คุยกับ บ้านข้าง ๆ T-047 ถึงความมหัศจรรย์ของความธรรมดาผ่านดนตรีโฟล์ก
- Writer: Peerapong Kaewthae
- Photographer: Chavit Mayot
Ordinary Things That Stay Forever คือชื่ออัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของ t_047 หรือ บ้านข้าง ๆ ที่มาจาก Instagram ผู้เฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัวผ่านบ้านหลังหนึ่งจากหน้าต่างห้องตัวเอง กับแคปชันที่เหมือนการตกผลึกผ่านทั้งประสบการณ์และการเรียนรู้การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความคิดของเด็กหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ซึ่งบอกเล่าความธรรมดาสัจธรรมเหล่านั้นผ่านเพลงฮิตที่หลายคนตราตรึงทั้ง จักรวาลสมมติ, สีของฟ้า และ เพียงฤดู
วันนี้เราอยู่กับ ตูน—ณัฐธีร์ อัครพลธนรักษ์ ผู้เรียบเรียงเรื่องราวธรรมดาในชีวิตให้กลายเป็นเพลงโฟล์กติดหู ปลอบประโลมวัยรุ่นในยุคนี้ที่พยายามตามหาความหมายของความรักและชีวิต เราอาจรู้จักเรื่องราวของเขาผ่านเพลงไปแล้ว ลองมาทำความรู้จักตัวตนและแนวคิดของเขาให้มากขึ้น รวมถึงความธรรมดาที่เขาอยากให้ทุกคนเข้าใจ ว่าซักวันทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป แต่เรายังมองหาความสุขจากทุกสิ่งในชีวิตได้
จุดเริ่มต้นของ บ้านข้าง ๆ
เริ่มจากการที่มี Instagram ส่วนตัวแล้วอยากถ่ายอะไรที่ไม่ใช่ชีวิตเราบ้าง ก็เลยเปิดหน้าต่างไปหาอะไรรอบตัวถ่าย ก็เจอบ้านหลังนี้ตัดกับสีของท้องฟ้า รู้สึกว่าสวยดีก็เลยเริ่มถ่ายหนึ่งภาพ พอมีภาพแรกก็มีภาพต่อไป ก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของมุมมุมเดิมก็รู้สึกว่ามีเสน่ห์บางอย่าง เลยทำมาเรื่อย ๆ จนเพื่อนรอบตัวเริ่มบ่นว่ามึงถ่ายอะไร คงไม่รบกวน news feed เพื่อนละกัน เลยไปเปิด ig แยก เหมือนทำเป็นแกเลอรีของตัวเอง บันทึกภาพท้องฟ้าแต่ละวัน ก็เพลิน ๆ ดี
แล้วอะไรทำให้เริ่มทำดนตรี
ตอนแรกที่ทำ บ้านข้าง ๆ เรารู้สึกว่ามันคือการสื่อสารกับตัวเอง การมีภาพมีแคปชั่นมันเหมือนเป็นไดอารี่ของเรา พอวันหนึ่งเริ่มมีคนเริ่มมา follow มันก็รู้สึกว่าเริ่มเป็นการสื่อสารความคิดเราออกไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังสื่อสารกับตัวเองอยู่ แค่เหมือนบอกคนอื่นว่าวันนี้เรามีความคิดอะไร แล้วแคปชันมันมีข้อจำกัดคือมันไม่มีน้ำเสียง ข้อความมันไม่ได้ทำให้คนอยู่กับเราได้ในเมสเสจยาว ๆ แล้วรู้สึกว่าเรามีบางเรื่องที่อยากสื่อสารนะ ที่เป็นความคิดของเรา เลยรู้สึกว่าเพลงเป็นช่องทางที่ทำให้เราสามารถสื่อสารความคิดออกไปได้ภายใต้คอนเซ็ปเดิมของ บ้านข้าง ๆ
ทำไมเลือกที่จะทำเป็นเพลงโฟล์ก
มันเป็นเรื่องการหยิบจับอุปกรณ์ที่มันง่าย ตอนที่ทำตอนแรกเราไม่ได้ mind เรื่องแนวเพลงหรืออะไรเลย เราแค่อยากจะเล่าเมสเสจนี้ออกไป ให้คนสามารถรับเมสเสจนี้ด้วยความสุนทรีย์ได้ แล้วในห้องก็มีแค่ไมค์ condenser ตัวหนึ่ง กีตาร์โปร่งกับโปรแกรม Garage Band ที่เพิ่งมาหัดใช้ แล้วรู้สึกว่า โอเค เราไม่ได้มีพื้นฐานทางดนตรีมาก แต่เราตีคอร์ดได้ ร้องเพลงถูกคีย์ ก็เลยรู้สึกว่า อะ ทำ อัดเท่าที่อัดได้ แต่เราเชื่อว่าคนที่ฟังจะได้รับเมสเสจ แล้วในพาร์ตของดนตรีมันเรียบง่ายมาก มันทำให้เมสเสจที่เราตั้งใจจะสื่อสารมันออกมาได้ชัดที่สุด เหมือนหัวใจของโฟล์กมันคือการเล่าเรื่อง เลยทำแบบนี้ต่อมาเรื่อย ๆ
