Article Story

Chet Baker : ทรัมเปร็ต เฮโรอีน และ เจมส์ ดีน แห่งวงการเพลงแจ๊ส

  • Writer: Geerapat Yodnil

“Jazz is the big brother of Revolution. Revolution follows it around” คือคำพูดจากปากของ Miles Davis อัจฉริยะทรัมเป็ตผู้ถูกขนานนามว่าเป็นขบถแห่งวงการแจ๊ส หนึ่งในแนวดนตรีที่โรแมนติกและเข้าใจยากที่สุดในโลก

คำปิดประโยคเมื่อซักครู่นั้นมาจากปากของเราเอง แต่นั่นก็เป็นความคิดของเราก่อนที่จะรู้ว่าเพลงแห่งการปฏิวัติที่ไมล์สพูดถึงเต็มไปด้วยเรื่องของยาเสพติดที่มีเฮโรอีนเป็นพระเอก และมีศิลปินอย่าง Billie Holiday, Charlie Parker, Ray Charles และอีกหลาย ๆ คนเป็นตัวละครในเรื่อง

หนึ่งในนั้นที่เราไม่ได้ยกตัวอย่างคือ Chet Baker เพราะว่าเขาคือเนื้อเรื่องหลักในบทความนี้ เราจะเล่าเรื่องราวของเขาในฉากที่เป็นจุดกำเนิด ก่อนที่เขาจะมาเป็นนักดนตรีแจ๊สหนุ่มพราวเสน่ห์ ผู้มาพร้อมกับทักษะการเป่าทรัมเป็ตด้วยสำเนียงอันแสนเศร้าเกินกว่าคนฟังจะมีความสุขได้ และเขาได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของวงการเพลงแจ๊สในยุค 60s (ประวัติส่วนหนึ่งของเขาถูกนำไปสร้างหนังชื่อ Born To Be Blue เมื่อปี 2015) ที่ชีวิตถูกทำลายด้วยยาเสพติด หรือต้องบอกว่าเขาตั้งใจทำลายตัวเองด้วยยาเสพติดถึงจะถูกต้องกว่า

บทเพลงจากในโบสถ์เมื่อวันวาน

chet-baker-kid

เช่นเดียวกับเหล่าตำนานบรรพบุรุษและสตรีแจ๊สทั้งหลายในปี 60s Chet Baker เกิดเมื่อปี 1929 ด้วยชื่อเต็มว่า Cheney Henry ‘Chet’ Baker Jr. หนุ่มน้อยเบเกอร์ถูกเลี้ยงดูด้วยการหว่านเมล็ดพันธ์ุแห่งความรักในเสียงดนตรีให้ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ โดยพ่อผู่มีชื่อเดียวกัน (แต่ตัด Jr. ออก) พ่อของเขาเคยเป็นมือกีตาร์มาก่อน ก่อนที่จะย้ายไปทำงานอื่นเพราะโดนโรคซึมเศร้าเข้าแทรก (อ่าน ‘ทำไมการทำงานในแวดวงดนตรีถึงทำให้เสียสุขภาพจิตได้’ ที่นี่) และแม่ของเขา Vera Baker ผู้ทำงานเกี่ยวกับน้ำหอม

chet-baker-kid-02

จากจุดเริ่มต้นที่ครื้นเครงนั้นเอง เบเกอร์ในวัยเด็กจึงตัดสินใจทำความรู้จักกับดนตรีครั้งแรกโดยการเป็นนักร้องในโบสถ์ (หรือการร้องเพลง gospel สรรเสิญพระเจ้าที่เห็นได้ในหนังบ่อย ๆ) ซึ่งต่อมาพ่อของเขาก็ซื้อเครื่องดนตรีทองเหลืองที่ชื่อทรอมโบนให้ ก่อนที่จะต้องเปลี่ยนมาเป็นทรัมเป็ตตอนเขาอายุได้ 13 ปี เพราะทั้งคู่มีความเห็นตรงกันว่าทรอมโบนนั้นหนักเกินไปสำหรับเขา (เป็นการเลือกเครื่องดนตรีที่เวรี่เศร้า)

