Vaporwave + music + design + ??? = The ███████
- Writer: Montipa Virojpan
- Photograph : The ███████
ตอนที่เพลง Shelter ถูกปล่อยออกมาแรก ๆ หลายคนคงงงว่าจะเรียกชื่อวงแถบดำ ๆ เจ้าของเพลงนี้ว่าอะไร จนตอนหลังทางวงได้เปลี่ยนชื่อเพจเป็น “The Black Codes” คราวนี้เลยร้องอ๋อโดยทั่วกัน แต่โฉมหน้าของนักดนตรีเบื้องหลังวงนี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี
แต่ช่วงหลังมานี้จะเห็นได้เห็นว่า The ███████ เริ่มมีงานแสดงสดมากขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปเจอตัวจริงของเขา แต่ก่อนจะไปเห็นหน้าค่าตา เราขอพาเขามาทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการที่นี่ก่อน
The ███████ คืองานของ จิม – กานต์ปพนธ์ บุญพุฒ ที่บางคนอาจคุ้นเคยเขาในชื่อ snuffvideo ที่ทำเพลงแนวโฟล์กอะคูสติกมาก่อน โดยเขาก็เล่าความเป็นมาก่อนที่จะมาเป็นวงแถบดำนี้ให้เราฟัง
“ในตอนแรก The ███████ เป็นโปรเจกต์ที่เอาไว้ refresh หาไอเดียใหม่ ๆ เพื่อที่จะทำ snuffvideo น่ะครับ แต่ทำไปทำมาก็รู้สึกว่า เออ มันคนละ direction กันแล้วล่ะ เลยต้องหาอะไรมารองรับส่วนที่ทำไว้แล้วตรงนี้ มันเลยกลายเป็นที่มาของ The ███████ นี่เองครับ อันที่จริงก่อนจะใช้ชื่อนี้มันเคยชื่อว่า “anyone out there” มาก่อน เป็นชื่อแรก ๆ ที่นึกได้ หลังจากนั้นผมบังเอิญได้ฟังวงในสาย vaporwave แล้วเกิดสนใจใน movement พวกนี้ขึ้นมา คำจำกัดความของ vaporwave สำหรับผมมันคือ “ความกวนตีนของเด็กกลางห้อง” คือเด็กหน้าห้องมันจะเป็นพวกโดดเด่น ๆ ขยัน ๆ เด็กหลังห้องจะเป็นเด็ก bad boy เท่ ๆ หน่อย ส่วนเด็กกลางห้องจะเป็นคล้าย ๆ เด็กจืดจาง ติ๋ม ๆ อ่านมังงะ เล่นไพ่ยูกิ อะไรแบบนั้น แต่ถ้ามันกวนตีนขึ้นมามันจะดูเจ๋งเป็นบ้า (หัวเราะ) ซึ่งผมอาจจะเป็นคนแบบนั้นด้วยมั้งครับ ผมเลยชอบ ทีนี้พวกวง vaporwave จะใช้ชื่อวงแปลก ๆ ซึ่งมันเปลี่ยนวิธีคิดหลายอย่างของผมไปโดยทันทีเลยว่า เออ ทำไมชื่อวงจะต้องเป็นตัวอักษร (A-Z) ด้วย ทั้งที่มันมีสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่ดูเป็น visual แล้วตรงนี้มันก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมเรียนมาพอดี (ผมเรียนพวกออกแบบนิเทศศิลป์มาน่ะครับ) นอกจากว่ามันจะสื่อถึงตัวตนของผมได้แล้ว มันยังสามารถเป็นโลโก้ได้ในตัว ซึ่งมันตอบโจทย์แทบทุกอย่างที่ผมต้องการ
