครั้งว่าเขาได้พลังแบบนั้นมาจากไหน ฟังใจซีน นัดพวกเขามาเจอกันที่ โบสถ์แม่พระฟาติมา ย่านดินแดง ที่บังเอิญว่าในวันนี้เรามาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศงานแต่งงานอันชื่นมื่น ซึ่งเป็นอะไรที่ contrast กันแบบสุด ๆ ที่จะชวนวงที่ทำเพลงดาร์ค ๆ มาให้สัมภาษณ์ แต่พอได้เจอตัวเป็น ๆ แล้วก็พบว่าความจริงแล้วพวกเขาก็เป็นวงที่อารมณ์ดีและเป็นกันเองมาก ๆ มาพูดคุยกับพวกเขากันเลยดีกว่า
ทำไมถึงใช้ชื่อว่า Mattnimare
แอป: เหมือนกับว่าตอนทำวงตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะอยู่มาถึง 4-5 ปีแล้วมีคนมาถามว่าชื่อนี้มายังไง คือเหมือนกับตอนนั้นตั้งวงไปประกวดเลยเอาเรื่องที่เป็นเรื่องตลกตอนนั้นมาสแลงเป็นคำว่า Mattnimare มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนผมชื่อแมท แล้ววันนั้นเขาโดดเรียน แต่แม่มาหาที่มอพอดีก็หาไม่เจอว่ามันไปไหน สรุปว่าไปเจอกับแม่ที่สยาม เลยกลายเป็นคำว่า “แมทหนีแม่” แล้วเพี้ยนมาเป็น Mattnimare
ตอนนั้นประกวดเวทีไหน
ซุง: Coke Music Awards เข้ารอบ 50 วงครับ ตอนนั้นผมว่าผ่านรอบแรกก็ฟลุคชิบหายแล้วครับ เพราะอย่างที่แอปบอกตอนที่เราตั้งวงมันเฉพาะกิจมาก แค่อยากไปเล่นเฉย ๆ ไม่คิดด้วยว่าจะเข้ารอบ
แอป: เพราะว่าเหตุผลมันคือ เพิ่งจะเข้าปีหนึ่ง คณะดนตรี ทุกคน แล้วงานนี้มาพอดี ช่วงเดือนที่สองของที่พวกผมเข้าไปเรียน แล้วทุกคนอยากเล่นดนตรี มันมาซัพพอร์ตกับความต้องการของพวกเราตอนนั้นพอดี ผมก็เลยไปคุยกันว่าใครเล่นแนวนี้กันบ้าง ผมก็จับ ๆ มาแล้วชวนกันไปเล่นงานนึงสนุก ๆ
อะไรทำให้เล่นต่อมาถึงห้าปี
ซุง: เหตุผลของแต่ละคนน่าจะไม่เหมือนกันครับ จุดที่ประทับใจของแต่ละคนอาจจะเป็นคนละจุดกัน อย่างของผมก็เป็นงานประกวดเนี่ยแหละครับ ตอนที่เราเข้ารอบแรกก็ดีใจกันมาก รอบสองนี่ตกรอบ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าล้มเหลวอะไร ก็ยังทำต่ออยู่ ด้วยความที่เพื่อน ๆ ทั้งปีเขาจะเล่นดนตรีอีกแบบ เล่นเมทัลกัน ถ้าเราไม่ทำวงนี้แล้วเราจะไปเล่นกับใคร
แอป: คือไอ้พวกนี้มันห่วย เล่นเมทัลไม่ได้ (หัวเราะ) ของผมแค่อยากเล่นดนตรีมากกว่า
บาบูน: อยากมีวง เล่นเอามัน สนุกครับ
ว่าน: อุตส่าห์จบมาใบนึงแล้วไปเรียนอีกใบนึงก็เพื่อทำวง
จบอะไรมา
ว่าน: BBA ธรรมศาสตร์ คือเราขอที่บ้านแต่แรกตั้งแต่กลับจากนิวซีแลนด์ว่าอยากเรียนดนตรี แต่ที่บ้านก็ไม่ให้ ก็เลยเรียนใบนี้ก่อน แบบเรียนให้แล้วนะ แล้วก็ลองไปสมัครดู ก็ตกแม่งทุกอย่าง performance อย่างเดียว แต่มหิดลเขาให้โอกาส ก็ดีใจ ได้เจอพวกเวรนี่
นิยามสไตล์ของวงได้ว่าอย่างไร