การฝึกฝนในช่วงแรกของเบเกอร์นั้นมีสถานที่อยู่ภายในคลาสเรียนดนตรีตอนเขาอยู่มัธยมต้น ต่อมาก็ที่ Glendale High School ตอนมัธยมปลาย แต่ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วละก็ คลาสเรียนคือส่วนที่เขาใช้เวลาอยู่ด้วยค่อนข้างน้อย เพราะโดยส่วนมากเบเกอร์จะมุมานะฝึกฝนเป่าด้วยตัวของเขาเองซะมากกว่า และหลังจากนี้เปอร์เซ็นต์ในส่วนหลังก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมา   

chet-03

ปี 1946 เบเกอร์ในวัย 16 ปี ขอพ่อแม่ดรอปจากการเรียนมัธยมเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเข้าไปเล่นดนตรีในวงดุริยางค์ทหารของกองทัพและแน่นอนว่าเขาก็ได้เล่นจริง ๆ ต่อจากนั้นเบเกอร์ก็ถูกย้ายไปประจำอยู่ที่เบอร์ลิน (ก่อนหน้านี้ครอบครัวเบเกอร์อาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลลิส) ก่อนที่จะปลดประจำการในอีก 2 ปี ต่อมา (1948)

chet-02

เบเกอร์ใช้เวลาในช่วงนี้สมัครเข้าเรียนที่ El Camino College มหาวิทยาลัยในบ้านเกิดของเขาเอง และตรงนี้เองเป็นตอนเดียวกันกับที่เขาได้เรียนรู้ในทฤษฎีดนตรีแจ๊สเป็นครั้งแรกจากการขึ้นไปแจมฝีมือทรัมเป็ตในแจ๊สคลับแห่งหนึ่ง แต่หลังจากเรียนมหาลัยไปได้แค่ 2 ปี เท่านั้น เบเกอร์ก็ต้องลาออกเพื่อมาเข้ากองทัพในปี 1950 กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวงดุริยางค์ทหารอีกครั้งแต่คราวนี้เขาถูกย้ายไปประจำที่ซานฟรานซิสโก และหลังจากการปลดประจำการในครั้งนี้เขาก็เริ่มเดินทางเส้นทางที่เรียกว่า ‘ศิลปินแจ๊ส’ เสียที

chet-baker-in-army

ยินดีต้อนรับเข้าสู่เส้นทางของแจ๊ส, ยินดีต้อนเข้าสู่โลกของเฮโรอีน

chet-04

เบเกอร์เริ่มเส้นทางของนักดนตรีแจ๊สอีกครั้งที่คลับแห่งหนึ่งในเมืองที่เขาไปประจำการเป็นครั้งสุดท้าย โดยเบเกอร์ได้รับโอกาสไปเล่นให้วง Vido Musso’s Band ของศิลปินแซ็กโซโฟนชาวอิตาลี ร่วมกับ Stan Getz ศิลปินเทนเนอร์แซ็กโซโฟนที่ได้กลายเป็นตำนานในเวลาต่อมา แต่วงก็มีอายุได้ไม่นานนักก็ต้องเลิกรากันไป

ในช่วงฤดูไม้ผลิตอนปี 1952 เส้นทางของเบเกอร์ก็ผลิตามไปด้วยเมื่อเขาได้รับเลือกให้ไปออดิชันเพื่อเล่นให้กับศิลปินแจ๊สผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลอย่าง Charlie Parker (คือชายคนเดียวกับที่คอนดักเตอร์โคตรโหดใน Whiplash ยกย่องนั่นแหละ) ซึ่งเป็นอีกครั้งที่สำเนียงทรัมเป็ตอันแสนเศร้าแสนเอกลักษณ์พิชิตใจผู้ร่วมเล่นด้วย และตรงนี้เองที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเสพยาครั้งแรก ๆ ของเขา (เพราะนอกจากแจ๊สแล้ว ชาลี พาร์กเกอร์ก็มีประวัติโด่งดังในเรื่องของการเล่นโฮเรอีนและยาต่าง ๆ ด้วย)

พอเข้าฤดูร้อนของปีนั้นเบเกอร์ก็ย้ายไปอยู่วงใหม่กับ Gerry Mulligan และได้เขาสตูดิโอ Pacific Jazz Records อัดเพลงให้กับศิลปินเป็นครั้งแรก ใน LP ที่ชื่อ Gerry Mulligan Quartet ของศิลปินผิวขาวคนนี้ที่เขาเล่นให้อยู่ และเหตุการณ์สำคัญของตรงนี้ก็คือหนึ่งในเพลงที่เขาร่วมอัดมีเพลงแสนเศร้าที่ชื่อว่า My Funny Valentine ซึ่งเขาเป็นคนอัดเสียงร้องเองอยู่ด้วย และมันก็กลายเป็นหนึ่งในเพลงประจำตัวของเขาเสมอมา

chet-with-gerry-mulligan

และเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เรามั่นใจว่าเบเกอร์เข้าไปพัวพันกับการเล่นยาเสพติดอีก เพราะว่าหลังจากบันทึกเสียงและร่วมแสดงสดอยู่กับมัลลิแกนซักพักนึงแล้ว ในปี 1953 มัลลิแกนถูกจับเข้าคุกเพราะเสพเฮโรอีน

