“กูไม่ได้อยากเป็นแร็ปเปอร์ กูอยากเป็นโยโกะโอโนะ!” ชีวิตสุดปั๊วะปังของ Mykki Blanco
- Writer: Peerapong Kaewthae
- Art Director: Thanaporn Sookthavorn
กระแสฮิปฮอปเข้ามาครองพื้นที่สังคมในเมืองไทยได้เป็นที่เรียบร้อยจากรายการประกวดแร็ปชื่อดังสองรายการที่ออกอากาศอยู่ตอนนี้ ก็เป็นข้อดีที่ทำให้เราได้เห็นความหลากหลายในตัวแร็ปเปอร์ทั้งแร็ปเปอร์ผู้หญิง หรือแร็ปเปอร์ผู้ชายอ้วนน่ารัก ไม่ได้หล่อตามค่านิยม ตามมาด้วยสไตล์การแร็ปที่แตกต่างกันหรือการใช้น้ำเสียง และภาษาถิ่นในการแร็ปได้น่าสนใจ ทำลายภาพจำของแร็ปเปอร์แบบเก่า ๆ ไปหมด
เวลาใครพูดถึงแร็ปเปอร์ซักคนหนึ่ง ในจินตนาการของเราอาจคิดถึงแร็ปเปอร์มาดดุ น่าเกรงขามสไตล์แก็งสเตอร์ แต่งองค์ทรงเครื่องสไตล์ฮิปฮอปโอเวอร์ไซส์ที่พร้อมจะใช้ฝีปากฟาดทุกอย่างที่ขวางหน้าให้พังทลาย หรืออาจนึกถึงแร็ปเปอร์เท่ ๆ ที่แต่งตัวเนี้ยบ ๆ ดูมีรสนิยม ห่มด้วยแบรนด์เนมทั้งตัว แต่เราอยากให้โลกรู้จักแร็ปเปอร์อีกคนที่ก้าวข้ามกำแพงของเพศสภาพและท้าทายทุกกรอบความคิด ฉีกทุกคำจำกัดความและมายาคติในโลกฮิปฮอปทิ้งให้หมด เบ่งบานจนตัวของเขากลายเป็นศิลปะ ขอเชิญพบกับ Mykki Blanco
Michael David Quattlebaum Jr คือตัวตนจริงของเขาซึ่งฉายแววอัจฉริยะตั้งแต่วัยรุ่นในฐานะเกย์ผิวดำที่ตอนอายุ 15 งานแสดงครั้งแรกของเขาได้รับรางวัล หลังจากนั้นเขาหนีออกจากบ้านเพื่อมาทำตามความฝันในการสร้างศิลปะอะไรซักอย่างในเมืองใหญ่ ก่อนจะยอมกลับไปเรียนที่โรงเรียนศิลปะตามคำสั่งแม่แต่ก็เรียนไม่จบอยู่ดี จนพบว่าการเขียนกวีคือการสื่อสารสิ่งที่อยู่ในใจได้ง่ายที่สุด คำแนะนำที่ดีที่สุดที่เขาได้รับในตอนนั้นคือ “นายไม่ต้องดูเป็นคนที่ติสต์ที่สุดในห้องนี้ก็ได้ เพราะนายสามารถเป็นศิลปินได้” เขาจึงใช้เวลาหกปีไปกับการเขียนกวีและกลับมาตีพิมพ์บทกวีของเขาในชื่อ ‘From the Silence of Duchamp to the Noise of Boys’ ที่นิวยอร์กและได้รับความสนใจไปทั่วอเมริกา
ไม่นานเขาก็เปิดเผยอีกหนึ่งตัวตนหนึ่งในใจของเขาอย่าง Mykki Blanco บน YouTube ในฐานะวัยรุ่นสาวคนหนึ่งที่อยากเป็นแร็ปเปอร์เพื่อทำงานดนตรีและงานแสดงอีกรูปแบบที่ซับซ้อนและสื่อสารสิ่งที่อยู่ในใจของเขามากขึ้น ซึ่งใช้กวีในหนังสือของเขามาเป็นวัตถุดิบในการทำเพลงแร็ป เขาได้แรงบันดาลใจจากศิลปินมากมายทั้ง Lil’ Kim, GG Allin, Jean Cocteau, Kathleen Hanna, Lauryn Hill, Rihanna, Marilyn Manson และ Anaïs Nin. การแร็ปของเขาได้รับการสนับสนุนจากชาวเน็ตอย่างมหาศาลจนได้เดบิวต์ EP Cosmic Angel: The Illuminati Prince/ss. มิกซ์เทปอันแรกออกมา หนึ่งในเพลงที่ทุกคนพูดถึงคือ Haze.Boogie.Life ซึ่งแสดงให้เห็นถึงด้านที่ป่าเถื่อนของ Quattlebaum และด้านที่เซ็กซี่ของ Blanco แม้แต่นักวิจารณ์บางคนยังบอกว่าในปี 2012 ที่แร็ปเปอร์เกย์ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก เขาดูเอ็มวีของ Blanco แล้วก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังดูอะไรอยู่
