Kanont Charncliche (คนนท์ ชาญคลีเช่) นี่แหละ แร็ปเปอร์คนโปรดของเรา
- Writer: Montipa Virojpan
‘มันเป็นใครวะ’ คือสิ่งที่ก้องอยู่ในหัวเราระหว่างที่ไล่ฟังทุกเพลงของ Kanont Charncliche (คนนท์ ชาญคลีเช่) เพราะมันทั้งแปลกใหม่ แยบคาย และร้ายกาจ ถ้าใครยังไม่รู้จักเขาก็ไม่เป็นไร แต่เขาได้เล่าเรื่องราวเบื้องต้นเกี่ยวกับชีวิตของเขา (ในมุมที่เขาอยากให้เรารู้) ผ่านเพลงนับสิบที่ปล่อยออกมา ขอเชิญเลื่อนลงมาอ่าน และฟังเพลงของเขาไปพร้อม ๆ กัน เผื่อจะได้รู้จักคนคนนี้มากขึ้น
เราเห็นชื่อ คนนท์ ชาญคลีเช่ ครั้งแรกจากเพลง งานกลุ่มทำคนเดียว ที่รุ่นน้องส่งมาให้ฟัง เพลงนี้สามารถดึงความสนใจจากเราได้ทันทีเพราะเป็นเรื่องที่เราและหลาย ๆ คนน่าจะมีประสบการณ์ร่วม คือเวลาที่ครูให้ทำงานกลุ่มส่ง แต่สุดท้ายเหลือคนจบงานคนเดียว คือกู แถมยังต้องแบ่งคะแนนกับพวกที่ไม่ได้ทำอีก แต่ที่เราทึ่งไปกว่านั้นคือการเอาเหตุการณ์หนึ่งมาเล่าจนเห็นภาพเป็นฉาก ๆ แล้วการแบ่งวรรคคำ ดนตรี บีต ทุกอย่างมันชักนำให้เราต้องนั่งฟังต่อจนจบว่าบทสรุปของเรื่องจะเป็นยังไง
ประวัติบนโลกออนไลน์บอกเพียงว่า เขา ‘แร็ปไม่ค่อยเก่ง เน้นพูดเรื่องจริง’ แต่เราคิดว่าจริงแค่ครึ่งหลัง เพราะเรามาไล่ฟังงานเก่า ๆ ของเขา ตั้งแต่ EP The Hobby (2016) และอัลบั้ม Nomnam (2018) ก็พบว่าตานี่แร็ปเหมือนพ่นไฟ ในขณะเดียวกันเขาก็ได้แนะนำตัว เล่าชีวิตผ่านเพลง จนเราได้รู้ว่าเขาเป็นเด็กหาดใหญ่ แต่ต้องขึ้นมาเรียนที่ศาลายา และได้แรงบันดาลใจในการหัดแร็ป เขียนเพลง จาก rap battle รายการหนึ่ง โดยเพลงแรกที่ทำออกมาชื่อ จิปาถะ เขียนขึ้นเมื่อช่วงปิดเทอมสองของ ม.4 (อายุ 17 ปีเห็นจะได้)
เขาหยิบเอาสิ่งเล็กน้อยยิบย่อยในโรงเรียนมาเล่าเป็นเรื่องเป็นราวอย่างออกรสผ่าน EP The Hobby ในเพลง ธรรมดา ก็ทำให้เราเห็นบรรยากาศโรงเรียนยามเช้า เด็กบางคนไปกินข้าวเช้าในโรงอาหาร บางคนรีบปั่นการบ้านที่ยังไม่เสร็จ ได้ยินเสียงประกาศประชาสัมพันธ์ตามสาย แต่บีตดนตรีคืออย่างเท่ ส่วนเพลง จิปาถะ ก็เป็นเรื่องบ่นไปเรื่อยสมชื่อ แต่มีการเอาเสียงเพื่อนชื่อ ‘แชมป์’ มาแร็ปรับส่งกัน ไรห์มเขียนออกมาได้เจ๋งราวกับกวีรุ่นใหญ่ ทว่าก็เล่นกับความทะลึ่งตึงตัง เล่นกับคำที่เขียนได้อย่างเมามัน แม้แต่เพลงรัก อพล. ยังเขียนออกมาอย่างแยบคาย มีการแทรกข่าว Justin Bieber เลิกกับ Selina Gomez ในสมัยนู้นมาเปรียบเปรย และเล่นกับความสงสัยใคร่รู้ของคนฟังผ่านชื่อเพลง ซึ่งต้องฟังเพลงถึงจะรู้ว่ามันมาจาก อัลทิเมต พัพพี เลิฟ (ultimate puppy love)