“ก่อนหน้านี้ผมอยู่กับดนตรีที่ใช้ กีตาร์ เบส กลอง มาตลอด สำหรับดนตรีอิเล็กทรอนิกนี้ผมรู้สึกว่ามันใช้ mindset คนละอย่างกับดนตรีที่พวกนั้น ตรงที่ดนตรีอิเล็กทรอนิกมันไม่ได้มองว่าดนตรีคือการ organize พวก harmony น่ะครับ แต่มันมองว่าทุก ๆ คือการ organize sound ของมันอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น พวกเสียงกลองอาจจะมาจากการขยำแก้วน้ำพลาสติก แล้ว manipulate มันให้เป็นจังหวะแทนกลองก็ได้ ซึ่งหลาย ๆ อย่างของดนตรีอิเล็กทรอนิกมันทำให้ผมมองโลกกว้างขึ้นด้วย อย่างเมื่อก่อนผมจะแอนตี้พวกการใช้ sample เพราะเชื่อว่าดนตรีที่มัน original มันควรจะมาจากตัวผมเองเล่นเองล้วน ๆ ซึ่งงาน design ที่ผมเรียนมา มันบอกผมว่าโลกนี้มันไม่มีอะไร original อย่างแท้จริงเท่าไรหรอก การนำวัตถุดิบจากแหล่งอื่น ๆ มาทำขึ้นใหม่ในแง่หนึ่งมันก็คือ original ได้เหมือนกัน ซึ่งตรงนี้มันทำให้ผมยอมรับความเห็นคนอื่น ๆ มากขึ้นด้วย ผมเลยสนใจตรง concept ของมันมากกว่า ถ้าลองฟังเพลงของผมมันจะไม่ค่อยอิเล็ดทรอนิกจ๋า แต่เหมือนเป็นการยำ ๆ อะไรที่ผมชอบฟัง จะเป็นพวกซาวด์แปลก ๆ หน่อยอย่าง Boards of Canada, Oneohtrix Point Never อะไรแบบนั้น แล้วพวกวิธีคิดของสาย experimental, avant-garde, minimalism อะไรพวกนี้มันก็มีอิทธิพลต่อแนวคิดในการทำงานของผมมากทีเดียว จน output มาเป็นอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือแนวอะไร ซึ่งโอเคตรงนี้มันก็สื่อถึง แถบดำ ๆ ได้ในทางหนึ่งเหมือนกันน่ะครับ”
นอกจากซาวด์ดนตรีที่โดดเด่นในงานของเขา อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ artwork ของแต่ละซิงเกิ้ลที่ทำออกมาได้อย่างแยบยลไม่แพ้กัน จิมจะมาไล่เรียงให้ทราบโดยละเอียดว่าในแต่ละซิงเกิ้ลเขาต้องการจะเล่าเรื่องอะไรผ่านงานออกแบบเหล่านี้
Shelter
“ตอนที่เพลงนี้ปล่อยออกมาเป็นช่วงที่ผมทำธีสิสแล้วกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ตอนที่อยู่ที่นั่นผมรู้สึกว่ามันปลอดภัย สบาย ไม่มีใครทำอะไรเราได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วสักวันหนึ่งเราก็ต้องออกไปจากพื้นที่นี่อยู่ดี ซึ่งมันก็ metaphor ถึงการเปลี่ยนแนวดนตรีจากโฟล์กมาเป็นอิเล็กทรอนิกด้วยเหมือนกัน คล้าย ๆ การออกจาก comfort zone ของตัวเอง
