ตามดู Haim, The National, The Breeders, Ride ในงานวันที่สองของ Primavera
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographers: Paco Amate, Dani Canto, Sergio Albert, Garbinelrizar, and Eric Pamies
อ่าน Primavera Sound ตอนก่อนหน้าได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
1 มิถุนายน 2561
จากเมื่อวานที่หัวร้อนเรื่องการบริหารจัดการของงานเลยลืมเล่าบรรยากาศภายในงานคร่าว ๆ ไปเลย บริเวณหน้างานหลังจากที่ตรวจกระเป๋าสแกนริสต์แบนด์เข้างานอะไรเรียบร้อยแล้ว เราจะเจอซุ้มขายของ official ของเทศกาลกันก่อนเลย ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยเป็นธรรมดา จัดมาเลยค่ะกระเป๋าผ้า 8 ยูโร! โดยหารู้ไม่ว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าชั้นจะได้รับแจกกระเป๋าผ้าอีกหลายใบ… (ก่อนหน้านี้วันที่ไปรับบัตรสื่อกับไกด์บุ๊กต่าง ๆ ก็มี tote bag ใบเขื่องของ Mango ให้มาพร้อมสูจิบัตรเทศกาลเล่มหนาเตอะและซีนอีกหลายเล่มด้วยค่ะ ไม่สงสารคนแบ็กแพ็คอย่างอิฉันเลย จะขนกลับไทยยังไง!) ข้าง ๆ กันก็มีบูธของ Domino Records ก็แน่นอนค่ะจัด silver vinyl ของ Arctic Monkeys ชุดล่าสุด Tranquility Base Hotel & Casino ไปเล่ยยยย (ได้ถุงผ้า โปสเตอร์ และบุ๊กเล็ตแถมมาอีก) เท่านั้นยังไม่พอ มีบูธเสื้อกรีน โปสเตอร์ภาพพิมพ์ต่าง ๆ ของศิลปินคาตาลันวางขายผลงานของตัวเองอีกด้วย เดินเขยิบมาอีกหน่อยก็มีบูธขายเหล้ายาของเหล่าสปอนเซอร์ทั้งไฮเนเก้น บาคาร์ดี้ อะพิรอล ซางเกรีย เอาให้เมาแอ๋กันไปทั้งโซนเลย พวกข้าวปลาอาหารก็มีตั้งแต่ทาปาส หรือชาติไทย ญี่ปุ่น เกาหลี พิซซ่า เบอร์เกอร์ เม็กซิกัน อาหารเฮลตี้ วีแกน ละลานตาไปหมด เลือกกินไม่ถูกเลยคุณ นอกนั้นก็เป็นบูธกิจกรรมของเหล่าสปอนที่น่ารัก ทั้ง Mango ที่ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ใช้ไวไฟฟรี กับมีตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์สี่ช็อตที่น่ารักมาก Rayban ก็มีเหมือนกัน ไม่น้อยหน้า (ได้ถุงผ้ามาอีกหนึ่งใบ…) เอาล่ะ พอจะเห็นภาพคร่าว ๆ แล้ว เรามาเข้าเรื่องคอนเสิร์ตในวันที่สองกันเลยดีกว่า