การทำเพลงโฟล์กให้มีเอกลักษณ์หรือแตกต่างจากคนอื่นมันยากไหม ตอนนี้ก็มีวงโฟล์กเกิดขึ้นมามากมาย
เราว่าสิ่งที่ทำให้โฟล์กแตกต่างคือน้ำเสียงและเรื่องราวที่เล่า โฟล์กมันทำให้รู้ว่าศิลปินคิดอะไรได้ น้ำเสียงเขาเป็นยังไง เวลาเราฟัง จีน มหาสมุทร ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจชีวิตประมาณหนึ่ง อย่างเพลง แก่ลงทุกวัน มันทำให้เราเห็นภาพว่าเขาเป็นคนยังไง การทำโฟล์กมันคือการเล่าเรื่องอะไรให้คนเห็นภาพได้ อย่าง เขียนไข และ วานิช แค่ฟังเพลงก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่ละเมียดละไมมากนะ อินกับเรื่องพวกนี้อะไรเงี้ย
แล้วเอกลักษณ์ของ บ้านข้าง ๆ คืออะไร
ด้วยความที่เราไม่ได้เรียนดนตรีมา ไม่ใช่คนฟังเพลงเยอะ จริงก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องเอกลักษณ์หรืออะไรคือเราอยากทำให้มันธรรมดา โอเคเราหาจุดขายตัวเราไม่เจอ (หัวเราะ) ไม่รู้จะทำยังไงให้มันเด่นเราก็ธรรมดาไปดิ ตีคอร์ด ร้องเพลง ใส่โซโล่อะไรเข้าไปเอง ธรรมดามาก คนจะไม่ได้พูดว่า บ้านข้าง ๆ เพลงมันซาวด์สุดยอดอะไรเงี้ย เพราะเราขายความธรรมดา เป็นสิ่งที่เรายึดทั้งอัลบั้มแล้วเอามาเป็นชื่ออัลบั้มด้วย เรารู้สึกว่าอะไรที่มันธรรมดาอะมันสามารถอยู่ได้ตลอดไป อะไรที่มันมาแล้วแหวก เป็นเทรนด์เป็นอะไร สุดท้ายมันก็จะมีอะไรมากลบ เรารู้สึกว่าถ้าทำอะไรให้มันธรรมดาไม่ต้องตามเทรนด์ เดี๋ยวมันก็อยู่ได้เรื่อย ๆ คิดว่าความธรรมดาคือจุดเด่นของมัน (FJZ: แต่โชว์ก็ไม่ธรรมดานะ ทั้งกีตาร์ไฟฟ้าที่ไม่เห็นวงโฟล์กวงไหนใช้หรือกลองอะไรงี้) การเอากีตาร์ไฟฟ้าเข้ามาเราไม่ได้คิดเรื่องซาวด์ที่มันแปลกใหม่ ก็ยังคงเดิมคืออยากให้เมสเสจมันออก เราจะเล่าเรื่องฤดูแต่ว่าถ้ามีแค่กีตาร์โปร่งตัวเดียวมันจะได้กลิ่นของฤดูมั้ย ได้กลิ่นของความเปลี่ยนแปลงมั้ย รู้สึกมันยังไม่พอ เสียงกีตาร์ไฟฟ้ามันสามารถสร้างแอมเบียนต์ได้ แอมเบียนต์ของความอบอุ่นมันช่วยให้เมสเสจเราชัดมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดก็เพิ่งออกแบบโชว์ใหม่ ทำไมถึงเพิ่มไวโอลินเข้ามา
ไวโอลินมันคือความละมุนอะ รู้สึกว่าไวโอลินคือเครื่องดนตรีที่เล่าเรื่องเวลาได้ดีอะ มันช่วยแบ่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เราจะคุ้นชินกับเสียงไวโอลินในเพลงเก่า ๆ ยุควินเทจอะไรยังเงี่ย พอมันมาปุ๊บมันมีกลิ่นของอดีตเข้ามา เพราะเพลงส่วนใหญ่ของเราพูดถึงความทรงจำ ไวโอลินเลยตอบโจทย์ในการเล่าเรื่องความทรงจำได้ดี เราจะ mind เรื่องบรรยากาศในเพลงกับเมสเสจมากกว่าเรื่องซาวด์ อาจเพราะเรียนเกี่ยวกับการสื่อสารมาด้วย เราเลยรู้สึกว่าพลังของเมสเสจพลังของมิกซ์ไอเดียมันทำหน้าที่ได้ดีกว่าคุณภาพของเพลง คุณภาพมันอาจช่วยในเรื่องความสุนทรีย์หรือการนำไปใช้งาน