The Super Glasses Ska Ensemble วงไทยวงแรกที่ได้ไปอัดในสตูดิโอของ Bob Marley
- Writer: Wathanyu Suriyawong
ประมาณช่วงปี 2558 มีวงสกาไทยอย่าง The Super Glasses Ska Ensemble ได้มีโอกาสไปบันทึกเสียงถึง Tuff Gong Studio ที่ประเทศจาไมก้า จากโครงการ Converse Rubber Track ความพิเศษของสตูดิโอนี้คือเป็นสตูดิโอของ Bob Marley และครอบครัว นับว่าเป็นจุดกำเนิดของเสียงเพลงระดับตำนานของโลกก็ว่าได้
และพวกเขาได้อัดเพลงจากที่นั่นจนออกมาเป็นอัลบั้ม Keep Skanking ที่ทุกคนได้ฟังกัน และพวกเขายังกระซิบมาอีกว่า จะปล่อยผลงานอีกหลาย ๆ อย่างตามมาให้ได้ฟังกันยาว ๆ ไปตลอดปี
การที่คณะมโหรีดนตรีสกาได้ไปที่นั่น ถือได้ว่า เป็นคนไทยกลุ่มแรก ไม่สิ น่าจะเป็นคนเชียกลุ่มแรก ที่ได้ไปอัดเพลงถึงที่นั่นก็ว่าได้ แต่สำหรับทริปจาไมก้าของพวกเขา ไม่ได้เป็นไปด้วยความราบรื่น มีอุปสรรคมากมาย ซึ่งพวกเขาได้เล่าให้ฟัง จากบทสัมภาษณ์ที่นาวนานประมาณ 1 ชั่วโมงนิด ๆ
ขอเตือน ณ ตรงนี้ก่อนเลยว่า บทสัมภาษณ์นี้ยาวมาก แต่มีทั้งเรื่องสนุก ๆ ฮา ๆ และความรู้เกี่ยวกับดนตรีสกาสอดแทรกอยู่ในนี้เพียบ เรื่องราวของทริปนี้จะเป็นยัง ลองมาอ่านกันครับ
วง The Super Glasses Ska Ensemble มีจำนวนสมาชิกถึง 11 คน ใครเป็นใครบ้าง
แม็ก — ร้องนำ
รุจน์ — ทรัมเป็ต
ภาพ — กีตาร์
ปลื้ม — เบส
ภาค — ตีกลอง
ปอม — คีย์บอร์ด, เปียโน
ปอย — เพอร์คัชชัน
อุ้ย — ทรอมโบน
สุบิน — ทรัมเป็ต
จ็อบ — บาริโทนแซก
กาน — ซาวด์เอ็นจิเนียร์
เชื่อว่าหลายคนยังสับสนเกี่ยวกับดนตรีสกาอยู่ อยากให้ช่วยไขกระจ่างหน่อยว่า ดนตรีสกามันเป็นยังไง
รุจน์: จริง ๆ สกา มันก็คือเพลงเต้นรำครับ มันเกิดมาเพื่อเป็นเพลงเต้นรำ แล้วดนตรีสกาเนี่ยอาจจะเป็นแบบว่า พอมันไปเติบโตที่ไหนมันก็จะไปผสมกับวัฒนธรรมของที่นั่น แล้วก็เกิดสกาในแบบประเทศนั้น ๆ
แม็ก: ยกตัวอย่างเช่นประเทศอังกฤษ คือสกาเป็นดนตรีจากจาไมก้าใช่ไหมครับ แล้วจาไมก้าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แล้วมันก็จะมีคนจาไมก้าไปใช้ชีวิตที่อังกฤษ ทำให้ดนตรีสกาก็ถูกนำเข้าไปยังอังกฤษโดยปริยาย แล้วพอไปเจอกับคนขาวที่เล่นดนตรีในอังกฤษ โดยเฉพาะในตอนนั้นจะเป็นยุคของวงแบบ Sex Pistols แบบพังก์ ๆ อะไรพวกนั้น ก็เกิดมาเป็นแนวดนตรีแบบ two-tone ครับ สังเกตสีของทูโทนจะเป็นขาว-ดำ เป็นสัญลักษณ์ถึงคนต่างสีผิวมาเล่นดนตรีด้วยกัน ซึ่งวงที่ชัดเจนที่สุดที่เป็นผลผลิตของการเกิดทูโทนสกาคือวง The Specials ในขณะเดียวกันวงนี้ก็เป็นวงที่มีอิทธิพลต่ออีกหลาย ๆ วงที่เกิดขึ้นตามมา
แต่พอไปอเมริกา ด้วยความพังก์ในยุคนั้นแบบ Green Day พูดง่าย ๆ คือไปเจอกับความพุ่งพล่านแบบพังก์อเมริกัน ก็จะกลายเป็น ska punk มีเครื่องเป่ามีอะไรก็ว่าไป อันนี้คือหลัก ๆ ที่เราเห็นกัน แต่มันก็มีที่ภูมิภาคอื่นด้วย เช่น อเมริกาใต้ อันนี้ก็แปลกตรงที่ว่า สกาของจาไมก้าซึ่งอยู่ใกล้กับแถบทวีปอเมริกา แต่การเผยแพร่ของมันเป็นแบบว่า ข้ามไปอังกฤษก่อนแล้วค่อยเข้าอเมริกา แล้วค่อยไล่ลงมาอเมริกาใต้ ซึ่งมีดนตรีละติน มันก็กลายเป็นสกาผสมกลิ่นอายของลาติน ทำให้เกิดวงอย่าง Ska Cubano
รุจน์: จริง ๆ คิวบาไม่ได้อยู่อเมริกาใต้นะครับ มันจะอยู่อเมริกากลางใกล้กับจาไมก้า ซึ่ง Ska Cubano ก็มีกลิ่นของความคิวบันผสมกับจาไมกันก็จะได้ซาวด์อีกแบบนึงเสียงอีกแบบนึง
แม็ก: ทีนี้ย้อนกลับมาที่ไทย เราก็มีการผสมเหมือนกัน อย่าง Super Glasses เองก็มีการผสมระหว่างเพลงสกากับเพลงพื้นบ้าน เพลงลูกทุ่งบ้างเหมือนกัน
รุจน์: ทีนี้สิ่งที่ทำให้คนยังสับสน อาจจะเป็นส่วนผสมที่มันมาก-น้อยต่างกัน อาจจะเอาลูกทุ่งผสมเยอะไปหน่อย ก็เลยกลายเป็นความคิดว่า จริง ๆ มันไม่ใช่แบบนี้หรือเปล่า
แม็ก: ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราไม่ค่อยสบายใจที่สังคมเอาดนตรีสกา ไปอยู่กับหมวดหมู่เดียวกับลูกทุ่ง คือไปย้อนไล่ดูเนี่ย เราจะเห็นว่าสกากับลูกทุ่งจะวิ่งคู่กันมาเลยในบ้านเรา แทบจะถูกเหมาไปในทางเดียวกัน แต่ตอนนี้เราสบายใจขึ้นเยอะเลยครับว่านี่แหละมันคืออัตลักษณ์ของชาติเรา เมื่อเอาเมล็ดสกามาปลูกในบ้านเรา มันก็จะกลายเป็นแบบนี้ละมั้งที่คงเหมาะกับบ้านเรา ด้วยวัฒนธรรมลูกทุ่งมันก็มีเครื่องเป่า มีเพอร์คัสชัน มีการเต้นรำ มันเอื้ออำนวยกันมากครับ อย่างสามช่า มาเจอกับจังหวะยกแบบสกา มันก็ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ และที่สำคัญมันก็ยิ่งเข้ากับทุกเพศทุกวัยทุกภูมิภาคในบ้านเราอย่างไม่น่าเชื่อ
