Article Interview

เสียดายแย่ถ้าไม่ได้ฟัง ‘Regret Me’ จาก Pyra และมุมมองธุรกิจต่อวงการเพลงของเธอ

  • Writer: Peerapong Kaewthae
  • Photographer: Pradthana Chaijaroensuksakul

Pyra อีกหนึ่งผู้ชนะจากการประกวด ‘Sunkist Freshly Picked Contest’ จากสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดีอย่าง Sunkist ที่เปิดพื้นที่ให้นักดนตรีสดใหม่เข้ามาโชว์ผลงานและต่อยอดผลักดันพวกเขาให้กลายเป็นศิลปินตัวจี๊ดในภายภาคหน้า

ศิลปินมากความสามารถอีกหนึ่งคนที่นอกจากชนะใจกรรมการมาได้ด้วยดนตรีที่แตกต่างและมีคุณภาพ แต่ Pyra ยังมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่น่าหลงใหล เราเคยพูดคุยกับเธอไปแล้วในฐานะศิลปินน่าจับตามองในตอนนั้น (Pyra ทั้งวงการต้องจับตาดูเธอคนนี้) และเธอได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้ยินแล้วว่า Regret Me คือแนวดนตรีของเธอที่ไม่เป็นรองใคร วันนี้ Fungjaizine ได้กลับมาคุยกับเธออีกครั้ง นอกจากเธอยังมีแนวคิดการทำเพลงที่น่าสนใจแล้ว อีกมุมหนึ่งเธอยังมีความเป็นนักธุรกิจที่สามารถผนวกความเชี่ยวชาญในเรื่องบริหารเข้ากับเสียงเพลงของเธอได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ลองไปพูดคุยกับเธอกัน

ที่มาที่ไปของเพลง Regret Me

เพลงนี้คือหลุดคอนเซ็ปต์ Pyra มาก เอาจริง ๆ มันทำให้ช่วงที่ดาร์กมากกกกกกกก ของชีวิต ต้องเท้าความก่อนว่าเรามี depression น่ะ ประมาณสามเดือนที่แล้วคือชีวิตพังเพราะออกจากงานที่ทำและเลิกกับแฟน ช่วงนั้นก็เจอความรักอีกครั้งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่นเลย ทำไมเราเพิ่งเจอกันแต่เหมือนรู้จักกันนานกว่านั้น แต่คนนี้เขามีแฟนแล้ว และเขาก็รู้สึกกับเราเหมือนกัน แต่เขาเลือกที่จะอยู่กับแฟนตัวเอง ซึ่งเรา respect ตรงนั้นมาก เราเห็นเขาเป็นคนที่ดีนะที่ไม่ได้จะมาหาคนที่สอง แต่พอเขาเลือกที่จะเป็นคนดีแล้วเขาก็ยังโทรหาเรา ซึ่งมันเป็นประโยคแรกของเพลง ‘Why do you call me? If you don’t need me’ ช่วงนั้นก็ดาร์ก ไม่เข้าใจ ‘Why you play me?’ ก็ไม่อะไรละ แต่เรารู้สึกว่าที่มันกลายมาเป็นเพลง Regret Me และกลายมาเป็นท่อนฮุคว่า ‘You never forget me’ เพราะในหลาย ๆ ความสัมพันธ์ที่เคยมีอะค่ะ ทุกคนจะพูดเหมือนเราเป็นคนที่พิเศษที่สุดตั้งแต่เขาเคยคบมา และเขาจะไม่มีวันลืมเรา ซึ่งมันไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรให้ทุกคนตราตรึงใจได้ขนาดนั้น เลยคิดว่าอันนี้น่าจะเป็นคีย์เวิร์ดของเราที่ทำให้ทุกคนรู้สึกแบบนั้นได้ ก็เลยเอามาใช้ในเพลง และความสตรองของเราอะเราก็บอกว่า ‘You will only regret me’ ดนตรีมันออกมาค่อนข้างใสนะ แต่โทนมันจะเสียดสีเหน็บแนมตลอดเวลา อยากพรีเซนต์ความสตรองของผู้หญิงหนึ่งคนทั้งที่เราดาร์กมากช่วงนั้น แต่เพลงของเราอยากใส่เมสเสจความหวังลงไปทุกเพลง อยากให้คนฟังฟังแล้วรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