งานอดิเรก เพลงเอกของ EP เป็น jazzy drum n bass ที่เท่มาก แต่เอามาเล่าชีวิตชวง ม.ปลาย ของเขา เป็นยุคที่ต้องหาเพลงลงโทรศัพท์ และยังซื้อขนมกินหลังโรงเรียน ด้วย bpm เร็ว ๆ แบบนั้นก็เข้ากันดีกับความเดือดดาลที่ต้องปั่นงานส่งให้ครบ กลัวติด มผ. พูดเรื่องสิ่งที่ทำในเวลาว่าง อย่างการเล่นเกมค่าย Konami และ Kojima Hideo ผู้สร้างเกม Metal Gear และเริ่มดูรายการ rap battle จนทำให้เขียนเพลงมากกว่าการบ้าน และต้องตัดแว่นเพราะเริ่มสายตาสั้น
แต่ใครว่าเขาแร็ปแต่เรื่องตัวเอง เมื่อ กัมปนาท พูดเรื่องความรุนแรงและชนชั้น ทำให้เห็นเรื่องไม่เป็นธรรมของกฎหมาย และได้บันทึกข่าวดังที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ทั้งฆ่าข่มขืนที่เกิดขึ้นบ่อย หรือข่าว 7 วัยรุ่นรุมทำร้ายคนขายขนมปังพิการจนเสียชีวิต ดัดเสียงเมโลดี้เปียโนเพลง Imagine ของ John Lennon มาเป็นแซมพ์ ทุกอย่างถูกคิดมาแล้วอย่างมีคอนเซ็ปต์
สไตล์ของเขาพัฒนาและเปลี่ยนไปในแต่ละชุด จากการแร็ปทับ mixtape เป็น old school beat เพลงแจ๊สฮอปต่าง ๆ ใน EP สู่พวกซาวด์ internet age ในอัลบั้มเต็ม Nomnam ที่เขาได้โปรดิวเซอร์หลัก ๆ ชื่อ ฉัตรชัย รองทรงสูง (ทำไมช่างสรรหาชื่อกันจริง ๆ) มาช่วยทำบีตเพิ่มความแสบ เสียงเอฟเฟกต์จากเกมยุค 80s หรือซินธิไซเซอร์อนาล็อกดูเป็นของเล่นก๊องแก๊ง แต่ก็ไม่ลืมที่จะใส่พวกแทร็ป หรือ lo-fi แจ๊สฮอปที่เขาฮิต ๆ กันเข้าไปด้วย ซึ่งมันน่าทึ่งมากกว่านั้นเพราะเนื้อหาในเพลงของเขาช่างแปลกและแหวกเกินกว่าแร็ปเปอร์คนไหน ๆ ในยุคนี้
เพลงที่เราชอบมาก ๆ ในอัลบั้มนี้คือ อินทำนอง เป็นการเล่าเรื่องกีฬาสีในแบบที่ล้ำไปมาก จนความทรงจำของเราเองตอนที่ตอนซ้อมเชียร์ต้องมีการทะเลาะกับเพื่อนช่วงเตรียมงาน หรือวันแข่งกีฬาอย่างขับเคี่ยว จุดประสงค์เพื่อให้ได้ถ้วยกับขนมปี๊บ ซึ่ง แล้วไงต่อ? คนนท์ ชาญคลีเช่ สามารถเก็บความรู้สึก ‘อีหยังวะ’ หรือ ‘ทำไปทำไมวะ’ ได้แบบครบทุกเม็ดจริง ๆ แล้วดนตรีก็จัดจ้านเผ็ดร้อนมาก ฟังแล้วรู้สึกถึงแดดเปรี้ยงจากแอโฟรบีต แต่ใช้กดเอาด้วยดรัมแมชชีนฟุ้ง ๆ จนเรานึกถึงพวก Die Antwoord, Princess Nokia หรือเสียงที่เอาเข้า autotune บิดเป็นหลาย ๆ เสียงเพื่อพูดแทนตัวละครต่าง ๆ ทั้งเสียงคนพากย์กีฬา พี่เชียร์ เพื่อนที่จริงจังกับการแข่งและรักศักดิ์ศรีของคณะสีม้ากมาก และตัวเขาเองที่เล่าประสบการณ์รวมถึงมุมมองของตัวเองต่อกีฬาสี ความคิดสร้างสรรค์เอาไปเลยสิบสิบ