เขาทดลองอะไรหลายอย่างบนเส้นทางนักดนตรีของเขา ทั้งการแต่งตัวแปลกแหวกแนวหรือการทำดนตรีแนวใหม่ ๆ ซึ่งเขาเชื่อว่าดนตรีสามารถเข้าถึงทุกคนได้รวดเร็วกว่าศิลปะแขนงอื่น ๆ และสร้างฐานแฟนคลับได้อย่างรวดเร็ว แต่เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถอีกมากมายที่อยากทดลองนอกจากการเป็นแร็ปเปอร์ ถึงกับประกาศว่าจะทำลายโครงสร้างในการทำเพลงแบบเก่าทิ้งไปให้หมด คนฟังจะต้องคาดหวังอะไรที่แปลกใหม่สุด ๆ โดยเขาปฎิเสธมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่ ‘gay rapper’ โดยเฉพาะคำว่า drag rap ที่เขาออกมายืนยันว่าไม่มีใครมาติดป้ายการเป็น transgender ให้เขาได้ เพราะแนวคิดที่ว่าตัวเองเกิดมาไม่ใช่เพศเดียวกับจิตใจใช้ไม่ได้กับทุกคน Mykki Blanco เป็นแค่อีกตัวตนหนึ่งของเขาเท่านั้น การเป็นทรานส์อาจจะง่ายกว่าในแง่ของการไม่ต้องเป็นเกย์ออกสาว แต่ยังไงเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นเกย์อยู่ แค่ Blanco คือการผจญภัยอันน่าค้นหาของเขา
เขามักจะแนะนำว่าตัวเอง riot grrrl หรือ queercore มากกว่าเพราะนอกจากท่อนแร็พที่ทรงพลังแล้ว เขายังมีพาร์ทของดนตรีที่สวยงาม รุนแรงและหลากหลายอีกด้วย สังเกตได้จากอัลบั้มต่อ ๆ มาของเขาทั้งอัลบั้ม Gay Dog Food หรือ Mykki ที่เติบโตทางดนตรีค่อนข้างชัดเจน แถมยังมีความดนตรีทดลองอยู่เยอะมาก อีกสิ่งหนึ่งที่คนมักตั้งคำถามคือการแต่งตัวของเขา เพราะเมื่อเขาเป็น Blanco คนจะมักคิดว่าเขาเป็นผู้ชายเกินไปที่จะเป็นผู้หญิงหรือทรานส์ แต่เขาก็ก้าวข้ามค่านิยมเหล่านั้นมาได้ หลายคนคิดว่าเขาแต่งตัวเพื่อเป็นกิมมิคให้ตัวเอง แต่ความจริงแล้วนี่คือตัวตนของ Mykki Blanco เขาอยากให้ทุกคนลบภาพ David Bowie, Marc Bolan หรือ Prince ไปให้หมด และเขาก็ไม่ใช่ RuPual ด้วย “ฉันเคยรู้สึกอาย แต่วันหนึ่งก็คิดได้ว่าทำไมฉันจะเป็นในสิ่งที่ฉันอยากเป็นไม่ได้” แต่สุดท้ายเขาก็ยอมรับได้ที่ทุกคนจะเรียกเขาว่า queer rap
แต่ 2015 เขาก็ออกมาประกาศข่าวช็อกโลกบนเฟซบุ๊กว่าในตัวเขามีเชื้อ HIV อยู่ ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่าเขารู้มาตั้งแต่เริ่มทำงานในนาม Mykki Blanco แล้วแต่เลือกที่จะไม่บอกใครกลัวว่าจะกระทบกับเส้นทางศิลปินของตัวเอง ส่วนหนึ่งที่ทำให้เขากล้าออกมาประกาศแบบนี้ เพราะเขาตัดสินใจว่าอาจจะเลิกทำเพลงต่อแล้วจากการหมดไอเดียในการทำเพลง และคิดว่าอาจจะต้องกลับไปเรียนต่อให้จบเสียที แถมยังมีปัญหากับค่ายเพลงที่เขาอยากออกอัลบั้มด้วย แต่ก็ยังมีข้อดีอยู่ในการประกาศครั้งนี้ เมื่อมองกลับไปเขาก็คิดได้ว่าเขาไม่เคยรักตัวเองเลย ทำได้แค่ปิดตัวเองและทำงานไปเรื่อย ๆ