เหมือนเราทำเพลงเพื่อบำบัดตัวเองด้วยรึเปล่า

ใช่เลย เป้าหมายในการทำเพลงของเราคือทำเพลงมาช่วยชีวิตตัวเอง อันนี้ extream นิดหนึ่งนะคะ สมมุติว่าเราอยากฆ่าตัวตาย เรารู้สึกว่าเราควรทำเพลงที่ทำให้เราหยุดความคิดเนี้ย คนที่รู้สึกแบบเราอะ เราก็อยากทำเพลงขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิตคนหนึ่งคนไม่ให้ไปถึงจุดจุดนั้นค่ะ คือเพลงเราทุกคนบอกว่าทำไมดาร์กจังวะ แต่ความจริงถ้าฟังดี ๆ มันจะทำให้เขามีชีวิตต่อไปอีกหนึ่งวันได้ เรารู้ว่าโลกมันไม่สวยอะ เราเลยไม่อยากพรีเซนต์มันในมุมที่สวย แฮปปี้ ปาร์ตี้ ทุกคนมีปัญหากันอยู่แล้วแหละ แต่ในปัญหานั้นมันก็ยังมีความหวังอยู่

ได้ร่วมงานกับ MACHINA ในเพลงนี้ เป็นยังไงบ้าง

ความจริงเราเป็นเพื่อนกับเขามา 7-8 ปีแล้วค่ะ เราเป็นคนที่เชื่อมั่นมากว่ามันมีของ เราเป็นคนสร้างเพจ MACHINA ในวันที่เมษบอกว่าสร้างไปก็ไม่มีคนตามหรอก เราก็บอกว่าเอาเหอะเดี๋ยวทำให้ (FJZ: ปกติทำเพลงด้วยกัน?) ไม่เคยค่ะ ปกติเราทำเอง ขึ้นโครงเองทุกอย่าง แต่มิกซ์ให้คนอื่นทำ เป็นเพื่อนกันแต่ไม่เคยทำงานด้วยกันเลย อาจเพราะเราคนละแนวด้วยมั้ง เมษคือ EDM มาหลายปีแล้ว เรารู้จักกันในค่าย LAZERFACE

แล้วเขามาเติมเต็มอะไรเพลงเราบ้าง

เมษเติมความป๊อปให้ ความเป็น EDM ของเมษทำให้ออกมาแล้วโครงสร้างเพลงมันแน่นขึ้นตามรสนิยมของเขา แล้วความที่รู้จักกันมาก่อนทำให้คุยกันได้ มาสเตอร์นี้แก้ไปประมาณเก้ารอบ คือยังไม่โอเคอะเมษ อยากแก้ตรงนี้ (หัวเราะ) มันพูดกันได้ แล้วเมษเป็นคนที่ nice มาก ก็ทำงานง่ายค่ะ

MACHINA มีสไตล์แตกต่างจากโปรดิวเซอร์ที่เราเคยร่วมงานยังไงบ้าง

เมษมีสไตล์ที่ชัดเจนมาก มาสเตอร์แรกที่ส่งมาฟังแล้วกลายเป็นเพลง MACHINA เลยอะ (หัวเราะ) ซึ่งมันไม่ใช่ทางของเรา เลยต้องแก้เก้ารอบเพื่อไปให้ถึงเวอร์ชันที่ลงฟังใจ จริง ๆ หลังจากลงฟังใจแล้วมีแก้อีกด้วยนะ น่าจะเอาเวอร์ชันนี้ไปใส่ใน mv ค่ะ