ส่วน สิบแปดลบ เล่าเรื่องตอน ม.ต้น พูดถึงฟีเจอร์ On This Day บน Facebook ได้แบบ nostalgic เลย เขาเล่าว่า อัดเพลง The Lazy Song ของ Bruno Mars กับ เซโรงัง ของ Slur แล้วหัวเราะกับเพื่อน เป็นยุคที่ต้องแอดอีเมลเพื่อคุย MSN กัน และช่วงนี้เองที่เขาหัดมอเตอร์ไซค์แล้วล้ม มาเป็นฉาก ๆ และความเปลี่ยนผ่านของโลกและผู้คนรอบตัว คือดีมากกกกกก โฟลวของเพลงนี้โหดมาก เริ่มแร็ปแบบใส่เมโลดี้เข้าไปบ้าง บีตฟังแล้วนึกถึง Gorillaz เพลง Saturn Barz อยู่เบา ๆ
อีกเพลงที่คล้าย ๆ กันคือ ยางแบน มาเป็นสไตล์ East Coast hiphop เลย นี่คือเพลงที่บันทึกช่วงวัยรุ่นของเราเอาไว้ด้วยเหมือนกัน เขาเล่าว่าตอนเด็ก ๆ มีแต่เรื่องน่าตื่นตาตื่นใจ เน็ตไอดอลตัวท็อปที่ทุกคนหวีดกันสมัยนั้นคือ เต้ย จริญพร เพลงที่ต้องฟังก็คือค่าย Kamikaze แล้วก็ดันคิดไปว่า กอล์ฟ–ไมค์ เจ้าของเพลง ไม่ว่างกำลังเต้น ก็อยู่ค่ายนี้ ตอนหลังพอรู้เลยขอพ่อซื้อเทป G Junior ที่มี ชิน ชินวุฒิ อยู่ด้วย ไหนจะ มี ฟิล์ม รัฐภูมิ ปะทะ โปงลางสะออน ฯลฯ แต่พอช่วงนึงชีวิตต้องสอบเข้า ไม่มีเวลาไปเสพอะไรแบบนั้นแล้ว เขาก็เทียบชีวิตที่ขาดแรงบันดาลใจว่า ‘ยางแบน’ บางทีต้องเติมลม ต้องหาเครื่องสูบลม แล้วก็ทำซาวด์เสียงแตก ๆ เป็นแบบเครื่องเติมลมอัตโนมัติ เท่มาก ส่วนเพลง วิ่ง ก็โฟลวเท่ เป็นการระบายความอัดอั้นในจิตใจ ความที่ต้อง hustle ต่อสู้กับชีวิตวัยรุ่น และในเพลง ยังสบายดี ก็เหมือนเป็นการปลอบใจและให้กำลังใจจากแทร็คที่แล้ว พูดถึง ‘Forrest Gump’ ที่เป็นตัวแทนของทุกความ positive บนโลก แซมพ์บีตเสียงใส ๆ ชวนนึกถึงเมโลดี้ของเพลง Pitbull – Give Me Everything สามเพลงนี้เป็นเพลงที่เก็บ pop culture ยุคนั้นได้ครบถ้วน
เพลงเกี่ยวกับความรัก มีการล้อคลื่น FM ด้วยการใส่ท่อนร้องเป็นจิงเกิ้ลรายการวิทยุกันไปเลย พูดถึงเพลงป๊อปแมส ๆ ที่ซ้ำไปซ้ำมาทั้งเนื้อหา และทำนอง ซึ่งก็มีใหม่ ๆ บ้างแหละ แต่ก็เข้าใจว่าที่เป็นแบบนี้เพราะมันฮิตง่าย แต่เขาคงไม่อินด้วย แล้วมีท่อนดรอปแทรกเป็น r&b doowop มาเล่าความแห้วที่เขาโดน friendzone เริ่มโตขึ้นก็มีความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวในมิติที่ลึกขึ้น
