Article Interview

อัพเดตชีวิตกับ SLUR หลังจากที่ ‘หลง.. อยู่ในแสงไฟเสียงเพลงหลากหลาย’ มาพักนึง

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

SLUR คืออีกหนึ่งวงดนตรีไทยที่ซื่อสัตย์กับความเป็นตัวเองและยังคงผลิตผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอ หลังจากที่พวกเขาได้ปล่อยซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มชุดที่ 5 อย่าง ‘หลง’ ไปแล้ว เราก็มีรอช้ารีบหาเวลาชวนพวกเขามาจิบเบียร์เย็น ๆ ที่ Method To My Madness ถามที่มาที่ไปเกี่ยวกับงานเพลงล่าสุด และเส้นทางของวงดนตรีวงนี้ที่เปลี่ยนไปจากอดีตอยู่ไม่น้อย

ช่วงที่เว้นไปประมาณ 4 ปีที่พักจากงานชุดก่อน อะไรเป็นสัญญาณที่บอกว่าต้องกลับมาทำแล้ว

เย่: ก็รอคิวปล่อยเพลง อย่างที่ Smallroom ก็ต้องดูว่าวงไหนทำเพลงเสร็จหรือยัง มีเดโม่มามั้ย จริง ๆ เราทำเรามีเพลงเพียบเลย 40-50 เพลง ก็ส่งไปให้เขาแล้วเอามาคัด กัน พอถึงเวลาก็มีเดดไลน์ว่าต้องมีอันนี้ นะ เราก็รวบรวมมาทำเดโม่ เป็นระบบว่า เมื่อถึงคิวที่เขาจะจี้ตูดบอกให้ทำได้แล้ว เราก็ เออ โอเค ไม่งั้นถ้าอยากออกเลยก็จะทับช่วงโปรโมตของวงอื่น ก็ต้องรอคิวที่ต่างคนต่างปล่อย อย่างนั้นมากกว่า

เพลงในอัลบั้มเต็มชุดที่ 5 เสร็จหมดแล้ว

เย่: มีทั้งหมด 10 เพลง เหลือแค่ mv กับพวกมิกซ์ มันก็มีภาพรวมที่คล้าย กัน แต่ไม่ใช่โทนหรือวิธีเล่นเหมือนกันทุกเพลงแบบตอนอัลบั้มหนึ่ง อัลบั้มสอง ที่มันจะเล่นกีตาร์สับรัว ๆๆๆ แต่อันนี้มันมีวิธีเล่นหรือมีซาวด์อื่นมาประกอบ อย่างผมผมชอบเสียงนิ้งหน่อง ก็เอามาใส่ในเพลงนี้ หรือชอบเสียงเครื่องเป่าก็ใส่แม่งเลยทั้งเพลง เอาเครื่องเป่านำหมดเลยก็มี เอาความชอบมาทดลองเล่นดู

สไตล์ดนตรีที่เปลี่ยนไปจากชุดก่อน ๆ อย่างเห็นได้ชัด

เย่: อัลบั้มนี้ถ้าเพลงไหนผมเป็นคนแต่ง เป็นคนขึ้นเพลง ก็จะเอาซาวด์จากเพลงยุคที่โตมาด้วยกัน พวก 80s-2000 เราก็ฟังอยู่ประมาณนี้แหละ แต่ก่อนเวลาเราทำเพลงมันจะมีจำกัดความว่าแนวโน้นแนวนี้ แต่หลัง มันไม่มีแล้ว มันไม่ได้จะต้องมีแนวเพลงว่าเป็นแนวไหน พอฟังมาก เข้าเราก็รวมเอาไอ้ที่ฟังมาย่อย แล้วทำออกมา เอาความอยากจะใส่ซาวด์นั้นนี้ลงไปในเพลงมากกว่าแคร์ความถูกต้อง คือยิ่งผิดยิ่งทำอะ (หัวเราะ) วงเราจะเป็นประมาณนี้

เฮาส์: ชุดที่แล้วมันจะมี direction ที่ชัดกว่า แต่อันนี้จะไม่มีอะไรมาตั้งแล้ว ก็คือขึ้นเพลงมาปุ๊บ อยากทำอะไรก็ทำเลย (เย่: มันก็ออกมาเป็นแบบที่ชอบ) รู้สึกว่าทำถูกต้องแล้ว ก็จบอยู่แค่นั้น

เย่: ที่เรารู้ว่าอันนี้ถูกต้อง เพราะว่าฟังแล้วรู้สึกว่า เออ เฮ้ย มันแปลกดีเว้ย หรือเจ๋งดีเว้ย มากกว่ามีคนมาบอกว่าอันนี้เป็นแนวอะไร รู้สึกว่าลงตัวก็คือลงตัว

ความที่แนวเพลงจะมีหลากหลายมาก ใช้อะไรรวมให้เป็นกลุ่มก้อนแบบที่จะสามารถใส่ไว้ในอัลบั้มเดียวกันได้

เย่: ก็คงเป็นวิธีแต่งเนื้อเพลงกับเมโลดี้ที่ผมร้อง หรือทางคอร์ด ยังไงมันก็เป็นผมอยู่ดี คือรากฐานที่แต่งออกมามันไม่มีทางหลุดหรอก เพราะผมเป็นคนแต่ง กับผมเป็นคนร้อง มันก็มีหลุดออกไปหน่อย บ้าง แต่ไม่ได้มากมายขนาดว่าเพลงนี้อะไรวะเนี่ย

ดนตรีจะย่อยยากกว่าเพลงชุดก่อน ไหม มีคนฟังเพลงแรกแล้วบอกว่าดีพขึ้น

เย่: ก็ไม่ยากหรอก เป็นป๊อปเนี่ยแหละแต่มันจะไม่ค่อยเหมือนป๊อปไทยทั่ว ไป ป๊อปสำหรับใครมากกว่า เมโลดี้อาจจะไม่ค่อยคุ้นหู การวางคอร์ดอาจจะไม่ใช่เพลงปกติ แค่นั้นเอง ถ้าคนไหนฟังเพลงเยอะ หรือเป็นคนฟังที่ชอบมาร้านเนี่ย (พวกเราสัมภาษณ์ Slur ที่ร้าน Method to My Madness—FJZ) เขาก็คงจะเข้าใจเลย คงไม่รู้สึกว่ามันฟังยากจัง ถามว่ามันเลือกคนฟังไหม มันเลือกแน่ คนที่เขาจะเมนสตรีมป๊อปก็จะมึนก่อน แต่เดี๋ยวสักพักเขาก็เข้าใจ มันแค่ต้องเปิดโอกาสให้ได้ฟังหลาย รอบ เพราะเพลงวง Slur นี่ฟังรอบเดียวก็คงมึนแน่