“ปก version แรก ๆ จะเป็นคล้าย ๆ รูปคน เปลี่ยนไปเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นแถบเหมือนโลโก้ The ███████ สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่บางสิ่ง อันนี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจากงานของ Shigeo Fukuda น่ะครับ แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ลงตัว พอมาลองดูท่อนนึงในเพลง มันจะร้องว่า ‘There was a buried universe’ ซึ่งไอเดียตรงนี้มาจากการที่ผมขึ้น BTS แล้วผมลองหรี่ตามองพื้น มันเป็นประกายคล้าย ๆ ดวงดาวที่ถูกกลบฝัง ตอนแต่งเพลงเลยนึกถึงคำ ๆ นี้ขึ้นมา ซึ่งมันก็เลยถูกเอามาประยุกต์ใช้กับหน้าปกในที่สุด คล้าย ๆ กับที่บ้านจะมี universe ของเราที่ถูกฝังอยู่อะไรแบบนั้นน่ะครับ”
‡‡‡‡‡‡
“เนื้อเพลงผมใช้วิธีให้เพื่อนหารูปภาพอะไรก็ได้มาจำนวนหนึ่ง แล้วผมจะสุ่มเลือกมาใบนึงเพื่อนำมาเขียนเนื้อเพลง ซึ่งวิธีแบบนี้ Brian Eno เคยบรรยายในหัวข้อ ‘Composers as Gardeners’ ไว้ว่า ‘Instead of trying to organize it in full detail, you organize it only somewhat and you then rely on the dynamics of the system to take you in the direction you want to go.’ ซึ่งรูปที่ผมเลือกมันเป็นรูปคล้าย ๆ มุมที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ผมก็จินตนาการต่อไปว่ามันน่าจะเป็นหน้าต่างรถไฟนะ
“ทีนี้เลยนึกไปถึงเพลงที่ผมชอบมาก ๆ เพลงนึงของ John Mayer ที่ชื่อเพลง Stop This Train ที่เป็นหนึ่งใน soundtrack ประจำชีวิตเลย เนื้อเพลงมันเลยพูดถึงการมุ่งหน้าไปยังสิ่งที่เราไม่รู้เหมือนกันว่าจะพาเราไปไหน แล้วด้วยความที่มันพูดถึง “สิ่งที่อยู่ภายใน” ก็เลยคิดว่าเอาเป็นภาพภายในรถไฟแล้วกัน แล้วก็มาเลือก direction ว่าการเดินทางไกล รถไฟมันควรจะเป็นที่นั่งแบบไหนถึงจะเหมาะ จนได้ออกมาเป็นปกอย่างที่ได้เห็นกันน่ะครับ สำหรับชื่อเพลง ปกติผมจะเลี่ยงที่จะพูดชื่อเพลงนี้ แต่บางครั้งผมจะเรียกตามความเข้าใจเอาเองว่า trainsong น่ะครับ ส่วนเรื่องการใช้สีในซิงเกิ้ลก่อนหน้ากับอันนี้จริง ๆ แล้วมันบังเอิญน่ะครับ ผมคงชอบโทนสีนั้นพอดีช่วงนั้น ตอนที่ทำอันนี้แค่รู้สึกว่า ถ้าเป็นบนรถไฟท้องฟ้าแบบไหนจะดูสับสน ๆ ครุ่นคิด ๆ มันเลยเป็นสีน้ำเงิน ๆ ครับ”
Warp Portals
“ตอนที่ทำเพลงนี้ผมนึกถึงอยู่คำเดียวเลยคือ Warp Portals ที่ได้มาจากแร็กนาร็อก (หัวเราะ) เลยยึดคำนี้เป็นแกนหลัก แล้วค่อย ๆ เขียนเนื้อเพลง ซึ่งเนื้อเพลงผมจะพูดถึงว่า ตอนนี้มันเป็นยุคที่เราสามารถเดินทางไปญี่ปุ่นในเวลาเท่า ๆ กันกับที่เรานั่งรถไปบุรีรัมย์ ระยะทางมันไม่ได้มีความหมายเหมือนเมื่อก่อนแล้วที่เวลาจะไปเรียนต่อต้องถือพวงมาลัยไปคล้องก่อนขึ้นเครื่อง สิ่งที่สำคัญกว่านั้นเลยคือใครที่พร้อมที่จะเดินทางไปกับเราด้วยมากกว่า