เอาเข้าจริงแล้ว เรื่องราวในชุดนี้สีเริ่มหม่นขึ้น จากการเล่าเรื่องทั่วไปในชีวิตใน EP ที่แล้ว เขาก็เริ่มพูดเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของผู้ใหญ่ที่หลีกหนีไม่ได้ และก็มีส่วนที่น่าหดหู่อยู่ไม่น้อย อย่างเพลง ปอม เล่าถึงตอนที่สุนัขที่เขารักตาย เป็นการรู้จักความสูญเสียครั้งแรกในชีวิต การแร็ปของเขามีน้ำเสียงที่เศร้ามากจริง ๆ ส่วน หน้ากากเปื่อย ก็พูดถึงการเสแสร้งเข้าหา หรือต้องการบางสิ่งเพื่อผลประโยชน์ ใน หยอก หยอก ก็เป็นการโดนบุลลี่น้ำเสียงที่ขัดกับรูปลักษณ์ที่สังคมคิดว่าเขาควรจะเป็น และเพลง ไขมันเลว ก็ยังเป็นเรื่องที่ถูกคน discriminate เรื่องรูปร่างของเขา ที่ฟังแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจเหมือนกันว่าคนคนนึงต้องแบกรับอะไรมากบ้าง และการก้าวผ่านตรงนั้นมาไม่ใช่เรื่องที่ง่ายสักนิด
ปี 2019 เขาชัดเจนขึ้นในบีตดนตรีที่เลือกเล่น กับเสียงกรุ๊งกริ๊งเป็นพิเศษแบบที่โผล่มานิดนึงในชุด Nomnam ตรงนี้ทำให้เรานึกถึง Jimothy อยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทำให้เขาต่างคือเขาไม่ได้ใช้แต่คำซ้ำ ๆ ติดหู ชูหมัดฮุก แต่เลือกจะเล่าเรื่องเรียงร้อยไปได้เรื่อย ๆ อย่างออกรสเหมือนเคย ตั้งแต่ เพลงรักทดลอง มีทรงแบบ old school ของ Thaitanium ที่เป็นแร็ปร้องจีบสาวได้เท่มาก มีพูดถึง เพลงของ Silly Fools ฟังดูง่าย ๆ ด้วย
ส่วนในเพลง สันติโศก ก็เอาแซมพ์กีตาร์ในอินโทรของเพลง Chocolate โดย Hangman (อีกวงที่บังโตเป็นนักร้องนำ ดูท่าจะชอบจริง) เล่าช่วงมหาลัยเรื่องเดินทางมาเรียนไกลบ้าน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการเป็นนิสิต มีอาการ homesick พร้อมกับเล่าผลกระทบที่ตัวเองเจอ เลยบอกเตือนให้ทุกคนใช้คำพูดอย่างระวัง อย่าทำร้ายกันด้วยถ้อยคำ นึกถึงใจกันบ้าง ซึ่งในเพลงนี้เป็นยุคที่ autotune แพร่ระบาด เขาก็หยิบมาใช้ได้เกรียนมาก
สายด่วนศาลายา เป็นเหมือนภาคต่อของเพลงที่แล้ว เอามาล้อกับฮอตไลน์ 1900 ที่ชอบมีให้โทรไปเล่นเมื่อก่อน ก็เล่าเรื่องความเหงา คิดถึงเพื่อนที่หาดใหญ่ เพลงนี้เหมือนเป็นการได้สำรวจกับตัวเองและได้ทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้น แต่ก็ยังบ่นเรื่องรูมเมตเหมือนในเพลง สันติโศก ที่พวกเขามีไลฟ์สไตล์คนเรื่อง
และแน่นอน วัยรุ่นชายวัยกลัดมันจะไม่มีเรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้ มัดหมี่ไม่มี Clean Version ล้อเพลง มัดหมี่ขูดมะพร้าว เป็นเนื้อหาทะลึ่งตึงตัง พอเพื่อนมาทำงานที่ห้องแล้วนุ่งสั้น ประกอบกับรูมเมตไม่อยู่ห้อง ความคิดเตลิดเปิดเปิงไปไหนแล้วไม่รู้ ซึ่งในเพลงเล่าความรู้สึกอัดอั้นได้ดีมากกกกกกก มีท่อนว้ากกราดเกรี้ยวแบบอยากปลดปล่อยความต้องการได้สะใจสุด ๆ