ซุง: อย่างที่แอปบอกว่าเราได้ชื่อมาแบบบังเอิญมาก จากความไม่ตั้งใจ ไม่จริงจังกับมัน เลยได้ชื่อแบบที่ไม่มีความหมายเลย คือ Mattnimare มันไม่ใช่ภาษาอะไรเลย เซิร์ชภาษาอังกฤษก็ไม่เจอ ซึ่งก็มีช่วงนึงเหมือนกันที่เราคิดว่าเราควรจะมีชื่อวงที่ดีกว่านี้ไหม แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว วงที่เราชอบเราไม่ได้รู้สึกถึงความหมายของคำ เช่น สมมติผมชอบ Slot Machine ผมไม่ได้รู้สึกถึงเครื่องสลอตแมชชีนเลย ผมรู้สึกถึงเสียงเขา ผมรู้สึกถึงซาวด์ของเขา ซึ่งในกรณีของ Mattnimare ผมว่ามันดีแล้วที่มันไม่ได้มีความหมายอะไร ดังนั้น นิยามของวงก็เลยเป็นไปตามนั้นครับ เราจะไม่มาระบุว่าเราจะเล่นแนวอะไร เราจะทำซาวด์แบบไหน เพราะผมว่ามันไม่สนุกด้วย ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เราโตดีกว่า เราชอบอะไรก็ทำแบบนั้น เป็นความมั่ว ๆ ซั่ว ๆ หน่อย
วัตถุดิบหรือแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงมาจากไหน
ซุง: บางช่วงเราอาจจะอินกับทำนองก่อน บางช่วงอาจจะอยากได้ดนตรีแบบนี้ขึ้นมาก่อน อิสระน่ะครับ โชคชะตาวงเราไม่ค่อยเจอกับการโดนบังคับเท่าไหร่
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนจดจำเพลงของวงได้
ซุง: เสียงที่หล่อเหลา ทุ้มลึก มีเสน่ห์ ของพี่ว่าน (หัวเราะ)
ว่าน: อ้าว ไม่ใช่กีตาร์ที่หวานหยดย้อยเหมือนน้ำค้างที่เขาใหญ่ในยามเช้า มันซึมซับไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ (หัวเราะ)
ทำไมการทำงานในช่วงแรกถึงออกมาในชุดแบบนั้น
ซุง: ไม่รู้สิ ตอนนั้นชอบความเป็นเผ่า ความนอกเมือง ความเป็นออแกนิค ก็เลยลองใส่แบบนั้นดู ทีนี้ลองใส่ไปเล่นดนตรีมันก็รู้สึกอีกแบบนึง เหมือนเราแต่งตัวประหลาดมากขึ้นตอนเล่นดนตรี คือผมเข้าใจว่าคนดูคงรู้สึกว่า มึงมาจากไหน มันเหมือนเราเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่ใช่ตัวเรา เป็นพาร์ทนึงของชีวิต ก็สนุกดีครับ เป็นเหมือนช่วงค้นหาอะไรบางอย่าง มีพลังของอะไรก็ไม่รู้มาสิงเรา
ว่าน: ตอนนั้นมันเหมือนพอใส่ชุดนั้นแล้วมีพลังอะไรขึ้นมา ซึ่งชุดใหม่นี่ผมก็ชอบนะ ลุคใหม่ แต่ตอนนั้นมันขลังกว่าครับ พอใส่แล้วเหมือนผมสามารถพูดในสิ่งที่ผมไม่สามารถพูดได้ในเวลาปกติ กลายเป็นตัวแทนของอะไรสักอย่าง ช่วงที่พีคคือเหมือนเราเล่นงานมหิดล PMCF ตอนนั้นเป็นช่วงที่พีคที่สุดของการใส่ชุดนั้นแล้ว พอเป็นชุดนี้มันทำให้คนจับต้องเราง่ายขึ้นด้วย เอาจริงตอนไปคุยกับคนนั้นคนนี้มาก็ได้ comment มาบ้างว่าแบบ มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ (หัวเราะ) ต้องการเป็นอะไรที่พิเศษมากกว่าคนปกติหรอ ซึ่งพวกผมไม่ได้คิดตรงนั้นนะ หรือเราจสร้างลัทธิใหม่เป็นพวกไอ้ชุดขาว ตอนนั้นมันเหมือนแค่ต้องการเสริมพลังให้ตัวเอง
ทำไมถึงใส่สูท