วันนี้เราไม่ได้เข้าไปที่เฟสติวัลในทันที เพราะตั้งใจจะไปดู Michael Stein & Kyle Dixon ที่เป็นคนทำสกอร์ให้ซีรีส์ดัง ‘Stranger Things’ ซึ่งในแผนที่งานบอกว่านางจัดที่ auditorium ไอ้เราก็นึกว่าหอประชุมที่ Parc del Forum ปรากฏว่า คนละที่จ้า ดั๊นเขียนไว้ในบุ๊กเล็ตตัวเท่าจิ๋มมด เลยทำให้เรากับผู้ชมอีกจำนวนนึงเอ๋อไปผิดที่เหมือนกัน ก็ได้แต่นั่งเซ็งแล้วคิดว่าทำไงต่อ จะรอดูพรุ่งนี้ที่มีเล่นอีกรอบ หรือยอมไปดูสาย เพราะสถานที่จัดงานจริง ๆ มันคือ L’Auditori de Barcelona ที่ต้องนั่งรถ Tram ออกไปประมาณ 20 นาที จากตารางที่เราวางไว้คิดว่าคงไปดูวันอื่นไม่ได้จริง ๆ ก็ยอมนั่งรถไปลงอีกสถานี พอไปถึงก็รีบวิ่งขึ้นชั้นลอยเพราะที่นั่งตรงชั้นล่างน่าจะเต็มหมดแล้ว สังเกตว่าออดิทอเรียมเขาค่อนข้างใหญ่ทีเดียวแหละ แล้วตอนเข้าไปก็วงเล่นไปได้พักใหญ่ ๆ แล้ว อยากบอกว่า ซาวด์ และไลท์ติ้งประกอบโชว์มันขับอารมณ์ออกมาได้ดีมาก อลังการและลึกลับประหนึ่งอยู่ใน The Upside Down แล้วเพลงจบในครึ่งแรกก็เพราะขนลุกน้ำตาไหลสุด ๆ สมควรแก่การได้รับเสียงตบมือพรั่งพรูจากผู้ชม
ซึ่งเราก็ดูได้แค่นั้นแหละเพราะต้องรีบกลับมางานแถลงข่าวของ Jane Birkin กับ Charlotte Gainsbourg สองแม่ลูกผู้เป็นไอคอนของวงการแฟชันและภาพยนตร์ French New Wave ที่โรงแรม AC Barcelona ข้าง ๆ Parc del Forum ตอนสี่โมงเย็น (เรามีบทสัมภาษณ์มาให้อ่านกันด้วย แต่รอแปปนึงน้า) จบจากนั้นแล้วเราก็กลับเข้ามาในเฟสติวัล ซึ่งค่อนข้างแรนด้อมเหมือนกัน ช่วงนั้นก็เดินผ่านเวที Rayban พอดี มีวงชื่อ El Último Vecino (EUV) กำลังเล่นอยู่ เพลงของวงทำให้เรานึกถึง The Drums ที่ร้องเป็นภาษาสเปน โชว์สนุกมาก
ก่อนจะเขยิบไปดูเวที Apple Music เพราะมี Waxahatchee เล่นอยู่ พวกเธอบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่มาเล่นบาร์เซโลน่า เป็นวงอินดี้ร็อก อัลเทอร์เนทิฟติดกลิ่น 90s นิด ๆ ที่เราน่าจะเคยถูกสุ่มขึ้นมาฟังเพลิน ๆ บน YouTube กันบ้าง ซึ่งเพลงที่หยิบมาเล่นวันนี้ก็ได้แก่ Recite Remorse, Silver, Poison, Misery Over Dispute, 8 Ball ก็เป็นเพลงฟังเรื่อย ๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่อีกเหมือนกัน มีเท่เป็นบางเพลง กับเสียงร้องเท่ เพราะส่วนใหญ่เพลงจังหวะกลาง ๆ หมดเลย
เราก็เลยเดินไป Marion Harper ที่เวที Pitchfork เพื่อรอดูวงต่อไป แต่ความที่นางก็ดูเป็นวงป๊อปร็อกธรรมดา ไม่มีอะไรมาก เลยเดินไปที่เวที Adidas ข้าง ๆ กัน มีวงสเปนลุง ๆ กับมือกีตาร์และมือเบสเป็นผู้หญิงเซ็กซี่สองคนใส่ชุดสีแดงกระโปรงกรุยกรายแบบพร้อมเต้นฟลาเมนโก้ แต่เพลงเท่มากเลย มีความ Fleetwood Mac กับไซคีเดลิกโฟล์กเก่า ๆ ซะอย่างงั้น มีกีตาร์รีเวิร์บปั่น ๆ นัว ๆ เลยชื่อวง Cesare Basile