Like Someone In Love

เบเกอร์วัยหนุ่มแน่นในอายุ 24 ปี เริ่มเดินทางใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเขาเองที่จะนำทุกอย่างโดยไม่ได้เป็นแบ๊กอัพศิลปินอีกแล้ว เบเกอร์เข้าบันทึกเสียงอัลบั้มแรกกับ Pacific Jazz โดยเลือกนักดนตรีเก่ง ๆ เพื่อสร้างวงแจ๊สควอเต็ต (quartet) สี่ชิ้นขึ้นมา ผมตอบรับคือสามารถใช้คำว่าล้นหลามได้เลย อัลบั้มของเขาถูกวิจารณ์ไปในทางที่ดีพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของแฟนคลับจำนวนมากมายที่ทุกคนเชียร์เขาในฐานะของ ‘เชต เบเกอร์’ จริง ๆ

chet

ในปีถัดมา (1954) เบเกอร์ก็ออกอัลบั้มที่ชื่อ Chet Baker Sings ให้แฟน ๆ และนักวิจารณ์เซอร์ไพรส์กันอีกครั้ง เพราะนอกจากเราจะได้ยินเสียงของทรัมเป็ตอันแสนเหงาคอยรักให้ตายกันไปข้างแล้ว คราวนี้เขาเลือกที่จะจับไมค์ร้องเพลงอย่างเป็นจริงเป็นจังอีกด้วย (ซึ่งหลังจากที่เราลองฟังทั้ง 14 เพลงที่เขาร้องครบแล้วก็ต้องบ่นอย่างอิจฉาเลยว่าขี้โกงมาก คนอะไรหน้าตาก็ดี เป่าทรัมเป็ตก็ดี ยังจะมาร้องเพลงเพราะอีก แนะนำมากสำหรับคนที่ชอบฟังอัลบั้มสแตนดาร์ดแจ๊สง่าย ๆ เพลิน ๆ และดี) อัลบั้มนี้ช่วยทวีคูณความนิยมของเขาขึ้นอีกในเวลานั้น

chet-baker-sings-album

เสียงทรัมเป็ตที่ไม่เคยเล็ดลอดออกมาอีกเลย

‘เจมส์ ดีน แห่งวงการดนตรีแจ๊ส’ คือฉายาที่ถูกตั้งขึ้นและแสดงผลของมันจากตรงนี้ — ในปี 1955 บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลิวูด กำลังดำเนินโปรเจ็คหนังที่ชื่อ Hell’s Horizon กันอยู่ และอยากได้เบเกอร์ไปร่วมแสดงด้วย ปรากฏว่าเขาไปลองแคสติ้งแล้วผ่านจึงได้แสดงนำในเรื่องไป (ซึ่งถ้าไม่นับสารคดีที่ตามมาหลังจากนี้แล้ว ในปี 1960 เขาจะมีงานแสดงที่ชื่อ Howlers Of The Dock และอีกเรื่องคือ Summer Flight ในปี 1963) และช่วงเวลานี้เองเป็นตอนที่ทุกคนไม่ต้องสงสัยหรือพยายามเชื่ออีกแล้วว่าเขาเล่นยารึเปล่า เพราะจากตรงนี้ไปชื่อของเขาจะค่อย ๆ ถูกผูกติดกับคำว่า ‘เฮโรอีน’ มากขึ้นเรื่อย ๆ

hell_s-horizon-movie

howlers-of-the-dock

summer-flight-1963

ในช่วงปลายของปี 1950s เบเกอร์กลายเป็นผู้เสพติดเฮโรอีนอย่างเต็มตัว ด้วยประวัติการทำงานที่เคยรุ่งโรจน์ในอดีตข่าวเสีย ณ ปัจจุบันของเขาจึงจุดติดและลามไปทั่วอย่างรวดเร็ว มีข่าวว่าเขาถูกคุมขังและถูกคุมความประพฤติกรรมเพื่อให้เลิกยาอยู่หลายครั้งหลายหน แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความร่วมมืออย่างดีเลยซะทีเดียว (เบเกอร์ออกอัลบั้มมากมายในช่วงปี 50s – 60s ซึ่งถูกเชื่อว่าที่เขารีบทำอัลบั้มขนาดนั้นเพราะต้องการเอาเงินไปซื้อยามาเสพ)

