‘The 1975 Live in Bangkok’ การกลับมาเมืองไทยที่ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง !
- Story and photos by Natwada Katlangka
เวลาประมาณ 1 ทุ่มกว่า ๆ เป็นเวลาที่เราเดินทางถึงที่หมายอย่าง ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี โดยเป้าหมายของคืนนี้คือการตั้งใจมากระโดดในงาน The 1975 Live in Bangkok คอนเสิร์ตที่ใครหลาย ๆ คนรอคอยการกลับมาเมืองไทยของพวกเขาถึง 4 ปี นับจากปี 2015
14 กันยายน 2562
ราว 2 ทุ่มครึ่งเรากับเพื่อนเข้าไปยังฮอลโซน B ที่เราอยู่คนหนาแน่นพอสมควร ไม่ถึงกับเบียดเสียดหรือแออัด เราคิดในใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีที่พอให้ได้โยกอยู่ล่ะนะ ฮ่า ๆ แต่ก่อนที่จะคิดว่าจะจัดการกับพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ยังไงดี ไฟในฮอลก็ดับลง เสียงกรี๊ดดังขึ้นสักพักก่อนที่ No Rome ศิลปินหนุ่มสัญชาติฟิลิปปินส์ที่มีสีผมจี๊ดจ๊าดสุด ๆ ได้ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเพลงเพราะอย่าง Do It Again สำหรับเราแล้วการเอาศิลปินร่วมค่ายอย่าง No rome มาเล่นเป็นวงเปิดคอนเสิร์ตถือว่าเหมาะสมมาก ๆ ด้วยกลิ่นอายทางดนตรีที่ค่อนไปทางแนวป๊อป r&b ที่ได้ Matty Healy และ George Daniel สองสมาชิกจาก The 1975 มาช่วยโปรดิวซ์ให้กับเขาใน EP RIP Indo Hisashi อีกด้วย
สิ้นสุดโชว์ของ No Rome บรรยากาศในธันเดอร์โดมเริ่มคุกรุ่นไปด้วยแฟนเพลงของวง The 1975 ทุกคนต่างเฝ้าคอยให้การแสดงครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งเข็มนาฬิกาเดินไปถึงช่วงเวลาสามทุ่มครึ่งไฟในฮอลดับลงพร้อมกับ Intro The 1975 เวอร์ชั่นอัลบั้ม A Brief Inquiry Into Online Relationships เราและเพื่อนต่างตะโกนอย่างสุดเสียงเพื่อเป็นการบอกตัวเองว่า พวกเราพร้อมแล้วที่จะดูโชว์ครั้งนี้ จากนั้นวงไม่รอช้า ก่อนเปิดโชว์มาด้วยเพลง People แมทตี้แผดเสียงร้องเพลงนี้อย่างดุดัน บรรยากาศตรงหน้าตอนนั้นทุกคนกระโดดร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่วงจะทำการเล่นต่อทันทีกับเพลง Give Yourself A Try และตามมาติด ๆ ด้วยเพลงฮิตในอัลบั้มใหม่อย่าง TOOTIMETOOTIMETOOTIME ที่แฟนเพลงหลายคนพาก่อนพร้อมใจชูนิ้วนับ 1-4 ไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย
ในพาร์ตต้นของคอนเสิร์ตดำเนินไปอย่างสนุกสนานสมกับที่บรรดาแฟน ๆ ตั้งตารอคอย ก่อนที่วงจะขอเบรกพักทักทายแฟนเพลงสั้น ๆ เราค่อนข้างตื่นเต้นกับวิชวลที่เกิดขึ้นบนเวทีมาก ๆ ภาพที่เห็นคือต่างประเทศเห็นแบบไหน ที่ไทยก็เห็นไม่ต่างกันเลย มันให้ความรู้สึกอิ่มเอมมาก ๆ เพลง She’s American ถูกบรรเลงขึ้นพร้อมกับคอรัสแดนเซอร์ที่ออกมาเต้นประกอบเพลง เราแอบได้ยินคนข้าง ๆ พูดกับแฟนว่า “เต้นให้แรง อย่าให้แพ้แดนซ์เซอร์” ฮ่าาาาา Sincerity Is Scary คือเพลงที่วงเล่นต่อไป สิ่งที่ทำให้เพลงนี้พิเศษและน่าหลงใหลสำหรับเราคือเสียงของแซ็กโซโฟนนั่นเอง ตอนเพลงนี้ออกใหม่ ๆ เราประทับใจมาก ไม่คิดว่าวงจะมีเพลงแนวป๊อปแจ๊สออกมาให้เห็น หลังจากจบเพลงนี้ โชว์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีพักหายใจ อินโทรเพลง It’s Not Living (If It’s Not With You) ดังขึ้น ทุกคนต่างโห่ร้องดีใจ เพราะนี่คือหนึ่งในเพลงฮิตของวงเชียวล่ะ