อัลบั้มนี้จะไม่ได้พูดเรื่องความสัมพันธ์แล้ว แต่พูดเรื่องที่โตขึ้น ออกจะไปในทางการสำรวจตัวเอง นามธรรม ปรัชญา

เย่: ใช่ เหมือนเริ่มมองตัวเองมากขึ้น แล้วรู้จักตัวเองมากขึ้น จะรู้ว่าเราเป็นอะไร กำลังทำอะไร หรือรู้สึกอะไรอยู่ เราก็จะค่อย เอาไอ้มุมแบบนี้มาเล่า อยากอธิบายให้เป็นคำของเรา แต่เพลงทุกเพลงก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ แล้วแต่ มันเกิดจากสิ่งรอบตัวมากกว่า

ทำไมถึงเลือกปล่อย หลง เป็นเพลงแรก

เย่: พี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารค่ายเพลง Smallroom) อธิบายว่ามันมีฟังก์ชันของท่อนเพลงที่แปลกใหม่ออกไป เป็นการแต่งเพลงที่เอาฮุกขึ้นมาก่อน มีท่อนที่วางเรียงแปลก ๆ แบบไม่ใช่เมนสตรีมปกติทั่วไป แล้วการเลือกใช้คำมันทำให้ direction เพลงมันชัดเจน พี่รุ่งก็เลยอยากให้เพลงนี้มันออกมาก่อน

และเพลงนี้เราตั้งใจให้การเขียนเนื้อร้องเป็นแบบนั้น มันมีอาจารย์ที่สอนเราอยู่แล้วก็คืออาจารย์วงต่าง นานา พราว Modern Dog พวกนี้ที่เราฟัง มาตั้งแต่เด็กมันก็จะสอนเราอยู่แล้ว มองง่าย เหมือน Silly Fools เงี้ย ‘เธอบอกว่าวันนี้เป็นวันเธอบอก เธอบอก เธอบอก’ เนี่ย ในยุคที่เราฟังเพลงไทยเขาแต่งเนื้อแบบนี้ เราแค่เลือกวิธีบางอย่างที่เขามีอยู่แล้วมาเล่น แต่จะทำให้เป็นตัวเรายังไงได้บ้าง ก็ต้องวิเคราะห์และมองให้ทะลุการแต่งเพลงของเขาว่าเขาใช้วิธีอะไร อยากทำแบบนี้ก็เลยลองทำดู

การ ‘หลง’ ในเพลงเนื้อเพลง หลง นั่นคือกำลังหลงอะไร

เย่: มันเหมือนการสำรวจตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น เหมือนตอนนั้นได้ไปดูเอมเป็นดีเจเปิดเพลง เรายืนดูเมา  แล้วก็เอ๋อ มานั่งคิด แวบนึง เฮ้ย กูมาทำอะไรที่นี่วะ แล้วก็ได้ประโยค ‘หลง… อยู่ในแสงไฟเสียงเพลงหลากหลาย’ นี้มาก่อน แวบขึ้นมาเลย แล้วก็เอามาแต่งกระจายว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไง มันก็คือเรื่องจริงนะ แค่เอามาใส่เรื่องปรัชญานิด ว่า ไม่ว่าใครก็ต้องเคยหลงเหมือนกัน

รู้สึกยังไงที่แฟน ๆ รอคอยการกลับมา และได้รับการตอบรับที่ดีมาก อย่างล่าสุดเพลง หลง อยู่อันดับ 2 บนชาร์ต Cat Radio

เย่: เราไม่รู้สึกอะไรกับการขึ้นชาร์ตมานานแล้ว ไม่รู้ด้วยว่ามีคนรอเพราะทำออกมาปกติ มันก็คงมีคนรอแหละ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังแบบว่า จะต้องขึ้นชาร์ตที่หนึ่งหรือเปล่า เลิกคิดอย่างนี้มาประมาณ 6 ปีแล้ว

เฮาส์: อันนี้เหมือนพี่เย่บอกว่า ‘เฮ้ย! ได้เวลาทำเพลงแล้ว’ ทุกคนก็ไปทำเพลงกัน เพราะมี material อยู่ เอามารวม กันแล้วก็ไปอัดเลย ทำงานร่วมกัน ก็เสร็จ

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอัลบั้มชุดที่ตั้งแต่โลโก้วงจนถึงสไตลิ่ง

บู้อัลบั้มแรก ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นโลโก้ที่ต้องจำอะไรมากหรอก แต่ก็พยายามจะเปลี่ยนโลโก้ทุก อัลบั้มอยู่แล้ว คือทุกอัลบั้มก็อยากจะให้มันมีอะไรใหม่ หน่อยที่มันไม่เลี่ยน เรารู้สึกว่าเราเป็นคนขี้เบื่อด้วยมั้ง ก็อยากจะเปลี่ยนเป็นอะไรที่มัน simple ที่สุด แต่มีความขี้เล่น มีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ด้วย ก็เลยได้โลโก้นี้มา จริง ๆ อันนี้มันเป็นฟอนต์ของยุค 70s ครับ แต่ว่าเราพยายาม blend ออกไปให้เป็นทางเมนสตรีมยุค 90s หน่อย สีแดงคือสีแดงของ Slur ฟอนต์ที่แล้ว แต่เราอยากให้ฟอนต์ใหม่ออกมาง่าย คิดมาแล้วว่าเออ ไปอยู่กับอะไรก็อยู่ง่าย แต่ strong ด้วย โดยไม่ได้อยากให้มันสุดทางเลยนะ ให้มันกลางที่สุด แล้วก็คิดว่าอยากให้โลโก้นี้อยู่ในอัลบั้ม 6-7 ได้ด้วย แต่เราว่าเดี๋ยวพอถึงอัลบั้ม 6 มันก็ต้องเปลี่ยนอีก

แล้วพวกโฟโต้เซ็ตนี่ได้อิทธิพลมาจาก Netflix หรือเปล่า

บู้: อ่า มันมีป่า มีอะไรด้วย (จากเรื่อง ‘Stranger Things’—FJZ) เอาจริงเราว่าก็ได้รับอิทธิพลมาจากพวกซีรีส์ของ Netflix เยอะ ช่วงนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนดูกันกระจุย แล้วมันก็อาจจะออกมาโดยธรรมชาติด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ว่าตอนทำไม่ได้อ้างอิงกับ Netflix เลย มันมาเอง

