ให้ Summer FM อัลบั้มล่าสุดจาก Cyndi Seui มาเป็นเพื่อนแก้เหงาในค่ำคืนร้อนระอุ
- Writer: Montipa Virojpan
แฟน ๆ ของ Cyndi Seui ถึงกับดีใจสุด ๆ เมื่อพี่ต้า Cesar B. de Guzman กลับมาทำอัลบั้มเต็มของตัวเองหลังจากห่างหายไปจากอัลบั้มเต็มชุดก่อน My Name is DOS ถึง 10 ปี อันที่จริงเขาก็ไม่ได้หายไปไหน มีงานแสดงและปล่อยเพลงออกมาตลอด ๆ รวมถึง EP Toy Boy ในปี 2014 แค่ไม่ได้มาแบบอัดแน่นเน้น ๆ สิบกว่าเพลงอย่างที่เราจะได้ฟังกันใน Summer FM อัลบั้มเต็มแห่งปี 2017 ชุดนี้
รับฟังอัลบั้ม Summer FM ประกอบการอ่านได้ ที่นี่
หากคุณเป็นแฟนเพลงยุคแรก ๆ ตั้งแต่สมัยวง Smallroom รุ่นบุกเบิกยังเรืองรอง ก็น่าจะทันฟัง Cyndi Seui ชุด Micro Bitz Life ที่โดดเด่นด้วยองค์ประกอบดนตรีมินิมอล ความอนาล็อก และ 8 bit น่ารักสดใสอยู่บ้าง แต่พอเขยิบมาที่ชุด My Name is DOS เราก็อาจจะเหวอกันเล็กน้อยเพราะชุดนี้พี่ต้าเขาทำออกมาเป็นเพลงเต้นรำสุดกรูฟที่จับต้องได้ง่ายและมีหลากหลายแนวมากขึ้น ทั้งดิสโก้ อิเล็กทรอนิก้า แล้วยังมีเพลงป๊อปสไตล์ที่เรียกว่า Smallroom Sound ในยุคนั้น มีเพลงดังอย่าง มันอยู่ที่จังหวะ ที่ได้พี่โป้ โยคีเพลย์บอย มาร่วมร้อง นอกจากนี้ก็มีเพลงน่ารักอย่าง Vanilla Walk ที่ร้องกับคาเรน คล่องตรวจโรค ซึ่งสองเพลงนี้แหละที่ดูจะเป็นรอยต่อนำไปสู่กลิ่นอายแบบผลงานชิ้นใหม่ ๆ ของ Cyndi Seui ที่เราได้ฟังในช่วงสามปีที่ผ่านมา
ย้อนอดีตกันมาพอสมควร ในที่สุดอัลบั้มล่าสุด Summer FM ก็มาอยู่บนเว็บไซต์ ฟังใจ ทั้ง 11 เพลงในอัลบั้มมาจากทั้งเพลงที่เคยปล่อยไปก่อนหน้านี้ เพลงที่ทำร่วมกับศิลปินวงต่าง ๆ และเพลงใหม่แกะกล่อง แต่ทุกเพลงต่างเกาะกลุ่มสุ้มเสียงกันได้อย่างเหนียวแน่นและบ่งบอกถึงวิวัฒนาการทางดนตรีของ Cyndi Seui ได้เป็นอย่างดี หลังจากที่เขาได้ไปจับกลุ่มกับ Yuri’s Norminee ทำค่ายเด็กแมว Kitsch Cat ออกมา แถมยังจับคู่เล่นโชว์กับ Gramaphone Children อยู่บ่อย ๆ ตอนนั้นเองที่สีสันของวินเทจซินธิไซเซอร์ของเขาโดดเด่นมากแบบที่ถ้าฟังแล้วก็รู้เลยว่าเป็น Cyndi Seui แนวเพลงก็มีความเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดขึ้นเยอะ ซึ่งเราก็ได้ฟังบางเพลงจากในอัลบั้ม Summer FM ในโชว์ของพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง
ใครที่รักดนตรีแนว 80s Euro disco หรือเพลงที่เสียงซินธ์จัดจ้าน มีจังหวะจะโคนชวนเต้นรำ ก็จะไม่มีทางผิดหวังกับอัลบั้มนี้ ตั้งแต่เพลงแรกที่เปิดตัวมาก็เหมือนพาเราหมุนคลื่นวิทยุมาเจอกับเพื่อนรักยามค่ำคืนในหน้าร้อน กับเพลงจังหวะกลาง ๆ สุดย้วยติด lo-fi อย่าง Summer Tune จนเมื่อเขยิบมาที่แทร็คต่อไป Polaroid (feat. The Hair Kid) ก็ปรับบีทให้ต้องเต้นไฟแล่บแบบไม่พูดไม่จา ด้วยดนตรีอิเล็กโทรป๊อปสุดเร้าแล้วมีท่อนแร็ปเมามันเข้ามาในเพลงขนาดนี้ก็ห้ามตัวเองไม่ให้โยกตามไม่ได้จริง ๆ
ใน We Need Love ก็ดรอปบีทลงมาเล็กน้อย แล้วไปเน้นกันที่ซาวด์เบสสุดหนึบที่สไตล์ร้องคอรัสแบบนี้เหมือนพาเราย้อนกลับไปยังดิสโก้คลับปลายยุค 70s ยังไงยังงั้น แต่ element หลาย ๆ อย่างก็ยังคงความเป็นเพลงร่วมสมัย มีการ mute ท่อนร้อง หรือบางแทร็คให้ดูขัดใจนิด ๆ แต่ความไม่ครบถ้วนเนี่ยกลับเข้ากับบีทที่ปูมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
Last Memory (feat. Y.I.M) คือเพลงจังหวะกลางที่เน้นหนักกลองกับเบสในจังหวะสุดย้วยเซ็กซี่ แถมได้ดูโอ้แร็ปเปอร์สาวชาวญี่ปุ่นมาร้องคลอไปกับไลน์กีตาร์สุดเท่ที่เล่นมาแต่น้อย ซึ่งความน้อยมันก็ทำให้เราอยากขุดขึ้นมาฟังมากกว่านี้อีก แล้วช่วงท้ายเพลงนี่ก็โผล่ลิกกีตาร์สุดติดหูขึ้นมาดื้อ ๆ อีกรอบ เท่อย่าบอกใคร
มาต่อกันที่เพลง BKK ที่ทีแรกก็ไม่คิดว่าจะมีความ tropical จาง ๆ ซ่อนอยู่ แต่มานึกอีกที กรุงเทพ ฯ บ้านเราก็เมืองร้อนชื้นเนาะ เสียงอะไรต่าง ๆ ในเพลงนี้เลยมีความเป็นดนตรีแถบนั้น ทว่าก็ตัดกันด้วยเมโลดี้ละเมียดละไมที่จะโผล่มาระหว่างช่วงที่เป็นบีทให้เราเต้นรำกันอยู่นั่นเอง
ต่อมาก็เป็นเพลงที่พวกเขาทำร่วมกับ Yellow Fang โดยการเอาเพลง Unreal มา remix ใหม่จนได้เป็นเพลงชวนโยกสุดเท่ มาหมดทั้งความมินิมอล ทั้งซาวด์วินเทจ ได้กลิ่นโซลนิด ๆ ที่สำคัญเสียงของสาว ๆ เขี้ยวเหลืองพอมาอยู่กับดนตรีอิเล็กทรอนิกก็มีสเน่ห์ไปอีกแบบ น่าฟังไม่แพ้เวอร์ชันปกติของพวกเธอเลย แต่ถ้าฟังไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้สึกว่าเวอร์ชันนี้เศร้าดาร์กกว่าออริจินัลอีกนะ
Summer Frequency เพลงที่ออกลาย tropical แบบสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ก็ผสมกับความ oriental เอเชียน ๆ หน่อย รวมถึงเมโลดี้ที่ดูสดใสย้อนยุคนี้เองที่ทำให้เราไม่รู้สึกหลงยุคเท่าไหร่ และแน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยให้เพลงนี้วนลูปไปแบบคาดเดาได้ เพราะมีลูกเซอร์ไพรส์สุดเท่ในเพลงให้เหวอกันด้วย