“ปกซิงเกิ้ลอันนี้ในตอนแรกจะมีลูกเต๋าอันเดียว ซึ่งลูกเต๋าก็มาจากเนื้อเพลงที่ว่า ‘You can roll your dice let it guide us there’ ในภายหลังจึงเพิ่มจำนวนลูกเต๋าขึ้นมาให้มันดูมีเส้นทางมากขึ้น ถ้าลองสังเกตดี ๆ ในวิดิโอ ท่อนแรก ๆ จะมีผู้ชายเพียงคนเดียว พอท่อนหลังจึงมีคนมาเพิ่มอีกคนนึง”
▸ Delete
“เพลงล่าสุดเป็นเรื่องของการตัดสินใจในเรื่องบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ การเริ่มต้นใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันเลยออกมาเป็นแบบนั้น ซึ่งถ้ามองกันจริง ๆ เนื้อเพลงของผมมันค่อนข้างจะเป็นการ struggle agaisnt บางอย่างภายใน เหมือนกับการทำเพลงมันจะช่วยให้ผมรู้สึกโอเคขึ้นน่ะครับ
“ปกซิงเกิ้ลนี้ใช้เวลาคิดนานมาก ๆ ในตอนแรกให้เพื่อนช่วยทำ แล้วไป ๆ มา ๆ คิดว่าตัว concept ที่เพื่อนทำมาให้มันดูมีความเป็น Warp Portals ไปนิดนึง ผมเลยเอาส่วนหนึ่งมาพัฒนาต่อเอง ถ้าสังเกตภายในปก สิ่งที่บรรจุมันจะแทนค่า memento จริง ๆ ลองวาดคล้าย ๆ หัวคนมาใส่แล้วพบว่ามันดูโหดเกินไปเลยเอาออก (หัวเราะ) ซึ่งในที่สุดแล้วมันจะดูขัดแย้งกับแนวเพลงมาก ๆ มันมีความกวนตีนในแบบ vaporwave คืออยากให้มันดู เฮ้ย ตกลงมึงจะเอายังไงกันแน่เนี่ย (หัวเราะ) อยากให้คนที่เห็นรู้สึกสับสนแบบที่ผมรู้สึกน่ะครับ”
จากตรงนี้ เรารู้สึกว่าเขาเป็นศิลปินที่ทำเพลงไม่กี่คนในบ้านเราที่เอาคอนเซปต์ art and design มาใส่ในงานเพลงเพื่อให้ภาพของวงเข้มแข็งขึ้น
“ผมเคยอ่านเจอประมาณว่า เมื่อก่อนคนที่แต่งเพลงกับคนที่จะ output ขั้นสุดท้ายออกมามันคือคนละคนกัน เพราะงั้น concept บางอย่างมันจะสูญหายไประหว่างทาง ตัวอย่างเช่น นาย A แต่ง score เพลง ๆ หนึ่ง ต่อมาส่งให้นาย B, C, D เอาไปเล่น แล้วส่งต่อไปยังนาย E เพื่อให้มิกซ์เสียง สุดท้ายมันอาจจะไปจบที่นาย Z ซึ่งเอาเข้าจริงมันอาจไม่ใช่ในแบบที่นาย A ต้องการไว้ตั้งแต่แรก ต่อมาเทคโนโลยีมันก็เข้ามาช่วยตรงส่วนนี้ให้นาย A สามารถกระทำต่อผลงานได้โดยตรง (คือถ้านาย A เค้าขยันเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ เองได้นะ) พอมายุคปัจจุบันเราสามารถทำเองได้ตั้งแต่แต่งเพลงยันทำ artwork ซึ่งผมว่ามันก็มีข้อดีข้อเสียอยู่เหมือนกัน ข้อดีคือเราควบคุม output ของเราได้แทบทั้งกระบวนการ แต่ข้อเสียมันก็มีอยู่ เท่าที่นึกออกเร็ว ๆ คือ มันจะไม่มี element บังเอิญ ๆ กระเด็นเข้ามาในงานมั้งครับ (หัวเราะ)”
ทีนี้เรามาพูดคุยถึงตอนที่เขาได้ออกมาพบปะกับแฟนเพลงทั้งทางตรงและทางอ้อมกันดีกว่า