เฮาส์: ป่านี่ก็โดยบังเอิญด้วยนะ คือเราไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับ mv มาก่อนเลยว่าจะมีโลเคชันแบบนั้น และสไตล์แต่ละคนมันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วนะ ไม่ปล่อยเซอร์ขนาดนั้น เราเข้าใจว่าทุกคนมีเซนส์ที่ดีอยู่แล้ว และเชื่อว่าทุกคนต้องออกมาดูดีอยู่แล้ว ไม่ปล่อยให้ตัวเองออกมาดูแย่หรอก ก็เลยเป็นตัวของตัวเอง สุดท้ายธีมรวมมันก็สมูธได้ และดูไม่แข็ง

เย่: เหมือนเอาชุดไปแล้วก็ อะ มาถ่ายรูปกัน วงเราบางทีคิดเยอะ แต่ทำน้อย หรือบางทีก็ไม่คิดเลย แต่ถ้าสังเกตดี เราก็ไม่ได้นัดกันแต่งตัว มันอัลบั้ม 5 แล้วอะ มันก็เลยไม่เหมือนแบบตอนอัลบั้ม 1 ที่กูเที่ยวใส่ชุดหนังที่คิดว่าแม่งไม่มีใครใส่หรอก (หัวเราะ) ตอนนั้นคิดแค่นั้น ตอนนี้เอาอะไรที่รู้สึกว่าจริงใจกับแฟนเพลงที่สุดดีกว่า ก็เลยเอาอะไรที่ใกล้ตัวเนี่ย

บู้เรื่องการถ่ายภาพ หรือแฟชัน อัลบั้มนี้เป็นชุดที่ direction กระจายที่สุด เพราะเราไม่ต้องการให้มันมี direction แล้ว มันถึงยุคที่คนมันเปลี่ยนความสนใจกันทุกเดือน ทุกอาทิตย์ เพราะฉะนั้นการที่เราไปลงล็อกเป็นอะไรสักอย่าง ต้องเป็น 80s หรือ 90s หรือยุคสมัยอะไรก็ตาม สำหรับเราเราว่ามันไม่ใช่แล้ว ยุคนี้ทุกอย่างมันมิกซ์กันไปหมด เรารู้สึกว่าวงดนตรีเดี๋ยวนี้ที่ออกมา พอมันคุยกันมากเกินไปปุ๊ปก็กลายเป็นแข็งไปหมดเลย เราก็เลยคิดว่า ไม่ต้องคิดแล้วแหละ เราก็แค่เอาอะไรที่เรามั่นใจพอ แต่มันก็มีธีมคุมหลวม อยู่นะ ไม่ได้ปล่อยให้หลุดกระเจิงไปหมดเลย ไม่งั้นทุกคนคงอัดจัดเต็ม  ผมก็คิดนะเรื่องการแต่งตัวว่า หรือเราถึงวัยที่มีแนวคิดแบบสี่เต่าเธอแล้ววะที่ใส่ชุดเดินเที่ยวห้างขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตบนเวทีแล้วอะ คือกลายเป็นว่า เรารู้สึกว่าความจริงสำหรับเรามันเป็นธรรมชาติที่สุดสำหรับการสื่อสารกับแฟนเพลงแล้ว

เย่: อาจจะเป็นที่อายุแหละ

ใครเป็นคนคิดเรื่องราวของภาพนิ่งแนะนำสมาชิกวง

เย่: มันคงไม่พ้นไอ้จั๊มป์ พนักงาน Smallroom หรือไอ้เพียว Polycat ที่ชอบคิดอย่างเนี้ย

บู้: คือจริง มันไม่ใช่อะไรเลย มันทำ mv ก่อน แล้วหากิมมิก ไม่ได้เรียกว่าเป็นส่วยขยายให้มันซีเรียสอะไร คือทำ mv ออกมาเสร็จแล้วเรารู้สึกว่า ในเมื่อทุกคนก็มีภาพ portrait อยู่แล้ว ทำอะไรให้มันสนุก ใส่เข้าไปดีกว่า แล้วเหมือนเพียวก็ขยี้ไปเลยว่าใครเป็นใคร เป็นตัวละครอะไรในหนังเรื่องนั้น ทุกอย่างมันดูเป็นซีรีส์มากเลยใช่ไหม

เย่: นี่ทำให้คนเขาคิดเยอะกันขนาดนี้เลยหรอ (หัวเราะ)

เฮาส์: ก็เป็น pop culture ดีครับ

แล้ว mv เนี่ยมันยังไง มีคนบอกว่าถ้าชอบก็ชอบไปเลย ไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย เพราะค่อนข้างสุดทาง

บู้: ตัวนี้เป็นตัวที่เราเลือกผู้กำกับ mv เอง ซึ่งมันก็เป็นสไตล์เดิมของ Slur ที่ค่อนข้างจะให้อิสระกับผู้กำกับ mv มาก เรายังเอาวิธีคิดแบบ Rompboy มาใช้ในการทำ mv ที่ว่า ถ้าใครถูกใช้งานบ่อย จะรู้สึกว่าเขาจะเฝือกับการทำงาน จะเอียนกับการทำงานมาก แล้วของจะหมด เราก็เลยเบิกตัวผู้กำกับ mv ที่ไม่ได้ทำ mv มานานมากแล้ว คือพี่ มนชนก สมใจเพ็ง หรือพี่นก เป็นผู้กำกับที่โห ยุคนั้นเขาทำให้ Palmy ตัวที่เราชอบ ที่เป็น stopmotion อยู่ในป่า แล้วพี่นกทำหลาย ตัวให้ Silly Fools ทำให้ Blackhead ทำให้ Death of a Salesman ถ่ายปกอัลบั้มให้ Modern Dog อัลบั้ม รูปไม่หล่อ ตอนเราเรียนศิลปะเรารู้สึกว่าพี่นกเป็นไอดอลของเด็ก ในยุคนั้น เราก็รู้สึกว่าโตมากับยุคนั้นจริง ๆ แต่ว่ายุคนี้อาจจะไม่ทันเพราะเขาทำแล้วห่างไปนานแล้ว ตัวล่าสุดที่เราดูของเขาแล้วชอบมากคือ ธิดาประจำอำเภอ ของ The Richman Toy โห เราไม่คิดว่าเขาจะมาทำ mv ให้เราได้ อันนี้พี่รุ่งเป็นคนเสนอ แล้วเราโอเคกับพี่รุ่งมาก ตอนโทรหาพี่รุ่งบอกว่าลุย ส่งเพลงให้เขาฟังเลย

