Princess Nokia ปลดแอกความเกรี้ยวกราดของหญิงสาววัย 25 ผ่านไรห์มแร็ปดุดัน
- Writer: Montipa Virojpan
- Photos: LoveDa Records Thailand
มีอยู่น้อยครั้งที่แร็ปเปอร์หญิงจะถูกพูดถึงในแวดวงฮิปฮอป โดยเฉพาะกับแร็ปเปอร์หญิงที่เป็นเฟมินิสต์ ระเบิดความหงุดหงิดของหญิงสาวที่ถูกกดทับในสังคมออกมาได้เผ็ดร้อน วินาทีนี้เราเลยต้องหลีกทางให้กับ Princess Nokia ศิลปินชาวแอโฟรโปโตริกันอเมริกันที่กล้าลุกขึ้นมาถ่ายทอดสิ่งที่เธอคิดโดยไม่สนใจคำครหาและคำสบประมาทจากคนรอบข้าง เพราะหลังจากประสบความสำเร็จจากอัลบั้ม 1992 ที่ทำให้เธอดังกระฉ่อนแล้ว งานชุดล่าสุด Girl Cried Red อาจจะต้องใช้คำว่า ‘หลบหน่อยแม่จะเดิน’
Destiny Nicole Frasqueri กลับมาอาศัยอยู่กับยายของเธอหลังจากถูกทำร้ายร่างกายจากผู้ดูแลในสถานเยาวชนสมัยเป็นวัยรุ่น เพราะตอนเด็ก ๆ เธอต้องสูญเสียแม่จากการติดเชื้อ HIV และทำให้เธอเริ่มเขียนไรห์มครั้งแรกในชีวิตตอนอายุ 16 ปี กับเพลงที่ชื่อ Destiny โดยให้ชื่อตามชื่อจริงของเธอเอง ก่อนหน้านี้เธอมีผลงานอยู่ใน Soundcloud โดยใช้ชื่อว่า Wavy Spice แน่นอนว่าเรื่องราวที่เล่าในเพลงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเธอ ซึ่งในช่วงปี 2012 นี้เองทำให้เธอเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากเพลง Yaya ที่เป็นภาษาอังกฤษและภาษาถิ่นของเผ่า Taino ซึ่งเธอสืบเชื้อสายมา แปลว่า ‘จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่’ ซึ่งสะท้อนแนวคิดที่เธอภูมิใจในสายเลือดและความรุ่มรวยวัฒนธรรมของสังคมผิวสี จากนั้นก็เข้าอยู่ในสังกัด Vice Records พร้อมออกอัลบั้มชื่อ Metallic Butterfly ที่เต็มไปด้วยเพลงเกี่ยวกับจินตนาการและโลกในอุดมคติ รวมถึงการที่เธอสามารถพรรณนาถึงความภูมิใจในคุณค่าความเป็นผู้หญิงจากฐิ่นฐานเดียวกัน หลังจากนั้นจึงปล่อยงานดิสโก้/โซลชุด Honeysuckle ในปี 2015 ที่เธอเริ่มเผยความความโกรธเกรี้ยวและเรื่องน่าเบื่อหน่าย การถูกกดขี่ของคนผิวสีที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกัน การแสดงออกในฐานะผู้หญิงที่มีความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างจากเพศไหน ๆ ไปจนถึงการพร่ำพรรณนาความรู้สึกหรือความเสี้ยนแบบตรงไปตรงมา ดังเช่นในเพลงชื่อหอมหวานน่ารักอย่าง Apple Pie เธอก็อบมันออกมาให้กลายเป็นเพลงรักสุดสยิวฟังไปเขินไปก็ได้ นี่มันพายแอปเปิ้ลใส่พริกสิบเม็ด เผ็ซสุด ๆ
เท่านั้นยังไม่พอ อัลบั้ม 1992 ของเธอที่มีเพลงดังทั้ง Tomboy (ที่ในเนื้อเพลงก็ร้องว่าตัวเองนมเล็ก!), Kitana, Brujas โดยเธอเคยบอกว่าเพลงส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจมาจากเมืองที่เธออยู่หรือก็คือนิวยอร์กทั้งสิ้น ซึ่งละแวกที่เธออาศัยอยู่ก็มี queer community ซึ่งเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่ขับเคลื่อนมันผ่านบทเพลงและงานศิลปะของเธอ และในมิวสิกวิดิโอเหล่านั้น เดสทินี่มักจะปรากฏตัวออกมาในลุคต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปตลอด เป็น alter ego ที่เราคาดเดาไม่ได้แบบอยากทำอะไรก็ทำ ถือเป็นการเริ่มปลดแอกทุกข้อผูกมัดในสังคมโดยเริ่มที่ตัวของเธอเอง อะ มาลองดูกัน