ยกตัวอย่างชัด ๆ อย่างเช่น วง Mocca Garden เป็นตัวอย่างที่ดีของการเอาเมล็ดสกา เร็กเก้ มาเพาะพันธุ์แผ่ขยาย ด้วยดนตรีที่อาจจะไม่ใช่ลูกทุ่งเสียทีเดียว ผมเรียกว่า โจ๊ะ ๆ ละกัน สนุก ๆ สามช่า เขาเอาตรงนี้มาตีโจทย์ได้แตกมาก แล้วก็ทำให้มันประสบความสำเร็จในแบบของเขาครับ เป็นตัวอย่างชัดเจนมาก ๆ ของการเอาเมล็ดสกามาเติบโตในเมืองไทย
รุจน์: คือบางทีคนอาจจะยึดความเป็น original เขาก็เลยคิดว่า เฮ้ยทำไมเล่นไม่เหมือน เพราะความจริงมันไม่มีทางที่จะไปเหมือน original เราไม่มีทางเล่นได้เหมือนเขาอยู่แล้ว ก็ไม่อยากให้ไปแบ่งแยกว่าอันไหนใช่ไม่ใช่ ดีหรือไม่ดี อยู่ที่ว่าเราชอบแบบไหนมากกว่า ก็ฟัง ๆ ไปเหอะครับ (หัวเราะ)
แม็ก: ในขณะเดียวกัน อีกฝั่งนึงอาจจะรู้สึกว่า original มันไม่ใช่เลย ไม่สนุกเลย เราลองเพิ่มสามช่าเข้าไปหน่อย ก็เรื่องเดียวกับอาหารญี่ปุ่น คือมีหลากหลาย มีทั้งแบบที่ปรับรสชาติเข้ากับคนไทย หรือบางร้านที่เป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ สมมุติว่ามาจากจังหวัดโอกะโมโตะ (หืมมมม) ซึ่งคนไปกินร้านในห้างทั่วไป ก็อาจจะคิดว่าอร่อยจัง แต่พอไปลองกินแบบดั้งเดิมอย่างร้านโอกะโมโตะบ้างก็อาจจะคิดว่ารสชาติไม่อร่อยเลย ทั้ง ๆ ที่คนญี่ปุ่นกินกันแบบนี้เป็นปกติ มันด็เป็นเรื่องเดียวกันครับ
พูดถึงเพลงใหม่กันดีกว่า อย่างเพลง คุณนายตื่นสาย (Lazy Lady) แตกต่างจากที่เคยทำหรือเปล่า
แม็ก: จริง ๆ ทำนองเพลงนี้มันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว เราเคยจะใช้มันเป็นเพลงในอัลบั้ม Dancing Mood อัลบั้มแรกของเรา เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นผมคิดเนื้อเพลงไม่ออก ช่วงก่อนจะไปจาไมก้าเนี่ย เราจะไปนัดเจอกันที่บ้านภาค มือกลอง ที่อยู่รังสิต ผมอยู่พระประแดง การขับรถใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงทุกครั้ง และทุกครั้งที่ไปจะเอาเดโม่ของทุกเพลงมาเปิดฟังวนบนรถ เผื่อผมคิดอะไรออกระหว่างนั้น เวลาไปซ้อมกับเพื่อน ๆ เราจะได้มีการบ้านไปทำทุก ๆ ที่ แล้ววันนั้นผมก็ลองไปคุ้ยคอมเก่ามาแล้วเพิ่งรู้ว่า เฮ้ย มีเพลงนี้ด้วยเหรอ ตอนนั้นตั้งชื่อไฟล์ว่า ‘G Beach Test’ อารมณ์แบบลองดูว่าเพลงทะเล ๆ คอร์ด G มันจะประมาณไหนไรงี้ ผมก็เปิดฟังไปเรื่อย ๆ ใช้วิธีหาคำมาลงเมโลดี้ หาไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้สักอย่างเลยครับ จนกระทั่งสุ่มไปเรื่อยเหมือนเอดิสันหาไส้หลอดไฟแล้วเจอคำว่า ‘คุณนายตื่นสาย’ ก็พบว่าวรรณยุกต์เข้าอะไรเข้าหมด ก็เลยเริ่มหาเรื่องต่อมาครับ คือคุณนายตื่นสายมันเป็นดอกไม้ใช่ไหมครับ ผมก็ อ้อ! ดอกไม้ต้องมีการปลูก ผมก็เลยใส่ต่อ ‘ปลูกเอาไว้ตรงที่หน้าต่าง’ คือเป็นการแต่งเพลงที่ประหลาดสำหรับผม คือส่วนใหญ่ผมแต่งเพลงจะเริ่มเป็นโครงสร้างเลยครับ เมื่อก่อนคิดเป็นระบบมาก แต่เพลงนี้เป็นความพิเศษของตัวเอง เหมือนเราค่อย ๆ สร้างคอนโดไปทีละชั้น โดยที่มีแบบแปลนคร่าว ๆ ก็คือทำนองเนี่ยแหละ ก็ค่อย ๆ ไล่ไปจบที่ชั้นบนสุดครับ
ตั้งแต่มีทำนองจนถึงจบเพลงนี้ได้ เป็นระยะเวลาเท่าไหร่
แม็ก: จริง ๆ ถ้านับตามไทม์ไลน์ตั้งแต่มีทำนองเป็นเวลา 8 ปีครับ แต่วันที่แต่งเนื้อเพลงจริง ๆ 2 ชั่วโมงครับ ไม่รู้ว่าของบางอย่างมันต้องรอเวลาหรือว่าเราขี้เกียจ คือเป็นเส้นบาง ๆ ที่ไม่รู้จะวัดยังไงอะครับ สรุปแล้วที่ผ่านมา 8 ปีเนี่ย เราไม่ได้พยายามเอาสิ่งนี้มาขวนขวายเลยหรือเปล่า หรือเป็นเพราะว่าเราทิ้งมันเอาไว้ก่อน แต่ทิ้งนานไปหน่อย ผมก็เลยได้ไอเดียต่อ ๆ มาจากการที่เจอเพลงนี้ ซึ่งไปถามเพื่อน ๆ นักแต่งเพลงหลาย ๆ คน ก็พบว่ามีใช้วิธีนี้กันอยู่เหมือนกัน คือเขียนไปแต่งไปก่อน ทิ้งมันไปเลยสักอาทิตย์นึงแล้วกลับมาดูอีกทีว่าเรายังอินอยู่หรือเปล่า ถ้ายังอินอยู่ก็แสดงว่าใช้ได้ก็ทำต่อ ผมก็ใช้วิธีนี้กับอีกหลาย ๆ เพลงที่ทำขึ้นมา ประมาณนี้ครับ
เพลงนี้เป็นเพลงที่อัด ณ Tuff Gong Studio หรือเปล่า?
แม็ก: ใช่ครับ เป็นหนึ่งในเพลงที่เอาไปใช้ครับ
แล้วทำไมถึงได้ไปอัดที่ Tuff Gong Studio ?
