Article Story

เจาะลึก Concrete and Gold อัลบั้มใหม่ของ Foo Fighters กับเซอร์ไพรส์ที่ทำให้เราต้องยิ้มตาม

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photo: BEC Tero

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา Fungjaizine มีโอกาสไปเป็นส่วนหนึ่งใน playback session ที่จะได้นั่งฟัง Concrete and Gold อัลบั้มล่าสุดของวงร็อกระดับโลก Foo Fighters ก่อนใคร และเราก็จะได้พูดคุยกับวงถึงที่มาที่ไปของอัลบั้มนี้ก่อนที่พวกเขาจะมุ่งหน้าสู่ชาเลนเจอร์ฮอล เมืองทองธานี เพื่อไปเล่นคอนเสิร์ตให้ชาวไทยได้โยกกันตัวหลุดเป็นครั้งที่สองหลังจากที่เคยมาเยือนเมื่อปี 1996 สมัยที่มีเพลงแค่หนึ่งอัลบั้มและไม่สามารถเล่นเพลงของตัวเองได้ทั้งหมด และการพูดคุยกับพวกเขาครั้งนี้ก็ทำให้เราได้รู้ถึงเบื้องหลังการทำงานที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ที่ทำเอาหัวใจของเราพองโต

img_1761

Concrete and Gold เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 9 ซึ่ง Dave Grohl ฟรอนต์แมนของวงเล่าว่าทีแรกพวกเขาตั้งใจจะพักจากการทัวร์คอนเสิร์ตจากงานชุดก่อนสักปีนึง แต่ไป มา ก็พักไปได้แค่ 6 เดือนแล้วกลับมาเขียนเพลงอีกครั้ง ใช้เวลาอัดกว่า 4 เดือน โครงดนตรีในอัลบั้มนี้ได้อิทธิพลมาจาก heavy rock และ classic rock ที่พวกเขาชื่นชอบ ส่วนมากเริ่มมาจากการนั่งเล่นอะคูสติกกีตาร์ของเดฟไปเรื่อย โดยพยายามหาความแตกต่างในการเรียบเรียงแต่ละท่อนและพยายามคิดจังหวะใหม่ ให้กับเพลงของ Foo Fighters โดยเฉพาะกับเพลง Run ที่เดฟเล่าว่าเขาชอบท่อนกลองขัด ในเพลงเป็นพิเศษ

ff-04

และการทำงานในครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าผู้ฟังมาก เมื่อพวกเขาหันมาทำเพลงกับโปรดิวเซอร์คนใหม่ Greg Kurstin จากวง The Bird and the Bee ที่จับแต่งานสายป๊อป (ซึ่งเป็นตัวแม่ทั้งสิ้น) ไม่ว่าจะเป็น Adele, Lily Allen, Ellie Goulding หรือ Pink แต่ปีหลัง เขาก็ได้ทำเพลงให้วงร็อกเช่นเดียวกันทั้ง The Shins หรือ Liam Gallagher มาบ้างแล้วงานชุดนี้มันเลยเหมือนกับวง Motörhead พยายามทำเพลงแบบ The Beach Boys น่ะครับเดฟบอก โดย Taylor Hawkins มือกลองเสริมว่า แม้เกร็กจะทำเพลงป๊อปใส และโปรดิวซ์ให้ศิลปินสายดีว่ามาตลอด แต่ตอนเกร็กอายุ 12 เขาเป็นเพื่อนกับ Dweezil Zappa ลูกชายของ Frank Zappa และพวกเขาทำวงด้วยกัน อัดเพลงในสตูดิโอของซัปปา และมี Eddie Van Halen เป็นโปรดิวเซอร์ให้ด้วย (โหดจังโว้ยยยย)

img_1909

ทั้ง 11 เพลงได้รับการสร้างสรรค์จากความร็อกอันเป็นตัวตนหลักของทั้งวงและเซนส์ป๊อปที่แปลกใหม่ ทำให้ Concrete and Gold มีความพิเศษและควรค่าแก่การฟังรวดเดียวจบ

T Shirt

สำหรับเพลงแรกก็ทำเอาเหวอเลยกับการเปิดอัลบั้มด้วยบัลลาดช้า กับท่วงทำนองที่บาดลึกจนน้ำตาคลอ เบสไลน์สวยงามดำเนินเรื่องราวอยู่ดี ก็ถูกเปลี่ยนฟีลให้กลายเป็นเพลงเดือด ขึ้นมาทันที แต่น่าเสียดายที่เซอร์ไพรส์นี้โผล่มาแค่ไม่กี่นาที ก่อนจะเข้าสู่เพลงต่อไป

Run

เพลงที่ถูกปล่อยออกมาให้ได้ฟังกันเป็นเพลงแรกในการกลับมาของพวกเขาที่สร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมากในช่วงแรก กับสีสันที่แปลกใหม่ในการเรียบเรียงท่อน โดยเฉพาะกับท่อนกลองกระชั้น เร้า อันนั้น ตอนดูเขาเล่นสดนี่เต้นยับกว่าที่จินตนาการไว้ตอนฟังแบบ audio จริง ๆ 