ว่าน: ก็ได้สปอนเซอร์ครับ แล้วก็เป็นการตลาดบวกกับดนตรี แล้วชุดเขามันเหมาะกับคอนเซปต์ด้วย
ซุง: จริง ๆ มันมีคอนเซปต์ขึ้นมาก่อนครับ เหมือนเราพูดเรื่องที่มันผู้ใหญ่ขึ้น แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นผู้รู้ขนาดนั้น แค่เป็นวัยรุ่นที่โตขึ้นมาแล้ว ก็เลยคิดว่าลุคมันน่าจะโตด้วย ดูเรียบขึ้น แล้วในมุมของคนเข้าถึงได้ มันเป็นเรื่องของแบบว่า สมมติเราไปดูคอนเสิร์ต เราเห็นคนที่เขาก็แต่งตัวเป็นคนเหมือนกับเรา เราก็จะรู้สึกว่าเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับเราเหมือนกัน มันสื่อถึงกันได้มากกว่าครับ สีขาวดำด้วยครับ เพราะมันเหมือนเป็นช่วงรอยต่อของชีวิต ที่เรียนจบมาแล้วก็หางานทำ มันเป็นสีที่ชนกันแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ก็เลยแต่งให้มันเป็นขาวดำสลับกันหน่อย
คือถ้าพวกผมแฮปปี้แล้วเนี่ย สิ่งที่ perform อยู่จะทำให้คนอื่นแฮปปี้ด้วย แต่มันก็จะมีสาย entertain ที่จะห่วงว่า คนดูเป็นไง มาทำให้เขากระโดดงี้กันดีกว่า ซึ่งผมไม่สามารถทำได้ เพราะผมไม่ใช่คนที่บิลด์คนเก่ง มันขัดกับสันดานตัวเองด้วย
สัญลักษณ์วงในช่วงแรกมีความหมายไหม
ซุง: ตอนนั้นมันเป็นความบ้าคลั่งครับ คือผมค่อนข้างอินกับศาสนาพุทธ ก็ไปอินกับเหตุผลที่พระพุทธเจ้าออกบวชด้วย มันก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเหตุผลที่เขาอยากจะหนีพวกนี้ออกไป ในสัญลักษณ์นั้นก็จะมีสัญลักษณ์เล็ก ๆ ซ่อนอยู่ เป็นเกี่ยวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วแต่งเพลงมาสี่เพลง ก็ชื่อ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่งมาเล่น ๆ กันครับ
การในงานในช่วงแรกกับการมาร่วมงานกับ Tigger Musicมีความแตกต่างกันยังไง
ซุง: มันก็มีความต่างครับ แต่ว่าความต่างนี้ ปัจจัยไม่ได้เกิดจากค่ายครับ เพราะค่ายไม่ได้แทรกแทรงการทำงานอะไรเท่าไหร่ เรายังทำได้ตามที่เราอยากทำอยู่ แต่ว่าการเปลี่ยนมันเกิดขึ้นจากการเดินทางของวง ซึ่งมันเกิดการเปลี่ยนมาตลอดอยู่แล้ว ก็มีการผลัดกันแต่งเพลง ตามประสาวงดนตรีครับ
แนวเพลงไม่ได้หนีกันมาก
ซุง: มันเป็นการเพิ่มมากกว่าครับ อย่างเมื่อก่อนเราก็จะเล่นดนตรีกันแบบ เสียบตู้เล่นด้วยกันเลย แต่ชุดนี้จะมีการ arrange ที่ละเอียดขึ้น การใส่ออเคสตรา อิเล็กโทรนิกเข้าไปในร็อคที่เรามีอยู่ มันก็สมูธขึ้นครับ
มีโอกาสได้ร่วมงานกับชาวต่างชาติได้ยังไง