แม็ก: เริ่มจากตอนที่ผมกำลังจัดดีเจที่ Cat Radio อยู่ แล้วตอนนั้นมันน่าเบื่อมาก ก็เลยเลื่อน facebook ดูระหว่างจัดรายการแล้วพบว่า พี่ดีเจฤทธิ์, พี่กอล์ฟ Superbaker, น้องอู๋ The Yers ทั้งสามคนนี้โพสต์สิ่งเดียวกัน ผมก็เอะใจว่าทำไมทุกคนแชร์พร้อม ๆ กัน ก็เลยกดเข้าไปดู ถึงได้รู้ว่าเป็นโครงการของ Converse ที่เขาจะเสาะหาวงดนตรีจากทั่วโลก เพื่อไปที่สตูดิโอระดับโลก 12 แห่งนี้ก็จะมี เช่น Abby Road ที่อังกฤษ, Sunset Sound ที่อเมริกา, Hansa Tonstudio ที่เยอรมนี แม้กระทั่งห้องอัดของ Sigur Rós ที่ไอซ์แลนด์ก็มี หนึ่งในนั้นก็มี Tuff Gong Studio ที่จาไมก้า ซึ่งผมเห็นแล้วก็สนใจ ก็เห็นว่ามันส่งวงได้เลยนี่หว่า คือมีลิงก์ให้กรอก พร้อมใส่ลิงก์ YouTube ได้เลย แค่นั้นจริง ๆ ง่ายมาก ผมก็เลยใส่ทันที แต่ที่ตลกคือลิงก์ที่ใส่ไปไม่ใช่ที่เราอัพเอง แต่เป็นของใครก็ไม่รู้อัพไว้ ถ้าพูดให้หรู ๆ หน่อยก็คือเป็นแบบ fan upload อะไรอย่างงั้น แล้วก็ไปก็อปโปรไฟล์ในไลน์ของวงที่เราเก็บเป็นข้อมูลไว้ ก็กรอกข้อมูล อัพคลิป เลือกสตูแล้วส่งไป หลังจากนั้นผมก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ผ่านไปได้สัก 2 – 3 เดือน เป็นเวลา 5 ทุ่มกว่า ๆ ผมจะนอนละ มี gmail เด้งขึ้นมาว่า ‘congratulations, you won’ อะไรสักอย่าง เราเห็นก็คิดว่าแม่ง spam แน่ ๆ หลอกให้กูคลิกแน่ ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงเลื่อนผ่าน ๆ ไป แต่รอบนี้อะไรดลใจให้คลิกเข้าไปก็ไม่รู้ แล้วก็พบว่า อ๋อ เราได้ผ่านขั้นแรกแล้วนะ ในใจก็คิดว่า ‘เชี่ยย เราได้ไป นิวยอร์กแล้วว่ะ’ เพราะว่าตอนกรอกมันมีให้เลือก 3 ลำดับสตูดิโอที่เราสนใจ อันดับแรกที่เลือกคือที่นิวยอร์ก เพราะเราอยากไปนิวยอร์กมานานแล้ว ด้วยที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ เรามีคอนเน็กชันที่นั่นเป็นคนไทยที่ไปจัดคอนเสิร์ตอะไรนู่นนี่นั่น เราก็เฮ้ย นี่แหละ นิวยอร์กเลย เผื่อได้ทัวร์อเมริกาขำ ๆ อันดับสองคือ Abbey Road ครับ คือ เราอยากตามรอย The Beatles คิดดู Super Glasses ข้ามถนนแบบนั้นแล้วมีสิบคนเต็มถนนอะ (หัวเราะ ) อันดับสุดท้ายคือ Tuff Gong ที่จาไมก้าครับ บอกตรง ๆ ว่าเราไม่ได้อินกับความเร็กเก้อะไรขนาดนั้น ส่วนตัวผม ไม่รู้เพื่อนในวงเป็นยังไงนะ ผมไม่ใช่คนเร็กเก้สกาที่ต้องไปข้าวสารแล้วซื้อเสื้อ Bob Marley มาใส่ ในห้องเราไม่ต้องมีธงเขียว เหลือง แดง แล้วเป็นใบกัญชาแปะในห้อง แต่เราก็ใส่ไปเพราะรู้สึกว่า มันเป็นจุดกำเนิดของดนตรีนะ ก็ใส่ไป
กลับมาที่เห็นเมลที่ตอบกลับมา ตอนนั้นก็ดีใจว่า ได้ไปนิวยอร์กแน่ ๆ ผมเลยโทรปลุกเพื่อนเลยครับ บอกว่าเรามาคุยกันเรื่องนี้หน่อยสิ เราได้ไปนู่นนี่นั่นนะ เราจะทำยังไงกันดี แล้วตอนนั้นเท่าที่ทุกคนเข้าใจคือ นิวยอร์ก ๆๆๆ แล้วพี่ภาคมือกลองเนี่ย ก็ติดต่อหาเพื่อนพี่น้องที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ถึงขั้นอินบ็อกซ์ไปบอกว่า กูจะไปนิวยอร์กนะ ช่วยจัดเตรียม หาไลฟ์เฮาส์ให้ลง อย่างน้อยสามสี่ที่ เตรียมป่าวประกาศแล้วว่า เราจะทัวร์นิวยอร์กแล้วนะ ทัวร์บรู้กลินอะไรก็ว่าไป ปรากฏว่าระหว่างที่ผมอีเมลคุยกับทีมงานเนี่ย เขาก็ยังไม่ได้บอกสักที เป็นพักใหญ่ ๆ เลย สองสัปดาห์ได้มั้ง ที่คุยกันไปกันมาถึงเรื่องว่าส่งชื่อวง ส่งรายละเอียดนู่นนี่นั่น ก็พบข้อความว่า ‘ยินด้วยนะ สรุปแล้วคุณได้ไปจาไมก้า’ ความรู้สึกที่ว่าจะไปนิวยอร์ก การเตรียมการวิซ่า คือจบเลย
รุจน์: แล้วที่สำคัญ คือไปได้สูงสุดแค่ 6 คนต่อวงครับ
แม็ก: และนี่ก็เป็นดราม่าต่อมา สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ไปขอโทษทุกคนที่อยู่นิวยอร์กครับ (หัวเราะ) บอกว่ากูไม่ได้นิวยอร์กละนะไปจาไมก้าแทน อันนี้คือหนึ่งละ ต่อมาคือ เราก็ต้องมานั่งล้อมวงตกลงกันว่าใครจะไป ไปแล้วทำอะไร ผมก็ตั้งเป้าไว้ว่า ไปต้องไปทำอัลบั้ม ส่วนใครไปบ้างก็ตัดสินใจกันว่าเป็นฝั่ง rythm ทั้งหมด กีตาร์ เบส กลอง คีย์บอ์รด เครื่องเป่า 1 คน แล้วก็ผม เป็น 6 คนที่เป็นตัวแทนทีมชาติครับ เพราะยังไม่เคยมีชาวไทยไปอัดที่นั่น
จากนั้นก็จะเป็นเรื่องการเตรียมการที่จะไปครับ ซึ่งก็เป็นดราม่าที่สอง ก็คือว่า โดยพื้นฐานการเดินทางจากไทยไปจาไมก้าเนี่ย สามารถทำได้ง่ายมาก เพียงแค่คุณบินจากสุวรรณภูมิ ไปที่สนามบิน JFK ที่อเมริกา แล้วต่อเครื่องไปที่จาไมก้าคือจบครับ พอเห็นข้อมูลแบบนี้เราก็ชิวละ คงสบาย ๆ ที่เหลือคือขอวีซ่าจาไมก้าก็พอแล้ว เราก็ปล่อยให้เวลาผ่านไป จนมันใกล้วันเข้าไปทุกที ประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนเดินทาง เราเพิ่งค้นพบว่า การไปต่อเครื่องที่อเมริกา ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า transit visa ครับ แล้วขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าทำยากพอ ๆ กัน ใช้เวลาพอ ๆ กันกับวีซ่าของอเมริกาเลย แล้วแย่กว่านั้นคือ transit visa ใช้เข้าอเมริกาไม่ได้ครับ ใช้ต่อเครื่องได้เท่านั้น ช่วงนั้นผมก็ไปเสิร์ชข้อมูล เป็นช่วงที่เรามีความรู้เรื่องการเดินทางมากครับ