เดเล่าว่าในมิวสิกวิดิโอที่เราได้ดูกันนี้เกิดจากการนั่งคุยกันเล่น ๆ ในวง พวกเขาแค่คิดว่าอยากจะทำอะไรก็ได้ที่ฮา ๆ โดยที่อยู่ในโลกของพวกเขาก็พอ ไม่ต้องคิดให้ไกลเกินตัว ซึ่งไอเดียที่ชนะก็เป็นของเทย์เลอร์ และเดฟเป็นคนกำกับเอง

Make It Right

เท่ตั้งแต่อินโทรที่กระชากหน่อย อีกเพลงที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับเราในความที่เป็นเพลงที่ดนตรีร็อกแอนด์โรลหนักหน่วงแต่มีเมโลดี้น่ารักราวกับธีมซองของรายการ Sesame Street มีจังหวะขัด แบบที่โผล่มาโดยไม่ทันตั้งตัว ยิ่งพาร์ตกลองท้ายเพลงเท่มาก เหมือนจะไปสุดแล้วแต่ก็ไม่ยอมสุดจริง ซักที ยิ่งไลน์กีตาร์ตอนท้ายก็ขยี้แบบไม่รู้จะขยี้ยังไงแล้ว ยกให้เป็นอีกเพลงโปรดจากอัลบั้มชุดนี้

The Sky is a Neighborhood

อีกเพลงที่ปลุกวิญญาณร็อกแอนด์โรลกับจังหวะหนึบหนับกระชากใจ มีท่อนให้ร้องติดปากตามชื่อเพลง ที่บาง element ของเพลงมีความเป็นเพลง Because ผสมกับ I Want You (She’s So Heavy) ของ The Beatles แต่ขณะเดียวกันก็มีสำเนียงดนตรีที่ทำให้นึกถึงเพลงร็อกต้นยุค 2000s อยู่เหมือนกัน

La Dee Da

เสียงแตกของเอฟเฟกต์เบสในต้นเพลงเป็นอะไรที่สะพรึงมาก ประทับใจกับความหนึบหนับสั่นประสาท เหมือนเป็นส่วนผสมระหว่าง Nirvana ในการเล่นแบบกรันจ์ ทื่อ กับซินธ์เฟี้ยวฟ้าวโวยวายราวกับ Limp Bizkit แต่ไลน์กีตาร์ชวนให้นึกไปถึงไซคีเดลิกร็อกจากยุค 60s ในท่อนโซโล่ สนุกสุดมันราวกับจะให้เลือดไหลหมดตัวกันไปข้าง

dave-grohl

Dirty Water

เพลงที่ขึ้นมาด้วยบทสนทนาคล้ายพูดผ่านวิทยุ เหมือนเป็นรายงานข่าวหรืออะไรสักอย่าง จากนั้นก็เข้าสู่ตัวเพลงที่ทำให้เรานึกไปถึงวงร็อกยุค 70s กับความที่มันฟังสบายแบบสุด แถมยังมีเสียงคอรัสสวย ของ Inara George นักร้องสาวแห่งวง The Bird and the Bee มาร่วมร้องในเพลงนี้ เดฟบอกว่าเสียงของเธอเข้ากับเมโลดี้มาก เหมือนเป็นเครื่องดนตรีชิ้นนึงของเพลงเลย แต่ความพีคคือตอนท้ายเพลงร็อกชิว ก็กลายเป็นเพลงเดือด กลองกับกีตาร์สับรัว เหมือนหลอกให้เราตายใจแค่ต้นเพลงแค่นั้นแหละ

Arrows

ย่องมาต่อกันจนปรับหูแทบไม่ทัน แต่ในความเนิบนี้ยังหนักแน่นอยู่เหมือนเป็นเพลงที่เน้นลูกหวด อัดพลังพุ่งพล่านของกลองกับกีตาร์

taylor-_-pat

Happy Ever After (Zero Hour)

คราวนี้เปิดมาเป็นโฟล์กที่เล่นกีตาร์อะคูสติกตัวเดียวใส คลีน กันเลย ลุ้นอยู่ทั้งเพลงว่าท่อนเดือดจะมาตอนไหน ปรากฏว่าไม่มีจ้า แต่ทว่าเนื้อหาของเพลงมันไม่ได้สดใสสมกับดนตรี เพราะเราลองตั้งใจฟังแล้วมันพูดถึงช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่สักวันมันจะผ่านไป ชวนให้นึกถึงฤดูร้อนอันแสนสั้น เป็นอะไรที่เล่นแบบเรียบ แต่เปี่ยมด้วยความหมาย และเศร้าแต่งดงามมาก สำหรับเรา

