‘ให้ความรักเป็นหนังสือ เพียงแค่เธอค่อย ๆ อ่าน’ เรื่องราวชีวิตจริงของผู้ชายชื่อ ‘หนุ่ม กะลา’
- Writer: Gandit Panthong
- Photographer: Chavit Mayot
“ว่าไปแล้วกว่าจะมาถึง 19 ปี ผมผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันนะ” หนุ่ม—ณพสิน แสงสุวรรณ หรือ หนุ่ม กะลา ที่หลาย ๆ คนรู้จักกล่าวกับผมไว้ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงการสัมภาษณ์ เรานัดกันเพื่อที่จะคุยว่าจากจุดเริ่มต้นในการเล่นดนตรีมันเกิดขึ้นตอนไหน ไปจนถึงเรื่องราวความผิดหวังที่เกือบทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเองไปตลอดชีวิต อะไรทำให้ผู้ชายคนนี้ยืนขึ้นอีกครั้ง การเดินทางที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 19 ปีกว่าจะได้มีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของตัวเองเป็นอย่างไร เขาพร้อมแล้วที่จะเล่าพวกเราฟัง ณ บัดนี้
อะไรทำให้เด็กผู้ชายชื่อ หนุ่ม อยากเป็นนักร้อง
ผมเองก็จำไม่ได้หรอกนะว่าชอบร้องเพลงเมื่อไร แต่มันจะมีรูปภาพรูปนึงที่แม่เอาให้ผมดู ภาพนั้นเป็นภาพผมถือไมโครโฟนตอนอายุ 2 ขวบครึ่ง ผมร้องเพลง บัวลอย ของวง คาราบาว ผมคิดว่านั้นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นกับการหมกหมุ่นในการเล่นดนตรี เพราะแม่บอกว่า ผมจะต่างจากเด็กคนอื่น ผมชอบฮัมเพลงและมีพวกกีตาร์เด็กเล่นอยู่กับตัวตลอดเวลา ชอบตีกลอง หาของมาเคาะ คือทุกเรื่องราวของผมมันเกี่ยวกับดนตรีมาตลอด หลังจากนั้นพอขึ้น ป.3 ก็เริ่มอยู่วงโยธวาทิตแล้ว เป่าทรัมเป็ตมาตั้งแต่ตอนนั้น
Hotwave Music Awards เวทีขาสั้นที่ต้องลองสักครั้งในชีวิต
จุดที่ทำให้มาประกวดเนี่ยมันเป็นเรื่องบังเอิญมาก ๆ มันเริ่มจากผมชอบตามดูคอนเสิร์ตของคลื่นเขา สมัยก่อนเขาจะมีจัดทุกวันเสาร์ มีนักร้องเยอะแยะมาออกรายการนี้เต็มไปหมด เราเองก็ได้มีโอกาสเจอรุ่นพี่คนนึงเขาบอก ‘เฮ้ยมันมีการประกวดวงดนตรีด้วยนะ น้องลองไปลงสิ’ ไอ้ผมตอนนั้นก็ไม่อยากลงหรอก ผมอยากเป็นนักร้องเพลงป๊อป ผมไม่ได้อยากเป็นนักดนตรีร็อก อยากเป็นแบบพี่ มอส ปฏิภาณ, เจมส์ เรืองศักดิ์ อะไรแบบนี้