รุจน์: คือก่อนหน้านั้น มันไม่มีนะ จนกระทั่งรัฐบาลของเราถูกแบนจากอเมริกา หลังจากนั้นทางนู้นก็ได้ออกกฏว่า คนที่มาจากประเทศไทย ต้องใช้ transit visa นะ
แม็ก: เรียกได้ว่าผลกระทบทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อครับ กระทบมาถึงเราด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเนี่ย เราถึงจาไมก้าไปตั้งหลายวันแล้ว ทีนี้เราก็ ‘เชี่ยย อีกสามอาทิตย์’ ผมถึงขั้นที่ว่า เราหกคนไปที่สถานทูตอเมริกา ไปนั่งอยู่ในร้านกาแฟข้าง ๆ กัน เพื่อไปนั่งตัดสินใจกันว่า เราจะเข้าไปคุยกันดีมั้ยวะ? เข้าไปพนมมือแล้วก็บอกพี่เขาว่า พี่ครับผมจะต้องอย่างงี้อย่างงั้น ช่วยกรุณาออกให้มันทันหน่อยได้มั๊ยครับแต่สุดท้ายตบบ่าแล้วบอกกันว่า ‘กลับบ้านเหอะ’ (หัวเราะยกวง)
ก็กลับมาหาทางใหม่ เวลาเริ่มบีบคั้นเข้าไปทุกที แล้วเราก็โชคดีมากที่ได้เพื่อนของพี่รุจน์ ที่ชื่อบุ๊ก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินทาง คือเขาเป็นไกด์ครับ เขาก็มาช่วยคุยกับโมนิก้า จำชื่อนี้ไว้ให้ดี ยัยโมนิก้านี่แหละ เป็นคนที่คุยกับวงตั้งแต่แรก เป็นคนที่ส่งเมล congratulations มาให้เรา ซึ่งบุ๊กกับยัยโมนิก้าเนี่ย ก็ไปคุย ๆ กันจนได้ข้อสรุปมาว่า เราต้องบินอ้อมโลกเราต้องบินอ้อมโลก จากสุวรรณภูมิ ไปแฟรงเฟิร์ต เยอรมนี จากนั้นต่อเครื่องไปสาธารณรัฐโดมินิกัน
แล้วบินไปที่ปานามา รอต่อเครื่องอีก 6 ชั่วโมง แล้วค่อยต่อเครื่องไปคิงส์ตัน จาไมก้า ครับ เป็นการทัวร์สนามบิน ถ้าเอาจริง ๆ ก็เหมือนทั่วโลกอะครับ
รุจน์: รวมการเดินทางขาไปทั้งหมด 36 ชั่วโมงครับ
แม็ก: ทีนี้เรามีข้อมูลการเดินทางการบินละ แล้วก็มัวแต่สนใจ transit visa จนลืมไปว่าวีซ่าจาไมก้ามึงยังไม่ได้ทำเลยนะ (หัวเราะ) เหลือไม่ถึง 3 อาทิตย์ละครับ อันนี้ความรู้รอบตัวนะครับ การทำวีซ่าจาไมก้าเนี่ย หนึ่งเลยก็คือประเทศเราไม่มีสถานทูตจาไมก้า มีแค่สถานกงสุลจาไมก้า อยู่แถว ๆ พระรามสี่นี่แหละครับ ส่วนสถานทูตจาไมก้าในภาคพื้นเอเชียอยู่ที่ฮ่องกงครับ ก็จะเป็นการส่งเรื่องจากกงสุลที่ไทยไปยังฮ่องกง แล้วเรื่องตลกของกงสุลเนี่ย คือมันก็เหมือนออฟฟิศทั่วไปแบบที่เรานั่งกันอยู่เนี่ยแหละ เป็นหน่วยงานคอก ๆ นิดเดียวมุมเดียวเลยครับ แล้วท่านกงสุลออกไปราชการที่ไหนก็ไม่รู้ เหลือแต่เลขาของท่าน เลขาก็ชิวมาก ผมเพิ่งรู้ว่าสถานกงสุลจาไมก้าที่ประเทศไทยมันชิวขนาดนี้เลยเหรอ
รุจน์: เลขานี่สุดยอดครับ ใส่กางเกงลายเสือดาว เหมือนออกมาจากห้องนอนอะครับ เขาก็ยังบอกว่า มันไม่ค่อยมีใครไปอะ ( หัวเราะ )
แม็ก: ทีนี้เรามีเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์ เราต้องมีวีซ่าจาไมก้าให้ทันก่อนไปให้ได้ครับ ซึ่งบีบหัวใจสุด ๆ เราคุยกับเขาวันต่อวันจริง ๆ ครับ แล้วที่ตลกคือ พี่เขาไม่ได้ให้เบอร์มือถือไว้ด้วยนะครับ เป็นเบอร์ 02-xxx-xxxx เบอร์ออฟฟิศ แล้วเขาก็ค่อนข้างคุยได้เฉพาะเวลางานจริง ๆ การติดต่อสื่อสารก็ค่อนข้างวุ่นวาย คือจะคุยกับกงสุลก็ต้องรอเวลาราชการ ไปคุยกับยัยโมนิก้า ก็ต้องรอกลางคืน เพราะ 9 โมงเช้าอเมริกา ก็เป็นเวลาประมาณ 4 – 5 ทุ่มไทย แล้วกว่าจะรู้เรื่องรู้ราว บางทีก็ล่อเข้าไปบ่าย 3 อเมริกา ก็คือตี 3 บ้านเรา ก็จะเป็นการส่งข้อมูลแบบอดหลับอดนอนพอสมควร นี่ก็คือความยากในการติดต่อสื่อสาร
เรื่องนี้ก็ผ่านไป ยัยโมนิก้าก็พยายามเช็กเราตลอดว่ามึงจะได้วีซ่ามาแน่ใช่มั้ย (ตอนตีสาม) เราก็ตอบไปว่า ชัวร์!! พอตื่นเช้าผมโทรหากงสุล ไม่รับ! คือวันนั้นไม่รับเลย เราก็เลยไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับวีซ่า ยัยโมนิก้าก็มาตามอีกเป็นยังไงบ้าง เช็กกันทุกวันครับช่วงสองอาทิตย์สุดท้ายเนี่ย ในระหว่างนั้นก็จะเป็นการเตรียมตัวซ้อมทำเพลงอะไรก็ว่าไป แต่เป็นการซ้อมที่แบบว่าลุกลี้ลุกลนมาก ๆ
รุจน์: ซ้อมแบบลม ๆ แล้ง ๆ อะครับ ซ้อมไปก็คิดไปว่า ‘เอ…กูจะได้ไปป่าวว้า’ แต่ก็ซ้อมไปก่อน
แม็ก: สุดท้ายกว่าจะได้ก็ไม่ถึง 5 วันก่อนจะบิน วินาทีที่เราได้แสตมป์บนพาสปอร์ตว่าจาไมก้าเนี่ย พวกเราก็ดีใจว่าได้ไปแล้วโว้ย สิ่งที่น่ารักก็คือเราโพสต์ทุกอย่างนี้ไว้บนเพจวงตลอดครับ ก็มีหลายคนลุ้นตลอดว่าเราจะได้ไปมั้ย แล้ววินาทีที่เราอยู่สุวรรณภูมิพร้อมที่จะไปแล้วเนี่ย มันคือความรู้สึกแบบ เอาวะ! จากนั้นก็ได้เดินทางตามที่เล่าไป
รุจน์: แต่ทีนี้ พอมันต้องเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางที่หลายต่อ มันทำให้ระยะเวลาที่เราจะได้อยู่ที่จาไมก้าน้อยลง เพราะว่าเราต้องเอาเวลาไปเดินทางซะหมด เหลือเวลาอยู่ที่นั่นประมาณ 40 ชั่วโมง จนกระทั่งถึงจาไมก้า ก็ต้องมี ตม. ตรวจคนเข้าเมือง ตม. เขาก็สงสัย ว่าพวกยูมาทำอะไรกัน
แม็ก: คงไม่ค่อยมีคนเอเชียไปเท่าไหร่ครับ คือน้อยมากจริง ๆ เขาก็เลยตรวจละเอียดหน่อย แล้วอย่างคนที่พูดอังกฤษไม่ได้เลยเนี่ย ลำบากมาก อย่างที่ภาคคือกลองเนี่ย โดนกักนานหน่อย จนเราเริ่มคิดแล้วว่า เฮ้ย หรือว่าเราจะมาจบที่ตรงนี้ (หัวเราะ)
รุจน์: คนเที่ยวเดียวกับเราไปหมดละ เหลือแค่พวกเราที่รอพี่ภาคอยู่ พอพี่ภาคออกมาก็ใจเสีย คือ ตม. เขาถามว่าคุณมาทำอะไร ?
