John Grant เกย์ HIV ติดยา ติดเหล้า และเพลงเศร้าที่เป็นภาษาสากล
- Writer: Peerapong Kaewthae
John Grant ไม่ใช่แค่นักแต่งเพลงธรรมดา ๆ เขาเป็นเกย์อย่างเปิดเผย มีเชื้อ HIV เคยบำบัดอาการติดยาติดเหล้าอย่างหนักจนหายมาแล้ว เขาต่อสู้กับทุกสิ่งในชีวิตจนเข้มแข็งและเข้าใจความหมายของการเป็นตัวเองที่สุด
เรารู้จัก John Grant ครั้งแรกจากเพลง GMF ซึ่งเนื้อเพลงพูดถึงการรับมือนิสัยแย่ ๆ ของตัวเองในความสัมพันธ์แบบโรแมนติกที่ไม่โรแมนติกเอาซะเลย เราประทับใจทันทีเพราะมันดูจริงในการพูดถึงความไม่สมบูรณ์ของคน ๆ หนึ่งจนสัมผัสได้ ตามมาด้วยเพลง You Don’t Have To ที่พูดถึงการตัดเยื่อใยจากความสัมพันธ์ห่วย ๆ ที่ผ่านมา ผ่านโน้ตที่โดดเด้งไปมาด้วยคีย์บอร์ดจนเราโยกตามได้เบา ๆ และมีท่อนโซโล่ที่หนักแน่น อีกทั้งเพลง I Hate This Town, It Doesn’t Matter To Him และ Glacier ล้วนมีความหมายกินใจเราทั้งนั้น จากการหาข้อมูลอย่างรวดเร็วทำให้รู้ว่าเขาเป็นเกย์ที่ปลงใจประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่าเขามีเชื้อ HIV แต่เขากลับไม่ยอมให้สิ่งนี้มีผลกระทบอะไรกับเขาเลยในแง่ของการเป็นศิลปินมืออาชีพคนหนึ่ง ยิ่งได้อ่านบทสัมภาษณ์เขามากเท่าไหร่ เรายิ่งรู้สึกตัวเองเชื่อมต่อกับเขาได้รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น อาจเพราะว่าเราผ่านช่วงวัยต่าง ๆ มาคล้าย ๆ กัน เมื่ออารมณ์พีคจนถึงจุดหนึ่งเราเลยส่งหลังไมค์ไปให้กำลังใจเขาบนเฟซบุ๊คโดยไม่ได้หวังอะไร แต่สิ่งที่ได้รับคือคำขอบคุณอย่างสุภาพในไม่กี่วันต่อมา เราคาดหวังสุด ๆ ว่าเขาจะมาเล่นในไทย เขาก็คาดหวังว่าเขาจะได้มา
John Grant กลายเป็นศิลปินอีกคนที่เรายกย่อง เขาไม่กลัวเลยที่จะเปิดเผยเรื่องราวในชีวิตของตัวเอง เพราะมันคือการปลอบประโลมคนฟังที่เจอเหตุการณ์แบบเขาแต่ยังหาทางออกไม่ได้ได้ดีที่สุด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยากเขียนถึงเขา
เมื่ออายุ 12 ทุกคนในบ้านรู้ถึงรสนิยมทางเพศของ John Grant และส่งเขาไปหาจิตแพทย์ซึ่งถูกวินิจฉัยว่าผิดปกติและจำเป็นต้องรักษา เป็นครั้งแรกที่ Grant หัวใจสลาย เขารู้สึกเหมือนถูกหักหลังจากทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้โดยเฉพาะการเป็นตัวเอง เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ตอนเด็ก ๆ ทุกคนมักรังเกียจผม ทุกคนเหมือนจะรู้ว่าผมเป็นเกย์ก่อนตัวผมเองจะรู้เองซะอีก และพวกเขาก็ทำทุกอย่างที่เลวร้ายมากเพื่อให้เรารู้สึกถึงความเกลียดนั้นให้ได้” ที่โรงเรียนเขาถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและคำพูดอยู่บ่อย ๆ แต่เขาจะรู้สึกปลอดภัยในคลาสการแสดง ครูก็ชื่นชมว่าเขามีพรสวรรค์ทางด้านนี้ แต่เมื่อต้องรับมือกับปัญหาของตัวเองมากขึ้น เมื่อต้องออดิชันการแสดงช่วงปีสุดท้ายในโรงเรียนเขากลับทำสิ่งที่ชอบไม่ได้ไปซะเฉย ๆ
ตอนไปเรียนต่อที่เยอรมัน เขาเริ่มมีปัญหาการดื่มเหล้าและได้ลองใช้โคเคนครั้งแรกเพื่อต่อสู้กับอาการซึมเศร้าและความเครียด หลังจากกลับอเมริกาและตั้งวง The Czars ขึ้นมาเขาก็ยังหยุดใช้มันไม่ได้ แม้วันที่วงของเขาขายบัตรหมดในคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาและวงก็ดังถึงขีดสุด เขากลับรู้สึกเกลียดตัวเอง จมอยู่กับความสัมพันธ์แย่ ๆ และพ่ายแพ้ให้กับเหล้าและยาเสพติด
