Drive-in Concert อีกหนึ่งทางเลือกของการชมคอนเสิร์ต ในยุค New Normal
- Writer: Peerapong Kaewthae
- Visual Designer: Tas Suwanasang
อย่าเพิ่งเบื่อคำว่า New Normal
โรคระบาดทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมจนเราเกือบตามไม่ทัน กับการปรับตัวที่ต้องเว้นระยะห่างกันหรือต้องรักษาความสะอาดกันมากขึ้น ธุรกิจเกือบทุกแห่งก็ต้องหาวิธีดำเนินภายใต้วิถีชีวิตแบบใหม่ไปพร้อมกัน ก่อนจะล้มลงไปเสียก่อน ร้านอาหารเริ่มจัดโต๊ะให้คนนั่งห่างกัน หรือการกดลิฟต์ด้วยการเหยียบ กลายเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้กันใหม่หมด
ไม่เว้นแม้แต่ซีนดนตรีที่จัดคอนเสิร์ตไม่ได้ หลายคนเลยพาตัวเองเข้าสู่โลกออนไลน์ ไลฟ์ผ่านหน้าจอคอมแทน แต่อย่างที่ทุกคนก็รู้ เราก็รู้ ใคร ๆ ก็รู้ ว่าอะไรก็มาแทนประสบการณ์ดนตรีที่คอนเสิร์ตให้ไม่ได้ เราได้ยืนต่อหน้าศิลปินที่เราชอบท่ามกลางผู้คนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน ตะโกนร้องเพลงไปพร้อม ๆ กับคนนับพัน มันคือช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้จริง ๆ
แต่ในเมื่อเรายังกลับไปจัดคอนเสิร์ตแบบนั้นไม่ได้ ทุกคนจึงพยายามขบให้แตกว่า new normal สำหรับการจัดคอนเสิร์ตในอนาคตจะต้องเป็นยังไงในวันที่ยังไม่มีวัคซีนออกมา
การทดลองหาทางรอด ที่กลายเป็นนวัตกรรมใหม่
Mads Langer ศิลปินชาวเดนมาร์กก็คิดถึงแฟนเพลง พอ ๆ กับที่เราคิดถึงเขาเหมือนกัน เขาจึงลองเปิดคอนเสิร์ต drive-in ที่ให้คนดูขับรถเข้ามาจอดหน้าเวทีแล้วสนุกไปพร้อมกัน ซึ่งทำให้ทั่วโลกหันมาจับตามองว่านี่อาจจะเป็นรูปแบบใหม่ของคอนเสิร์ตในอนาคตรึเปล่า
Langer เปลี่ยนดนตรีของเขาให้กลายเป็นคลื่นวิทยุ โดยที่รถยนต์ต้องหมุนหน้าปัดหาคลื่นที่ตรงกันเพื่อฟังเพลงสด ๆ ตรงหน้า มันแก้ปัญหา social distancing ของคอนเสิร์ตได้อย่างน่าอัศจรรย์! ในแว้บแรกเขาคิดว่ามันจะไม่เวิร์ค แต่เมื่อได้เห็นรถยนต์จอดกันเต็มลาน ได้โชว์เพลงอย่างที่ตั้งใจ ได้พูดคุยกับคนดูผ่านคลื่นวิทยุแล้วพวกเขาบีบแตร หรือขยับที่ปัดน้ำฝนสื่อสารกับเขากลับมาบ้าง มันเลยไม่ค่อยต่างอะไรกับคอนเสิร์ตที่เราเคยไปเท่าไหร่เลย แถมน่ารักตรงที่ มีสต๊าฟคอยเดินขายขนมและเครื่องดื่มตามรถแต่ละคันในชุดป้องกันการแพร่เชื้อ
เขาได้ไอเดียนี้มาจากการเห็นถังมากมายรายเรียงอยู่หน้าเวทีหลังจากที่ ‘European Summer Festival’ ถูกยกเลิก แล้วคอนเสิร์ตออนไลน์ของเขาก็ถูกยกเลิกเหมือนกัน เขาจึงหยิบไอเดียนี้มาพัฒนาต่อทันที โชคดีที่เพื่อนของเขามีไอเดียนี้ในหัวเหมือนกัน เลยช่วยกันพัฒนาขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่าง ตั๋ว 500 ใบถูกขายหมดภายใน 6 วัน
ในคอนเสิร์ตเขายังให้แฟนเพลงขึ้นมาพูดถึงความรักอันสวยงามของพวกเขาที่มีเพลงบางเพลงของ Langer เป็นซาวด์แทร็ก แถมยังเชิญแฟนเพลงขึ้นมาเต้นประกอบเพลงอีกด้วย Langer บอกว่ามันเป็นบรรยากาศที่พิเศษมาก ที่ทุกคนออกมาทำกิจกรรมที่รักด้วยกัน “ผมไม่มีลืมวันนี้แน่นอน”