ภาค: เรคคอด ๆ
ตม.: วอท เรคคอด?
ภาค: สกา…
ตม.: สกามิวสิ๊ก!?!? (ตกใจเสียงสูง)
คือคนที่นั่นเขาจะงงว่าสกามิวสิกเหรอ คือมันไม่มีวงสกาที่ไปอัดที่ Tuff Gong มา 20 ปีละ มันมีแต่เร็กเก้อย่างเดียว แล้วเขาก็คงว่าพวกมึงเป็นคนเอเชียแล้วมึงมาอัดเพลงสกาที่ประเทศกูเนี่ยนะ ใช่ป๊ะเนี่ย โกหกกูป๊ะเนี่ย เขาก็เช็กว่ารู้จักเพลงเร็กเก้มั๊ย
ภาค : เยสๆๆๆๆ
ตม.: ไหนร้องเพลงเร็กเก้ให้ฟังซิ
ภาค: Woo-woo-woo, yeah I’m Mr. Reggae Ambassador ( หัวเราะ )
แม็ก: มันก็มีน้องหลายคนที่พอเห็นเราไป เขาก็มาถามเราว่าทำยังไง ซึ่งก็ไม่รู้จะตอบให้ละเอียดยังไง ป่านนี้ไปถึงรึยังก็ไม่รู้ เขาชื่อน้องเตยครับเราจำได้แม่น ถ้าน้องได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ พี่ ๆ ขอโทษถ้าน้องไม่ได้นะครับ แต่ถ้าได้ไปถึงก็แสดงว่าน้องหาข้อมูลได้เก่งมากเลยครับ (หัวเราะ)
ทีนี้ เดินทางมาถึงจาไมก้าแล้ว ช่วยบรรยายบรรยากาศของที่นั่นสักหน่อย มีความเหมือนหรือแตกต่างจากบ้านเราหรือเปล่า
รุจน์: ถ้าใครเคยไปเกาะสมุย คืออย่างงั้นเลยครับ
แม็ก: ให้นึกถึงสนามบินสมุย อย่างงั้นเลย ด้วยความที่ว่าเป็นประเทศที่อยู่เส้นศูนย์สูตรเดียวกับเรา แนวเดียวกันเลย แต่แค่อยู่คนละฟากโลกเท่านั้นเองครับ วูบแรกที่ไปถึง มีบางมุมที่ทำให้รู้สึกว่า นี่กูอยู่รังสิตหรือเปล่าวะ คือมีทุกอย่างเหมือนบ้านเราเลย มีต้นกล้วย มีหญ้า ๆ มีต้นหูกวางด้วย แต่คนที่นั่นเรียกอัลมอนด์ แต่เอาจริง ๆ มันคือหูกวางชัด ๆ พอขนาดถ่ายรูปส่งไปให้เพื่อนดู เพื่อนยังไม่เชื่อ แล้วตรงที่เราไป มันเป็นเขตอุตสาหกรรมพอดี รถสิบล้อเอย รถบรรทุกวิ่งกระหน่ำเหมือนบ้านเราเลย
ปอม: ที่ต่างกับบ้านเราก็คือ กำแพงกับรั้ว คือของบ้านเขาจะเป็นกำแพงสูง ๆ สองเมตรสามเมตรเลย และรั้วลวดหนามขดอยู่บนกำแพงอีกที
บ้านเมืองเขาก็ยังมีความแบบ จี้ ปล้น โจร ขโมย ?
แม็ก: คือบ้านเขาก็ยังมีความเถื่อนอยู่เหมือนกัน แบบทะเลาะกลางแยกไฟแดง แล้วคนขับรถของเราก็มีควักปืนมาขู่แบบ มีปืนนะ อย่ามายุ่ง มีเด็กเช็ดกระจกด้วยนะครับ แต่ที่นู่นเขาจะแตกต่าง เขาจะค่อนข้างรุกเร้าเรามาก เขาจะไม่มาเช็ดกระจกแล้วขอตังเลย เค้าจะแบบ เคาะกระจกปุ่ก ๆๆ แล้วพูดสำเนียงเสียงใหญ่ ๆ แบบคนดำอะ แล้วคนขับรถเราเนี่ย ก็ควักปืนขึ้นมาว่าอย่ามายุ่ง ซึ่งผมเดาว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ แต่เราเนี่ย culture shock ผมก็เพิ่งเข้าใจจริง ๆ ณ ตอนนั้นว่ามันเป็นยังไง
ปอม: แล้วทางที่เราไปเนี่ย สิบล้อทุกคันจะจี้ตูดไม่ต่างจากบ้านเราเลย คือขับเหมือนเด็กแว้นซ์มอเตอร์ไซค์ทุกคัน
แม็ก: เขาขับรถกันแย่มาก คือเขาไม่กลัวรถเล็กเลยนะครับ เขาคิดว่า รถเล็กต้องหลบกูครับ แล้วคือมันน่ากลัวมาก มันเป็นสิ่งแรกที่เราเจอเลย เราก็คิดว่าเราคงเอาชีวิตมาทิ้งที่จาไมก้า ก็คงดูดีเหมือนกัน อีกเรื่องที่ต้องรู้ก็คือเขาห้ามคนเอเชียไปเดินตามถนนโดยลำพัง เพราะจะโดนปล้นครับ ต้องมีคนท้องถิ่นไปด้วยอย่างน้อย 2 – 3 คน
รุจน์: ยิ่งถ้าไม่มีเดรดล็อกเนี่ย คุยลำบากนิดนึง ออกไปไหนไม่ได้ (หัวเราะ) แล้ววง Super Glasses เนี่ย ไม่มีใครไว้เดรดล็อกเลย เราก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยครับ
แม็ก: เราได้แต่มองเหมือนหนัง Prison Break คือเกาะรั้วเป็นตาข่ายเหล็ก ๆ แล้วก็มองแบบ นี่เหรอจาไมก้า แม้กระทั่งรั้วโรงแรมก็ยังเป็นแบบนั้นอะครับ มันเหมือนค่ายทหารหมดทุกที่ เป็นรั้วแบบปกติเลย ถ้าเป็นบ้านเราก็แบบกำแพงแล้วมีเศษแก้วบนรั้ว แต่บ้านเขาคือทุกหลังเป็น Prison Break เลยอะครับ
ถึงที่ Tuff Gong Studio แล้วทำอะไรบ้าง
แม็ก: พอไปถึงที่นั่นก็เข้าห้องซ้อมเลยครับ ห้องซ้อมที่นั่นก็เป็นเหมือนห้องดนตรีโรงเรียนมัธยม คือห้องมันเก่ามากละ เพราะเป็นห้องที่ Bob Marley & The Wailers เขาไปซ้อมกัน คือเปิดเข้าไปเป็นห้องร้อน ๆ ไม้ ๆ แล้วก็เก่า ๆ มีเครื่องดนตรีโทรม ๆ แต่ทุกอย่างก็ยังใช้ได้นะ
พอซ้อมกันเสร็จก็ได้ไปเห็นห้องอัด ซึ่งเราก็ได้ถ่ายวินาทีที่เราได้เดินเข้าไปในห้องอัด ก็จะพบกับกลิ่นอับไม้ ความเก่า เพราะว่าห้องนี้สร้างมาตั้งแต่ยุค 80s แต่ในความเป็นจริงคือ ห้องที่นั่นมันเก่าก็จริง แต่อุปกรณ์และเทคโนโลยีเป็นสมัยใหม่เหมือกับทุกที่ครับ เพียงแต่ว่าผนังหรืออย่างอื่นมันคงอยู่มานานมากแล้ว แล้วอีกสิ่งที่เรารู้สึกว่าไม่เหมือนที่ไหนในโลกเลย ก็คือเป็นห้องอัดที่สูบได้อย่างเสรี เขาก็พ่นควันในห้องอัด
รุจน์: เขามีป้ายเขียนว่าห้ามสูบบุหรี่ด้วยนะครับ
แม็ก: แต่ระหว่างที่เซ็ตกลอง ก็พ่นควัน พ่นอะไรไปอย่างเสรีเลยครับ