แม้เนื้อเพลงจะมีพูดถึงยอดมนุษย์คล้ายกับเพลง My Hero จากอัลบั้ม The Colour and the Shape แต่ทั้งสองเพลงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เดฟเล่าว่าเพลงนี้ถูกเขียนขึ้นหลังจากที่เขาขาหักและต้องขึ้นเล่นในทัวร์ครั้งที่แล้ว อยู่ดี เขาก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างต้องจบลง และเขาจะต้องอยู่เพียงลำพังในวาระสุดท้าย เขาอาจจะกำลังเต้นรำช้า อยู่ในห้องมืดที่มีแสงสว่างจากเทียนเล่มเล็ก เพียงเล่มเดียว เพราะทุกคนได้หายไป ไม่ก็เลือกที่จะเดินจากชีวิตของเขาไปหมดแล้ว

chris-shiflett

Sunday Rain

กลับมาเป็นเพลง upbeat ขยับแข้งขา เป็นเพลงเน้นกีตาร์จังหวะชวนโยก เบสหนึบมาก มีความเป็น classic rock เก่า แต่แอบมีเสียงซินธ์ฟิ้ว ที่คิดว่าน่าจะทำเลียนเสียงหยดน้ำฝนแหมะ ยิ่งตอนหลังมีพาร์ตที่อยู่ดี floor tom ก็โผล่มาได้เท่มาก ท้ายเพลงมีเสียงเปียโนอ่อนโยงบรรเลงแทรกซ้อนขึ้นมากับกีตาร์ที่กำลังเกรี้ยวกราดอยู่

ความพิเศษของเพลงนี้คือเทย์เลอร์เป็นคนร้อง และที่พิเศษกว่านั้นคือ Paul McCartney แห่ง The Beatles เป็นคนรับหน้าที่ตีกลองในเพลงนี้ พอลเป็นเพื่อนกับวงมาเป็นระยะเวลาหนึ่งและได้รับการเชิญชวนให้มาที่สตูดิโอเป็นครั้งแรกขณะที่กำลังอัดเพลงนี้ พอลไม่เคยฟังเพลงมาก่อนจนเทย์เลอร์บอกให้เขาลองฟังและลองตีดูพาร์ตกลองของเขามหัศจรรย์มากครับ เขาคือพอล แมคคาร์ทนีนะคุณ มันเลยมีความเป็นกลองแบบคลาสสิกร็อกจริง เดฟเล่าอีกว่า พวกเขาอัดกลองของพอลแค่สองเทคก็ผ่านเลย แต่หลังจากที่วงกำลังพักจิบชาแล้วออกมาสูบบุหรี่กันที่ลานจอดรถหน้าสตูดิโอ ก็มีคนวิ่งมาบอกว่าพอลอยากเล่นเพิ่มอีกสักเทคสองเทค สร้างเสียงเฮครืนลั่นห้องสัมภาษณ์เลยทีเดียว

nate-mendel

The Line

พูดได้เต็มปากว่านี่คือเพลงที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ฟัง Foo Fighters ในแบบที่คุ้นเคย คือความแมน บอย ลุย กับเมโลดี้สว่างเปี่ยมด้วยความหวัง อัดแน่นด้วยความเท่ตลอดทั้งเพลง

Concrete and Gold

เพลงปิดท้ายอัลบั้มที่ใช้เป็นชื่อของอัลบั้มด้วย เป็นเพลงช้าที่เน้นเอฟเฟกต์เสียงแตกรุนแรงเหมือนต้องการสร้างบรรยากาศความขลังและความไม่อยู่กับร่องกับรอยในมิติของเสียง เสียงร้องเลือกที่จะให้เป็น lo-fi ฟังรวม ทั้งเพลงแล้วรู้สึกเคว้งคว้างราวกับความฝัน ไม่รู้ว่าสิ่งในคือเรื่องจริง และดูเป็นพื้นที่ที่ยิ่งใหญ่ในขณะเดียวกัน

เดฟบอกว่าที่เขาเลือกให้เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้มเพราะเขาอยากให้เพลงปิดเป็นเพลงที่มีเมโลดี้สวยงามเปี่ยมด้วยความหวัง ไม่อยากให้เป็นเพลงเดือด มาทั้งหมด อีกอย่างคือเขาเคยถามพอล แมคคาร์ทนีว่าจะเลือกเพลงสุดท้ายของอัลบั้มยังไง พอลตอบมาสั้น ว่าผมมีเพลงชื่อ The Endเดฟทำหน้าเจื่อน แล้วทุกคนก็ฮากันลั่นห้องสัมภาษณ์อีกครั้ง

rami-jaffee

อ่านมาจนถึงตอนนี้อาจจะนึกไม่ออกว่าแต่ละเพลงเป็นยังไง (แต่ยังดีมี Run กับ The Sky is a Neighborhood ออกมาให้ฟังกันแล้ว ส่วนคนที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตก็ได้ฟัง Sunday Rain กันมาแล้วโนะ) เอาเป็นว่า รอฟังอัลบั้ม Concrete and Gold พร้อมกัน 15 กันยายนนี้ แล้วมาเล่าให้ฟังหน่อยว่าพอฟังครบทั้ง 11 เพลงแล้วรู้สึกเหมือนหรือต่างจากที่เราเขียนไว้ยังไงบ้าง

img_1937

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้