แล้วก็ถึงเวลาอันสมควรที่เราจะวิ่งไปดู The Breeders วงอัลเทอร์เนทิฟสมาชิกเกือบหญิงล้วนในตำนาน เจ้าของเพลงที่ทำให้หลายคนหลงรักจากเรื่อง ‘Her’ อย่าง Off You บอกเลยว่าเพลงอื่น ๆ ของพวกเธอเท่มาก เปิดกันมาเล้ยกับเพลง New Year ปลุกใจวัยรุ่น 90s อินเนอร์พังก์ป๊อปสุด ๆ ต่อด้วยเพลงจากอัลบั้มคัมแบ็กที่ คิม ดีล (กีตาร์, ร้องนำ) ตะโกนว่า “แม่บอกให้รอในรถ!” นั่นคือเพลง Wait in the Car ต่อด้วยเพลงใหม่ที่เพราะมาก ๆ อีกเหมือนกันคือ All Nerve เพราะกว่าออดิโอ้ ฟังแล้วซึมไปเลย จากนั้นจึงกลับมาเป็นเพลงเก่า No Aloha, Divine Hammer เพลงช้าสุดดิ่ง Glorious และเพลงใหม่สุดล่องลอย Spacewoman กีตาร์เสียงแตกมันถูกใจเรามาก และ Drivin’ on 9 โดยเพลงนี้คิมบอกว่าจริง ๆ มีไวโอลินด้วย ก็ถามว่ามีใครพอเล่นได้ไหม โดดขึ้นมาเลย แต่แน่นอนว่าใครจะพกไวโอลินมา
ทีนี้เคลลี่มือกีตาร์น้องสาวของเธอบอกว่า นึกออกแล้ว เดี๋ยวชั้นทำเสียงไวโอลินเองละกัน แล้วเธอก็ทำเสียงตอนท่อนไวโอลินโซโล่จริง ๆ ถึงจะเพี้ยนแต่ก็น่ารัก ก่อนจะกลับมาที่เพลงใหม่ Nervous Mary งานสุดมันที่โยกจนหัวหลุด S.O.S. แล้วพักเบรกกันโดยคิมให้นักดนตรีแบ็กอัพขึ้นมาช่วยเล่น บอกใบ้ว่าเพลงนี้มีเบสสองตัว ซึ่งเธอเล่นเองตัวนึงกับโจเซฟีนอีกตัวนึง นั่นแปลว่าถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยแล้วกับเพลง Off You โห ฟังแล้วน้ำตามาจริง ๆ มันยังเหงากว่านี้ได้อีกไหม ตามด้วย I Just Wanna Get Along และเพลงฮิต Cannonball จุดนี้คือคุณลุงหน้าเราโยกแรงกว่าเราอีก ชอบใจ สงสัยเป็นวัยรุ่นจากยุคนั้นที่เป็นแฟนตัวยงของวงมาเอง แล้วก็เป็น MetaGoth คัฟเวอร์วง Pixies อย่าง Gigantic และอีกครั้งกับเพลงฮิตตลอดกาล Do You Love Me Now? ก่อนจะส่งท้ายกันไปในเพลง Saints อยากบอกว่าทุกคนบนเวทีสุดยอดมาก ๆ นี่คือคำว่าได้ดูตำนานที่มีชีวิตจริง ๆ ซาวด์ยังสดใหม่และเท่ไม่สร่าง
จบจากเวทีใหญ่แล้วเราก็วิ่งมาเวทีเล็กบ้างที่ Adidas กับ Yellow Days ศิลปินหน้าใหม่ไฟแรงกับเพลง r&b, neo-soul พร้อมเสียง ลุค และกรูฟสุดเท่ แต่โชว์นี้น้องแอบดูเมานิดนึง ขนมาทั้งเพลงฮิตและเพลงใหม่ เริ่มที่ So Terrified Of Your Own Mind เพลงสุดหยาดเยิ้มอันโด่งดังจากคลิป A Colors Show ทาง YouTube และเพลงโปรดของฉัน A Little While ตอนนี้น้องร้องอะไรสุดเหวี่ยงไปหมด ต่อด้วยเพลงจังหวะช้า ๆ บ้างที่ Hurt in Love แล้วจึงเป็น เพลงเท่ ๆ ซาวด์สว่าง ๆ เมโลดี้เพราะ ๆ อย่าง That Easy ซึ่งจากตรงนี้เราก็ต้องย้ายไปที่เวทีอื่นแม้ว่าจะอยากดูต่อมากแค่ไหนก็ตาม เพราะโชว์ต่อไปคือ The National ที่เวทีอยู่ห่างกันคนละฟากของที่จัด ล้องไห้ วิ่งไปค่ะวิ่งไป