รุจน์: คือตอนซ้อม ทุกคนแบบใจไม่ค่อยดีเลยครับ คือเรามาเล่นเพลงสกาในบ้านเขาอะ เรารู้สึกไม่มั่นใจเลยอะ ก็ซ้อมไปรอบแรกก็ไม่ดีหรอก ก็ซ้อมไปเรื่อย ๆ สักพักมันมีเหมือนคนเดินมาชะโงกหน้าดู
แม็ก: คือผมไปสืบมา เขาบอกประมาณว่า เขาคงบอกกันอะ ว่า ‘เฮ้ย วงนี้มาจากเอเชีย แม่งมาอัดเพลงสกาว่ะ มึงมาดูดิ’ (หัวเราะยกวง) ผมว่าคงประมาณนี้ แล้วระหว่างการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น จะมีคนแบบว่าแวะมาดูตลอด แบบ อ๋อ หน้าตาแบบนี้เหรอ
รุจน์: แล้วเขาก็มายืนดูเราซ้อมเลย ไม่ไปไหน มากันเพียบ ไอ่เราก็เกร็งดิ พอเราเริ่มเล่นไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ เขาก็เต้นกัน เราก็แบบ โอเค กูสบายใจละ
แม็ก: เขาก็บอกว่า สำหรับเขาเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก คือเขาไม่คิดว่าดนตรีของจาไมก้าจะไปถึงที่นู่นอะ แล้วเขาเห็นว่าคนเอเชียเล่นให้เขาฟัง มันคงประมาณว่าฝรั่งคนดำทั้งวงมาเล่นหมอลำ เราก็คงแบบ เชี่ยย แม่งเจ๋ง มันเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่สนุกมากครับ
ปอม: เขายังบอกอีกว่า นานมากแล้วที่ไม่มีวงสกามาอัดเพลงที่นี่เลย เพราะปกติจะมีแต่เร้กเก้ มีเรานี่แหละที่ไปแปลกกว่าคนอื่น
อะไรคือไฮไลต์ของทริปนี้
แม็ก: ไฮไลต์จริง ๆ ก็คือการที่เราได้เจอบุรุษคนนึง เป็นลุงอายุสัก 74 ซึ่งปีนี้น่าจะ 77 ปีละ เขาชื่อว่าลุง Chow ครับ
รุจน์: เราไม่รู้ชื่อเต็มเขาด้วย เพราะตัวเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าชื่อเต็มเขาชื่อว่าอะไร เพราะเขาบอกจำไม่ได้ เขายังบอกว่าเล่นเฟซบุ๊กด้วยนะ แต่เขาไม่ได้ใช้ชื่อตัวเอง (หัวเราะ)
แม็ก: คือลุงเขาเป็นเทคนิกเชี่ยนทั้งในห้องอัดและการเล่นสดให้กับ Bob Marley ครับ คือเขาน่าจะเป็นคนจีนแหละ แต่มาอยู่ที่มาเลเซีย แล้วก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปอยู่ที่อังกฤษแล้วไปเจอ Bob Marley ที่นั่น ก็รู้จักกัน ซี้กัน เขาเล่าให้ฟังว่าเคยโดนบ๊อบเตะบอลอัดหน้าอะไรแบบเนี้ยะ ลุงเชาเป็นโกลอะไรก็ว่าไป ด้วยความฝันและเป็นเพื่อนกัน บ๊อบอยากจะมีห้องอัดที่จาไมก้า ก็เลยพากันมาสร้าง Tuff Gong ลุงเขาก็อยู่ดูแลตั้งแต่นั้นจนถึงทุกวันนี้
คือกิจวัตรของแกเนี่ย คือแกจะมีมุมของแก นึกภาพคนแก่ที่เขาจะมีมุมของเขาด้วยที่แกเป็นเทคนิเชียน แกก็จะซ่อมนั่นซ่อมนี่
รุจน์: คือมุมนี้ จะอยู่บนหน้าปกอัลบั้มของเราครับ
แม็ก: ย้อนกลับไปดูปกอัลบั้มของพวกเราดูครับ นั่นแหละครับ คือมุมที่เราเห็นเขาตอนเราไปถึงครั้งแรกก็แบบ อ๋อ ๆ ห้องอัด Tuff Gong เว้ย แล้วก็ไปเจอลุงนั่งก้มทำอะไรไม่พูดไม่จา เราคุยก็ยังไม่สนใจ คือนั่งนิ่งง่วน ๆ ก็ของเขาไป จนกระทั่งเราได้มาคุยกับเขา ซึ่งเขาก็ชอบคุยและคุยเก่งมาก เขาก็ถามไถ่เหมือนคนแก่บ้านเรานี่แหละครับ แบบเป็นคนเอเชียเหรอ เป็นไงมาไง อยู่ประเทศไทยเหรอ แล้วเขาก็เริ่มเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง ที่เราเรียกลุงเชาว่าเป็นไฮไลต์เนี่ย เพราะเขาเป็นบุรุษที่เคยร่วมงานกับ บ๊อบ มาร์เลย์ ที่ยังมีชีวิตอยู่ คืออยู่ในยุคนั้นอะพูดง่าย ๆ
ที่ผมชอบมาก ๆ คือ เขาจะเปิดคลิปแสดงสดของ บ๊อบ มาร์เลย์ สักงานนึงในยุคนั้น แล้วเขาก็จะเล่าอีกมุมให้ฟังว่า เนี่ย วันนั้นเนี่ย กูอยู่หลังเวที จริง ๆ แล้วเนี่ย บ๊อบ มาร์เลย์ อย่างงี้อย่างงั้น ดูดเนื้อก่อนขึ้นแสดงกันสบายใจ เบื้องหลังคอนเสิร์ตนี้มันอย่างงี้อย่างงั้น นึกถึงอารมณ์แบบ Fungjaizine ไปเล่าคอนเสิร์ตเห็ดสดให้ลูกเราฟังในอีก 30 ปี ข้างหน้านั่นแหละ
แกก็เล่าหลากหลายเรื่องมาก ห้องอัดนี่สร้างยังไง ไฟไหม้กี่ครั้ง พายุถล่มกี่ครั้ง ถามถึงประเทศไทยด้วย รู้จักในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังบอกว่าชอบกินข้าวหอมมะลิไทย แล้วแกกลัวเราไม่เชื่อ เดินหายไปหลังห้องแก แล้วหยิบถุงมาโชว์ให้ดูว่า กูซื้อมาจริง ๆ หันซองดูก็มาจากนครราชสีมาบ้านเรา นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องการอัดอะไรเลยนะครับ เพราะการบันทึกเสียงเนี่ย ทุกอย่างราบรื่น สวยงาม ยอดเยี่ยม เจ๋งแจ๋ว เป็นไปตามการบันทึกเสียงที่ควรจะเป็น เอาตรง ๆ ไม่ใช่ไฮไลต์เลย