แต่เรายังอยากเน้นเรื่องข้อความให้ออกชัดที่สุด (FJZ: เหมือนบอกกลาย ๆ ว่าให้ไปดูเล่นสด) จริง ๆ ก็ได้หมดนะ คือเรารู้สึกว่าเพลงเรามันมีความดิบมาก ๆ เลยอะ หลายเพลงมันอัดในห้อง จบงานกันในห้อง ซึ่งไอ้ความดิบตรงเนี้ยมันทำให้เราเชื่อมต่อกันได้ เราว่ามันต่างจากการอัดหรือทำอะไรให้มันยิ่งใหญ่แต่คนฟังเพลงเราคือมนุษย์ธรรมดา ถ้าเราทำให้มันง่ายมันยิ่งใกล้กับคน เราเป็นเด็กที่อัดในห้อง คนฟังก็เป็นคนธรรมดาที่นั่งอยู่ในห้องมันเลยเชื่อมต่อกันได้ นี่คือเหตุผลที่ไม่เอาเพลง บ้านข้าง ๆ ไปเข้าห้องอัดหรืออะไร อยากให้มันหยุดอยู่แค่นี้
หลาย ๆ เพลงเราก็แต่งมาจากประสบการณ์ส่วนตัว
เราเป็นคนชอบจับโน่นจับนี่มาโยงกับสิ่งรอบตัว
เพลงไหนที่เราใช้ความรู้สึกหรือใช้เวลากับมันมากที่สุด
น่าจะ จักรวาลสมมติ แต่มันเกิดขึ้นเร็วสุดเลยนะ ใช้เวลาแต่งไม่เกินครึ่งชั่วโมง มันคือการหาสิ่งที่ค้างคาใจไม่เจอว่าทุกข์อะไรอยู่ ตอนนี้รู้สึกอะไร เลยหยิบกีตาร์มานั่งฮัม ๆ แล้วจู่ ๆ กลายเป็นเนื้อเพลงที่อะไรไม่รู้อะ คืออัดใส่มือถือไว้ก่อน เล่นไปเรื่อย ๆ ฮัมไปเรื่อย ๆ ฮัมไปจดไป ตอนเช้าค่อยกลับมาฟังแล้วถึงรู้ว่าจริง ๆ ตัวเราคิดเรื่องอะไรอยู่ เรากำลังตามหาอะไรอยู่ เพราะมันง่ายด้วยแหละ ตอนนั้นก็เมานิดนึง เมาขนาดที่ว่ามือจับได้แค่สองคอร์ด (หัวเราะ) จับไหวแค่คอร์ด E กับ A แล้วคุยกับตัวเองไป ‘สิ่งใดคือความจริง เราต่างถูกทิ้งให้เป็นแค่เพียงตะกอนของเวลา’ แล้วตอนเช้าเราค่อยมานั่งคิดว่าจริง ๆ มันเป็นเพราะแบบนี้ ๆ ค่อยเอาเมสเสจตรงนั้นมาย่อยว่าเราจะพูดอะไร
แล้วมีเพลงไหนที่รู้สึก love-hate ไหม เราอาจชอบเพลงของเราทุกเพลงอยู่แล้ว แต่มีเพลงไหนที่แสลงใจที่จะเอามาเล่นไหม
น่าจะเป็นเพลง จันทร์ คือเราแต่งมันด้วยความรู้สึกรัก แต่งด้วยความรู้สึกคิดถึงคน ๆ หนึ่งที่อยู่ไกลกัน แล้วพอความรู้สึกที่เคยแต่งเพลงนี้มันหายไปอะ การจะเอาเพลงนี้กลับมาร้องด้วยความรู้สึกเดิมมันทำไม่ได้ ก็ร้องไปอะ แต่ไม่ได้คิดถึงใคร ไม่ได้มีอินเนอร์กับมันมากเลยเขิน ๆ นิดนึงเวลาร้อง ‘เป็นดวงตะวันเมื่อยามเธอตื่น’ (หัวเราะ) แต่ก็เล่นบ่อยนะ ถ้าบางงานเวลามันไม่ได้ เพลงนี้ก็จะเป็นเพลงแรก ๆ ที่โดนตัด เราจะสนุกบนเวทีก็ต่อเมื่อเราอินกับเรื่องที่เราเล่าและทุกเพลงเรายังอินกับมันอยู่ ทุกเพลงเราก็ผูกกับคนนะ สีของฟ้า ก็มีคนมาผูก แต่พอเพลงมันมีสัจธรรมบางอย่างที่ต่อให้ตอนนี้เอามาร้องมันก็ยังเป็นอย่างนั้น แต่เพลง จันทร์ มันคือการพรรณนาถึงความรู้สึกของคนมันเลยไปต่อยาก
ตกลงบ้านหลังที่ถ่ายเป็นของใคร
ก็บอกไม่ได้ว่ามันเป็นบ้านใครเพราะเรารู้สึกว่ามีคนหลายคนอยู่ในบ้านหลังนั้น บางครั้งก็เห็นเด็ก บ้างครั้งก็เห็นผู้ใหญ่แต่เราไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กัน แถวบ้านมันคือตึกแถวอะ ต่างคนต่างทำงาน (FJZ: ซึ่งก็ไม่รู้ว่านั่นคือคนจริง ๆ รึเปล่า) ใช่ อาจจะไม่ใช่คนก็ได้ (หัวเราะ)
แล้วไม่กลัวโดนฟ้องหรอ