หรือนี่จะเป็น new normal ของคอนเสิร์ตในอนาคต
Mads Langer และผู้จัดเห็นตรงกันว่าเขาจะจัดคอนเสิร์ต drive-in ต่อไป คอนเซ็ปต์ของมันน่าจะเอาไปต่อยอดได้อีกมากมาย เขาคิดว่าที่มันไวรัลเพราะมันเป็นสิ่งที่หลายคนไม่เคยเห็น ไม่เคยได้สัมผัสกันมาก่อน ทั้งที่เขาแค่ลองเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นการผจญภัยใหม่ ๆ เท่านั้น และเขาดีใจมากถ้าไอเดียของเขา เพลงและคอนเสิร์ตของเขาจะเป็นแรงบันดาลใจหรือความหวังให้กับทุกคน ให้สร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ภายใต้วิกฤตครั้งนี้ออกมาได้
ก่อนหน้านี้ ในอเมริกามีคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นมาด้วยไอเดียคล้าย ๆ กันอยู่ Keith Urban นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังจากออสเตรเลีย ต้องการจัดคอนเสิร์ตเพื่อขอบคุณเหล่าหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงพยาบาล ที่ต่อสู้กับโรคระบาดมาเป็นเดือน ด้วยการหาสปอร์นเซอร์รถยนต์ที่จะส่งรถไปให้ทุกคนขับมาที่ลานกว้าง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อ และสร้างความสนุกและให้กำลังใจทุกคนที่กำลังทำงานอย่างหนัก
ซึ่ง Urban บอกว่ามันจัดง่ายกว่าที่คิดมาก พวกเขาวางแผนกันอย่างหนักว่ารถทุกคันจะเห็นโชว์ได้ชัดเจนมั้ย เครื่องเสียงจะทำให้รถทุกคันสนุกไปด้วยกันได้รึเปล่า เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้นเขาจึงจัดงานให้เล็กที่สุดเท่าที่ทุกคนจะยังสนุกกันได้เหมือนเดิม บนเวทีก็หันไปใช้ backingtrack และมีคนไม่กี่คนอยู่บนเวที พร้อมฉากที่ฉายวิชวลน่าตื่นตามาเพิ่มอรรถรสแทน
แต่คอนเสิร์ตนี้ก็ทำให้เป็นที่ถกเถียงกันบนโลกโซเชียลเหมือนกัน ว่ามันปลอดภัยจริงรึเปล่า แต่ที่แน่ ๆ คือมันกลายเป็นต้นแบบให้โปรโมเตอร์หลายคนเริ่มหันมาจัดคอนเสิร์ต Drive-in บ้าง จนมีเงินเข้ามาหล่อเลี้ยงในอุตสาหกรรมดนตรีอีกครั้ง ถึงจะไม่มากเท่าก่อนก็เถอะ
ในเยอรมันก็มีแก็งดีเจที่รวมตัวกันจัด drive-in outdoor rave ครั้งแรกขึ้นมา โดยจำกัดรถที่จะเข้ามาร่วมงานแค่ 250 คันและคันหนึ่งมาได้แค่ 2 คนเท่านั้น โดยมีดีเจชื่อดังในซีนมากมายทั้ง Nitefield, MarvU และ Devin Wild ให้ทุกคนโยกกันได้สุดขีดภายในรถ ตามมาตรฐานเว้นระยะทางสังคมของรัฐ
หนึ่งในศิลปินที่มาร่วมงาน ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ประหลาดมาก กับการกดบีตโดยไม่เห็นปฏิสัมพันธ์จากคนดูอย่างที่เคยเห็น แต่มันคือความท้าทายใหม่ที่ศิลปินต้องทำให้ดีที่สุด
แม้การเต้นในรถอาจจะดูเป็นไปไม่ได้ถ้าเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นซะเอง แต่เมื่อคนดูเริ่มบีบแแตรกลับมา หรือกระพริบไฟหน้าไปตามจังหวะของบีตอันพุ่งพล่าน ก็เหมือนศิลปินและคนดูจะสื่อสารกันผ่านเพลงได้อย่างที่เคยทำกัน
เราจะต้องดูคอนเสิร์ตในรถไปอีกนานแค่ไหน ?