ระหว่างทางไปเวที Mango ก็เดินผ่านเวที Rayban ที่มี Rhye เล่นอยู่พอดี จากที่เคยไปดูรอบล่าสุดที่บ้านเรา เรารู้สึกว่าซาวด์มันแน่นและโชว์ intense เกิดไป พอได้มาฟังในที่เปิดแล้วซาวด์อะไรต่าง ๆ ลงตัวกว่ามาก แบบ เออ ความอลังในเพลงพี่แกมันต้องเล่นในที่ใหญ่ ๆ เลย
และพอมาถึงที่หมายเราก็ยืนรอกับฝูงชนจำนวนมหาศาล วงนี้เราเคยดูตอนไป Work & Travel ใน Barclays Center คนแน่นอีกเหมือนกัน แล้ววงเล่นดีมาก ประทับใจ ตอนเวลาประมาณสามทุ่มครึ่งวงก็ขึ้นเล่น โดยเราได้ดูแค่สองเพลง คือเพลงจากอัลบั้มล่าสุด Nobody Else Will Be There กับ The System Only Dreams in Total Darkness คือวงยังเล่นดีเล่นแน่นเหมือนเดิม เท่มาก แอบมีการแซะว่าวงพยายามจะไม่ใส่เสื้อสีส้ม เพราะตอนนี้ประเทศเขาเองก็กำลังย่ำแย่ (อะไรส้ม ๆ นี่เป็นสแลงไว้แซว Donald Trump ประธานาธิบดีของสหรัฐคนปัจจุบันน่ะจ้ะ) คนก็ร้องเฮกัน เสียใจมาก แต่อยู่ต่อไม่ได้เพราะต้องวิ่งไปที่เวทีไกล ๆ อีก โอ้ย ชีวิตรันทด ชีวิตต้องเลือก แต่มันเลือกไม่ได้! ตอนเดินออกมาเขาก็เล่น Don’t Swallow the Cap จากชุด Trouble Will Find Me ที่เขาทัวร์ตอนเราไปอเมริกานั่นแหละ
เอาจริงว่าตอนที่จะมา Primavera เราไม่รู้ว่าที่ Hidden Stage จะมีวงอะไรมาเล่นบ้าง แล้วมีพี่ที่รู้จักคนนึงเขาบอกว่า Ride จะมาเล่นนะ ตอนนั้นเราตกใจมากและดีใจมาก ๆ นึกว่าจะได้ดูชูเกซแค่ Slowdive วงเดียวแล้ว เนี่ยแหละคือเหตุผลที่ยอมทิ้ง The National มาแม้ว่าจะเคยดู Ride มาแล้วครั้งนึงตอน Neon Lights ที่สิงคโปร์ แต่วงพ่อก็คือพ่อ ดูแล้วดูอีกก็ได้! เรามารอก่อนวงเล่นประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีบรรดาแฟนเดนตายรุ่นลุงมายืนเกาะ ๆ ไม่ก็นั่งจองที่ตรงบาเรียร์หน้าเวที แล้วเราก็ได้อยู่แถวสองค่า ดีใจมากที่คนไม่ได้คลั่งวงนี้เยอะขนาดนั้น แทบจะเป็นชะนีหนึ่งเดียวในหมู่ชายฝรั่งร่างยักษ์ ซึ่งด้านหลังของเวทีลับนี้คือเวที Apple Music ที่มี Mogwai เล่นอยู่ วงโพสต์ร็อกในตำนานวงนี้ก็ยังคงฝีมือดีไม่มีตก ถือว่าได้กำไรค่ะ นั่งรอไปก็ฟังเพลงอีกฟากนึงไป แถมไฟฝั่งนั้นเขาโครมครามมาก สาดส่องอย่างรุนแรง มาหมดทั้งชุดเก่าชุดใหม่ Auto Rock, Don’t Believe the Fife, Remurdered, Mogwai Fear Satan และปิดท้ายเดือด ๆ ที่ Old Poisons ก็รอไปเรื่อย ๆ จนวงใกล้ขึ้นเล่น หันไปดูข้างหลังและพื้นยกระดับข้างเวทีก็พบว่ามีคนเยอะมาก