กลับมามองตัวเองตอนนี้ คิดว่าแนวคิดในการทำเพลงของเราเปลี่ยนไปบ้างไหม หรือยังอยากส่งต่อความหวังเหมือนเดิม

ใช่ค่ะ น่าจะเป็น key concept ที่จะ keep ไว้ตลอดเลย (FJZ: เป็นคอนเซ็ปต์ของ EP ใหม่ด้วยรึเปล่า ที่ชื่อ Better Being) ความจริงตั้งแต่บัดนี้ไปจะตั้งชื่อ EP ว่า Better Being ตลอด แต่จะเป็นซีรี่ส์เหมือน แฮร์รี่ พอตเตอร์ แอน เดอะ บลา บลา บลา จะตั้งชื่อนี้ไปตลอด อีกหน่อยจะทำให้ Better Being เป็นโครงการหรือเรียกว่า initiative ดีกว่า จะมีโปรดักต์ใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อโปรโมตโลกที่ยั่งยืน sustainable living เราจะทำเป็นแบบ Better Being Pass ซึ่งสามารถเอาไปลดกับร้านอาหารที่ลดขยะหรือรีไซเคิลอะไรแบบนี้ คอนเซ็ปต์ของเราคืออยากโปรโมตโลกที่ไม่มีขยะในทะเล อะไรที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น นี่คือแผน 30 ปีค่ะ เป็น life goal ที่จะทำเริ่มตั้งแต่ EP นี้เลย มันเริ่มที่เพลงแล้วค่อยขยายไปอย่างอื่น ให้มันเหมือนเป็น Unicef หรือ UN เลยค่ะ ความจริงอีกด้านหนึ่งคือเราเป็นนักธุรกิจอะ เราเป็น 37 คนในเอเชียที่ถูกเลือกให้ไปเทรนกับแจ็คหม่า ที่อะลีบาบา แล้วเราถูกเชิญไปพูดตามมหาลัยเรื่องธุรกิจนะ ไม่ใช่เรื่องดนตรีเลย นี่อาจจะเป็นอีกเรื่องที่คนไม่ค่อยรู้

วันนั้นมี quote หรือคำพูดอะไรของ แจ็คหม่า ที่เราจำได้ขึ้นใจเลยไหม

มีชั่วโมงหนึ่งที่ แจ็ค มาพูดให้ทั้ง 37 คนในเอเชียฟัง ทุกคนแย่งกันถามแต่เราก็ได้เป็นผู้ถูกเลือกหนึ่งในนั้น แล้วทุกคนถามเกี่ยวกับ business หมดเลยเพราะทุกคนเป็นนักธุรกิจ เป็นเจ้าของ start up หมดเลย เราเลยถามอะไรที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจว่า เราเจอคนในโลกที่เหมือนคุณเยอะมาก แต่คนพวกนี้ที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ มักจะไม่มีความสุข คุณคิดยังไงหรือมีเคล็ดลับยังไงให้มีความสุข เขาบอกว่าไพร่าพูดถูก คนที่ประสบความาสำเร็จมาก ๆ มักจะไม่มีความสุข ถึงมีเขาก็แกล้งมีความสุขเฉย ๆ เขาก็ยอมรับว่าเขาไม่มีความสุข ถ้าเขาย้อนเวลาได้เขาจะทำให้อะลีบาบาเล็กลง 80% ยิ่งใหญ่มันยิ่งลำบากและก็เครียด ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ คือการสร้างความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวหรือเพื่อน คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างบริษัทให้ใหญ่โต แต่เกิดมาเพื่อ experiance life

แล้วกลัวไหมว่า Better Being ของเราประสบความสำเร็จแล้วจะไม่มีความสุข

สำหรับเราอะ เราบอกเลยว่าเราไม่ได้มีความสุขอะไรขนาดนั้นกับชีวิต เราว่าเราตั้งความหวังสูงเกินไปกับตัวเอง พอความคาดหวังกับความจริงมันไม่เจอกันมันก็ผิดหวังตลอดเวลา แล้วมันเกิด depression อย่างเงี้ย เราก็สร้างเพลงขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาตัวเองไปเรื่อย ๆ