ปรากฏว่า… โห ตอนมาพรีเซนต์เราค่อนข้างมึนเหมือนกันนะ คือเป็นพรีเซนต์จากภาพนิ่งไง ภาพนิ่งออกมามีกวาง มีหมี มีต้นสนที่พูดได้ มีตุ๊กตาบาร์บี้ ซึ่งมันไม่เข้ากันเลย (หัวเราะ) แล้วเราก็อิงไม่ถูกว่ามันคือยุคอะไรวะ แล้วพี่นกก็พูดขึ้นมาคำนึง มันตอบโจทย์เรามาก เขาขายผ่านเพราะคำคำนี้การที่ไม่มียุคสมัย คือยุคสมัยนี้เออ แล้วคนจะจำ element จำภาพต่าง ได้ ถึงแม้เพลงหรือ mv จะไม่เล่าเรื่อง แต่คนมันจะมีภาพติดตากับ mv ตัวนี้ ตอนพรีเซนต์เสร็จ พี่นกปิดคอม จำได้ว่าพี่เอมนี่เข้ามาชาร์จเราเลย บอกว่าบู้ มึงว่าขายปะวะ’ (หัวเราะ) เชี่ย ผมก็คิดเหมือนพี่ว่า ไม่รู้เหี้ยไรเลย

เย่: อันแรกก่อน มึงฟังเขาอธิบายรู้เรื่องปะวะ (หัวเราะ)

บู้: สิ่งที่เราต้องมั่นใจเลยคือตัวผู้กำกับแน่นอน เราไม่รู้เลยว่าสตอรี่จะออกมาเป็นยังไง แต่เราคิดแล้วว่าเราเชื่อในตัวเขา แค่นั้นน่ะ ปล่อยจบ ทีนี้ตอนจะปล่อยเราไม่ได้ตรวจพรูฟก่อนเลยนะว่า เฮ้ย ตุ๊กตาบาร์บี้จะเวิร์กปะวะ คนจะเกลียด mv ตัวนี้ปะวะ เราดูพร้อม กันทั้งประเทศเนี่ยแหละ ไม่ได้แก้อะไรเลย อย่างที่บอกแหละว่ามันมีคนอินไปเลย กับคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ส่วนตัวเรามันเป็น mv ที่ดีสำหรับ Slur เพราะว่า Slur มันต้องการอะไรอย่างนี้แหละ ที่มันมีความเพี้ยน ความเดาไม่ได้อยู่ แล้วเรารู้สึกว่า ไม่เป็นไร ถ้าคนยังไม่เก็ตกับตัวเนี้ย มันยังมีหมัดอีกหลาย หมัดที่พร้อมจะปล่อยอยู่ ซึ่งเราชอบมันมาก แต่ไม่รู้ว่าคนจะชอบหรือเปล่านะ เรายังพูดไม่ได้เพราะว่ามันเหมือนมีอะไรให้ลองเล่นหลาย อย่าง เป็นของเล่นหลาย ชนิดรอป้อนให้คนดู อันนี้อาจจะเล่นยากหน่อยนะ อีกอันอาจจะเล่นง่ายไปเลยนะ แต่มันเป็นของเล่นที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่แค่เพลงอย่างเดียว แต่มีเรื่อง mv ด้วย แล้วมีชื่ออัลบั้มแล้ว ซึ่งเป็นชื่ออัลบั้มที่ (เฮาส์: บอกไม่ได้) ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับ Slur

เย่: เหมือนเป็นมุขตลกที่เราต้องปูไปก่อน ห้ามพูด ห้ามบอก ไม่ได้เลย เดี๋ยวมันไม่เซอร์ไพรส์

บู้: บอกไม่ได้ มันจะไม่พลัง มันจะต้องมาพร้อมปก แต่ว่าชื่ออัลบั้มจะมาภายในอีกไม่กี่เดือนนี้แหละ เพราะเดดไลน์เราคือ Cat Expo ซึ่งระหว่างนั้นเราจะปล่อยอีก 2 ซิงเกิ้ล เพราะว่าตอนนี้เสร็จหมดแล้ว หลบให้วงอื่นเขาปล่อยกันก่อน ตอนนี้เป็นเรื่องการจัดวางของค่ายมากกว่า จริง เราอยากจะปล่อยทั้งสิบเพลงแล้วแหละ

Slur เคยคิดจะทำอะไรที่เรียบง่าย ๆ บ้างไหม

บู้: ไม่หรอก เราก็มองว่า Slur มันคือโปรดักต์ตัวนึง ซึ่งมันจะต้องมีความครีเอทิฟอะไรหน่อย ไม่ใช่ปล่อยออกมาทิ้ง แต่เราบอกเลยว่าเราไม่ใช่สายเพลงเพราะเนื้อหากินใจอยู่แล้ว และไม่ใช่สายเด็กแนวสุดทาง เราก็มีความเป็น Slur ที่มีความเพี้ยนในคาแร็กเตอร์ของแต่ละคนอยู่ เราว่าสิ่งที่ถนัดคือเราใส่กิมมิกความครีเอทิฟลงไปให้ได้มากที่สุดในแต่ละอย่าง ไม่ใช่แค่เพลงเดียว อย่างที่เราบอกว่า mv เรายังพิถีพิถันในการหาใครมาทำ หรือว่าแพ็คเกจ ชื่ออัลบั้ม ทุกอย่างที่เป็นงานดีไซน์

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการทำอัลบั้ม 5

เอม: ผมว่าทุกคนแม่งเฉื่อยกันไปหมดเลย มีงานประจำทำไปเรื่อย กันทุกคนเลย

เย่: น่าจะเรื่องเวลาที่มันเป็นปัญหาซะส่วนใหญ่

บู้: ที่มันช้าเพราะว่าเรายังไม่พอใจกับมันสักที เราก็ยังคิดว่าเรามีความกดดันอะไรของเราอยู่ ไม่ใช่จากแฟนเพลงนะ แต่เราคิดว่ามันต้องดีสำหรับเรา ไม่ใช่ เฮ้ย เราทำเสร็จแล้วเราก็ปล่อย ถ้าเรายังรู้สึกว่ามันยังไม่ว้าว หรือมันยังไม่มีเพลงอะไรที่มันใหม่สำหรับเรา ถ้าไม่ครีเอทิฟสำหรับเราเราก็ไม่ปล่อย เราว่าเวลาสำคัญสุด เราเจอกันน้อยลงด้วย ปัญหาของทัวร์เราไม่มีเลยเพราะเราไม่ได้ทัวร์เลย ไม่มีงานให้เล่นอะ เรารู้สึกว่าหลัง มันดีขึ้นตรงที่ Smallroom รู้ว่าทางของวงเราไม่ได้แมสแล้วอะ เขาเลยเลือกงานที่เหมาะกับวงเรามากขึ้น ก็สบายใจทุกครั้งที่จะเล่น เหมือนมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม

เย่: ร้านที่ได้ไปเล่น แต่ก่อนมีงานวัด มีเลาจน์ พวกแบบอย่างนั้นอะ โรงเบียร์

เอม: มันมีอีเวนต์ที่ทำให้เราเปลี่ยนความคิดไปอยู่นะ มีผับนึงที่เราไปเล่น เป็นผับแมสแบบ แมสเลย แล้วต้องใช้คำว่า ‘เราต้อง’ เลือกคัฟเวอร์เพลงเยอะมาก เกินครึ่ง ในโชว์นั้น เพื่อให้ลูกค้าและคนดูที่เราเชื่อว่าเป็นกลุ่มใหญ่ในนั้นประทับใจ ซึ่งมันก็ออกมาดี คนเต้น แต่ตอนจบโชว์ เราเจอเด็กสองคนเดินมาหาพวกเรา บอกว่าพี่ ทำไมเล่นเพลง Slur น้อยจัง ผมขับมอเตอร์ไซค์ข้ามจังหวัดมาดูพวกพี่เลยเนี่ยแม่ง สะดุ้งเลยนะ เราทำอะไรกันอยู่วะ นี่เราทรยศคนที่จะไม่ได้จำว่าคืนนี้เราคัฟเวอร์เพลงอะไร แต่คือคนที่ซื้อซีดีวงเราจริง แล้วมาตามพวกเรา

บู้: แล้วในทางกลับกัน โชว์เราอาจมีคนจะร้องตาม อาจจะสนุกกับเพลง แต่ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เขากลับบ้านไป เขาจะรู้จักวงเราหรือเปล่า คือผมว่าไม่ใช่ มันเหมือนขาจรมาแล้วกลับบ้านไป เฮ้ย วงเมื่อกี้เล่นสนุกดีเนอะ วงอะไรยังไม่รู้เลย มันไม่ดีต่อเรา เราคิดว่าเราขอเป็นอะไรที่มีกลุ่มแล้วรู้จักกันไปอีกเรื่อย นาน ดีกว่า

เย่: อยากได้แฟนเพลงคุณภาพ ถ้ามันจะกระจายออกไปสู่คนพวกนั้นก็ดีใจถ้ามันจะขยายออกไป แต่อยากให้แฟนเพลงจริง ไปดูแล้วสนุก แล้วร้องไปกับเราจริง ตั้งแต่งานนั้นเราก็ไม่คัฟเวอร์อีกต่อไป

คิดว่า Slur จะทำเพลงออกมาอีกกี่อัลบั้ม

เย่: แล้วแต่วัย ไม่รู้อะ ก็น่าจะทำเรื่อย

บู้: แต่ผมว่าตอนนี้เท่าที่คุยกันมา เราก็นิ่งกันแล้วนะ เหมือนทุกคนรู้แล้วว่าตัวเองมีงานทำ แต่พอคุยกันว่าจะทำเพลงกันเดือนละครั้ง ซ้อมดนตรีกันยังไง คือพอมันเป็นระบบแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้วงมันแตกนี่หว่า

เย่: มันอาจจะเป็นจังหวะที่ทุกคนอะ ถ้าสมมติทุกคนทำงานประจำสามคน ผมว่าจบละ แต่เนี่ยมีแค่เอม นอกนั้นไม่มี มันก็เลยยังได้อยู่ ตอนนั้นเอมยังไม่ทำ มันยิ่งง่ายเลย ลงตัว ทำงานอิสระแล้วมาทำมันก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องว่าจะเลิกหรือไม่เลิก เพราะปัญหาส่วนใหญ่มันคือเวลา การใช้ชีวิต ทำงานประจำแล้วจะไม่มีเวลา

บู้: อีกอย่างเลยผมว่า เรื่องที่ทำให้วงดนตรีแตกคือเรื่องเงินเลยนะ แต่วงเราไม่มีปัญหาไง คือทุกคนมีวิธีการเอาตัวรอดของแต่ละคน แล้วก็รู้สึกว่าทุกคนลงความเห็นแล้วว่านี่ไม่ได้เป็นอาชีพหลัก สมมติว่าเรามีโชว์ มีงานเล่น มันก็คือของแถม สมมติว่าผมไม่ได้ขายเสื้อผ้า ผมจะเริ่มมองละ แล้วมันจะเครียด สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ หลาย วงอาจจะเป็นความก้ำ กึ่ง ตรงนี้ว่ากูจะดังดีมั้ยวะ

เย่: จะทุ่มสุดดีไหม คือถ้าคนนึงคิดว่าจะทุ่มสุด แต่คนอื่นสบาย แนวคิดไม่ตรงกันแล้วมันก็จะทำให้มีคนอยากเลิก

บู้: มีบางวงผมรู้มาว่า ร้องนำไม่โอเคกับรายได้ของตัวเองที่ต้องมาถูกหารเท่ากันหมด ก็เลยต้องออกไปทำอัลบั้มเดี่ยว ตรงเนี้ยมันเป็นประเด็นมากเลย แต่วงเรา ผมรู้เลยว่าธรรมชาติแต่ละคนไม่ใช่การมาเขียมเรื่องเงินอยู่แล้ว หรือว่าเรื่องผู้หญิงนี่ยิ่งหนักเลย เราก็ไม่ได้บ้าขนาดนั้น เงิน ผู้หญิง เวลา สามอย่างเนี่ยที่ทำให้วงแตก

เอม: วงเรานี่มาสายยังไม่โกรธกันเลยอะ (เฮาส์: จริงหรอ) บางทีไม่มาเลย

บู้: เรื่องที่จะทะเลาะกันมากที่สุดคือเรื่องมาสาย ซึ่ง ก็โอเค้

เย่: แต่ Slur เป็นวงที่ไม่ตกเครื่องบินนะ ยังไงก็มา สายอะมีอยู่แล้ว สายมากสายน้อย แต่ตัวตรงเวลาก็มีผม เฮาส์เงี้ย บางทีมาก่อน มาตรงตลอด บู้ก็จะมาช้านิดนึง แต่ไอ้เอมเนี่ยเฉลี่ยจะเยอะสุด (เอม: อ่อ นี่สรุปโกรธกูหรอ) ไม่ได้โกรธ แค่เล่าให้ฟังว่ามันไม่ใช่ปัญหาเลย มันก็แค่ ไม่เป็นไร นิดหน่อยเอง ถ้ามาสายแล้ว เฮ้ย มึงออกไป มันไม่มีทาง