จนกระทั่งไฟเวทีสว่างจ้า คนดูก็พากันลุกขึ้นยืน พ่อ ๆ ออกมาประจำที่ตัวเองพร้อมเสียงโห่ร้องยินดีของแฟนคลับ เปิดกันที่เพลงจาก Weather Diaries อัลบั้มล่าสุดกันเลย ซาวด์เคว้งคว้างสดใหม่จากเสียงซินธิไซเซอร์แต่ไม่เสียลวดลายแบบ Ride ๆ ในเพลง Lannoy Point ต่อด้วย Charm Assault ที่คนดูช่วยกันร้องเสียงดังฟังชัด จังหวะกระชากในท่อนฮุกเวลาเล่นสดนี่มันกว่าฟังใน audio เป็นไหน ๆ ตามด้วยเพลงฮิตจากอัลบั้ม Nowhere อย่าง Seagull ตอนนี้เริ่มเต้นยับแล้วทั้งฉันและลุง ๆ รอบข้าง กีตาร์มันเท่มากคุณเอ๋ยกับทั้งความแบ็กกี้ ไซคีเดลิก และชูเกซ ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันอยู่ในเพลงนี้ ตามด้วยเพลงใหม่ มากันแบบนิ่ม ๆ ย่อง ๆ อิเล็กทรอนิกจ๋าให้พอโยกได้ใน Catch You Dreaming แล้วดึงกลับมาที่งานจากชุด Going Blank Again นั่นคือเพลงดัง Leave Them All Behind กับไลน์เบสสุดเท่ฟังแล้วหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ กับเนื้อร้องที่ทุกคนร่ายได้ราวกับบทสวดในคัมภีร์ และ Ox4 จากชุดเดียวกัน
แล้วกลับมาที่งานยุคใหม่ที่เราชอบที่สุดคือ All I Want โอ๊ย มันดีงามมาก เป็นวงที่ถึงจะแก่แล้วแต่พลังมาเต็ม และเล่นดีขึ้นในทุกโชว์ แถมไม่หยุดลองของแบบเด็ก ๆ ยุคใหม่ด้วย จนถึงเวลาของเพลงที่หลายคนรอคอยคือ Vapor Trail ก็บรรเลงออกมาได้เศร้าสร้อยและสวยงามไร้ที่ติ ก่อนจะจากกันไปด้วย Drive Blind โห ขยี้โซโล่กันสุดมาก จะจบ ๆ แต่ก็ไม่จบซักที ไอ้เราก็โยกเพลินเลยทีนี้ เป็นเวลาเกือบชั่วโมงที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว วงเล่นจบแล้วจริง ๆ แต่คนดูไม่จบ ยังร้องอังกอร์กันจนเขาต้องปิดไฟไล่ แต่เป็นโชว์ที่ดีงามมาก ๆ โชว์นึงสำหรับเราในเฟสติวัลนี้เลย
ซึ่งเอาจริงว่ามันมีโชว์ของอีกวงที่อยากดูไม่แพ้กันคือ Thunder Cat ที่พลาดไปตอน Fuji Rock เพราะอันนั้นเล่นชน Björk เราก็เลือกแม่สิ อันนี้ก็ชน Ride อีก เราก็เลือกพ่อสิ เป็นคนที่วงไหนถ้าชอบจริง ๆ จะยอมดูซ้ำโดยทิ้งอีกวงที่อยากดูพอกันเพราะไม่เคยดูแต่ชอบน้อยกว่าได้ง่าย ๆ สงสัยคงไม่มีบุญวาสนาต่อกัน พลาดทุกทีไป จริง ๆ ก่อน Ride เล่นก็มี Superorganism วงหนูลูกมาแรงอีกวงที่ก็อยากดูมาก ๆ แต่ตารางและเวทีอันห่างไกลมันทำร้ายฉันเสมอ ฮือ
แล้วก็ได้เวลาที่เราแวะเวทีนั้นเวทีนี้ เพราะไม่ได้มีวงไหนอยากดูเป็นพิเศษ เรามาที่เวที Apple Music เพื่อพบกับ Charlotte Gainsbourg นักแสดงมากฝีมือลูกสาว Jane Birkin ที่จะขึ้นเวทีในวันพรุ่งนี้กับ Serge Gainsbourg ตำนานแห่ง French New Wave ทั้งสอง กำลังร้องเพลง Ring-A-Ring O’ Roses อยู่พอดี จะเรียกว่าเป็นเพลงแนวไหนดี