กลับมาที่เรื่องดนตรีหน่อย คิดว่าเอกลักษณ์ในดนตรีของเราคืออะไร

คือการผสมผสานความไทยเข้าไปในดนตรีฝรั่งอะค่ะ EP ใหม่ที่จะปล่อยมันจะมีอะไรที่มีความเป็นไทยผสมเข้าไปอยู่ White Lotus อาจจะเห็นได้ในภาพและมีกลองไทย หรือเสียงแห่ขันมาก อีกเพลงหนึ่งที่ยังไม่ปล่อยก็ชื่อ สุริยา มันจะมีสัดส่วนความเป็นไทยอยู่ เรามั่นใจมากว่าเพราะแบบนี้แหละเราเลยได้ไปเล่น Burning Man เราคิดมาแล้วว่าทำไมต้องใส่ความไทยเข้าไป เราวิเคราะห์มาด้วยว่าศิลปินเอเชียที่ไปอเมริกาทำไมเขาถึงไม่ประสบความสำเร็จ ฝรั่งเขามาเที่ยวไทยเขาไม่ได้มากิน McDonald อะ เขามาเที่ยววัด (FJZ: มากินส้มตำ) แล้ววัฒนธรรมไทยอะ มันเก่าแก่กว่าอเมริกา เราน่าจะเอาจุดนี้ที่เรามีที่แข็งแรงมากมาใช้ ซึ่งก็ออกมาเป็นอิมเมจเรา ชุดเรา เพลงของเรา แต่เราก็เอามาใช้น้อยนะ ถ้าใช้เยอะไปแล้วมันไม่ลงตัวกับดนตรีเราอะ เราคิดว่าสไตล์เรามันเรียกว่า contemporary Thai อะ

เทสกาลดนตรี Burning Man นี่เราคาดหวังอะไรกับการไปเล่นครั้งนี้บ้าง

ไม่คาดหวังอะไรเลย เพราะบอกแล้วว่าคาดหวังแล้วมันจะผิดหวัง (หัวเราะ) ครั้งนี้ไม่คาดหวังเลย ได้เล่นก็บุญแล้วอะ ถือว่าโอเคแล้ว คนดูสิบคนก็โอเคแล้ว

ทำยังไงถึงจะได้ไปเล่น Burning Man

สำหรับ EP นี้ค่ะ เราส่งอีเมล์ไปให้กับโปรโมเตอร์ 300 คนอะ ทำเอง บุ๊กทัวร์ก็บุ๊กเอง เราให้เวลากับดนตรีแบบ full time job  ตั้งแต่เช้าก็นั่งส่งอีเมล กลางวันก็ทำเพลงต่อ แบบทุกวัน เราทำทุกวิธีทางเพื่อให้อาชีพนี้ไปได้โดยที่เราไม่มีอาชีพเสริม

มีเทศกาลดนตรีไหนที่เราอยากไปให้ได้

Coachella ค่ะ เป้าหมายคือ 5 ปี แต่คิดว่า 3 ปีน่าจะทำได้ (ยิ้ม)

คิดว่าแฟนเพลงต่างประเทศรู้จักเราได้ยังไง

ต้องขอบคุณ steaming service ค่ะ ความจริงต้องขอบคุณ Believe มากกว่า ของเราเป็นเคสพิเศษที่เรียกว่า co-production deal คือเขาให้เงินเรามาทำ EP นี้ เขาไม่ใช่ค่ายนะคะ เป็นแค่ distributor แต่เขาก็หยิบยื่นเงินมาให้ ต้องขอบคุณ Believe ที่ช่วยผลักดัน ถ้าไม่มีเขาเราก็ไม่มีวันนี้