เอม: ผมว่าตราบใดที่สมาชิกทุกคนยังรับผิดชอบพาร์ตของตัวเองได้อยู่ ผมว่ามันจบแค่นั้นแหละ ขึ้นคอนเสิร์ตแล้วเรายังเห็นทุกคนทำงานของตัวเองได้ โดยที่ไม่ได้มีปัญหา และไม่ได้ทำให้ภาพรวมของวงสูญเสียไป ผมว่ามันอยู่ได้ ง่าย แค่นั้นแหละ

ในวาระที่ Fungjaizine เล่มนี้เป็นธีม ติ่ง อยากรู้ว่าแต่ละคนมีใครเป็นไอดอล หรือเคยทำอะไรเลียนแบบไอดอลที่ตัวเองชอบหรือเปล่า

เฮาส์: เหมือนมีแค่ตอนเด็ก ดูมิวสิกวิดิโอแล้วอยากเล่นสเก็ตบอร์ดตาม อันนี้เป็นทุกคนในเด็กผู้ชาย ใส่กางเกงสามส่วน แล้วก็เคยอยากมีอุปกรณ์กีตาร์เต็ม แน่น เคยทำแล้วสุดท้ายจบที่ค่อย หายไปเรื่อย จนไม่มีอะไรเหลือแล้ว

บู้: ตอนเด็ก อะมันมีเว่ย อัลบั้ม 1 อัลบั้ม 2 ยังพอมีอยู่ พวกที่ไอดอลแก่กว่าเรา แต่พอเรายิ่งโต เรารู้สึกว่าไอดอลที่เราจะเป็นมันเด็กกว่าเราหมดแล้ว เราทำแบบนั้นไม่ได้เพราะเราแก่ พอเราแก่แล้วการที่เราจะไปเกาะใครเป็นไอดอล มันเป็นเรื่องที่แห้งเหือด แต่ว่าตอนนี้วิธีคิดของไอดอลไม่มีผลสำหรับเราเลย แค่เราคนเดียวนะ 

ผมว่ายิ่งแก่ เรารู้สึกได้อย่างนึงว่า ผมไม่ได้มองเรื่องไอดอลเลย ผมมองเรื่องการแข่งกับตัวเองมากกว่า คือตอนนี้ผมบอกกับตัวเองตลอดเลยว่า การเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ หรือว่าการข้ามขีดจำกัด การสร้างขอบเขตให้ตัวเองเป็นเรื่องที่ยากมาก สมมติว่าเราชอบหรือคุ้นชินกับพฤติกรรมนี้ทุกวัน เราลองเปลี่ยนดีกว่า แล้วเราทำได้ ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่สนุกสำหรับผมมากเลยในช่วงอายุ 32 ปี มันเป็นการสร้างกฏเกณฑ์ในชีวิตแล้วทำกับมันให้ได้ ไม่ต้องไปเกาะไอดอลแล้ว มันดีกว่ากันมากกว่า

เย่: ถ้าเรื่องการแต่งเพลงมันจะมีมาตลอด จนรู้ว่าถ้าเป็นภาษาไทยเราจะร้องยังไง จะเริ่มใช้โน้ตของตัวเอง ใช้ภาษาของตัวเอง คนจะรู้เลยถ้าเกิดร้องขึ้นมา ภาษาแบบนี้ เสียงอย่างนี้ ไอ้เย่แน่นอน ไม่ว่าผมจะบิดวิธีร้องจากอัลบั้มแรกมาเป็นอัลบั้ม 4 ที่มันนุ่มขึ้น คนก็จะรู้อยู่ดี หรือเวลาผมอ่านสปอตโฆษณาแล้วคนที่เป็นเพื่อนผมมันก็รู้อยู่ดี ดังนั้นมันเริ่มเป็นตัวเองมากขึ้น เริ่มไม่มีไอดอล เริ่มอยากจะสนใจโฟกัสที่ตัวเองว่า อะไรคือตัวเอง ตัวเองคือแบบนี้ อัลบั้มแรก Slur เล่นมาแบบนี้เรื่อย การาจยุค 2000 โพสต์พังก์ ผมไม่รู้หรอก แค่อยากจะทำอะไรแปลก เฉย แล้วเขาก็บอกเสียงเรามีเอกลักษณ์มากเลย วิธีแต่งเพลงก็ดี ผมยังไม่รู้เลยว่าวิธีแต่เพลงอันนี้มันคือผมหรอ นี่คือโน้ตที่ผมชอบใช้หรอ หรือคำที่ผมติดปากหรอทำไมอย่างนั้นอะเนี่ย ผมก็ลองใส่เล่น ยังไม่รู้เลยนะตอนนั้น พอเราแก่ขึ้น ก็เริ่มมีคอร์ดที่ใช้ประจำ คำที่ใช้ ก็เริ่มรู้ตัว เราก็จะไม่สนใจพวกไอดอลละ แต่มันก็ยังมีตลอดแหละ แค่เราก็จะไม่พุ่งไปเป็นแบบนั้นแบบนี้

แต่ถ้าพูดถึงไอดอลแล้วอยากทำอะไรได้อย่างเขา มี The Mars Volta ที่ตีลังกาม้วนหน้า ไอ้ที่มันเล่น อยู่แล้วเอากีตาร์เหวี่ยงไปข้างหลัง แล้วนักร้องหกสูงแล้วร้องเพลงต่อ นั่นน่ะอยากทำมากเลย แต่ว่าไม่ไหวว่ะ ให้เด็กเท่าตอนนั้นก็ไม่ไหว ถ้าให้กระโดดงั้นคงล้มบั้กแน่นอน

เอม: ถ้าพูดถึงในแง่กลองเรามีคนที่ชอบตีกลอง ไม่งั้นเราคงไม่เริ่มตีกลองหรอกตั้งแต่สมัยเด็ก เราชอบมือกลองของ Led Zeppelin ชื่อ John Bonham ก็เป็นคนที่ทำให้เริ่มตีกลอง แล้วก็เคยตีกลองด้วยมือเปล่าแบบเขา แต่ว่ามือบวม ก็เลยไม่ทำต่อแล้วเพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วก็โตขึ้นมาหลังจากที่ตั้งวงแล้วเราชอบมือกลองของ The Killers ชื่อ Ronnie Vannucci ชอบมาก แต่ว่าก็แค่นี้ ถามว่าเป็นไอดอลในการดำเนินชีวิตเลยหรือเปล่าคงไม่ใช่ ผมเคยกระโดดมาจากกลองด้วยตอนจบเพลง ไม่แน่ใจว่าเลียนแบบใคร แต่น่าจะมาจาก Keith Moon มือกลอง The Who แต่ของผมหัวแตกครับ เลยเป็นแค่ครั้งเดียวที่ทำ และจะไม่ทำอีกต่อไปแล้ว