เฟรนชป๊อปแบบดาร์ก ๆ มีกลิ่นบาโร้กและการบรรเลงด้วยเครื่องสายกับอิเล็กทรอนิกก็ได้มั้ง ต่อด้วย Heaven Can Wait เพลงนี้เธอเคยร้องกับ Beck เป็นป๊อปใส ๆ ฟังง่ายกว่างานยุคใหม่ แล้วเป็นเพลงนูดิสโก้จังหวะกลาง ๆ เมโลดี้เฉี่ยว ๆ เหมาะจะเปิดบนรันเวย์ Sylvia Says และงานเท่ ๆ จากชุดเก่า The Songs That We Sing ก่อนจะกลับมางานชุดล่าสุด Les Crocodiles และเพลงที่เราชอบที่สุดในชุดใหม่ของเธอ Deadly Valentine ก็เป็นโชว์ที่มีเพลงฟังเพลิน ๆ เหมาะเปิดในคลับให้โยกกันสบาย ๆ ด้วยความที่จังหวะเนิบ พอมาอยู่บนเวทีใหญ่แล้ว vibe มันจะยังมีความเขินอยู่นิดหน่อย อย่างที่บอกว่าถ้าเป็นฟีลที่ปิด ไฟสลัว ๆ คงดีไม่น้อย
เราไม่ทันได้ดูโชว์ของชาร์ล็อตจบ เพราะต้องวิ่งกลับมาที่เวที Mango เพื่อรอดู Haim อันที่จริงเราไม่ใช่แฟนเพลงของสามคนนี้ เรียกว่าเพลงไม่ใช่แนวสุด ๆ เลยดีกว่า แต่มีหลายคนที่เคยดูบอกว่าพวกนางเล่นสดสนุกนะเว้ย ก็เลยลองมาดูซะหน่อย ระหว่างที่ยืนรอในดงมนุษย์ เวที Seat ฝั่งตรงข้ามมีวงเจ้าบ้าน Los Planetas ขึ้นเล่นแทน Migos ที่แคนเซิลโชว์ไปอย่างน่าเสียดายโดยให้เหตุผลว่าสมาชิกบางส่วนของวงไม่ผ่าน ตม. เศร้า ก็วงนี้เป็นวงที่อายุอานามอยู่มานานเกือบ 20 ปีแล้ว เห็นเขาว่า สไตล์เพลงก็อัลเทอร์เนทิฟร็อกหนัก ๆ ตามรุ่นเลย เล่นเกินเวลาด้วย แบบ Haim ต้องขึ้นแล้วพี่เขาก็ยังเล่นกันอยู่
จนพอวงลงเวทีไป คนหน้าเวที Mango ก็ตบมือส่งเสียงร้องดีใจกันยกใหญ่ แต่ Haim ก็ไม่ได้ขึ้นเวทีในทันที รวมระยะเวลาความเลตคือเกือบ 40 นาที! คนรอกันเหงือกแห้งประมาณนึง เมื่อไฟเฮาส์หรี่ลง แฟนเพลงก็โห่ร้องพร้อมด้วยแม่สาวทั้งสามทยอยเปิดตัวบนเวทีด้วยการเริ่มตีกลองคนละใบ สวยเก๋เท่ไปอีก
ก่อนที่จะเล่นเพลงที่ทำให้หลายคนรู้จักกับพวกเธอคือ Falling น่าจะเป็นเพลงเดียวที่เราชอบด้วยแหละ แต่ก็การันตีได้อย่างที่เขาว่าจริง ๆ ว่าเป็นวงที่เอนเตอร์เทนเก่ง เล่นสนุก พอเพลงสอง Don’t Save Me เล่น เราก็ต้องรีบออกเพราะเวลานั้นสถานีรถไฟใกล้จะปิดแล้ว ทำให้พลาด The Internet, Tyler, the Creator และ Arca ไปอย่างน่าเสียดาย (มารู้ทีหลังว่าจริง ๆ สามารถนั่งรถเมล์กลับได้เพราะวิ่งทั้งคืน แต่ด้วยความป๊อดส่วนตัวเลยไม่เสี่ยงดีกว่า รอบหน้าจะเตรียมทำการบ้านให้ดีกว่านี้ ฮือ)
จบงานวันที่สองกันไปแล้วค่ะ เหลืออีกหนึ่งวันแห่งความฟิน เพราะมีวงที่เรารอคอยจะดูมาอย่างยาวนานซึ่งก็คือ Arctic Monkeys มาเล่นเป็นโชว์แรก ๆ หลังปล่อยอัลบั้ม Tranquility Base Hotel & Casino เลยล่ะ รออ่านกันด้วยเด้อ