เราก็ไม่รู้ว่ามันผิดกฎหมายรึเปล่า มันไม่เคยมีสิ่งนี้เกิดขึ้นบนโลก ไม่เคยมีคดีความแบบนี้ มันคงตลกอะถ้าวันหนึ่งหน้าเฟซมีคนแชร์หนุ่มโดนฟ้องเพราะแอบถ่ายบ้าน เราไม่ได้แอบถ่ายเสื้อในของใช้ส่วนตัวเขา เราถ่ายบ้านอะ (หัวเราะ)
มีรูปที่ชอบที่สุดไหม
รูปที่มีสายรุ้ง ด้วยเหตุการณ์ด้วยอะไรที่เกิดขึ้นตอนนั้นทำให้จำภาพนี้ได้ เป็นวันที่กำลังรอผล admission ประกาศ กำลังจะเข้าสู่มหาลัย แล้ววันนั้นเครียดมากกลัวตัวเองจะไม่ได้ที่นี่เพราะคาดหวังไว้เยอะ แล้วช่วงก่อนผลประกาศเปิดหน้าต่างออกไปหลังฝนตก ก็เห็นสายรุ้งขึ้นข้างบ้านข้าง ๆ แล้วรู้สึกว่ามันมีการสื่อสารอะไรบางอย่างจากท้องฟ้ามาสู่เรา เชี่ย โคตรได้รับกำลังใจจากสิ่งนี้เลยอะ ทำไมมึงรู้วะว่ากูรู้สึกอะไรตอนนี้ ทำสิ่งเหล่านี้ให้เราเห็นแล้วเรารู้สึกดีขึ้นจริง ๆ แล้วผลออกมาก็ได้เรียนที่นี่ รู้สึกวันนั้นมันสวยงามมาก เราชอบรูปนั้นมาก
แล้วคิดว่าท้องฟ้าตอนไหนสวยที่สุด
คนมักจะบอกว่าช่วง magic hour (ประมาณ 5 โมงเย็น) คือช่วงที่ท้องฟ้าสวยที่สุด แต่เราชอบหลังจากนั้นนิดนึงอะ มันจะมีช่วงหนึ่งที่ท้องฟ้าเป็นสีชมพูเป็นเส้นเป็นอะไรแบบนี้ สวยอะ แต่หลังจากนั้นช่วงที่มันกำลังจะหายไปอะ มันทำให้คิดอะไรได้มากกว่า ช่วงที่ความสวยงามกำลังจะหายไป เรารู้สึกว่าชีวิตมันก็แค่เนี้ย มันสวยงามแล้วจบไป เลยจะชอบนั่งมองท้องฟ้าตอนนั้น ช่วงที่มันสวยเราก็ถ่ายแหละ แต่หลังจากนั้นเราก็เก็บโทรศัพท์แล้วนั่งดูมันค่อย ๆ หายไป มันกึ่งสุขกึ่งเศร้า เลยชอบ
เห็นบอกว่าจำแคปชันที่เคยตั้งได้ทุกอัน มีอันไหนที่เรายังหยิบมาใช้เตือนตัวเองได้ถึงทุกวันนี้
มีแคปชันหนึ่งที่ชอบมากคือ ‘ถ้าเชื่อว่าความรักสวยงาม ก็ปล่อยให้ความรักเกิดขึ้นตามธรรมชาติ’ อาจเป็นเพราะช่วงวัยที่ทำให้เรากลับมาอินกับความรักด้วย ช่วงหนึ่งเราพยายามจะทำให้ความรักมันเกิดขึ้น หรือพยายามทำให้ความรักมันดีอะ ทั้งที่สิ่งที่ดีที่สุดคือปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ อย่างเราก็ชอบพูดว่าธรรมชาติมันดีเนอะอะไรเงี้ย พอเอามาใช้มันได้มากกว่าความรักอะ มันเป็นทั้งเรื่องการงานหรือชีวิต เราพยายามปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติที่สุด ณ ตอนนี้ ทั้งตัวเราด้วย พยายามไม่ฝืนว่าตัวเองต้องเป็นอะไร ต้องทำตัวยังไง ให้มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ใช้คำว่าไม่คาดหวัง
เรารู้สึกว่าก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต้องมีความคาดหวัง ก็คาดหวังไปดิ คนมักบอกว่าอย่าทำอย่างโน้นอย่าทำอย่างนี้ซึ่งบางทีมันฝืนธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ ไม่ได้บอกว่าการคาดหวังมันผิด อย่างน้อยการคาดหวังมันยังดีกว่าไม่หวังอะไรเลย การคาดหวังมันยังทำให้เราลงมือทำอะไรบางอย่าง ถ้าไม่คาดหวังมันจะทำให้เราไม่ทำอะไรเลย มันปล่อยเกินไป เลยรู้สึกว่าเราไม่ต้องเป็นมนุษย์ที่สมบุรณ์แบบแต่เป็นมนุษย์ที่เข้าใจในชีวิต ความเป็นธรรมชาติ ก็จะมีหลายเพจบออกว่าอกหักไม่ต้องเศร้าโน่นนี่ ก็เศร้าไปดิ คนมันถูกดีไซน์มาให้เศร้าอะ แต่เศร้าแล้วเราทำยังไงกับมันต่อ เป็นเรื่องที่ชีวิตมันต้องเจออยู่แล้ว