ว่าน: ตั้งแต่แรกเราก็อยู่กับ พี่มด Mind The Gap มาตลอดอยู่แล้ว เอาจริงต้องขอบคุณพี่มดมากที่ดึงเรามาจากวงเล่นร้านธรรมดา คือ Mattnimareเริ่มจากการเป็นวงเล่นร้าน เราก็รู้ตัวว่าเรายังเล่นกันไม่เก่ง การที่จะเล่นให้เก่งมันก็ต้องเล่นเยอะ ๆ ก็เลยไปหาร้านเล่น ซึ่งร้านเล่นราก็ดื้อในแบบของเรา คือเราก็ต้องการเล่นเพลงที่เราอยากเล่น มันก็เลยมีร้านแค่ไม่กี่ร้านที่รับเรา ตอนนั้นมีอยู่แค่สามร้าน เล่นอาทิตย์ละสองสามวัน เล่นมาเป็นปี ซึ่งมันก็เห็นผลต่างชัดเจนมาก แล้วทุกร้านที่เล่นมันก็เหมือนการเก็บเลเวล เจอพี่คนนั้นคนนี้เขาก็แนะนำอะไรดี ๆ มา ก็เลยมีพัฒนาการ มีอยู่วันนึงเราก็เริ่มแต่งเพลงเองแล้ว ก็ไปเล่นพวกงานอินดี้ยุค rat hole รูหนู เล่นกันเถื่อน ๆ เล็ก ๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเพลงของเราเลย แต่เราก็ดั้นด้นกันไป ซึ่งพี่มดเขาก็อยู่ในแวดวงจัดงาน event อยู่แล้ว มีวันนึงก็มาถามเราว่าอยากได้ผู้จัดการวงไหม แล้วแกก็หายไปเลย ตอนนั้นพวกผมก็ อ้าว ให้ความหวังกันเหรอ (หัวเราะ) แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ พี่มดเขาไปบิลด์อะไรของเขาอยู่ จนในปีต่อมาพวกผมก็ได้เล่นที่ Big Mountain แบบตกใจมาก พี่มดเขาก็แสดงตัวออกมาว่า ฉันนี่แหละ เย้ดเข้ โคตรเท่เลย ซึ่งก็เป็นผู้จัดการเราตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วนี่ก็เลยทำให้ผมไปเจอหลายคนมาก อย่างพี่บีดี้เขาเป็นสามีพี่มด เป็นคนอังกฤษ แล้วตอนทำเพลง 22 ตอนนั้นก็ทำกันเอง ซุงก็มิกซ์อะไรเรียบร้อย แต่พี่บีดี้เขาฟังแล้วชอบ ก็เลยส่งให้ไปมาสเตอร์กับเพื่อนเขาที่อังกฤษ แล้วพอได้กลับมาปุ๊บ มัน fantastic เลย จากหูของคนที่ฟังในระดับเขาแล้วด้วย แล้วเขาก็เอาไปลดทอน เพิ่มเติมอะไรของเขา ก็เป็นอีกครั้งที่เป็นความบังเอิญน่ะครับ โชคดีมาก
ซุง: ด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีด้วย จริง ๆ ของไทยก็มีครับ แต่ของเขามันเป็นออริจินัล จะมีเซนส์ที่ถูกต้อง
พูดถึงเพลง รอยต่อ กับ ความสุข
ซุง: ก็เป็นสองเพลงแรกในชุดใหม่ จริง ๆ ก็ไม่เชิงว่าเป็นเซทใหม่เพราะเพลง ความสุข ก็แต่งตั้งแต่ยุคชุดเผ่ากันแล้วครับ แต่ว่าก็ยังไม่ได้ปล่อย รอยต่อ นี่เพลงใหม่เลยครับ แต่สองเพลงนี้ที่ปล่อยมาความหมายมันเกี่ยวข้องกัน อย่างที่ผมบอกว่ามันค่อนข้างจะพูดเรื่องที่ซีเรียส แต่พูดในมุมเด็ก คือเพลงรอยต่อเป็นเพลงเดียวที่ผมไม่ได้แต่งจากเรื่องของตัวเอง คือมีผู้ใหญ่คนนึงที่ผมนับถือมาก เขาทำธุรกิจของตัวเองแล้วตอนนั้นเขาเครียด ผมก็เลยถามเขาว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไง เขาบอกว่า เขาอยากวางทุกอย่างแล้วก็ไปอยู่กับลูกเมียที่ต่างจังหวัด อันนี้มันสตันผมมากเลยเพราะผมเป็นเด็กวัยรุ่นไง ผมอยากมีเงิน อยากมีชื่อเสียง อยากมีความมั่นคงแบบเขา แต่ว่าเขาที่มีพร้อมทุกอย่างแล้วเขาอยากวางมัน ผมเลยรู้สึกว่า หรือภูเขาที่เราปีนอยู่มันไม่ใช่คำตอบ เลยเป็นเนื้อเพลง รอยต่อ ว่าหรือสุดท้ายแล้วเราแค่ต้องการเพียงคนคนนึงที่อยู่กับเราแล้วเราสบายใจมากกว่าเงินหรือชื่อเสียงมากมาย ส่วนเพลง ความสุข เป็นวัยรุ่นที่ขี้สงสัย ทำยังไงถึงมีความสุข คนนั้นมีความสุขเพราะอย่างนี้ คนนี้มีความสุขเพราะอย่างนั้น แล้วเราล่ะ เป็นคำถามมากกว่า