ทีนี้เพื่อนอยากลงประกวดแบบสุด ๆ แล้วผมก็ลงไปด้วยอย่างนั้นล่ะ สมัครไปแบบไม่ได้จริงจังอะไร แต่เผอิญตอนหลังมารู้ว่า มันการันตีนะ ถ้าใครชนะเลิศมันมีสิทธิ์ได้ทำเพลงด้วย ปรากฏพอถึงเวลาประกวดจริง ๆ ครั้งแรกส่งเดโม่ไม่ทัน ครั้งที่พี่ตูน Bodyslam ได้อะครับ เลยมาลงครั้งที่ 2 ก็ตกรอบอีก พอครั้งที่ 3 เราจริงจังขึ้น เพราะว่าผมซ้อมดนตรีห้องเดียวกับลาบานูนแล้ววงเขาได้ออกเทปด้วย ผมเลยรู้สึกว่า เฮ้ยทำไมมันทำได้อะ ผมก็เลยจริงจังเลยจะออกเทปให้ได้ คือตอนนั้นวางเรื่องเป็นนักร้องป๊อปหรือร็อกทิ้งไปเลย ซึ่งสุดท้ายแล้วผมคิดว่ามันก็เป้าหมายเดียวกันจะแนวไหนเนี่ย ขอให้ได้ออกเทปไว้ก่อน การออกเทปสมัยก่อนมันเป็นเรื่องยาก ผมก็เลยลองกลับไปลองอีกรอบนึง เครื่องดนตรีก็ไม่มี ความพร้อมก็ไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่างนึงเลย แต่ก็โชคดีของเราด้วยที่ผ่านมาได้เรื่อย ๆ จนถึงรอบชิงชนะเลิศ
จุดเปลี่ยนจากเด็กประกวดดนตรีที่ไม่ได้จริงจังสู่การเป็นนักร้องอาชีพอย่างเต็มตัว
ตอนนั้นมันรู้สึกสองแบบเลยนะทั้งดีใจและอีกครึ่งนึงก็ไม่เชื่อว่าเขาจะเอาเรามาเป็นศิลปินเต็มตัวหรอก เขาคงนัดคุยกับเราเฉย ๆ มั้ง แต่ปรากฏว่าพอไปจริง ๆ มันไม่ใช่เลย วงผมไม่ใช่วงที่ชนะเลิศอะไรในการแข่งขันครั้งนั้นด้วยนะ แต่ค่ายเขาชอบ เขาเลยเรียกมาเราก็คิดว่าคุยเสร็จทุกอย่างก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แต่พอไปถึงเขาเตรียมเซ็นสัญญาเลย เราก็เฮ้ยจริงเหรอวะเนี่ย มันยิ่งงงเข้าไปอีก ถ้าพูดกันตรง ๆ เราไม่มีความพร้อมทุกด้านเลย มันสุดมาก ๆ นะ การเดินเข้าไปในตึกแกรมมี่แล้วได้เซ็นสัญญาเนี่ย เป็นความรู้สึกที่ผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน
อัลบั้มแรกสุดแสนยากลำบาก
ลำบากครับ ด้วยฐานะทางบ้านเราด้วย ตอนนั้นเรียกว่าติดลบเยอะเลย การที่เด็กกลุ่มนึงจะนั่งรถเมล์มันอ้อมโลกมาก ๆจากพระประแดงไปบึงกุ่มเพื่อไปทำเพลง แค่ค่านั่งรถเมล์ของ 4 คนไปกลับ ตังค์นี่แทบจะไม่มีเหลือให้กินข้าวแล้วนะครับ บางวันอย่างเก่งก็มีมาม่าแล้วต้มกินกัน 4 คน มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก ๆ เลย ผมจำได้ว่าวันวางแผงคือวันที่ 10 มิถุนายน ปี พ.ศ.2542 แต่แผงเทปสมัยก่อนเขาจะชอบเอาเทปไปวางล่วงหน้าก่อน 1 วัน ผมก็ไปแอบดูตามแผงก่อน 1 วันโดยที่เขาไม่รู้ว่าผมเป็นใครหรอกครับ ไปดูว่าเฮ้ยมีเทปวงเราแล้วเว้ย แต่ตังค์ไม่มีซื้อนะ (หัวเราะ) แค่ไปยืนดูก็ดีใจแล้วครับ
ถ้าไม่มีเพลง รอ ก็ไม่มีวงกะลาในวันนี้
ต้องบอกเลยว่า ทุกอย่างมันมันไม่เป็นไปอย่างที่ผมคิดมากนักครับ ความดีใจที่ได้มีอัลบั้มแรกก็เป็นเรื่องส่วนนึง แต่เรื่องการปล่อยเพลงมันไม่สำเร็จเหมือนที่เราคิดเลยอ่ะ รุ่นพี่เราอย่างพี่มอส เขาขายเทปกันเป็นล้านตลับเลย แต่ผมปล่อยเพลงมาแล้ว 2 เพลง รายการในแกรมมี่ 20-30 รายการนี่ออกมาหมดแล้ว ทั่วประเทศก็ไปมาหมดจนต้องนอนอยู่บ้านเพราะ เราได้ทำในส่วนตรงนั้นหมดไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นจนกระทั่งเพลง รอ ถูกปล่อยออกมาเพลงเนี่ยล่ะที่ทำให้เรารู้ว่าความสำเร็จมันคืออะไรคล้าย ๆ กับชื่อเพลงเลย