ตอนเพลงออกมาแรก ๆ คนถามถึงเยอะไหมว่าเป็นใครมาจากไหน
ตอนแรกผมโพสผ่านเพจ snuffvideo ส่วนหนึ่งคนอาจจะรู้แค่ว่า The ███████ คือ snuffvideo น่ะครับ เพราะผมไม่ค่อยมีเพื่อนนักดนตรีเท่าไร เลยไม่ค่อยมีคนรู้จัก (หัวเราะ)
ก่อนหน้ามีคลิป snuffvideo คัฟเวอร์ The ███████ จะมีโอกาสกลับมาทำ snuffvideo อีกไหม
คลิกที่ภาพเพื่อชมวิดิโอ
จริง ๆ มีเพลง snuffvideo ที่แต่ง ๆ ไว้ แต่ยังไม่ได้อัดอยู่บ้าง แต่อันนั้นคงต้องหลังจากที่อัลบั้มของ The ███████ เสร็จแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้จะมีคนรอฟังไหมเหมือนกัน (หัวเราะ)
ตอนไปเล่นสดแรก ๆ เป็นไงบ้าง
ตอนแล่นสดมีเพื่อนที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.กรุงเทพ มาช่วยเล่น ปัญหาที่เจอคือการเซ็ตของ ซึ่งมันใช้เวลานานมากกกกกก คือเอาจริงเซ็ตของเหนื่อยกว่าเล่นอีกครับ ผมก็พยายาม keep it simple ด้วยการยกเซ็ตไปทั้งเซ็ต ต่อสายให้น้อยที่สุด อะไรที่ไม่ได้ใช้หรือใช้น้อยก็ไม่เอาไป อะไรแบบนี้น่ะครับ แต่สุดท้ายก็ใช้เวลาอยู่ดี (หัวเราะ) ก็พยายามเรียนรู้ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เล่นครับ
โชว์ไหนที่เล่นแล้วประทับใจที่สุด
ส่วนตัวผมชอบที่ลาดกระบังสุดนะครับ อาจจะเพราะว่าเล่นมาประมาณนึงแล้วตื่นเวทีน้อยลง เล่นผิดน้อยลง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีขึ้นน่ะครับ แล้วน้อง ๆ ที่มาติดต่อก็แทคแคร์ดีมากเลย
ได้ไปร่วมงานกับ Practical Design Studio ด้วย
การไปร่วมงานกับ Practical มาจากพี่หมูเล็ก เขาเคยฟังเพลงผมจาก snuffvideo แล้วติดตามมาเรื่อย ๆ จนถึง The ███████ แล้วทีนี้ทางออฟฟิศพี่หมูเล็กเค้ามี exhibition ครบ 12 ปี ซึ่งมันเป็นงาน conceptual มาก ๆ พี่เขาก็นึกถึงผมเลยติดต่อมาครับ ซึ่งเขาจะนำ concept ที่ได้มานอกเหนือจากงาน graphic design แล้วพัฒนาไปสู่พื้นที่อื่น ๆ มันเลยนำไปสู่การทำงานร่วมกับทีมเต้นจาก Bangkok City Ballet และทางผมเองตามลำดับน่ะครับ เป็นงานที่สนุกมาก ๆ
เร็ว ๆ นี้จะมีเพลงใหม่กับอัลบั้มเต็มให้ได้ฟังกันหรือเปล่า
มีแน่นอนครับ จริง ๆ เพลงใหม่เสร็จไปแล้ว เหลือทำปกเนี่ยแหละครับ คิดไม่ออก ใครอยากทำปกบอกผมได้นะครับ ยินดี (หัวเราะ) ส่วนอัลบั้มผมตั้งใจไว้ว่าภายในปีนี้แน่นอนครับ ยังไงอย่าเพิ่งลืมกันนะครับ
The ███████ ฝากผลงานของเขาให้ได้ฟังไว้แล้วในฟังใจ กดเข้ามาฟังกันได้ ที่นี่ และติดตามความเคลื่อนไหวของเขาได้ทาง https://www.facebook.com/Theblackcodesband