แต่ไฮไลต์คือลุงเชาเนี่ยแหละ เรารู้สึกว่าถ้าไม่เจอลุงเชา การไปจาไมก้าจะเป็นการไปห้องอัดดูคล้ายเหมือนอยู่แถวรังสิตแห่งนึงไรงี้ครับ หลังจากว่าง ๆ จากการอัดเสียงเนี่ย แกก็พาไปเดินทั่วรอบสตูดิโอเลย ไปดูว่าต้นอัลมอนด์อย่างงี้อย่างงั้น เราก็บอกว่า ‘ลุง ๆ หูกวาง ๆ ไหนลุงพูดซิ’ แกก็ ‘หูกวัง ๆ’ ป่านนี้แกคงพูดหูกวางได้แล้วแหละ เพราะแกคงหัดอยู่ แล้วเขาก็พาไปมุม ๆ หนึ่ง ที่เคยเป็นพื้นที่ดูเละ ๆ โล่ง ๆ มีปูน คือเหมือนข้างกำแพงโรงงานอุตสาหกรรมสักที่นึง เขาก็ชี้ให้ดูว่า เคยเป็นที่ของคนที่ชื่อว่า Reggie เขาเคยอยู่ตรงนี้ เร้จจี้เป็นเพื่อนของบ๊อบ เป็นคนสอนบ็อบดีด skank คือการดีด แกว่ก แกว่ก ลุงเขาก็พูดประมาณว่า เป็นคนคิดค้นการดีดแบบเร็กเก้ พูดแล้วก็ยังขนลุก ก็ไ่ม่รู้ว่าลุงเชาเมาหรือเปล่า แต่เขาบอกว่า คนนี้แหละที่เป็นต้นกำเนิดของเร็กเก้ มีป้ายด้วยว่า ‘Garden of Reggie’ เขาก็จะปลูกผักปลูกหญ้าเหมือนทั่วไปนี่แหละ แต่ผมไปดูมันเป็นส่วนเน่า ๆ อะ ไม่มีใครมาทำอะไรตรงนั้นหรอก ฮ่า ๆ แต่มีพ่นสีบอกว่าเป็นที่ของเขา คือเหมือนไปดวงจันทร์อะครับ และนี่ก็เป็นหนึ่งในไฮไลต์ของพวกเรา ลุงเชาก็ดูแลเราเป็นอย่างดี ก่อนกลับแกก็ให้ศีลให้พรกันไป
รุจน์: แต่ยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์ครับ!! คือที่เราขนเพลงไปอัดที่นั่น 6 เพลง ส่วนผมไปที่นั่นในฐานะล่าม ช่วยสื่อสารระหว่างเอ็นจิเนียร์กับวง ว่าเป็นอย่างงี้ ๆ นะ ระหว่างนั้นก็แอบคุยกับแม็กว่า ลุงเชาเต้นแกจะเป็นไงวะ? คือลุงเขาจะเป็นคนที่ทำอะไรอย่างช้า ๆ
แม็ก: ถ้าผู้อ่านทางบ้านได้เห็นรูปลุงแกแล้วเนี่ย จะเห็นว่าลุงเชาเป็นลุงที่ดูเฉื่อยมาก ๆ ให้นึกถึงสล็อต วันแรกเราก็คุยกันว่า ถ้าลุงเชาเต้น แม่งต้องฮามาก ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้อะ
รุจน์: ผมก็แอบถามทีมงานว่า ลุงเชาแกเคยเต้นมั๊ย ? เขาก็ขำ ๆ กันก็ตอบว่า คงไม่นะ อย่างลุงจะไปเต้นอะไร แก่แล้ว ปรากฏว่าเรากำลังบันทึกเสียงเพลง ร้องเพลงไปด้วยกัน คือลุงเชาจะอยู่ในห้องอัด แล้วใส่หูฟังไว้ตลอด คือแกจะคอยฟังว่าเขากำลังทำอะไนกัน แต่พอแกฟัง แกมานั่งตรงกลางเลยครับ แล้วแกก็ลุกขึ้นมาเต้น ( หัวเราะ ) แล้วภาพนี้จะเห็นได้ใน MV ของเพลง Keep Skankin ที่อยู่ในห้องอัด คือตอนนั้นเรากำลังอัดเพลงร้องเพลงไปด้วยกันอยู่ พอลุงเชาเต้น ทุกคนก็ตื่นเต้น แบบ เฮ้ย ลุงเชาเต้นเว่ย แต่ละยกมือถือมาถ่ายกันหมดเลย
แม็ก: เป็นโมเม้นต์ที่เรารู้สึกว่า นี่แหละ ความฟินของการมาจาไมก้า มันคือสิ่งนี้นี่เอง ไม่ใช่เรื่องบันทึกเสียงอะไรเลย แต่ขากลับเราเกือบจะไม่ได้กลับบ้าน เราเกือบไปติดคุกที่อังกฤษครับ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าไอ้สายการบินที่เราจะขึ้นเนี่ย มันอยู่ตึกไหน ใครก็บอกไม่ได้สักคนเดียว มันเป็นฟีลเหมือนสนามบินอู่ตะเพาอะไรอย่างงั้นอะครับ คือถามใครก็บอกไม่ได้
รุจน์: คือไปถามตึก A ก็บอกไปตึก B มาตึก B บอกให้ไปตึก A อยู่อย่างงี้เลยครับ แล้วคือมันเดินไปไม่ได้ ต้องนั่ง shuttle bus จนคนขับรถบอกว่า รอบนี้คงไม่เห็นคุณอีกแล้วนะ
ต้อนรับเดือนเมษายน เดือนแห่งวันกัญชาโลก พี่ ๆ คิดยังไงกับเรื่องนี้ ( ในมุมมองภาพรวมแบบสากล )
รุจน์: ของผมเนี่ย เมื่อก่อนผมก็แอนตี้ จนกระทั่งได้มาลองศึกษาแล้วก็มีน้องคนที่มีความรู้ เขามาแนะนำว่าจริงๆมันเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ คือมันมีหลายสรพพคุณในแต่ละตัว ในแต่ละสายพันธุ์ มีทั้งแบบสูบเพื่อให้ครีเอท สูบเพื่อให้นอนหลับลึกขึ้น ถ้ามันไม่ถูกนำมาใช้ในปริมาณที่มันเกินไป ผมว่ามันน่าจะดี มันเหมือนเป็นสมุนไพรอะเนาะ แต่ว่าบ้านเรายังเน้นกันแบบ เมา เมา เมา
แม็ก: เรามองว่ามันเป็นของมึนเมาครับ เราพูดขึ้นมาว่า “กัญชา” หรือว่า “สายควัน” หรือว่าอะไรแบบนี้ มันก็ดูไม่ดีไปแล้ว หมายถึงว่าในมุมนึงอะครับ มันก็ดูเป็นมุมลบ แต่ในความจริงในมุมลบนั้น แน่นอนอย่างที่รุจน์พูดแล้วว่า มันเป็นสิ่งที่มีสรรพคุณทางยาหรือการแพทย์อยู่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยาเสพติดหลาย ๆ ชนิดอะครับ มันมีสรรพคุณทางการแพทย์อยู่แล้ว แต่เพียงขึ้นอยู่กับว่าเราเอาไปใช้ในวิธีไหน ในปริมาณไหน เท่านั้นเองครับ
เรื่องเกี่ยวกับกัญชาที่คนไทยยังเข้าใจผิด
แม็ก: ผมว่าเรื่องของการใช้เนี่ยแหละครับ ทั้งปริมาณการใช้และมุมมองที่มีต่อมัน ยังมองว่าเป็นสิ่งที่เป็นด้านลบอยู่ ซึ่งผมว่าถ้าจะให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องได้ ทางหน่วยงานของบ้านเราเองจะต้องมีการทำบอร์ดติดตามโรงเรียนว่าจริง ๆ แล้ว คุณประโยชน์และโทษของกัญชามันคืออะไร ซึ่งทุกวันนี้เราไปดูตามบอร์ดโรงเรียนหรือสื่อการเรียนการสอนเนี่ย กัญชามันยังอยู่ในฝั่งของเสพติดอยู่เลยนะครับ ทุกวันนี้ เวลายกตัวอย่างกัญชาให้เด็ก ๆ เนี่ย ยังเป็นภาพคนแบบ คนนั่งคีบบ้องในมุมมืด นั่งท่านี้อะครับ (ทำท่าให้ดู) นั่งมึน ๆ แล้วก็เป็นรูปกากบาท เนี่ยแหละครับ ที่สื่อการสอนมันเป็นการปลูกฝังหยั่งลึกว่ากัญชามันคือสิ่งไม่ดี ถ้าเราได้เสนอให้เห็นทุกด้านทุกมุม ว่าเราใช้มันเป็นยาได้นะ เราใช้ในปริมาณที่ไม่เกินไป มันให้ความรู้กันได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำมันหรือเปล่า เท่านั้นเองครับ