ส่งท้ายด้วยผลงานล่าสุด แร็ปเปอร์คนโปรดของคุณ ที่ถ้าเรียกภาษาฮิปฮอปมันก็คือ ‘เพลง dis’ นั่นแหละ งานนี้เขาวิจารณ์เพลงแร็ป mainstream ว่าพูดแต่เรื่องซ้ำ ๆ วน ๆ flex อวดรวยกัน ไม่ชอบใครก็ไปนอนกับแฟนคนนั้น และอีกมากมายที่เราพบเห็นได้ในเพลงแร็ปทั่วไป แต่เขาก็ทิ้งท้ายไว้ว่า
“โอเคลองคิดถึงเพลงที่ฟัง บ้างเข้าถึงอารมณ์ เปิดเสียงดัง ๆ เศร้าใจระทม เปิดฝักบัวตามลำพัง พูดถึงความพยายามจนสำเร็จ ได้เงินทองมาเป็นรางวัล คนทำเพลงง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน แบบขี้เกียจ ใส่แบรนด์มูลค่ากับรองเท้าที่เหยียบ ด่าคนที่ไม่ชอบไปเอากับเมียคนที่เกลียด ถ้าอยู่สูงอยู่แล้วทำไมคนอย่างนั้นคุณต้องลดเกียรติไปคุย มึงเอาแต่พิมพ์ด่ากูไอควย
ความจริงไอเรื่องที่บอกคนในวงการต้องช่วยกัน แต่ผมผมมันตัวคนเดียวฟังดูซวยจัง มีคนเกิดใหม่ ๆ เยอะขึ้นเป็นรายวัน มีเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรือหญิงก็คล้ายกัน เรื่องที่ว่ามา คนเราน่ะผมไม่ได้เกลียด รสนิยมคุณผมไม่เกี่ยว ผมแสดงให้เห็นถึงความจริงก็แค่นั้น คุณต้องแคร์ไหม ก็เพลงเป็นหนึ่งในสื่อบันเทิง จะทำอย่างไรก็ขอเชิญ โลกไม่มีอะไรที่ตายตัว ถ้ายังไม่เบื่อที่พูดแต่เรื่องเดิม คนที่เกลียด ถึงเรื่องเงิน เพลงรักที่ทำขึ้นเพื่อเธอ พูดเรื่องร้าย ๆ สุดท้ายก็ได้ทั้งนั้นถ้ามันจรรโลงหูผู้อื่น”
มันมีตัวอย่างที่ดีอีกเยอะเลย แต่ผมแค่พูดถึงอะไรที่ mainstream เอาจริง ๆ อยากฟังอะไรก็ฟังไปเถอะ ไม่ต้องเอาที่ว่าทั้งหมดนี้ไปใส่ในหัวให้มันหนักเปล่า ๆ หรอก มันก็แล้วแต่คุณ และความชอบส่วนบุคคล ช่างเหอะ
ท้ายเพลงเป็น bonus track ช่างแม่ง เท่สัส จงไปฟัง
จะว่าไป การที่เราไล่ฟังทุกเพลงของเขาตั้งแต่ปี 2016 มาจนถึงงานล่าสุดที่เพิ่งปล่อย มันได้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังเรื่อง ‘Boyhood’ ฉบับเจาะลึกถึงความรู้สึกของวัยรุ่นผู้ชายคนนึง จากชีวิตในโรงเรียน สู่การเปลี่ยนผ่านที่ต้องเติบโตเป็นคนหนุ่ม ย้ายที่เรียนมาไกลบ้าน เจอสังคมที่แปลกใหม่ ไปจนถึงการกำหนดความเงี่ยนของตัวเอง เราถือว่า คนนท์ ชาญคลีเช่ คือแร็ปเปอร์รุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง เขาเป็นตัวอย่างของศิลปินทางเลือกที่หยิบจับเอาเรื่องรอบตัวมาพูด เรื่องลบ ๆ ของตัวเอง วิพากษ์สังคม ไม่ติดว่ากูต้องเท่ หรือต้องเดินตามขนบแก๊งอย่างที่ใครเขาเป็น เขาก็แค่อยากเล่าสิ่งที่เห็นออกมาได้อย่างมีเสน่ห์และไม่ซ้ำซาก รอติดตามผลงานต่อ ๆ ไปบน ฟังใจ ได้เลย