ได้ข่าวว่ากำลังจะไปอยู่ค่ายเยอรมัน

ค่ายเยอรมันแค่เพลง Regret Me ค่ะ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเซ็นสัญญาแบบ 3 ปีแล้ว เขาเซ็นเป็น release ซึ่งเพลงนี้จะส่งไปที่นั่นแต่ไม่รู้จะได้รึเปล่า เขากำลังต่อสู้ผลประโยชน์กันอยู่ระหว่าง distributor ที่ไทยกับเยอรมัน ถ้าคุยกันลงตัวได้ก็ดีใจ เรารู้สึกว่าเพลงเรามันไม่เวิร์กในประเทศไทยอะ กระแสตอบรับจากสถิติแล้วคนฟังเพลงเราไม่ได้อยู่ในไทย คนฟังอยู่ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร อเมริกา อะค่ะ แพลนเราคือปีหน้าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วเพื่อดนตรี มันเริ่มมีค่ายที่เข้ามาจากอเมริกา แอฟริกาใต้ ลอนดอน หรือจีน ที่ชวนไปอยู่ด้วย

ทำไมถึงคิดว่าเราไม่น่าจะประสบความสำเร็จในไทยล่ะ

เรารู้สึกว่าศิลปินต่างชาติที่ใกล้เคียงกับเราไม่เคยมาเล่นที่ไทยเลย เขามีทัวร์เอเชียแต่ไปเล่นสิงคโปร์ มาเลเซียอะไรแบบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นหลายรอบแล้ว สาเหตุที่สองเรารู้สึกว่าในประเทศไทยในซีนดนตรีที่ไม่แมสเขาก็แบ่งกันเป็นกลุ่มก้อนได้สามกลุ่ม อินดี้แบนด์ ฮิปฮอป กับ EDM มีแค่นี้ เราจะอยู่ตรงกลางระหว่างอินดี้แบนด์กับดีเจสายเทคโน ซึ่งเวลาถูกเชิญไปเล่น เราจะชอบโดนผลักไปอยู่เวทีดีเจสเตจ มันก็ไม่ได้ accompany สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ เพราะเรามีแบ็กอัพด้วย มันก็จะงง ๆ ทุกครั้งที่เล่นที่ไทยอะ (FJZ: ซีนอิเล็กทรอนิกในไทยมันก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นเนอะ ตอนนี้นึกออกแค่ DCNXTR กับ Cyndy Seui) เอาจริง พี่ต้า Cyndy Seui เป็นโปรดิวเซอร์ EP นี้นะคะ พี่ต้ากับพี่เจอรี่ Gramaphone Children ทำด้วยกัน เขาทำให้ทั้ง EP เลย รอติดตามได้ค่ะ

เราก็ไม่ค่อย fit-in กับซีนอิเล็กทรอนิกในไทยด้วยรึเปล่า

เราอินนะ แต่มันมีความ niche ของมันที่เป็นเทคโน EDM มันไม่มีพวก live electronic act อะค่ะ เรามีโชว์ของตัวเองแต่ไม่รู้จะไปชวนคนไหนมาเล่นได้ เพราะไม่มีใครใกล้เคียงกับเราเลย เอาตรง ๆ ก็คือท้อ ไม่รู้จะทำยังไงเลยจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่นแล้ว เราว่าที่ไทยเดี๋ยวก็มาอะค่ะ ประมาณ 2 ปีมั้ง เราฟัง EDM เมื่อ 9 ปีที่แล้วอะ สมัย Skrillex มาไทยครั้งแรก EDM เพิ่งเป็นเมนตรีมในช่วง 2 ปีเนี้ย ประเทศไทยก็ตามเขา 3-5 ปีอะ ยังตามฝั่งอเมริกากับอังกฤษอยู่