จากอัลบั้ม กะลา สู่อัลบั้ม นอกคอก กับเรื่องราวที่หนุ่มไม่เคยบอกใครมาก่อนในชีวิต
ถ้าถามผมในพาร์ตของการใช้ชีวิตตอนนั้นยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เรายังเป็นเด็กน้อยเหมือนเดิม แต่ในด้านของสังคมมันเปลี่ยนไปด้วยสิ้นเชิง งานเยอะมาก ออกรายการเยอะ ไปเล่นที่ไหนคนก็เยอะมาก มันเปลี่ยนไปเลย ชุดเนี้ยเป็นชุดที่เพลงขึ้นอันดับ 1 เยอะมาก ติดชาร์ตทั้งอัลบั้มเลย ผมไม่เคยคิดมาก่อน… ผมมีความลับเรื่องนึงจะบอก ช่วงนั้นผมเกลียดเพลง ขอเป็นตัวเลือก มาก ๆ นี่ที่แรกที่ผมบอกนะ ผมพูดได้ไหมเนี่ย (หัวเราะ) ทีมงานทุกคนจะรู้ว่า ผมไม่ได้ชอบเพลงนี้ ผมรู้สึกเหมือนร้องเพลงป๊อปยุคโบราณ ยกตัวอย่างบางวงที่เราเคยฟังพวกเพลงคู่หนุ่มสาวกลิ่นอายอะไรแบบนั้นเลย ตอนร้องเรารู้สึกเลยว่านี่มันไม่ใช่เลย เพลงป๊อปร็อกที่ผมอยากทำมันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ แต่มันเป็นเพลงที่ดังมากนะ ทุกวันนี้ผมรักเพลงนี้มาก ตอนนั้นมันเด็ก ๆ มันก็จะรู้สึกว่ามีเพลงในอัลบั้มที่น่ามาโปรโมตมากกว่านี้อีกเยอะนะ (หัวเราะ)
หนุ่มกับวันที่โด่งดังพุแตกจนได้เป็นนักแสดงภาพยนตร์
ช่วงนั้นจะเป็นในตอนอัลบั้มที่ 3 ล่ะ ชุดนี้เป็นชุดที่พีคที่สุดในชีวิตล่ะขายได้เยอะที่สุด โด่งดังจนได้ไปเล่นหนังก็งงอีก จำได้ว่าช่วงที่เขามาติดต่อคือ ช่วงที่เล่นคอนเสิร์ตเสร็จ ยังนอนอยู่จนเช้ามามีคนโทรมาบอกเราว่า ‘หนุ่ม เข้ามาตึกด่วนผู้ใหญ่อยากคุนด้วย’ เราก็กลัวว่า เมื่อคืนกูไปเมาแล้วทำอะไรไว้ป่ะวะ แต่เมื่อคืนก็ไม่ได้เมานี่หว่า ปรากฏเขาก็ยังย้ำว่าให้รีบมาด่วนเลย เขาจะให้เล่นผมเล่นหนัง ผมรีบดูเบอร์โทรศัพท์แล้วคิดในใจเลย ใครแม่งแกล้งกูวะเนี่ย ผมตลกมาก เข้ามาก็มีผู้ใหญ่นั่งกันเต็มเลย เขาก็เอาแผ่นมาให้ดูแล้วบอกว่าหนุ่มต้องเล่นหนังนะเล่นกับ ศรีริต้า เจนเซ่น ผมก็นั่งดูแล้วก็คิดในใจ ‘ผมเนี่ยนะ’ รู้สึกแบบ อะไรวะเนี่ย (หัวเราะ) ก็ลองไปเล่นดูครับ ผมกล้าพูดว่าการแสดงเป็นอีกอย่างที่ผมอยากทำมากที่สุดในชีวิต แถมได้ร่วมงานกับ แบงค์ Clash ก็ดีมาก ๆ เลยครับ สนุกเลยเป็นงานที่ทำให้เราสองคนได้สนิทกันด้วย
ดังที่สุดในชีวิตก็เจอเรื่องเจ็บปวดที่สุดในชีวิตเช่นกัน