ถ้าพูดถึงประเด็นที่เขาว่า ‘กัญชาเสรี’ ไรงี้ พี่คิดว่าบ้านเราพร้อมไหม
รุจน์: ผมว่าบ้านเราพร้อม แต่คนยังไม่พร้อม
ถ้าเทียบมุมมองเรื่องกัญชา ของจาไมก้าและไทย เท่าที่พี่เห็นมันต่างกันมากน้อยแค่ไหน
แม็ก: กัญชาที่จาไมก้าเนี่ย 1 เหรียญ ตีเป็นเงินประมาณ 30 บาทไทย ได้ประมาณกำนึงเลยครับ เหมือนซื้อบุหรี่ดูดซองละ 200 บาทอะครับ ถามน้องที่รู้ เขาบอกว่าอยู่ได้เป็นอาทิตย์เลยครับ เพราะว่าบุหรี่ที่นั่นแพงมาก แล้วกัญชาที่นั่นถูกกฎหมาย ด้วยที่ถูกกฎหมายมันก็เลยเป็นของที่ไม่มีการแข่งกัน เหมือนเป็นของที่ปลูกกันได้ตามหลังบ้าน มีแพร่หลายปริมาณเยอะ แต่คุณภาพมันธรรมดาสู้ของที่อยู่ในประเทศที่ผิดกฏหมายไม่ได้ เพราะด้วยความที่เป็นของผิดกฎหมายด้วยอันนึง แล้วก็มีการแข่งขันสูงในการพัฒนาสายพันธุ์ที่ดี ที่พอได้ลองไปแล้วรู้สึกดีอะไรงี้ครับ แม้กระทั่งของในบ้านเราเนี่ย โดยคุณภาพโดยรวมทั่วไปเนี่ย ดีกว่าเยอะ
พี่คิดยังไงเวลาสำหรับนักฟังเพลงนักเสพเพลงสกา เร็กเก้ พอพูดถึงเพลงแนวนี้แล้วต้องมีกัญชา ต้องสูบแล้วฟัง พี่คิดยังไงกับเรื่องแบบนี้
แม็ค: หนึ่งเลยเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ครับ เราก็พบว่าบางครั้งมันพอดีกับว่าในบ้านเราวัยรุ่นหรือว่าหลาย ๆ คนเนี่ย มีไลฟ์สไตล์ประมาณนี้ พอเราเสพไปแล้วเราก็รู้สึกเหมือนมันต้องมีอะไรบางอย่างมารองรับอารมณ์ความพุ่งพล่านขณะนั้น พูดกันง่าย ๆ คือที่มันรองรับฤทธิ์ยา เราก็เลยต้องฟังเพลงอะไรงี้ครับ เราจะไปว่าก็ไม่ได้ด้วย ว่าแบบ ‘จริง ๆ มันไม่ต้องอย่างงี้ก็ได้นะ คือจะฟัง Super Glasses เนี่ย ไม่ต้องเสพย์ก็ฟังได้นะ’ มันเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนว่าจะเป็นแบบไหน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่จำเป็นที่จะอยากเข้าถึงเร็กเก้ สกา เหรอ ต้องไปเสพนู่นนี่นั่น แล้วอาจจะฟังได้อิ่มเอมมากกว่าด้วยซ้ำครับ ในทางกลับกันถ้าสำหรับคนที่จะใช้ก็ไม่ผิด
รุจน์: ผมเชื่อว่า ถ้ามันอยู่ในจุดที่เหมาะสม อย่างเช่นเราเป็นคนครีเอทีฟเนี่ย เราไปฟังแล้วมันจะนึกอะไรออก ผมเคยลองละ ผมพูดได้ พอมันไปโดนตัวที่มันครีเอตอะครับ มันเหมือนกับว่า พอฟังเพลงนึง ทั้ง ๆ ที่เราฟังแบบปกติ มันไม่อะไรเลย แต่พอเรากลับมาฟังเนี่ย เฮ้ย มันได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ แบบไปคิดเพิ่มต่อยอดอะไรอย่างงั้น แบบใช้ในเชิงการศึกษา อันนี้ไม่ได้เพื่อมอมเมาอะไร คือเป็นการรีแล็กซ์อะครับ
แม็ก: ย้อนกลับมาที่เรื่องกัญชา ที่มันเป็นปัญหา คือมันเป็นเรื่องของปริมาณกับการใช้ แล้วก็ขอบเขตในการใช้ สำคัญที่สุดคือคนใช้เพื่ออะไรมากกว่า ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
ช่วงสุดท้าย ช่วยฝากผลงานและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
แม็ก: หลายปีที่ผ่านมา หลายคนเข้าใจว่าวงเราแตกไปแล้ว บางคนก็ยังนึกว่าเราเป็นวง Kai-Jo Brothers มีคนโทรหาผม ผมบอก ‘ไม่ใช่ ผมวง Super Glasses’ เขาตอบกลับมาว่า ‘วงยังไม่แตกเหรอคะ’ คือถามอย่างงี้หลายคนมาก เอาจริง ๆ นะเป็นเรื่องที่แปลกมาก จนเราคิดว่าเราจะปลอมตัวเป็นไคโจบราเธอร์สไปรับงานแล้วด้วยซ้ำอะ แต่ด้วยปีนี้เราเลยลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างนึง เพื่อให้ทุกคนรู้ว่า วงเรายังเดินหน้าต่อ แล้วก็ปีนี้ นอกจาก Keep Skanking ที่ไปจาไมก้าเนี่ย เราอยากให้ทุกคนได้ฟัง โอเคเราขายซีดีไปแล้ว ที่งาน Cat Expo แต่เราก็ยอมรับว่ามันยังเป็นกลุ่มที่น้อยมาก แล้วเราเสียดายมัน เราอยากให้ทุกคนได้ฟังมันโดยทั่วกัน ไม่ว่าจะโลกออนไลน์หรืออะไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ในปีนี้ที่เราจะได้เห็นคืออัลบั้ม Keep Skanking ที่อยู่ในสตรีมมิ่งทั้งหมด สามารถหาฟังได้ทั่วไป เน้นอยากเผยแพร่มัน สเต็ปต่อไปคือผลงานใหม่ของพวกเราในปีนี้ด้วย พูดง่าย ๆ คือ ปีนี้จะเป็นปีที่สนุกมาก ๆ สำหรับคนที่คิดถึง The Super Glasses Ska Ensemble ครับ เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนเป็นต้นไป แล้วที่เหลือที่ผมได้เล่าไปจะตามมา ทั้ง Keep Skanking ทั้งผลงานใหม่ ทั้งสารคดีที่เราไปจาไมก้า คือหลังสงกรานต์แล้วเจอกันยาวเลยครับ อยากให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ
แล้วเตรียมพบกับผลงานใหม่ของพวกเขา 25 เมษายน นี้ ติดตามได้ที่ เพจ : www.facebook.com/spgska/ และ www.facebook.com/SanamluangMusicOfficial/