ตอนเล่นสดเพลงนี้รู้สึกว่าถึงอารมณ์มาก
ว่าน: มันอินมาก บาบูนต่อยกลองแตกหลายโชว์แล้ว (หัวเราะ)
บาบูน: เฮ่อ
แอป: คำแรกของบาบูน (หัวเราะ) ค่าหนังกลองเท่าไหร่ ค่าตัวเท่าไหร่
บาบูน: เกือบแปดร้อย ค่าตัวเกือบพัน
ว่าน: อีกสองร้อยไปไหน เซเว่น (หัวเราะ) แต่ละคนมันก็รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของสิ่งที่กลายเป็นแบบนี้ อย่างผมเองก็อารมณ์ล้วน ๆ เลย ไม่คิดอะไรมากเท่าไหร่ มันก็เลยอินกับอะไรได้ง่าย
รู้สึกยังไงที่คนดูชอบโชว์ของเรามาก
Mattnimare: ดีใจครับ
ว่าน: อันนี้พูดแบบหยาบ ๆ นะ ดนตรีผมแบ่งเป็นสองข้าง ด้านที่เอาข้างหน้าเป็นหลักกับเอาข้างในเป็นหลัก ผมเนี่ยเป็นพวกเอาข้างในเป็นหลัก คือถ้าพวกผมแฮปปี้แล้วเนี่ย สิ่งที่ perform อยู่จะทำให้คนอื่นแฮปปี้ด้วย แต่มันก็จะมีสาย entertain ที่จะห่วงว่า คนดูเป็นไง มาทำให้เขากระโดดงี้กันดีกว่า ซึ่งผมไม่สามารถทำได้ เพราะผมไม่ใช่คนที่บิลด์คนเก่ง มันขัดกับสันดานตัวเองด้วย
ซุง: ผมว่ามันอยู่ที่คำว่า ‘เล่นดนตรี’ ด้วย ทำไมถึงใช้คำว่า ‘เล่น’ ล่ะ แล้วอย่างเล่นมันก็ใช้กับหลายอย่าง เช่น เล่นเกม เราเล่นเกมแล้วมีคนจ่ายตังมาดูเราอะ เราก็ควรจะเล่นให้เราสนุกที่สุด เท่านั้นเอง เพราะถ้าเราเล่นดนตรีแล้วพยายามให้คนดูสนุกมันกลายเป็นการกระทำดนตรี มันไม่ใช่การเล่น เพราะการเล่นมันต้องสนุกอยู่แล้ว อย่าไปซีเรียสอะไรมากมาย
เล่นสดแต่ละครั้งกดดันไหม
ซุง: ก็มีบ้างครับ อุปกรณ์นู่นนี่นั่น ซาวด์จะเป็นยังไง แต่พอขึ้นไปแล้วก็ปล่อย เล่นเต็มที่
ความสุขที่แท้จริงของแต่ละคนคืออะไร
ว่าน: มันก็เป็นช่วง ๆ ครับ ตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้มันเปลี่ยนมาตลอดเลย แต่ที่ผมรู้ตอนนี้คือความสุขของผมคือการปล่อยวางครับ back to nature แต่ด้วยความที่เราเป็นมนุษย์ก็ยังทำไม่ได้ บางทีผมแฮปปี้กับความรักมาแต่ผมก็ไปทุกข์กับเรื่องอื่น ความสุขอยู่ตรงไหนมันก็ปนกับความทุกข์แหละครับ มันเหมือนหยินหยาง ยิ่งเรามีความสุขมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์เท่านั้น มันคือ formular of the universe ต้อง balance กัน ให้เป็นสายกลางก็ยังทำไม่ได้ครับ แต่ว่า ถ้าสำหรับตัวเองเพลงผมว่ามันเป็นสิ่งที่ดี คือการถามคนแล้วมันทำให้คนคิดต่อ