จริงๆ เรื่องของชื่อเสียงผมไม่ค่อยได้สนใจมากนะ แต่ผมจะไปนอยด์กับเรื่องที่ชอบคิดว่า ผมจะพาครอบครัวไปไม่รอด ชอบไปนอยด์ถึงขนาดว่า กลัวว่าการที่เราแยกทางกันไปกับเพื่อน ๆ ในวงกะลา เพื่อนเราจะทำมาหากินอะไร มันนอยด์จนขนาดเกิดเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นมาในช่วงเวลานั้น ทำให้แบบจากที่เราเคยเป็นคนดื่มหนักอยู่แล้วก็หนักถึงขีดสุด สภาพความคิดก็ไม่ค่อยมีสติมันทำให้เราย้ำคิดย้ำทำอยู่พักนึงเลยล่ะ ผมต้องไปพบจิตแพทย์ เขาก็พูดให้ผมเห็นคุณค่าในตัวเอง ผมก็เริ่มกลับมาได้อีกครั้งนึง เรากลับมาถามตัวเองว่า สิ่งที่เรารักที่สุดมันคือ เหล้าหรือร้องเพลง คำตอบที่เราได้มันก็คือ การร้องเพลง แล้วถ้าเรารักมันที่สุด เราจะทำยังไงให้มันอยู่กับเราได้นานที่สุดล่ะ เพราะว่าก่อนที่ผมจะพบจิตแพทย์เนี่ย มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราเห็นว่า ถ้าเรารักอะไรบางอย่างแล้วเราทุ่มเทกับมันไม่พอมันจะไม่อยู่กับเราแน่ ๆ ผมก็เลยเปลี่ยนตัวเอง หยุดดูดบุหรี่ เลิกกินเหล้า เริ่มเข้าวัด สวดมนต์ ทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวเอง เริ่มเรียนดนตรีเพิ่ม เรียนร้องเพลงเพิ่ม ทุกอย่างที่ผมจะทำได้ผมก็ทำหมดเลย ผมถึงกลับมาได้อีกครั้งครับ
สมาชิกยุคที่ 2 กับการเดินทางอีกครั้งของวงดนตรีที่ชื่อว่า กะลา
ตอนที่เป็นวงกะลายุค 2 เนี่ย เราอยากทำวงต่อก็เลยรวบรวมสมาชิกจากวงดนตรีที่เขากระจัดกระจายมาเหมือนกันก็เลยมาเป็นยุคที่ 2 อย่างเป็นทางการ โดยต้องบอกก่อนเลยว่าการกลับมาอีกครั้งของเรา ในตัวของเพลงกับยอดดาวน์โหลดมันไม่ได้แย่นะ ผมยืนยันได้ว่ามันดีมาก แต่ในส่วนของงานจ้างสวนทางกันสุดขีดเลยมากกว่า ถ้าถามว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยังทุกข์ระทมอยู่ไหมก็ใช่ เพราะมันเป็นรายได้หลักของเราทั้งหมด ยอดเหล่านั้นมันมาจากงานจ้าง มันไม่ใช่ยอดดาวน์โหลด จากจุดที่เราเคยยืนเล่นดนตรีมีคนดูเป็นหมื่นคนมันกลับเหลือแค่ 300 คน บางโชว์มีคนดูไม่ถึง 100 คนก็มี
ถ้าไปต่อไม่ได้ก็เลิกร้องเพลงมันเสียดีกว่า
ผมจะเลิกร้องเพลงจริง ๆ คุยกับเพื่อนแล้วว่า เราจะเลิกทำแล้วนะ ตอนนั้นมันจะมีเพลงนึงที่ ผมเล่าเรื่องตัวเองชื่อว่า ทำใจให้ชิน จริง ๆ เนื้อเพลงมันพูดถึงเรื่องความรักนะ แต่คีย์ของเพลงมันคือผมกำลังพูดกับตัวเองอยู่ ผมพูดถึงชีวิตในช่วงนี้ว่า ผมควรจะพอได้แล้ว ตอนไปออกรายการทุกช่องเราก็บอกว่า ‘เราจะเลิกร้องเพลง’ แต่มันก็มีจุดนึงที่ทำให้เรากลับมาได้คือเพลง ใจเราตรงกันอยู่ไหม เป็นเพลงที่ถัดจากอัลบั้มนั้นมา มันกลับมาทำให้เราได้ใจชื้นขึ้น ทุกอย่างดีขึ้น ถามว่ามันสำเร็จเท่าตอนทำวงกะลาช่วงแรก ๆ ไหมก็ไม่ครับ แต่มันกลับทำให้เรากลับเข้าสู่กระแสหลักได้ มันทำให้เราสู้ต่อไป