ขอคำแนะนำข้อหนึ่งได้ไหม สำหรับคนที่กำลังมีความรักตอนนี้
เราอยากให้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองจริง ๆ และพยายามเข้าใจความรักในแบบของตัวเอง มันจะมีหลายคนที่พยายามนิยามความรักในเพจหลายเพจที่บอกว่าความรักเป็นอย่างโน้นความรักเป็นอย่างนี้ ความจริงความรักมันแล้วแต่คน แล้วแต่คู่ มันมีตื้นลึกหนาบางที่ต่างกัน เราถึงไม่ให้คำแนะนำความรักกับใคร เพราะเราไม่รู้ว่าจริง ๆ เบื้องหน้าเบื้องหลังของสิ่งที่คุณเจอมันเป็นยังไง ความสัมพันธ์มันมีหลายรูปแบบ แค่ให้คุณเข้าใจว่าตอนนี้คุณอยู่กับเขาด้วยความรู้สึกอะไร และคุณต้องการอะไร อย่างบางคนมาบอกว่าพี่หนูรักเขาแต่เขามีแฟนแล้ว หนูจะเลิกรักเขา อ้าว หนูไม่ได้รักเขาดิ หนูอะอยากได้เขามาอยู่กับตัวเอง ซึ่งมันใช่ความรักรึเปล่าอยากให้แน่ใจตรงนี้ อันนี้ไม่ใช่คำนิยามนะ แค่เราบอกว่าความรักคือการอยากเห็นคน ๆ หนึ่งมีความสุขโดยที่ตัวเราก็ต้องมีความสุขด้วย ถ้าเกิดว่าพยายามทำให้เขาสุขแล้วเราทุกข์ต้องถามตัวเองให้แน่ใจว่ามันใช่ความรักรึเปล่า แค่ให้เข้าใจความรักของตัวเองพอ
เราทำอีกวงหนึ่งก็คือ YERM ดนตรีก็ต่างกัน การทำงานมันแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
เพลงส่วนมากของทั้ง YERM และ t_047 คือเริ่มจากตัวเรา เดโมของเราแล้วส่งไปให้เพื่อน ถ้าถามว่ามันต่างกันยังไงคงเป็นความคิดตอนที่เขียนเพลงมากกว่า เพราะว่า YERM คือพยายามขุดทุกอย่างในจิตใจออกมาพูดโดยไม่สนว่าจะต้องสวยงามหรือจะต้องอะไร ถ้ามันดาร์กก็ปล่อยให้มันดาร์ก แต่ของ บ้านข้าง ๆ เราจะพยายามหาความสวยงามในชีวิตให้เจอ มันจะแตกต่างตรงนี้ เอาจริงของ YERM ก็ไม่ได้ดีไซน์เหมือนกันว่าซาวด์จะต้องเป็นยังไงเลยอะ ก็ยังเป็นเรื่องเมสเสจอยู่ว่าดนตรีแบบไหนมันเล่าได้ดีที่สุดแล้วก็ทำ สมมติ YERM มีเมสเสจเบา ๆ บ้างอาจจะเป็นโฟล์กก็ได้
แล้วเรามีแรงกดดันไหมเวลาทำเพลงของ t_047
ไม่มีเลยอะ แค่รู้สึกว่าต้องทำให้มันเป็นเรื่องของเราที่สุด ถ้าเราพยายามจะไปทำยังไงให้มันโดนคน ทำยังไงให้คนอินมันจะเป็นอีกทางหนึ่งเลยอะที่เราทำไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือฉันเจอเรื่องนี้มา เจอข้อความนี้ คิดข้อความนี้ได้ แล้วฉันรู้สึกว่ามันดีนะถ้าทุกคนได้รู้ข้อความนี้ มันเลยไม่ใช่ความกดดัน มันคือการคิดว่าจะทำยังไงให้ข้อความนี้เข้าถึงคุณมากที่สุด จะบอกยังไงดีว่าทุกสิ่งมันไม่แน่นอน มันเหมือนฤดู ข้อความนี้เล่ายังไง ข้อความไหนที่คุณจะเข้าใจมัน
พอเพลงเข้าถึงคนมากขึ้น ความคาดหวังก็ตามมา แล้วเรารับมือกับมันยังไง
เป็นสิ่งที่กลัวเหมือนกันเพราะเราค่อนข้างรักในชีวิตส่วนตัวเรา เราคงไม่ชอบถ้าขึ้น BTS แล้วคนขอถ่ายรูปขอลายเซ็นจนเราเสียความเป็นส่วนตัวไป เรารู้สึกว่าการที่เราใช้รูปบ้านเป็นตัวตนของมันอะ เหมือนรูปบ้านเป็นศิลปินช่วยป้องกันเราจากอะไรแบบนี้ ถ้าเจอกันตามงานที่ไปเล่นแล้วมาขอถ่ายรูปเราโอเคมาก มันถูกบริบท มันยังไม่มีเรื่องอะไรเข้ามาให้เราต้องรู้สึกรับมือต้องอะไรมาก เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดังอะไรขนาดนั้น ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่วนเรื่องเพลงก็ปล่อยให้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ได้แบบคนจะต้องชอบเหมือนอัลบั้มที่แล้ว ก็ปล่อยไป แค่รู้สึกฉันจะเล่าเรื่องเนี่ย คนอาจไม่ได้ฟังเป็นล้าน แค่หมื่นคนหรือแสนคนได้เมสเสจตรงนี้ไปก็ดีใจ