ซุง: ผมเคยคิดเรื่องนี้ เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าตัวเองไม่มีความสุข แต่ตอนนี้ผมรู้สึกมีความสุข ผมก็เปรียบเทียบสองช่วงนี้ว่ามันต่างกันยังไง สรุปว่ามันก็ไม่ต่าง ชีวิตก็เหมือนเดิมเลย ก็มีเรื่องดี เรื่องแย่ มันอยู่ที่เราคิดกับมันยังไง ถ้าเราคิดว่าทุกข์ เราก็ทุกข์ เหมือนที่พี่ว่านบอก ถ้าเราปล่อยวางได้ เราก็จะไม่จับมาเป็นจุดใหญ่ในชีวิต ไม่มีช่วงที่สุขร้อยเปอร์เซนต์อยู่แล้ว
แอป: ของผมคือผมจะยกเรื่องกินกับเรื่องนอนเป็นหลัก ผมว่ามันคือสิ่งที่เราต้องทำทุกวันเพื่อที่จะ drive ตัวเองไปทำอย่างอื่นได้ ถ้าเราทำเรื่องพวกนี้ไม่มีความสุขก็คงจะไปหาความสุขอื่นไม่ได้ คือผมจะให้ความสำคัญกับการกินมากเพราะผมชอบกิน แค่กินข้าวผัดกะเพราอร่อยก็โอเคแล้ว
บาบูน: อย่างน้อยชีวิตเรามันสุขไม่สุดอยู่แล้ว ก็จะมีอะไรเข้ามา มันก็ต้องพยายามบาลานซ์กัน สามารถมาชดเชยกันได้ สมมติว่าเราทุกข์ก็ให้นึกถึงความสุขที่มี ก็คิดให้มันน้อยหน่อย ชีวิตเราก็จะชิว ๆ ถ้าไปคิดเล็กคิดน้อยมันก็จะมานั่งทุกข์คนเดียว พยายามคิดบวกนิดนึง หาความสุขให้ตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำไป สมมติวันนี้มีปัญหา พอผ่านเที่ยงคืนก็ให้ปล่อยวาง ตื่นขึ้นมาเป็นคนใหม่ คืออย่าเก็บไปคิด ไม่งั้นก็หนักหัวเปล่า ๆ ปล่อยไปเถอะ ช่างแม่ง
เป้าหมายในการทำเพลงและทิศทางในอนาคตของวง
ซุง: ผมเคยตอบคำถามนี้ไม่ได้ มีคนถามแล้วก็ไปไม่ถูกเลย แต่ตอนนี้ตอบได้แล้ว คือพี่เชาว์เขาบอกผมว่าเขารู้สึกว่าผมมีปัญหา จริง ๆ ผมไม่มีปัญหาขนาดนั้นนะ เขาบอกว่า วงมันเหมือนสวนดอกไม้ของเรา ดอกไม้เวลามันบานมันก็สวย แต่แน่นอน ไม่มีดอกไม้ดอกไหนที่บานทั้งปี มันมีช่วงหุบ มีโรค ฝนไม่ตก ปุ๋ยไม่พอ เยอะมาก เราก็แค่อย่าไปคาดหวังว่ามันต้องบานตลอดเวลา ตอนนี้มันอาจจะยังไม่บานก็ได้ แต่เดี๋ยวมันก็บานเอง พอมันบานปุ๊บคนก็จะมาชื่นชม มาดูสวนของเรา แต่พอมันหุบ คนก็ไปสวนอื่นอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แค่เรารักที่จะปลูกดอกไม้ก็พอแล้ว อย่าไปคาดหวังว่าอนาคตต้องสวยงาม อยู่ที่ปัจจุบันเรามีความสุขกับมันแล้วก็พอ
ว่าน: มันจะมีคนที่โตแล้ว แล้วเขาจำกัดความตัวเองอย่างชัดเจนว่า พวกมึงมองตัวเองอีกสิบปีข้างหน้าว่ายังไง ก็พยายามยัดเยียดคำถามนี้ให้พวกผม พอพวกผมเจอก็ตอบไม่ถูก อยากจะมีงานโชว์กี่โชว์ อยากมีรายได้เท่าไหร่ จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ไหม มันคือการรวมทุกอย่างที่มันใช่กับไม่ใช่ แล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่ชัดเจนมาก ๆ ผมเชื่อว่าการเล่นดนตรีของเรามันคือสิ่งที่เราชอบ ถ้าเราต้องมาพยายามทำมันจนเกินไป ยัดเยียดปุ๋ยให้ดอกไม้ตลอดเวลา พวกผมก็เฉาตายอยู่ดี ผมเลยเลิกคิดเรื่องอีกสิบปีจะเป็นยังไง แค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปและตอนนี้ก็ทำให้ดีที่สุด