หลังจากที่เตรียมใจแขวนไมค์และเลิกอาชีพนักดนตรีซักที แฟนเพลงก็ทำให้ Blanco เซอร์ไพรส์ได้ไม่หยุดจากคอมเมนต์ที่ให้กำลังใจอย่างล้นหลามและพร้อมที่จะซัพพอร์ตเขาต่อไป มันทำให้เขารู้ว่าเขาศรัทธาให้แฟนเพลงของเขาน้อยเกินไป ยอมแพ้กับมนุษย์เร็วเกินไป เขารู้สึกว่างานศิลปะทุกชิ้นที่เขาเคยทำกลับมามีค่าอีกครั้ง มันทำให้เขาอยากทำงานที่ดีขึ้นต่อไป
“เมื่อคุณถูกเรียกว่า ‘อีตุ๊ด’ มาตั้งแต่อายุ 6 ปี วันหนึ่งคุณก็จะหยุดร้องไห้และเริ่มแข็งแกร่งขึ้น” Blanco ให้สัมภาษณ์ “ผมเคยเป็นคนที่อารมณ์รุนแรงเพราะคิดว่าทุกคนจะปฎิบัติกับคุณอย่างไร้ค่ายังไงก็ได้ แต่ผมยอมให้สิ่งที่ผมเคยเจอหรือเคยเป็นมาทำลายตัวตนของผมในตอนนี้ไม่ได้ คนหลากหลายทางเพศหลายคนก็ต้องทนกับความรุนแรงและการเหยียดมาเป็นปี นั่นก็แปลว่าทุกคนสามารถเป็นศิลปินได้”
แต่สิ่งที่ Mykki Blanco ภูมิใจที่สุดในการเป็นศิลปินคือเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียกร้องสิทธิของคนหลากหลายทางเพศ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพูดมาตลอด แต่ก็ดีใจที่ดนตรีสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับนี้ได้เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว แม้เขาจะไม่ได้อวดว่าตัวเองเป็นเซเล็บ แถมยังวิตกกับความมีชื่อเสียงอีกด้วย แต่มันทำให้ความเห็นทางการเมืองของเขามีคนสนใจมากขึ้น หลังจากที่ Beyoncé ออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองเรื่องคนผิวดำถูกล่วงละเมิดมากกว่าคนผิวขาว ทำให้ Blanco เห็นความสำคัญของอำนาจตัวเองในฐานะศิลปินมากขึ้น และใช้มันเพื่อเปลี่ยนโลกให้น่าอยู่สำหรับทุกคน
ชีวิตที่แสนโลดโผนของ Blanco ทำให้เราเห็นความหลากหลายบนโลกใบนี้ว่าต่อให้เป็นเกย์ แต่งหญิงและเป็นแร็ปเปอร์ก็ยังมีที่ยืนบนโลกถ้าเขามีจุดยืนที่ชัดเจน และยังช่วยขับเคลื่อนสังคมได้ด้วย เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาจะโกรธมากถ้ามีใครถามว่าวงการฮิปฮอปยังเหยียดเพศอยู่รึเปล่า เพราะอย่าเหมารวมว่าวงการดนตรีไม่ได้เหยียดเพศแต่ให้โฟกัสเป็นคน ๆ ไปดีกว่า เหลือแค่เราจะเปิดใจและรับฟังพวกเขาหรือไม่แค่นั้นเอง โลกนี้ยังมีอะไรอีกเยอะที่เราไม่มีทางเข้าใจถ้าไม่ให้เวลากับมันมากพอ
อ้างอิง
From Runaway Teenager to Hip-Hop Queen
Rapper/poet Mykki Blanco: “I grew up wanting to be Yoko Ono”