เพราะจบโฆษณามาด้วยรึเปล่า เลยสามารถสื่อสารกับทุกคนได้ถูกต้อง
เราคิดทฤษฎีขึ้นมาเองนะ ไม่รู้มีอยู่แล้วรึเปล่าแต่ในห้องเรียนไม่เคยสอน คือการทำ บ้านข้าง ๆ มันคือการแบรนด์ดิ้งโดยการไม่แบรนด์ดิ้ง เราก็มีความตั้งใจทำให้มันกลายเป็นอะไรในระดับหนึ่ง สิ่งที่เราตั้งใจทำที่สุดคือให้มันเป็นคนปกติที่สุด เฮ้ย ฉันไม่ได้สูงส่งมาจากไหน ไม่ใช่คนเข้าใจโลกเห็นปรัชญา ฉันเป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ถ่ายรูปบ้านข้าง ๆ และก็ทำเพลง รู้สึกว่าไม่ต้องแบรนดิ้งอะไรมาก ยิ่งความที่เราธรรมดาด้วย คนเลยยิ่งเข้าถึงง่าย ตลอดเวลาที่เรียนโฆษณามาคือการหาไอเดียที่แปลกใหม่ ความว้าว สุดท้ายสิ่งที่คนสามารถเข้าถึงได้มากที่สุดก็คือชีวิตธรรมดาทั่วไปของเขา นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้จากพี่ต่อ ธนญชัย ขณะที่คนพยายามทำโฆษณาสวย โฆษณาหรู พี่ต่อเอามนุษย์ธรรมดามาเล่นเพราะเขาขายมนุษย์ธรรมดา เขาทำโฆษณาขายชาวบ้าน หนังก็ต้องชาวบ้านโดยที่เขาไม่ต้องสนใจที่คนพูดว่า หนังมันเถื่อน มันอะไรเงี้ย สุดท้ายเมสเสจมันออกไปถึงชาวบ้านจริง ๆ ก็แค่นั้นเลย รู้สึกว่าไม่ต้องเรียนก็ได้อะ สี่ปี (หัวเราะ) เหมือนเรียนให้เขาใจว่าโลกเขาทำกันยังไง
สุดท้ายเราก็เชื่อว่าการจะสื่อสารกับคนได้ดีที่สุดคือเป็นคน ไม่ใช่เป็นแบรนด์ ความจริงใจ อย่างพวกแคปชันทุกวันนี้ไม่ได้เขียนเพื่อให้คนแชร์หรืออะไร เรารู้สึกแค่ไหนก็เขียนแค่นั้น ด้วยสกิลที่มีทำให้คนแชร์เป็นหมื่นทำได้มั้ย ทำได้ เราเชื่อว่าเรามีฝีมือประมาณหนึ่ง แต่ถ้าวันหนึ่งเราทำแบบนั้นเหมือนเราไม่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราทำมาตลอดห้าหกปี มันคืออีโก้นิดนึง มันคือความรักในงานของฉันแล้วฉันจะไม่ทำลายมันด้วยยอดแชร์หรือความต้องการดัง มันก็มีข้อดีของมัน คนที่อ่านก็ไม่รู้สึกว่าเราพยายามที่จะเขียนอย่างนี้เหลือเกิน วันหนึ่งเราแค่รู้สึกว่าอยู่กับคนนี้แล้วมีความสุขจัง มันก็เลยเป็นแคปชันว่า ‘เราชอบที่มีคุณในชีวิตนะ’ เป็นประโยคธรรมดาที่เราสามารถพูดกับคน ๆ หนึ่งได้ในชีวิตจริง
มีเคล็ดลับอะไรไหมในการทำคอนเทนต์ให้กับวงดนตรีของตัวเอง
เราจะชอบเอาเพลงตัวเองมาขยาย เล่าเรื่อง บางทีเพลงมันสี่นาทีมันไม่สามารถเล่าเบื้องหลังทั้งหมดได้ ชอบเอามาเล่าว่าตอนนั้นฉันไปเจออะไรมา เชิงเล่าเรื่องตัวเอง ส่วนมากคอนเทนต์ก็ประมาณนี้ ที่มาของ จักรวาลสมมติ ว่ามาได้ยังไง คนที่ตามเพลงก็มีทั้งคนอายุใกล้ ๆ กันแล้วก็มีเด็ก ซึ่งบางทีก็มีความกังวลนิดนึงว่าเด็กฟังแล้วจะตีความผิดรึเปล่า ฟัง เพียงฤดู แล้วไม่เอาอะไรเลย แม่งเป็นเพียงฤดู ก็กลัวเด็กคิดผิดแล้วพยายามจะย่อยให้ ยิ่งอะไรที่มันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดมันก็พูดแล้วคนก็น่าจะสนใจ มากกว่าเรื่องดาวพลูตงพลูโต ไม่ได้ว่าอะไรใครนะ (หัวเราะ) มันก็มีคนชอบแหละเรื่องดาวพลูโต บางทีการจากไปทำให้รู้ว่ามีคุณค่ามากกว่าการอยู่ เรารู้สึกไม่อิน ดาวพลูโตไม่ได้มีความสำคัญใด ๆ กับชีวิตฉัน คนอาจจะแชร์เอาไลฟ์สไตล์แชร์ให้รู้ว่าฉันสนใจดวงดาว ถามว่ามันอินจริง ๆ หรอ รู้สึกว่าดาวพลูโตมีชีวิตจริง ๆ หรอ ไม่มี (หัวเราะ) มันเป็นดาวเคราะห์ เลยพยายามเลี่ยงแคปชันแบบนั้นที่มันไม่ใช่ชีวิตเรา
ชื่ออัลบั้มของตัวเอง Ordinary Things That Stay Forever แล้วคิดว่า ordinary thing ที่ว่ามันคืออะไร
‘ความธรรมดา’ ประโยคนี้เหมือนได้จากคนใกล้ตัวมั้ง เรากับแฟนเราอะจะอยู่ด้วยกันแบบธรรมดามาก ไม่ได้ทำอะไรหวือหวา ถ้าเซอร์ไพรส์กันทุกวันเงี้ย วันหนึ่งมันก็จะกลายเป็นความธรรมดาอยู่ดี เราใช้ชีวิตกันแบบธรรมดามั้ย ไม่ต้องจ๊ะจ๋าอะไรกันมาก เราทำให้มันอยู่ไปเรื่อย ๆ อะ เป็นสิ่งที่บอกกับชีวิตว่าไม่ต้องทำอะไรให้มันตู้มต้ามเกินไป (หัวเราะ) แล้วเราจะกลับมาเป็นคนธรรมดายาก ทุกเพลงในอัลบั้มนี้คือเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิต ไม่ได้ดัดจริตให้มันเป็นเรื่องปรัชญาจ๋า ถ้าอนาคตวันหนึ่งคุณกลับมาฟังมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่ดี
แมวที่เลี้ยงก็ชื่อ แมตตี้ ตามนักร้องนำ The 1975 แล้วตอนนี้ยังชอบวงนี้อยู่ไหม ล่าสุดเขาเปลี่ยนแนวเพลงไปแล้ว
(หัวเราะ) ยังชอบนะ เอาจริงเราไม่ได้ยึดติดกับแนวเพลงไง ไม่บอกว่าคุณต้องทำเพลงอย่าง Chocolate หรือ Robbers ตลอดไป โอเค อัลบั้มหนึ่งเราชอบ Chocolate เพราะเพลงมันเพราะ ความหมายดี Robbers เพลงเพราะ อัลบั้มสองออกมาซาวด์ก็แหวกไปอีกแนวหนึ่ง ถามว่า A Change of Heart เพราะมั้ย เพราะ Love Me ชอบมั้ย ชอบ ชอบทุกเพลงเลย ไม่ได้ติดอะไร อัลบั้มใหม่ก็เป็นอีกแนวหนึ่ง ฟังแล้วก็เพราะ แค่นั้นเลย
อัลบั้มต่อไปของ t_047 ก็อาจไม่เหมือนเดิม
แล้วแต่ว่าเจอเรื่องอะไร ถ้าเจอเรื่องที่มันต้องใช้พลังในการเล่าสูง มันอาจจะมีอุปกรณ์อะไรมาเพิ่ม แล้วแต่เลย คุยกับเพื่อนเล่น ๆ ว่าอาจจะมีวงปี่พาทย์มั้ย (หัวเราะ) อยากจะเล่าเรื่องอะไรเงี้ย แต่จริง ๆ ยังไม่ได้เริ่มคิดเลยอะ เราไม่อยากจะวางแพลน คือทำยังไงก็ได้ให้อัลบั้มสองออกมาวิธีการเหมือนอัลบั้มแรก กูเชื่อในเมสเสจนี้ เชื่อในข้อความนี้ แล้วกูจะถ่ายทอดมันไปยังไง แล้วสิ่งที่จะต้องตัดออกไปเลยคือความคาดหวังของคนอื่น ไม่ว่ายังไงก็จะไม่รับมันเข้ามา ไม่คิดอะไรพวกนั้น แล้วทำเพลงในแบบที่พวกเราอยากจะเล่า
แล้วก้าวต่อไปของ t_047