เย่: มันมีครั้งแรก มึงกระโดดลงมาแล้วมันไม่โดด มันไหลมาคล้าย ตุ๊กแกค่อย คลานลงมาจากกลอง (หัวเราะ)

เอม: แต่ครั้งที่พีคสุดคือกระโดด ที่เชียงใหม่ ใต้ดิน เล่นตอนตีสอง ตอนจบพีคมาก ไม่รู้ขึ้นอะไร โดดลงมาจากกลอง แล้วไอ้บู้เหวี่ยงเบสอีโมพอดี เออ เบสเข้าที่หัวยังเป็นแผลเป็นอยู่ถึงทุกวันนี้ หัวแตกเลือดไหลไปโรงพยาบาล

เย่: มันขยี้ตรงที่ทีมเทคนิเชียน บอกเอาผ้ามา ๆๆๆ แม่งเอาผ้าขี้ริ้วมาจะปิดเอมกูจะตายเพราะผ้ามึงเนี่ยมันโวยวายข้างหลัง โคตรฮาเลยวันนั้น (บู้: บาดทะยักแดกตาย) มันจะตายเพราะผ้าไม่ได้ตายเพราะเบสบู้

เอม: ก็ตลกดีครับ แต่ถ้าให้ทำตอนนี้ก็คงไม่ทำแล้วครับ

เมื่อกี้บู้บอกว่ามีศิลปินรุ่นน้องใหม่ ที่ชอบหรือน่าสนใจ มีใครบ้าง

บู้: นี่ ผมชอบวงนี้นะครับ เป็นวงใหม่ วงไทย ซึ่งเป็นสมาชิกเก่าจากวง Goose (หัวเราะ) ชื่อพี่โต้งนะครับ วงชื่อ Sunlight Moon Bright ผมไม่รู้เขาเอานักดนตรีมาจากไหน เป็น Goose เวอร์ชัน musician มีความเทคนิคนิดนึง ซับซ้อนขึ้น ทีแรกผมคิดว่าเขาจะมาเห็นคลิปหลาย ตัวของเขาทำเป็นโฟล์ก เล่นกีตาร์ร้องคนเดียว นึกว่าจะออกมาเป็นสไตล์ศิลปินเดี่ยว ปรากฏว่าไม่เลย ใส่เต็มว่าเดิมอีก ซึ่งชอบ ทดลอง หน่อย วงการเพลงไทยขาดอะไรแบบนี้ เห็นเพิ่งปล่อยเดโม่ออกมาด้วย เป็นวงที่น่าจับตามองในปีนี้

เย่: วิธีแต่งเพลงของพี่โต้งเขาเจ๋งนะ เป็นตัวเองมากเหมือนกันนะ

บู้: จริง วง S.O.L.E ก็รู้สึกว่าไอ้เนี่ยก็ดี ถึงแม้มันจะกวนตีนก็เถอะ ถ้าเราตัดเรื่องชีวิตส่วนตัวมันไปเพราะเราพอรู้ว่ามันเป็นคนยังไงใช่ไหม ก็พบว่าไอ้นี่เป็นอัจฉริยะของยุคสมัยนี้เหมือนกัน ภูมิ วิภูริศ ก็เหมือนกัน นี่ก็เป็นเด็กรุ่นนี้ที่เรามองว่า เฮ้ย มันเป็นไปได้ไงวะ เราเป็นคนนึงที่ไม่เชื่อในเนื้อภาษาอังกฤษเลย การจะเป็นศิลปินในเมืองไทยหรือการจะมีงานได้ จะรอดตายได้ ต้องเป็นเนื้อภาษาไทยเท่านั้น แต่คนนี้มันคงทลายขอบเขต คือกูมาได้อะ ถ้าเพลงมึงเดิ้นจริง mv ดี ถึงจริง preset มึงดีจริงแล้วใส่ความครีเอทิฟเข้าไป คาแร็กเตอร์สุดจริง ยังไงก็ไปได้ หรือ Gym and Swim เราก็ชอบ เรารู้สึกว่า โห แม่งมันมาถึงยุคที่เป็นยุคนี้อีกแล้วจริง 2010 ขึ้นไปเนี่ย เด็กที่มันร้องเนื้อภาษาอังกฤษแล้ว ทำเพลงอินเตอร์กันหมดแล้ว ไปทัวร์ต่างประเทศกันอย่างเดียว ไม่ต้องแคร์เมืองไทย มันเป็นทางออกของอินดี้ที่ดีที่ไม่ใช่ว่าต้องมาพึ่งคลื่นวิทยุ หรือว่าห่วงแค่หัวเมือง กูไม่แคร์ กูลุยแล้ว

เย่: คือทำแบบที่อยากจะทำ แล้วถ้าทำได้มันจะดีมาก

เอม: น่าจะเป็นการโกอินเตอร์แบบจริง จัง ครั้งแรกในไม่กี่วงของศิลปินไทยเลยนะ ไม่รวมในอดีตที่คำว่าโกอินเตอร์คือการเอาเม็ดเงินไปอัดฉีดโปรโมตเพื่อให้เพลงมันไปสู่คนเมืองนอก หรือไปเล่นให้คนไทยดูที่เมืองนอก แบบนั้นไม่เรียกว่าโกอินเตอร์ จริง ๆ แล้วมีอีกวงนะ ทุกคนอาจจะลืม คือ Paradise Bangkok Molam International Band อันนั้นก็ทัวร์จริงเหมือนกัน คือกำแพงคำว่าประเทศมันจางมากแล้วสมัยนี้

บู้: ผมว่าเคสของภูมิเป็นการแอบแทงศิลปินรุ่นใหญ่หลาย คนเหมือนกันนะว่า เฮ้ย ทำอะไรกันอยู่ ไม่ต้องแคร์เรื่องความเป็นแมสแล้ว กูหาเงินได้ ถ้าเพลงดีจริงนะมันก็ต้องมีทางออกของมัน หูย… ผมว่าหลาย คนตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่า ผมว่าศิลปินที่มีรายได้ทุกวันนี้หลายสิบงานคงรู้สึกว่า นี่กูทำอะไรอยู่วะเนี่ย กูแคร์ฐานแฟนเพลงมากเกินไป แคร์งานกาชาด แคร์งานแมสเกินไปหรือเปล่า