จากนั้นไฟบนเวทีดับลงชั่วขณะก่อนที่เพลง Love Me จะดังขึ้นและพาแฟนเพลงทุกคนโยกตามอย่างต่อเนื่องกับเซ็ตเพลงในเซ็ตนี้ ถึงตรงนี้แล้วต้องบอกเลยว่า วง The 1975 แสดงสดดีมาก ๆ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีช่วงไหนที่เราผิดหวัง แรงแทบไม่ตกเลยจริง ๆ เพราะจากเพลงแรกจนมาถึงโชว์ช่วงนี้วงยังคงส่งพลังให้กับคนดูได้อย่างต่อเนื่อง เพลง She Way Out ถูกเล่นเป็นการส่งท้ายเซ็ตเพลงชวนโยก
I Couldn’t Be More In Love คือเพลงแรกในโชว์ที่จังหวะของเพลงเป็นเพลงช้าได้พักหายใจหายคอกันบ้างสำหรับพวกเราแฟนเพลง เราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองใช้แรงไปเยอะพอสมควรกับเพลงในพาร์ตข้างต้น ฮ่าา เพลงนี้เลยขอยืนเฉย ๆ ซึมซับกับบรรยากาศเพลงช้ากันบ้าง แต่ซึมซับได้ไม่นาน Loving Someone ก็พาเราโยกหัวอีกครั้ง บีตเพลงที่ชวนขยับกับซาวด์ที่ออกไปทางอิเล็กทรอนิกทำให้เราได้เห็นการเล่นที่สอดประสานกันระหว่างตัววงกับวิชวลบนเวทีอีกครั้ง หลังจากจบเพลงนี้ เพลงฮิตอีกหนึ่งเพลงของวงที่ถูกนำมาเล่นในคอนเสิร์ตในครั้งนี้อย่าง A Change Of Heart ที่แฟนเพลงหลายคนร้องตามกันได้อย่างสุดเสียง ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงแขกรับเชิญพิเศษของวง The 1975 ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก No Rome
เพลง Narcissist ถูกบรรเลงขึ้นในบรรยากาศที่ย้อมไปด้วยแสงไฟสีฟ้า ที่สำคัญเพลงนี้เมื่อถูกหยิบมาเล่นสดมันทำงานต่อคนดูได้เป็นอย่างดีเชียว รู้สึกปลื้มใจที่ได้เห็นการแจมกันของเพลงนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทย
ปิดท้ายช่วงกลางของคอนเสิร์ตไปได้อย่างประทับใจ
ภาพบนเวทีตอนนี้ที่เราเห็นคือวงได้พักเพื่อพูดคุยกันแฟนเพลงอีกครั้ง แม้มันจะเป็นการพูดคุยแบบสั้น ๆ ก็ตาม ด้วยความกวนของหนุ่มแมตตี้ก็ทำให้เราชื่นชอบทุกครั้งที่วงพักเพื่อหยุดคุยกับคนดู จริง ๆ และหลังจากที่พูดคุยกับแฟนเพลงกันไปแล้ว คราวนี้กีตาร์ตัวเก่งของหนุ่มแมตถูกนำมาสะพายพร้อมกับอินโทรของเพลง Robbers ก็ดังขึ้น บรรยากาศในฮอลเต็มไปด้วยเสียงร้องของแฟนเพลงอีกครั้ง เพราะทุกคน ๆ ต่างร้องตามเพลงนี้กันได้ทุกท่อน ทุกคำในเพลงเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอวงยังจัดเพลงอัลบั้มชุดแรกๆ มาให้เราฟังกันอีกหนึ่งเพลงอย่าง ‘Fallingforyou’ ต่อเนื่องกันด้วยเพลง I Like America & America Like Me เพลงกึ่ง ๆ อิเล็กทรอนิกที่ความพิเศษอยู่ที่เสียงร้องของแมตตี้ที่มีออโต้จูนเล็กน้อยพอให้ขยับตามกันนิดหน่อย ส่วนตัวเราแอบเฉย ๆ กับพาร์ตของเพลงนี้นิด ๆ เพราะมันดูหลุดจากภาพของวงไปหน่อยนึง แต่โชว์โดยรวมยังจัดอยู่ในโหมดที่ค่อนข้างแฮปปี้ทำให้ทุกอย่างยังคงลื่นไหลไปได้ดีกับโชว์ครั้งนี้ของ The 1975