แนวเพลงของเธอที่แม้จะเน้นหลักเป็นแร็ป แต่ก็มีบางเพลงที่เป็นป๊อปฟังสบายหรือเพลงที่มีทำนองเป็นโซลใน Green Line, ABCs of New York หรือ Soul Train นี่คือการไม่พยายามตีกรอบให้ตัวเอง แม้แต่เพลงในอัลบั้ม 1992 Deluxe ที่เป็นส่วนขยายของงานหลักก็มีเพลงที่ชื่อ Chinese Slippers ที่บทจะแร็ปถึง KFC, Pizza Hut, Mc Donalds ก็ร้องออกมาเป็นบาร์ ๆ ได้ อยากเป็นอะไรก็เป็นที่แท้ ซึ่งภาพปกอัลบั้มล่าสุด Girl Cried Red ก็เรียกว่าน่าจะนำเสนอตัวตนและความคิดของเธอได้ดีที่สุดเหมือนกัน
นอกจากงานเพลงที่นำเสนอตัวตนของเธอเองแบบไม่มีปิดบังจุดยืนขนาดนี้แล้ว เธอยังมีโปรเจกต์ที่ชื่อ ‘Smart Girl Club’ ที่ทำร่วมกับเพื่อนอีกสองคน โดยเป็นกลุ่มสร้างสรรค์ที่มั้งทั้งเวิร์กช็อป งานอ่านบทกวี และพอดแคสต์ ที่พยายามสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวระหว่างผู้หญิงโดยไม่แบ่งแยกรูปร่าง สีผิว และรสนิยมทางเพศ ผ่านงานศิลปะและกิจกรรมที่จะได้ทำร่วมกัน เพื่อเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเฟมินิสต์ในสังคมเมือง เพราะหลายครั้งหลายคราที่ผู้หญิงในนิวยอร์กถูกปฏิบัติโดยไม่ได้รับการปฏิบัติหรือเคารพฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน หรือบางครั้งสิทธิเสียงในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้ถูกเปิดโอกาสให้เท่าที่ควร ก่อนหน้านี้เธอถูกพูดถึงในฐานะคนที่กล้าเผชิญหน้ากับคนเหยียดผิว โดยออกคลิปไวรัลและจัดฉากในการแสดงเพื่อสนับสนุนให้ทุกคนที่กำลังถูกลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเอง
“สำหรับฉันแล้ว Smart Girl Club คือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับฉันที่จะได้ปลดปล่อยและเปลี่ยนความโกรธหรือเรื่องน่าหงุดหงิดต่าง ๆ ให้เป็นพลังบวก ซึ่งฉันว่าการมีพื้นที่ปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญเสมอ คือเราสามารถรู้สึกโกรธได้ แต่เราก็ต้องมีวิธีที่ดีสำหรับการบำบัดความโกรธนั้นด้วย เพราะฉันรู้ว่าความรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือการไม่มีพื้นที่สำหรับตัวเองนั้นเป็นยังไง ในฐานะที่ฉันเป็นผู้หญิงผิวสียุคใหม่ ฉันคิดว่าเสียงของเรา ความคิดของเรา คุณค่าของเราควรได้รับความเข้าใจ ควรถูกได้ยิน ควรถูกนับรวมเข้าไปในทุกการตัดสินใจ ควรได้รับการเคารพและให้เกียรติ”
อ่านมาถึงตรงนี้คิดว่า Princess Nokia เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจแล้วหรือยัง ลองไปดูมิวสิกวิดิโอตัวล่าสุดที่เพิ่งปล่อยมาเมื่อเดือนก่อนเลยละกัน แค่เฟรมภาพที่นำเสนอก็ไม่เหมือนใครแล้วยังนำเสนอภาพบรรยากาศของผู้คนที่มีความผูกพันกับถิ่นที่ที่เธอเติบโตมาแม้จะเต็มไปด้วยความทรงจำที่ไม่สวยงามนัก แต่เธอก็เลือกจะนำเสนอความเป็นไปของมันมาโดยตลอด