เมื่อ The Czars แยกวง เขาต้องใช้เวลาเป็นปีเยียวยาอาการติดเหล้าติดยาของตัวเอง เพราะโคเคนทำให้เขาหัวใจวายหลายครั้งและเริ่มกลัวตาย เมื่อกลับมาทำเพลงอีกครั้งจนพบเจอหนทางที่จะถ่ายทอดความเป็นตัวเองออกมา เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ชะตาชีวิตก็ยังเล่นตลกกับเขาอีก หลังจากอัลบั้ม EP แรกประสบความสำเร็จสุด ๆ เขาได้รับโทรศัพท์จากหนุ่มที่เคยควงกันว่าตรวจพบเชื้อ HIV อยากให้ Grant ลองไปตรวจเลือดดู และแน่นอนว่าผลเลือดของเขาก็เป็นบวกเหมือนกัน ต้องใช้เวลาอยู่หลายเดือนเขาถึงจะรับมือกับความรู้สึกกลัวตายและคิดว่ามันไม่ใช่การลงโทษ จนเขารู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเริ่มแต่งเพลงที่พูดถึงมัน จึงเริ่มทำอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง 2 อัลบั้มเพื่อครวญเพลงเกี่ยวกับการติดเชื้อ HIV และสาปส่งแฟนหนุ่มที่เลวร้ายของเขา (สังเกตได้จากเพลงอกหักหรือเพลงรักของเขามักเรียกแทนฝ่ายตรงข้ามในเพลงด้วยคำว่า he หรือ him เสมอ) แม้แต่ตัวเขาเองยังแปลกใจที่ตัวเองสามารถต่อสู้กับอาการซึมเศร้าของตัวเองได้ขนาดนี้
You just want to live your life
The best way you know how
But they keep on telling you
That you are not allowed
คุณขอแค่เพียงใช้ชีวิตของตัวเองในแบบที่ต้องการ แต่ทุกคนบอกว่าคุณไม่ควรทำแบบนั้น
They say you are sick
That you should hang your head in shame
They are pointing fingers
And want you to take the blame
ทุกคนเอาแต่บอกว่าคุณป่วยและควรละอายซะบ้าง รุมชี้หน้าว่าคุณสมควรโดนด่าแล้ว
Glacier เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ผมชอบที่สุดและอยากแนะนำให้ทุกคนลองฟัง เพราะมันสะเทือนใจทุกคนมาก ๆ Grant เคยให้สัมภาษณ์ว่าเพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการขับรถข้ามเมืองกว่า 10 ชั่วโมงในช่วงคริสต์มาส เขาเห็นธารน้ำแข็งเกาะเต็มตามทางไปหมด เลยอุปมาว่าน้ำแข็งเหล่านั้นเหมือนความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นบนทางเดินของชีวิต แต่มันก็ช่วยแต่งเติมให้ทิวทัศน์ดูสวยงามอีกด้วย หลายคนก็ตีความไปต่าง ๆ นานา ว่าเขาแต่งขึ้นจากประสบการณ์ในการรับมือกับเชื้อ HIV ของตัวเอง หรือบางคนก็บอกว่าเขาแต่งให้เหล่าหนุ่มสาว LGBT ในรัสเซียที่การเป็นคนรักร่วมเพศยังผิดกฎหมายร้ายแรง ไม่ว่ายังไง ความเศร้าคงเป็นภาษาสากลจริง ๆ ทุกคนคงเอาเพลงนี้ไปเป็นเพลงในช่วงชีวิตไหนซักช่วงได้เพราะมันบอกเล่าถึงตัวตนที่ถูกสั่นคลอนและทำลายความเชื่อมั่นของเราจนหมดสิ้น
Don’t listen to anyone
Get answers on your own
Even if it means that sometimes
You feel quite alone
No one on this planet can tell you what to believe
อย่าฟังแต่คนอื่นและจงหาคำตอบด้วยตัวเอง ต่อให้บางครั้งมันจะทำให้เราโดดเดี่ยวมาก ๆ ก็ตาม
ไม่มีใครบอกโลกนี้บอกได้หรอกว่าเราควรเชื่อในสิ่งใด
อาจพูดได้ว่านักแต่งเพลงหลายคนก็แต่งเพลงจากประสบการณ์ตรงของตัวเองเพื่อบำบัดความเจ็บปวดที่ต้องพบเจอ แต่หลายคนก็แต่งเติมหรือบิดเบือนเพลงเหล่านั้นเพราะไม่อยากเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมากเกินไป แต่กับ John Grant เขาบอกเลยว่า เขาไม่เคยกลัวเรื่องนี้ เขาคิดว่าการเขียนเพลงจากความทรงจำอันเลวร้ายนั้นคือการเผชิญหน้าและเอาชนะมันให้ได้ ยิ่งได้เล่นเพลงนั้นแล้วคนฟังเชื่อมต่อกับเขาผ่านประสบการณ์เลวร้ายที่เจอมาเหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่วิเศษที่สุดของการเป็นนักดนตรี
แต่สิ่งที่ John Grant ยืนยันว่าสิ่งที่ต้องมีในเพลงคืออารมณ์ขัน อย่างเพลง GMF หรือ Disappointing เพราะมันคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาเหมือนกัน เขาอยากให้เพลงของเขาเป็นการผสมผสานกันของความเจ็บปวดเคล้าเสียงหัวเราะ มันแสดงให้เห็นว่าชีวิตจริง ๆ เป็นยังไง แม้เรื่องราวของเขาจะไม่ขำเลยก็ตาม