ไฟบนเวทีดับลงอีกครั้งก่อนที่จะเป็นช่วงเวลาของอินโทรสั้นๆ อย่าง HNSCC ก่อนที่จะถูกส่งเข้าเพลงที่แฟนเพลงทุกคนร้องตามได้อย่าง Somebody Else หลังจากนั้นความสำคัญของโชว์วันนี้ก็คือมีเพลงที่วงไม่ได้เล่นในวันแรกอยู่ด้วย เซอร์ไพร์สเรามาก ๆ สำหรับการเล่นเพลงนี้ If I Belive You คือเพลงที่เรากำลังพูดถึงเนี่ยล่ะ มันพิเศษมาก เพื่อนเรากรี๊ดกร๊าดสุด ๆ จริง ๆ ที่ได้ยินในคอนเสิร์ตครั้งนี้ แฟน ๆ วันแรกไม่ต้องเสียใจไปนะ เพราะเราเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวงจะหยิบเพลงนี้มาเล่นในโชว์นี้ หลังจากที่เซอร์ไพรส์กันไปแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดสนุกสนานของโชว์อีกครั้ง เพลงที่ไม่มีใครที่ร้องไม่ได้อย่าง Girls ถูกบรรเลงขึ้นพร้อมกับบรรยากาศที่ทุกคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อบันทึกเพลงนี้ไว้ (ตรงนี้แอบหน่อย ๆ เพราะเรามองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ ฮ่าา) เสียงในฮอลตอนนี้มันดังมาก ๆ วงเว้นช่วงให้แฟนเพลงได้ร้องตามกันอย่างแฮปปี้
และในที่สุดก็ถึงเวลากับเพลงที่เรารอคอยจะฟังสด ๆ มาเป็นเวลานานอย่าง I Always Wanna Die (Sometimes) จู่ ๆ น้ำตาของเราก็คลออาบแก้มทั้งสองข้างซะอย่างนั้น เข้าใจแล้วว่าเพลงนี้ทำให้คนรู้สึกอยากตายจริง ๆ แถมพอมาได้ฟังสดๆ องค์ประกอบของเพลงนี้มันพาเราดิ่งไปเลย เรียกได้ว่า วงจะเล่นเพลงสนุกก็สนุกสุด ๆ เพลงเศร้าก็ดิ่งลึกกันไปเลย โดยหลังจากที่เพลงโปรดของเราจบลง ตอนนี้คอนเสิร์ตก็ดำเนินเล่นกันมาถึง 21 เพลง ซึ่งจะถึงช่วงเวลาท้ายโชว์แล้วแหละ
Intro The 1975 ดังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับภาพประกอบที่พูดถึงสังคมและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกของเราอยู่ขณะนี้ เรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงสงครามต่าง ๆ จังหวะนี้เองสิ่งที่แย่งซีนที่สุดในอินโทรนี้ก็คือวิชวลบนเวทีที่แสดงภาพพร้อมกับ โลโก้ Shutterstock เว็บซื้อขายภาพออกมาให้เราได้ยืนยิ้มให้กับความกวนของวงดนตรีวงนี้ และหลังจากที่อินโทรนี้จบลงแน่นอนพาร์ตของเพลงฮิตทั้งหมดที่วง The 1975 มีได้ถูกบรรเลงขึ้น Love It If We Made It อีกหนึ่งเพลงโปรดของเราถูกเล่นขึ้น เราร้องตามได้แทบทุกท่อนก่อนที่จะสนุกกันต่อไปกับเพลง Chocolate และอีกหนึ่งเพลงโปรดที่สุดในดวงใจ(โปรดอีกและ)ของเราอย่าง Sex ที่เล่นสดสนุกเอามาก ๆ ทุกคนรอบตัวของเรากระโดดพร้อมกับร้องเพลงนี้กันอย่างสุดเสียง พร้อมกับวลีเด็ดบนวิชวลที่ขึ้นคำว่า ‘Rock and Roll is Dead, God Bless’ สร้างเสียงฮือฮาของแฟนเพลงทุกคนได้เป็นอย่างดี ก่อนที่วงจะบอกว่าเพลงต่อไปคือเพลงสุดท้ายแล้ว อินโทรของเพลง The Sound ขึ้น ทีนี้แหละไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้วสำหรับบรรยากาศที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ทุกคนรวมถึงตัวเราใช้พลังเฮือกสุดท้ายในการกระโดดไปกับเพลงนี้ไปจนเข่าแทบพัง ยิ่งท่อนนับถอยหลังไปพร้อม ๆ กันมันทรงพลังเอามาก ๆ ปิดฉากคอนเสิร์ตนี้ที่เรารอคอยมาเกือบปีได้อย่างอิ่มเอมใจสุด ๆ
ท้ายที่สุดแล้วคอนเสิร์ตนี้อาจจะไม่ได้มีลูกเล่นของโชว์มากมาย แต่สิ่งที่ทรงพลังเอามาก ๆ นั่นคือ การแสดงของวงที่ทำให้เราอยู่กับโชว์ยาวเกือบ 2 ชั่วโมงได้อย่างมีความสุข เราดีใจมากๆ ที่ได้ดูคอนเสิร์ตนี้และเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในฮอลวันนั้นก็เช่นกัน และหวังว่าในอนาคตภายภาคหน้านี้เราคงจะได้ดู The 1975 อีกครั้งที่ประเทศไทย ดีใจที่ได้ดูพวกคุณนะ