วงการดนตรีกระแสหลักกับอินดี้มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันยังไง
ว่าน: อันนี้ผมว่าแต่ละคนจะตอบจากมุมมองที่ตัวเองเห็น ว่าเขาคลุกคลีกับสิ่งไหนมากกว่า อย่างผมก็จะไม่ค่อยได้ฟังอะไรมากมาย จะรู้ข่าวช้ากว่าคนอื่น แต่ผมคิดว่าดนตรีอินดี้มันดีตลอดอยู่แล้ว มันคือคนที่มีความสุขในการทำงานโดยที่ไม่ต้องคิดแบบ businessman มันเลยเป็นคววามบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้ทุกวัน ๆ มีดนตรีดี ๆ เกิดขึ้นมากมาย มันไม่ได้อยู่ที่คนมองดนตรียังไง แต่อยู่ที่คนฟังจะรับดนตรีมากแค่ไหนมากกว่า ส่วนแมสมันก็อยู่ของมันอยู่แล้ว เพราะว่าผมเคยเป็นทหารมา เมื่อก่อนผมจะเป็นทหารใช้คำว่าเกลียดได้เลย เกลียดดนตรีแมส แต่พอเข้ามาเป็นทหารก็รู้ว่า คนที่มีปัญหากับชีวิตมากพออยู่แล้ว เขาอยากกินข้าวอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอแค่อร่อยพอ ตอนนี้ผมเลยยกให้สองฝั่งมันมีคุณค่าสำหรับแต่ละคนเท่ากัน ถามว่าพัฒนาไปในทางที่ดีทั้งคู่ไหม ผมว่าทุกคนก็กำลังช่วยกันพัฒนาอยู่
แอป: แต่จริง ๆ อย่างที่พี่ว่านพูดมันก็ถูกนะ แต่ถ้ามองในมุมที่คนฟังเห็นว่ามันเป็นยังไง ส่วนเรื่องของคนทำเพลงพวกกระแสแมสตอนนี้มันใกล้จะถึงช่วงที่เปลี่ยนเจนแล้ว เหมือนเป็นช่วงท้ายของวงดัง ๆ แล้ว มันจะต้องมีคนที่มายืนจุด ๆ นี้แทนพวกวงใหญ่ ๆ แล้ว ผมสนใจว่ามันจะเป็นยังไงและจะเป็นใครในยุคต่อไป ยิ่งถ้านักดนตรี attitude ดี ๆ กันหมดมันจะยิ่งช่วยพัฒนาให้วงการดีขึ้น ซึ่งอินดี้ตอนนี้มันดีนะ คนดูก็สนใจเยอะ อย่างงาน Cat Expo ที่ผ่านมาที่รู้มาซีดีก็ขายดี พฤติกรรมคนฟังมันก็ดีขึ้น ก็น่าดีใจสำหรับคนทำงาน
ซุง: ซึ่งในยุคต่อไปมันก็น่าสนใจเพราะวงใหม่ ๆ ดี ๆ หลากหลาย
ว่าน: ฟังใจ ไง จัดงานแล้วเอาวงอินดี้มาขนาดนี้ให้ sold out ได้ โคตรเท่เลย
แอป: ผมบอกกับพี่ ๆ ฟังใจในงานครั้งที่หนึ่งว่าพี่ยินดีด้วยนะ คือรอบแรกคนเยอะจนหน้าตกใจมาก คือจริง ๆ อยากจะหอมแก้มฟังใจสักสิบที (หัวเราะ)
ผมว่ามันอยู่ที่คำว่า ‘เล่นดนตรี’ ด้วย ทำไมถึงใช้คำว่า ‘เล่น’ ล่ะ แล้วอย่างเล่นมันก็ใช้กับหลายอย่าง เช่น เล่นเกม เราเล่นเกมแล้วมีคนจ่ายตังมาดูเราอะ เราก็ควรจะเล่นให้เราสนุกที่สุด เท่านั้นเอง เพราะถ้าเราเล่นดนตรีแล้วพยายามให้คนดูสนุกมันกลายเป็นการกระทำดนตรี
จะมีวิธีที่ทำให้วงการอินดี้เข้มแข็งขึ้นได้อย่างไร
ซุง: ทำงานที่เราอยากได้ยินให้เกิดขึ้นในงานเรา ไม่ได้บอกว่างานเรามันจะดีคู่ควรแก่การยกย่องนะ แค่ทำให้ดีที่สุด ส่วนการจะทำให้ทั้งวงการมันดีมันก็เรื่องใหญ่ มีคนทำไปแล้วก็ยังมีคนบริโภค คนบริโภคซื้อหรือไม่ซื้อ ออกจากบ้านมาดูคอนเสิร์ตกันไหม ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปครับ อย่างตอนที่งานแคทที่ขายซีดีได้เยอะ ผมว่ามันถึงจุดที่คนมันชินกับการโหลดฟรีแล้ว ตอนที่อินเทอร์เน็ตมันมาช่วงแรกก็กระหน่ำโหลดฟรีกันเลย ไม่เห็นเป็นไร เหมือนที่อเมริกา การละเมิดมันน้อยกว่าทั้งที่อินเทอร์เน็ตมันเข้ามาเร็วกว่า แต่เขายังซื้อซดีกัน เดาไม่ได้เหมือนกันฮะ