Pyra คิดว่า EDM มันตันหรือยัง

ใกล้แล้วค่ะ มันใกล้หมดอายุ แต่เรียกหมดอายุไม่ได้ดนตรีมันต้องวิวัฒนาการตลอด คนเพิ่งเริ่มฟัง Big Room หรือ Hands Up Music ทั้งหลายอะค่ะ ดีเจก็เริ่มทำป๊อปกันหมดแล้ว ดู Skrillex หรือ Flume จาก EDM กลายเป็นเมนสตรีมอะ ดีเจ Snake จาก EDM ก็มาทำป๊อปแทนแล้วรวยกว่าเดิม ทุกคนก็เริ่มมาทางนี้หมด (FJZ: คนเลิกฟังแล้วรึเปล่า) ถ้าเป็นเทศกาลดีเจพวกนี้ก็ได้เป็น headliners กันหมด แต่ 2 ปีมานี้บิลบอร์ดมีเพลงป๊อปเยอะมาก เวลาเขามีเทศกาลก็จะทำ festival remix กันหมด ทุกคนอยากได้ radio play อะค่ะ

แล้ว Pyra ยังอยากกลับไปทำเพลงฮิปฮอปอีกไหม

เราไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นฮิปฮอปเลยอะ (หัวเราะ) แต่ทุกคนค่อนข้างคิดว่าเราฮิปฮอป เราว่ามันไม่มีซีน r&b หรือ EDM electronic อะ ทุกคนเลยจำกัดความเราไปไว้อยู่ใน category ที่ใหญ่กว่า

งานประกวดดนตรีแบบนี้มันช่วยผลักดันศิลปินไปได้ไกลมากน้อยแค่ไหน

ถ้าในเชิง business เราคิดว่ามันขึ้นอยู่กับ PR (หัวเราะ) อยู่ที่งบประมาณเลย เราก็ไม่รู้ว่าเขามีบัดเจ็ตเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เราชอบมาก ๆ ในคอนเซ็ปต์ของ Sunkist คือเขาโปรโมต passion มาควบคู่กับการทำงานตลอดอะค่ะ เขาไม่ได้เลือก passion ที่ประสบความสำเร็จแล้วอะ ตรงนี้มันคือสิ่งที่สังคมต้องการ สิ่งที่ทุกคนยังขาด ศิลปินที่ประสบความสำเร็จอาจมีแค่ 5% แต่อีก 95% ที่กำลังรอโอกาสอยู่อะ ตรงนี้เป็นแคมเปญที่ดีมาก ๆ ที่มอบโอกาสให้คนที่ต้องการจริง ๆ

EP Better Being จะปล่อยเมื่อไหร่

อาทิตย์ที่สามเดือนกันยาค่ะ มีขายซีดีด้วย คิดว่าจะเอาไปขายตามที่ที่ไปทัวร์ เดี๋ยวจะมีเอเชียทัวร์ด้วย ประเทศที่เราไปน่าจะขายง่ายกว่าอย่างญี่ปุ่นที่เขาก็ยังซื้อซีดีกันอยู่ ขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไรจะแจกฟรี (หัวเราะ) แจกคนรู้จักนะ (FJZ: พร้อมลายเซ็นด้วยไหม) เดี๋ยวนี้เขาเซลฟี่กันมากกว่าอะค่ะลายเซ็นไม่สำคัญละ ซื้อของแล้วแถมเซลฟี่อะไรงี้ (หัวเราะ) เป็นโปรโมชั่น