จากนั้นก็เป็นเพลง Star Lovers ที่คราวนี้เหมือนจะได้ทางคอร์ดแบบบลูส์กับกีตาร์ฟังก์มาผสมผสานความเป็นซินธ์ป๊อปสไตล์ Cyndi Seui ซึ่งอารมณ์เพลงจะดูหม่นไปจากทุกเพลงในอัลบั้ม และถือเป็นเพลงบรรเลงที่ต้องตั้งใจฟังประมาณนึงเลย เพราะตอนท้ายเพลงก็มีการเขยิบสเกลเสียงขึ้นมาให้ดูสว่างใสกว่าช่วงก่อนหน้า
เราขอมอบให้เพลง Get It Right เป็นเพลงที่จะช่วยเติมเต็มสีสันให้กับค่ำคืนสุดร้อนระอุของคุณ ด้วยดนตรีเต้นรำขนานแท้กับซินธ์และเบสที่ทำให้เรานึกถึงวงอย่าง ABBA แล้วแซมด้วยเมโลดี้ แว้ว แวว แหว่ว สุดจั๊กจี้ที่จะทำให้เราไม่อยากหยุดเต้น แต่ตอนท้ายมีให้เบรกหายใจกันนิดนึงด้วย (นี่ขนาดนั่งพิมพ์อยู่ยังกระดิกเท้า โยกหัวไปด้วยเลย แง อยากลุกขึ้นมาเต้นแต่เกรงใจเพื่อนร่วมงาน)
เพลงรองสุดท้ายในอัลบั้มอย่าง Drive My Car เหมือนกำลังบอกเราว่าอย่าไปสนใจว่าเพลงจะจบ ปาร์ตี้จะเลิก เพราะเราอยู่ตรงนี้กับเพลงดี ๆ ขนาดนี้ อย่าเอาเวลาไปใส่ใจกับอย่างอื่นเลย มาเต้นกันดีกว่า ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ได้ดีทั้งตัวเพลงและเนื้อหาที่ปลุกพลังนักซิ่งในจิตใจออกมาอย่างรุนแรง อย่าได้เปิดเพลงนี้ตอนขับรถเชียว เดี๋ยวจะมีคนไม่อยากกลับบ้าน แถมจะได้ขับเผ่นหนีไปที่ไกล ๆ อีกต่างหาก
ปิดท้ายกันด้วย Glow ซึ่งเป็นสัญญาณว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา หนีความจริงกันต่อไปไม่ได้แล้วเพื่อนเอ๋ย เพราะบีทก็ช้าลงให้ทำได้แค่โยกย้ายเบา ๆ เป็นเพลงที่เราจะได้ cool down จากฟลอร์เต้นรำที่ลุกเป็นไฟอยู่เมื่อครู่ พวกที่เต้นกันจนหมดแรงก็ได้เวลามานั่งพัก จิบเหล้าที่เหลืออยู่ก้นแก้วให้หมด พร้อมกลับบ้านนอน ซึ่งเมโลดี้เพลงดันเซ็กซี่เหลือเกิน กลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้านกันตัวเปล่าแล้วสิทีนี้
บอกเลยว่าอัลบั้มนี้คุ้มค่าแก่การรอคอยสุด ๆ เพราะเราสามารถฟังได้เรื่อย ๆ ไม่มีเบื่อ (ถ้าลุกขึ้นมาเต้นด้วยจะดีมาก นี่พูดจริงนะ) เหมือน 11 เพลงนี้ถูกจัดเรียงอารมณ์เพลง และเลือกเล่าเรื่องมาได้อย่างถูกต้อง ตั้งแต่เดินเข้างาน แอบเมียงมองหนุ่มสาวดูลาดเลากันเล็กน้อย เริ่มออกสเต็ปแดนซ์กันอย่างสุดสวิงริงโก้ ไปจนถึงงานจบ ซึ่งจะให้เราวนกลับไปฟังตอนต้นใหม่ก็ไม่เป็นปัญหาใด ๆ