ก้าวไหนอะ มีหลายก้าวมากเลย (FJZ: ก้าวต่อไปเนี่ยหลังอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกเพิ่งปล่อยไป) อยากจะทำโชว์ให้มันพัฒนาไปเรื่อย ๆ ตอนนี้เรามีวิชวลเข้ามา มีไวโอลิน อยากให้คนที่มาได้อะไรมากกว่าเล่นดีจัง เล่นเพราะจังแล้วก็กลับไป เรารู้สึกว่าวงดนตรีมันทำได้มากกว่านั้นอะ เหมือนตอนที่เราดูวง ภูมิจิต อะ เราได้ชุดความคิดอะไรบางอย่างกลับไปวะ แม้กระทั่งวงร็อก วงดังวงแมส ๆ เราก็เหมือนได้อะไรนะ เราอยากเป็น Bodyslam ของวงโฟล์กอะ เด็กตัวเล็ก ๆ มานั่งฟังแล้ว แล้ว หูย ทำไมกูไม่คิดถึงจุดนี้วะ ถ้าฟัง บ้านข้าง ๆ แล้วมองเห็นสิ่งสวยงามรอบตัว ฉันอยากมองท้องฟ้า อยากถ่ายรูปมันเก็บไว้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วนะ ตอนนี้ก็ทำได้ประมาณหนึ่ง แล้วสิ่งที่ตั้งใจมากที่สุดก็คือ เราจะไม่คิดเรื่องความโด่งดัง การติดชาร์ต การได้รับรางวัลอะไรเลย สิ่งที่เราได้มาแล้วดีต่อตัวเราที่สุดคือมีเด็กคนหนึ่งไปคอมเมนต์ในคลิป เพียงฤดู ว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้าแล้ววันนี้เขารู้สึกดีขึ้นเพราะเพลงของเรา นี่คือจุดสูงสุดของการทำเพลงคือการช่วยชีวิตคน มากกว่าการทำอะไรเพื่อตัวเอง ถ้าเพลงต่อ ๆ ไปมันช่วยชีวิตคนอื่นได้ก็มีความสุขมาก ๆ
ผลงานที่กำลังจะปล่อยใกล้ ๆ นี้
จะมีเพลงหนึ่งที่เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับบ้านข้าง ๆ ไม่เกี่ยวกับธรรมชาติอะไรเลย ชื่อ หนังสั้น แค่มีไอเดียว่าเราเคยเห็นหนังหลายเรื่องที่เอาเพลงไปเป็นส่วนประกอบ หนังที่พูดถึงเพลงมีแล้ว แต่ยังไม่ค่อยเห็นเพลงที่พูดถึงหนัง มีความกวน ๆ อยากจะพูดถึงหนังบ้าง เริ่มจากไปดูหนังของธรรมศาสตร์แล้วอิน เหมือนคน ๆ หนึ่งเขาเอาเรื่องในชีวิตจริงที่เขาไม่สามารถทำได้เพราะความสูญเสียหรืออะไร แต่ในหนังเขาทำอะไรก็ได้ มันก็เหมือนเราอะ อะไรที่เราไม่สามารถพูดในชีวิตจริงได้แต่ในเพลงเราพูดได้ เลยอยากเอาสองจุดนี้มารวมกัน เพลงที่พูดถึงการเก็บความทรงจำในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว เลยเป็นเพลงนี้ เดี๋ยวมี mv ด้วย ที่ต้องมีเพราะในเพลงมีท่อนที่ร้องว่า ‘ให้มันเป็นภาพเคลื่อนไหว’ ก็เลยต้องทำ (หัวเราะ) ตอนนี้อยู่ในช่วงตัดต่อ ถ้าเสร็จแล้วคงหาเวลาปล่อย
ฝากอะไรถึงคนที่อ่านมาถึงตรงนี้หน่อย
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ก็น่าจะสนใจในตัวของ บ้านข้าง ๆ หรือ t_047 ประมาณหนึ่ง อย่างที่บอกว่าไม่อยากให้คาดหวังอะไรเพราะสิ่งที่เราทำอยู่คือความธรรมดา ถ้าชอบก็ขอบคุณมากและอยากให้เห็นสิ่งสวยงามอย่างที่เราเห็น เราพยายามจะบอกทุกคนว่าทุกอย่างมันต้องเปลี่ยนไป ในความเปลี่ยนแปลงมันมีความทุกข์ ในความทุกข์มันมีความสวยงามอยู่ ก็อยู่กับมันแล้วทำความเข้าใจ ไม่ว่าจะความรัก ไม่ว่าจะเป็นอะไร อยากให้เข้าใจในตัวเอง ในวันที่เข้าใจมันมากพอเราจะได้ไม่ต้องไปไขว่ขว้าหาความหมายจากที่ใดที่อื่น ถ้าวันหนึ่งเรารักตัวเองมากพอ แล้วมันมากพอที่เราจะแบ่งปันให้คนอื่นนั่นคงเรียกว่าความรัก แต่ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้รักตัวเองไม่ได้เข้าใจตัวเอง เราจะพยายามไขว่ขว้าหาความรักจากคนอื่น ซึ่งเขาไม่ได้ให้เราได้ตลอด อยากให้เข้าใจชีวิต และก็มีความสุขไปกับมัน อยู่ด้วยความสุขดีกว่า เราพยายามพูดเรื่องพวกนี้เสมอ
ติดตามภาพบ้านข้าง ๆ ของเขาได้ที่ t_047 หรือติดตามเสียงดนตรีของเขาได้ที่เพจ บ้านข้างๆ