เย่: แต่ว่าเห็นแล้วดีใจมากนะ เขามีโอกาสที่ดีและโชคดีมาก เพราะอย่าง Yellow Fang ที่เราเห็นมาเขาก็ได้รับโอกาสนะที่ได้ไปเล่น Summer Sonic แต่โอกาสอาจจะไม่ได้มาจัง ๆ ปั้ง เท่าภูมิ

บู้: อันนี้คือไปทัวร์ฝรั่ง ทัวร์จริง อะ ยุคนี้มันมี suggestion บน YouTube พอดูวงนี้ แล้วมันลิงก์กับวงอะไร อ้าว นี่วงไทยหรอเนี่ย แล้วกลายเป็นว่า เออ มันก็มีทางออกทางไปของมันโดยที่ไม่ต้องล้อมกรอบแล้วว่า เชี่ย กูต้องส่งเพลงไปให้ต่างประเทศหรือเปล่า กูจะหารายได้จากไหน จากฟรีทีวีช่องไหน แต่อันนี้ทุกคนมี YouTube เหมือนกัน

ขณะเดียวกันถ้ามองดี มันก็มีวงหน้าใหม่ผุดเป็นดอกเห็ด แล้วพวกเขาจะอยู่รอดได้ยังไงตราบใดที่คนก็เลือกฟังเพลงได้แล้ว

บู้: สำหรับผมนะ อันแรกคือเพลงดีจริง แต่ยังเข้าไม่ถึงฝรั่งหรือเข้าไม่ถึงวงกว้างในต่างประเทศ หรือจริง เพราะคุณภาพมันไม่ถึงวะ มันอาจจะเป็นมาตรฐานที่ดีสำหรับวงในบ้านเรา แต่มันยังไม่พอสำหรับประเทศใดประเทศหนึ่งหรือเปล่าที่เขาจะไปทัวร์

คือผมว่าตอนนี้ศิลปินมันมีความก้ำกึ่งด้วยแหละว่า เชี่ย กูทำเพลงมา กลุ่มกูคือใครวะ ผมไม่รู้นะว่าตอนภูมิทำเพลงภูมิคิดอะไรอยู่ อย่างของเราเรารู้อยู่แล้วว่าเราไม่ได้สนใครเลย เราทำให้รู้สึกว่าแฮปปี้พอ เราไม่ได้มาวางโกลด้วยว่าทัวร์ของ Slur คือการทัวร์ต่างประเทศ หรือการเอากลุ่มอินดี้ไทยให้โดน หรือต้องเอากลุ่มต่างจังหวัดให้ได้ เราคิดว่าเรามีความสุขกับบ้านเล็ก ของเราก็พอแล้ว แต่อย่างวงน้อง ที่ทำเพลงภาษาอังกฤษเพื่อที่จะโกอินเตอร์ ผมวิเคราะห์เป็นอย่างนี้มากกว่าว่างานยังไม่ดีพอหรือเปล่าวะ

เย่: ถ้าสมมติเราเอาโกลเราตั้งว่าแบบกูจะทัวร์ต่างประเทศเลย มันจะข้ามช็อตไปหน่อย มันจะละเลยการทำให้ดีก่อน ผมว่าภูมิไม่ได้คิดงั้นหรอก เขาทำเพลงของเขาให้ดี แล้วมันคือโอกาสที่เขาได้มากกว่า ซึ่งเอาจริงแล้วเพลงจะแต่งเป็นภาษาอะไรก็ได้ แต่ต้องทำให้ดีจริง

เฮาส์: เหมือนเพลงมันจะนำไปสู่ตลาดที่ถูกต้องเอง มันไม่ใช่จะทำเพื่อขายใครก่อน ต้องเป็นตัวเองก่อน แล้วเดี๋ยวตลาดมันจะซัพพอร์ต เพราะบางคนอาจจะไม่ได้อยากไปต่างประเทศอย่างที่คิด แต่อาจจะดังในประเทศอย่างเดียว แต่ละคนก็มีวิธีทำมาหากินไม่เหมือนกัน

เย่: แล้วมันก็ไม่ได้เสมอไปหรอก แค่อย่างประเทศไทยคนหย่อนเพลงแนวนี้ไป แต่งเนื้อแบบนี้ไป ร้องแบบนี้ ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ฟัง

เร็ว นี้จะมีงานเล่นที่ไหน

เย่: มีที่โคราช ผมว่าเดือนหน้าสิงหา เริ่มมีงานละ เดี๋ยวที่เพลย์ยาร์ดก็มี

บู้: ร้านมหานิยม มหาสารคาม แต่ก็เดี๋ยวจะมีงานอินดี้เรื่อย ผมว่าช่วงนี้เราติดเที่ยวกันอะ มันเป็นช่วงหน้าร้อนของยุโรป (เฮาส์: เฮ้ย ผมไปทำงาน) ผมอะตัวดี ไปเที่ยว ก็เลยไม่เป็นไร พักร้อนไปก่อน แต่ส่วนตัวผมอยากปล่อยสัก 3 ซิงเกิ้ลให้คนรู้มู้ดของอัลบั้มนี้ก่อนแล้วค่อยเล่น เพราะตอนนี้เรียงลิสต์ยาก มันคิดไม่ออกว่าควรเล่น หลง เพลงที่เท่าไหร่อะ

เอม: แต่ไม่ใช่ไม่ต้องจ้างนะ ถ้ามีงานก็มาจ้างได้ (หัวเราะ) คิดว่าคงมีงานเปิดอัลบั้มด้วย

สุดท้ายนี้ หลงทางเสียเวลา สำหรับแต่ละคน หลงอะไรถึงจะเสียอนาคต

เอม: ถ้าเป็นสมัยก่อนจะบอกว่าหลงติดยาเสียอนาคตแล้วอะ (เย่: สมัยนี้ก็ได้) หลงรัชดาละกันครับ (เย่: ทำไมครับ) เสียเวลา เสียอนาคต แม่งรถติด ไอ้สัส

บู้: หลงทางเสียเวลา หลงยาบ้าเสียแร็ปเอก (ยาบ้า ยาบ้า ยานรก—FJZ) ช่วงนี้เขากลับมาฮอตอีกแล้วนะครับ เล่นคอนเสิร์ตเยอะกว่า Slur ฮิปฮอปเฟสติวัลนี่มีก็แร็ปเอก ล่าสุดเพจคาราโอเกะชั้นใต้ดินยังเอาเพลงเขาไปเล่นเลย

เย่: หลงทางเสียเวลาก็หลงทางสิ ถูกแล้ว

เฮาส์: คิดไม่ออกต้องตอบปะ ยากไปอะ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้