ว่าน: ในมุมมองของธุรกิจ วงการอินดี้มันเหมือนคนที่ไม่ได้คิดอะไรมาก เน้นความรู้สึกอย่างเดียว ซึ่งเราก็ไม่ได้อยากอวยอะไรมาก พี่พาย ฟังใจมาคุยกับผมตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เริ่มทำว่า ช่วยกันสนับสนุนหน่อย แล้ววิธีการคิดของเขามันคือการประยุกต์จากสายแมสมาเสริมกับสายอินดี้ มันคือการทำงานที่เป็นระบบจริง ๆ มีแบบ จากจุดนั้น เงินจะเข้าตรงนี้ แล้วมองทุกอย่างให้เป็นธุรกิจมากขึ้น ผมคิดว่าตรงนี้ช่วยได้มากเพราะเป็นสิ่งที่วงการอินดี้ขาดอยู่ ถ้ามีตรงนี้ แล้วรสนิยมแบบนี้ในองค์กร มันก็เป็นเฟืองที่ดีมากในการพัฒนาต่อไป แล้วเขาก็มีเวิร์คช็อปโน่นนี่นั่น พอฟังแล้วก็ เช้ดเข้ นี่มัน BBA ธรรมศาสตร์ (หัวเราะ) โคตรเจ๋ง ถ้ามีเฟืองเล็ก ๆ อย่างนี้มาเรื่อย ๆ เครื่องจักรก็จะทำงานได้ดีเทียบกับสายแมส
เร็ว ๆ นี้จะมีงานใหม่ออกมาไหม
ซุง: จะได้ฟังกันต้นปีครับ เป็น EP 5 เพลงก่อน จะพูดเรื่องที่ใกล้ ๆ กันเพราะเราทำมาเป็นเซท EP ชื่อรอยต่อ ชื่อเดียวกับซิงเกิ้ลแรก เนื้อหาใน EP ต่อไปก็ต้องดูว่า พี่ว่านจะอกหักหรือเปล่า แอปมีความสุขดีไหม
ว่าน: หรือว่าซุงเปลี่ยนแฟนคนที่ 160 หรือยัง หรือบาบูนทำสแนร์แตกไปแล้วกี่อัน (หัวเราะ)
มีใครทำอะไรอย่างอื่นนอกเหนือจากงานดนตรีบ้าง
ว่าน: ผมทำโรงแรมครับ ของที่บ้าน ตอนแรกจะออกไปทำงานเพลงแล้ว แต่ที่บ้านก็อยากให้มาทำ เป็นลูกชายคนโตด้วย รับแรงกดดันมาหนึ่งปี ช่วงนั้นปีสี่ด้วย อยากทำดนตรี ก็รับแรงกดดันไม่ไหว ก็ไปเป็นผู้จัดการที่นั่น แต่อย่างน้อยผมก็มีวงดนตรีอยู่ วงดนตรีมันก็ไม่ได้ขาดหายไป
ซุง: ผมทำโปรดักชันเพลง ทำ commercial ทั้งหลาย นายแบบเป็นบ้าง เดือนละครั้งสองครั้ง แล้วแต่จะเรียกครับ
แอป: ผมกำลังทำสตูดิโออยู่ครับ น่าจะเสร็จประมาณกลาง ๆ ปีหน้า น่าจะช่วยค่าข้าวค่าน้ำ วงจะได้ซ้อมฟรีด้วย (หัวเราะ)
บาบูน: ถ่ายรูปครับ ช่วยเหลือทุกคน
ฝากผลงานหน่อย
ซุง: ฝากผลงานทุกแบบทุกชนิดที่เรามีอยู่และกำลังจะผลิตครับ ทั้งเพลงที่กำลังจะปล่อยเพิ่ม และโชว์ต่าง ๆ ไปอุดหนุนกันได้ เพราะว่าพวกเราก็อยู่ได้ด้วยการเล่นสดแหละครับ
ว่าน: แต่ด้วยเป็นช่วงเทศกาล แล้ววงเราก็เป็นเพลงเศร้า ๆ หมอง ๆ ก็เลยไม่มีงานเลยครับ ไปเล่นงานเบียร์ก็ไม่ได้ว่ะ ไม่เวิร์ค (หัวเราะ)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ Mattnimare ได้ที่ fanpage หลัก หรือเข้าไปฟังเพลงของพวกเขาบนฟังใจได้ ที่นี่