อีก 30 ปีจะสร้างโลกที่ยั่งยืน อีก 3-5 ปีจะได้ไป Coachella แล้วปีหน้าของ Pyra ล่ะ

ปีหน้าคืออยากมีค่ายต่างประเทศที่จริงจัง ทำ PR ให้เราได้ดี ๆ แล้วก็ย้ายไปอยู่ประเทศนั้น ความจริงไม่ได้มีชัดเจนขนาดนั้นว่าต้องยังไงปีหน้า ทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าแต่ละอย่างมาได้ยังไง ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะได้เล่น Burning Man มันดูห่างไกลอยู่ในทะเลทราย แต่เออว่ะ อะไรที่ไม่คิดว่าจะได้มันก็ได้ ปีหน้าก็คงเป็นอย่างนั้นถ้าเรายังทำผลงานได้ดีอยู่ ทุกที่ที่เราไปจะมีคนที่มีประสบการณ์ในวงการดนตรีบอกว่ายูไปไกลแน่ You gonna be a next big thing เจ้าของค่ายต่างประเทศพูดแบบนี้หมดเลย ซึ่งเราก็อยู่ไทยแล้วก็อะไรวะ จริงหรอ (หัวเราะ) เราว่าหลาย ๆ ครั้งในชีวิตเราที่ฟังคนอื่นแล้วเราไม่เชื่อเขา เราไม่เห็นตรงนั้น แต่มันมีอะไรบางอย่างที่คนอื่นเห็นอะ ซึ่งเราเห็นในตัวคนอื่นเหมือนกันแต่เขาไม่รู้ว่าเขามีความสามารถ เราคิดว่าคนที่พูดแบบนี้กับเราเขาเห็นสิ่งนั่น เราก็มีความมั่นใจมากขึ้น (ยิ้ม)

อยากฝากอะไรถึงศิลปินที่กำลังทำงานอย่างหนักอยู่ตอนนี้

เราไม่เชื่อในการ work hard ค่ะ เราเชื่อในการ work smart ทำงานหนักไปโดยไม่มีเป้าหมายไม่ดีเท่าทำงานอย่างฉลาดรู้จักวางแผนดี ๆ จะประสบความสำเร็จในเส้นทางดนตรีได้ไม่ใช่แค่คุณเล่นดนตรีเก่งอะ มันคือการวางแผนกระทั่งชื่อวง ภาพลักษณ์ คอนเซ็ปต์ สิ่งที่อยากสื่อสาร คุณคือแบรนด์อะ คุณต้องออกแบบแบรนด์ให้ดีอะค่ะ ถ้าคุณไม่ใช่ศิลปินป๊อป คุณเป็นอินดี้ niche คุณก็ต้องเลือก niche ของคุณว่าจะไปทางไหนได้ แล้วทางไหนที่ไม่ซ้ำกับคนอื่น อยากให้คิดให้รอบคอบเวลาจะทำดนตรี เพราะดนตรีไม่ใช่แค่ดนตรี ดนตรีขายไม่ได้สิ่งที่ขายได้คือศิลปิน value จริง ๆ มันคือศิลปินซึ่งเป็น long-term value แต่ประเทศไทยมองศิลปินแบบ short-term value อะไรที่ประสบความสำเร็จเมื่อสองปีที่แล้วก็ทำเพื่อให้ขายได้ในหกเดือนเนี่ย แต่เราว่ามันเป็นวิธีที่ศิลปินจะอยู่ในวงการนี้ไม่ได้นานอะค่ะ

เป็นมุมมองเป็นมาร์เก็ตติ้งมาก จำเป็นไหมที่ศิลปินจะต้องไปเรียนมาร์เก็ตติ้ง

เราว่ามีประโยชน์นะ ศิลปินไม่จำเป็นต้องเรียนเพราะมีค่ายทำมาร์เก็ตติ้งให้ ใครที่ไม่มีค่ายแบบเราอะก็ควรรู้ไว้ เพราะเราต้องทำเองทั้งหมด

Pyra

ไปดู Pyra เล่นกันสด ๆ ได้ในงาน SUNKIST FRESHLY PICKED CONCERT พร้อมผู้ชนะอีกหนึ่งคนอย่าง Yented และศิลปินที่สร้างความสดใหม่ให้ชาวฟังใจตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้ง Superbaker , Gym & Swim , TEMP. และ Whal & Dolph ในวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม Glowfish สาทร ซื้อบัตรได้ >ที่นี่<

Facebook Comments

Next:


Peerapong Kaewthae

แม็ค เป็นคนชอบฟังเพลงเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และก็ชอบแนะนำวงดนตรีหรือเพลงใหม่ ๆ ให้คนอื่นรู้จักผ่านตัวอักษรตลอดเวลา