จ่าหน้า Song 001 : Back to School
- Writer: Teeraphat Janejai
คลิกที่รูปเพื่อฟังเพลง เดี๋ยวก็ต้องกลับ – Lemon soup
ถึง : ทุกคนที่คิดถึงโรงเรียน
“ถ้ากลับไปใช้ชีวิตเหมือนตอนเรียนมัธยมฯ ได้ก็คงดีสินะ”
“ชีวิตตอนมัธยมฯ เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดแล้ว”
ข้อความปรากฏอยู่บนหน้านิวฟีดของผม ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เท่าไหร่ ออกจะเป็นข้อความที่ได้อ่านและได้ยินอยู่บ่อยๆ จนเฉยชาไม่รู้สึกอะไร
ด้วยความที่ทำอาชีพฟรีแลนซ์มาก่อนและบ้านก็ไม่ได้ห่างจากโรงเรียนเท่าไหร่ ผมจึงมีเวลาและโอกาสกลับไปเดินเล่นที่โรงเรียน กลับไปนั่งเล่นในมุมที่คุ้นเคย
แต่พอมาถึงวันที่เริ่มต้นชีวิตทำงานประจำ เข้าออฟฟิศตอนสายๆ กลับถึงบ้านตอนดึก ก็รู้สึกได้ว่าเรากำลังเขยิบตัวออกห่างอีกก้าวหนึ่ง ออกห่างจากจากตัวเราเองเมื่อตอนเรียนมัธยมฯ จากเพื่อน จากโรงเรียน บรรยากาศ และความทรงจำ (ความรู้ก็ด้วย)
“เออ คิดถึงโรงเรียนเหมือนกันว่ะ”
อาจเป็นจุดหมายของใครหลายคน ที่ยังหวังว่าสักวันจะเก็บกระเป๋าเพื่อกลับมาอีกครั้ง ชีวิตคงจะดีทุกวัน
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชีวิตตอนเรียนมัธยมฯ นั้นนับเป็นช่วงที่ดีที่สุดหรือเปล่า เพราะก็เป็นช่วงที่ทดลองทำทดลองใช้ชีวิตหลายๆ แบบแล้วก็นำมาซึ่งความฉิบหายและบทเรียนอยู่หลายครั้ง แต่ก็เพราะเรื่องราวที่หลากหลายเหล่านั้นจึงทำให้ได้เจอกลุ่มคนที่ยังคบหากันจนถึงทุกวันนี้
ไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่าเพื่อนสมัยมัธยมฯ เป็นเพื่อนแท้หรือเพื่อนที่สนิทที่สุดหรือเปล่า แต่ก็มั่นใจว่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่หากได้วนเวียนกลับมาเจอกันในงานสังสรรค์ครั้งใด ก็คงไม่ยากเกินไปนักสำหรับการเริ่มบทสนทนาพร้อมกับกอดคอดื่มไปด้วยกัน
แม้ว่าวันเวลาจะผลักใครบางคนออกจากชีวิต แต่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยหายไปจากกัน
อย่างมากก็แค่ห่างกันไกล
แม้ว่าทุกครั้งที่กลับไปโรงเรียนนั้น จะไม่มีภาพของเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่เสียงดังโวยวายเล่นบาสอยู่ที่สนาม แม้ว่าจะมองไม่เห็นเพื่อนผู้หญิงกลุ่มสนิทที่ชอบแอบซื้อขนมหน้าโรงเรียนเข้ามากินหน้าห้องสมุด แม้ว่าลุงยามหน้าโรงเรียนคนเดิมจะไม่ได้ยืนโบกรถส่งรอยยิ้มให้เด็กๆ แม้ว่าน้องหมาที่ชอบนอนรอให้ผู้คนที่ผ่านตรงป้อมยามทักทายและลูบหัวตัวเองจะหายไปแล้ว
แม้ว่าจะมองไม่เห็นเธอที่ปกติแล้วมักจะอยู่ไม่ไกลจากสายตา
ผมก็ยังชอบที่จะกลับไปโรงเรียนอยู่ดี กลับไปสูดกลิ่นความทรงจำและสิ่งที่ทนจำ
เพราะเราเชื่อว่าในที่ที่หนึ่งคงไม่อาจบรรจุไว้เพียงความรู้สึกดีๆ และก็ดูไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรกับการย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องที่ไม่ได้อยากจำนัก อย่างน้อยมันก็เป็นบาดแผลที่ทำให้เรารู้ว่าตัวเราเคยมีความรู้สึกอย่างมนุษย์ทั่วไป
ต่อให้มันสวยหรืองามเท่าไหร่ แต่เมืองนี้สำหรับฉันก็เพียงไว้ใช้ให้หมดวันเท่านั้น ที่ที่ฉันนั้นจากมาแค่อยากทิ้งมันไปก่อนให้ลับตา
ไม่จำเป็นต้องกลับมาเฉพาะงานคืนสู่เหย้า วันไหว้ครู ไม่จำเป็นต้องนัดหมายเพื่อนกลุ่มใหญ่มารวมตัว ถ่ายรูป แล้วก็ไปต่อที่บาร์สักแห่งใกล้ๆ
สำหรับผมแล้วการกลับไปโรงเรียนในช่วงวัยทำงานเสมือนการไปนั่งพักใจที่ชายทะเล (อาจจะรู้สึกแปลกว่าเราดันกลับไปเที่ยวในสถานที่ที่เคยขังไม่ให้เราออกไปเที่ยว) แม้ลมที่ปะทะกับหน้าจะไม่ได้หอบหิ้วกลิ่นน้ำทะเล แต่เป็นควันรถและไอร้อนแทนก็ตาม
โรงเรียนไม่ได้เป็นสถานที่วิเศษขนาดที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นสถานที่พิเศษที่พาเราท่องเวลากลับไปก็ได้ ในขณะที่โรงเรียนก็ย้ำเตือนให้เรายอมรับว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรจีรัง
อย่าว่าแต่สิ่งมีชีวิตที่ใครก็รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน เพราะแม้กระทั่งสิ่งไม่มีชีวิตอย่างสีของอาคารเรียน หรือเสาธงชาติที่เคยใช้นักเรียนชายหญิงเป็นผู้เชิญธง ทุกวันนี้ก็กลายเป็นระบบชักรอกด้วยไฟฟ้าไปแล้ว
ให้พอจะลืมว่าฉันได้หนีมาพ้น จากความรู้สึกล้าและเหนื่อยจากตรงนั้น ให้พ้นมาสักวันมันคงดี ฉันแค่หนีมาพักก่อน เมื่อพร้อมแล้วจะเดินไป เมื่อพร้อมฉันจะลืมได้ ขอบคุณที่ได้มาพบ แต่สักวันฉันก็ต้องกลับไป
โรงเรียน เป็นสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมบ่มเพาะให้เราอยากเป็นอยากทำอะไรสักอย่าง
ในวันที่เหนื่อยหรือท้อใจว่าชีวิตเหมือนไม่ก้าวไปไหนสักที ลองกลับไปโรงเรียนของคุณ มองบรรยากาศรอบๆ สลับกับมองตัวเองในปัจจุบัน
แล้วคุณอาจจะพบว่าคุณก้าวหน้าไปแล้วไม่น้อยเลย
27 กุมภาพันธ์ 2560
บนรถเมล์สาย 8