ภาพวาดอนาคตของการดูคอนเสิร์ตอาจจะเกิดขึ้นในห้องนั่งเล่นของบ้านเราเอง ผ่านแว่น VR ที่เรามองเห็นวิชวลรอบตัวได้อย่างเต็มอิ่ม และได้ใกล้ชิดกับศิลปินที่เรารักอย่างไม่ได้เคยมีมาก่อน ไม่ต้องต่อคิวยาว ๆ เพื่อเข้าฮอล ไม่ต้องวิ่งไปเบียดคนหน้าเวที ไม่ต้องรอเข้าห้องน้ำนาน ๆ เราจะซื้อเบียร์มากินเยอะแค่ไหนหรือจะนั่งตัดเล็บไปด้วยก็ได้
สิ่งที่จะบอกก็คือ เทคโนโลยีหรือวิถีชีวิตเราจะต้องเปลี่ยนไปซักวันหนึ่ง มันอาจจะเดินไปในทางที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว drive-in ก็แค่เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่จะมาช่วยสร้างบรรยากาศของการชมคอนเสิร์ตในช่วงนี้เท่านั้น เราไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีเฟสติวัลหน้าจอคอมอย่าง At Home Festival by Fungjai แต่สถานการณ์ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติอย่างรวดเร็ว เราอาจจะได้กลับไปดูคอนเสิร์ตกันหน้าเวทีเร็ว ๆ นี้ แต่ยังไงวิถีชีวิตก็จะต้องเปลี่ยนไปซักวันหนึ่ง อยู่ที่ว่าเราจะปรับตัวกับมันยังไง
แน่นอนว่ามีศิลปินหลายคนเหมือนกันที่ไม่เห็นด้วยกันแนวคิดเหล่านี้ และอยากกลับไปจัดคอนเสิร์ต ‘จริง ๆ’ กันมากกว่า โดยให้เหตุผลว่ายังไงคอนเสิร์ตก็ให้ประสบกาณ์ที่ดีกว่า และมีอีกหลายคนที่ฝากชีวิตไว้กับงานเบื้องหลังคอนเสิร์ตเหล่านั่นด้วย แต่พวกเขาก็ชื่นชมทุกคนที่พยายามหาทางออกใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจดนตรีอย่างเต็มที่
ในสถานการณ์ที่ยังไม่มีวัคซีนแบบนี้ อนาคตวงการดนตรีทั่วโลกก็ยังไม่ชัดเจน ผู้จัดในไทยหลายคนก็พยายามพยุงตัวเองไว้ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ให้ความเห็นว่าคอนเสิร์ตอาจกลับมาได้ปลายปี 2021 เลยทีเดียว หรือเราควรจัดคอนเสิร์ตแบบนี้เหมือนกัน แม้ปัญหาที่ว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีรถก็ทำให้ยากขึ้นแล้ว แต่ทุกคนคิดว่าไอเดียนี้มันจะเวิร์กในบ้านเรามั้ย?
อ้างอิง
abc.net.au
rollingstone.com
mic.com
theguardian.com