ในปี 1960 เขาถูกจับขังคุกในอิตาลีเพราะเรื่องนี้ และต้องใช้เวลาอยู่ในนั้นนานเกือบครึ่งปี พอหลังจากพ้นโทษได้ไม่นานเขาก็ใช้เวลาเฉลิมฉลองด้วยการทำสิ่งที่เขาถนัดมาทั้งชีวิตอีกครั้ง อัลบั้มที่ชื่อ Chet Is Back ! ในปี 1962 จึงถือกำเนิดขึ้น

chet-is-back-album

ในปี 1963 เบเกอร์ถูกจับและแบนห้ามเข้าประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี เพราะพฤติกรรมการเสพยา เขาจึงย้ายกลับมาเล่นดนตรีอเมริกาที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างอีกครั้งนึง

แต่ความโชคร้ายก็เกิดขึ้น ในปี 1966 เบเกอร์ถูกรุมทำร้ายจากผู้ที่เขาติดต่อซื้อยาด้วย ความรุนแรงจากเหตุการณ์นี้กระทบกระเทือนต่อฟันของเขา ส่งผลให้เขาไม่สามารถที่จะเป่าทรัมเป็ตได้ไปอีกหลายปี แต่เขาก็พยายามกลับมาฝึกฝนอีกครั้งถึงแม้ว่าจะต้องกลับมานับใหม่ตั้งแต่หนึ่ง

ในช่วงปลายของปีเดียวกันนั้นเบเกอร์กลับมาเข้าห้องอัดและเริ่มออกโชว์ดนตรีอีกครั้งถึงแม้สภาพจะไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่ก่อนอีกแล้ว และที่สำคัญคือเขาพยายามเลิกยาใช้ยาเสพติดอย่างจริง ๆ จัง ๆ ซักที ปี 1973 เขาได้กลับไปร่วมเล่นกับมัลลิแกนอีกครั้งนึง และใช้เวลาในปี 1974 บันทึกเสียงอัลบั้มชุดใหม่กับบ้านใหม่อย่าง Epic Records จนกระทั่งในที่สุด ช่วงปลายของปีนั้นเขาก็หยุดเล่นทรัมเป็ตตลอดไป

Goodbye My Funny Valentine

chet-baker-old

วันที่ 13 พฤษภาคม 1988 เชต เบเกอร์ ในวัย 59 ปี นอนสงบแน่นิ่งไร้เสียงหายใจใด ๆ บนพื้นนอกโรงแรมในอัมสเตอร์ดัม โดยที่หน้าต่างห้องพักบนชั้น 2 ของเขาเปิดกว้างอยู่ นอกจากเสื้อผ้าที่อยู่ติดตัวไปกับเขาตอนสิ้นใจแล้ว ภายหลังชันสูตรพบว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยโคเคนและเฮโรอีนในปริมาณที่มากพอจะพูดได้ว่าเขายังคงหลงใหลในสารเหล่านั้น ราวกับว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักมัน

chet-baker-old-02

ตัวอย่างของ Chet Baker แสดงให้เห็นว่าแนวดนตรีไม่ใช่ตัวกำหนดว่าใครคนหนึ่งจะเสพยาในปริมาณมากขนาดไหน และจุดจบของความสัมพันธ์ที่ลุ่มหลงในยาเสพติดนั้นลงเอยไม่เคยต่างกันเลยซักครั้งเดียว — แด่เสียงทรัมเป็ตในวันที่ผู้เล่นไม่ได้อยู่อีกแล้ว …

 

อ้างอิง
https://www.biography.com/people/chet-baker-9195815
http://www.jazz.org/blog/gone-too-soon-seven-jazz-musicians-who-died-young/
https://www.allmusic.com/artist/chet-baker-mn0000094210/biography
http://www.komchadluek.net/news/ent/191393
Facebook Comments

Next:


Geerapat Yodnil

จี Loser boy ผู้หลงไหลในหนังของ Woody Allen มี Mac DeMarco เป็นศาสดา และยังคงเชื่ออยู่เล็ก ๆ ว่าตัวเองจะสามารถเป็น William Miller ได้ในซักวัน