19 ปีในวงการเพลงกับเรื่องราวสุดแสนพิเศษ
มันมากเลยครับ 19 ปีที่ผ่านมา ต้องขอบคุณวันที่เราดิ่งมาก ๆ วันที่สอนให้ผมได้ฉุกคิดว่า สุดท้ายแล้วเรารักอะไรที่สุด วันนั้นถ้าผมคิดเรื่องนี้ไม่ได้ คงไม่มีวันนี้แน่นอนเลย วันนั้นมันได้แต่พูดกับตัวเองว่า เรารักการร้องเพลง แต่เราไม่ได้ทำอะไรสักอย่างสำหรับความรักครั้งนี้เลย พอเราแบบเริ่มกลับหันมาดูแลตัวเองก็รู้สึกว่า ถ้าเรารักตัวเองเราต้องทำยังไงบ้าง เพื่อที่มันจะอยู่กับเราได้นานที่สุดมันก็เลยเดินทางมาถึงตอนนี้ ผมคิดว่า ผมคงจะเดินทางในเส้นทางนี้ไปเรื่อย ๆ นะ มันเหมือนกับผมเริ่มจับจุดของการร้องเพลงได้ว่า ผมไม่ได้พิเศษกว่าคนอื่น ก่อนหน้านี้ความเป็นนักร้องดังมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมพิเศษกว่าคนอื่น แต่วันนี้มันไม่ใช่ ผมเป็นแค่นักร้องคนนึงที่มีโอกาสทำอัลบั้ม ทำเพลงให้คนทั้งประเทศได้ฟัง ผมไม่ได้พิเศษกว่านักร้องผับ ผมไม่ได้พิเศษกว่าคนที่ร้องเพลงที่อยู่บ้าน ผมเป็นนักร้องที่มีความสุขกับการร้องเพลง ผมจะร้องที่ไหนก็ได้ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ผมจะมีความสุขกับการร้องเพลงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แม้ว่าวันนึงจะไม่มีกระแสมากขนาดนี้ แต่คุณจะได้เห็นผมร้องเพลงแน่ ๆ ในค่ายอินดี้หรือในค่ายเล็กก็ยังอยู่แน่ ๆ
ชื่อเสียงเข้ามามากมาย แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หนุ่ม กะลาสนใจ
ผมทำตัวกากมากกว่าความดังของผมเสียอีก แต่ว่าตัวก็ปฏิเสธไม่ได้นะเรื่องชื่อเสียง เพราะเราเองลึก ๆ ก็รู้อยู่แก่ใจว่าจริง ๆ เราดังหรือไม่ดัง แต่ใจผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย ผมคิดแค่ผมกลับมาได้ครั้งนี้ ผมกลับมาโกยความสุขของผมอย่างเดียวเลย โกยรอยยิ้ม ทำตัวเองให้มีความสุขที่สุด วันนึงถ้าผมไป ผมจะไม่มีการมาออกรายการใด ๆ แล้วทั้งสิ้นว่า ผมท้อแล้ว ผมจะหอบความสุขแล้วหายไปเงียบ ๆ เลย
วินาทีแรกที่รู้ว่าต้องมีคอนเสิร์ตใหญ่ครบรอบ 19 ปี
ไม่เชื่อนะ ผมจะเล่าแบบขำ ๆ ให้ฟังว่า 19 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้แค่ฝันว่ามันจะมีนะคอนเสิร์ตใหญ่เนี่ย ผมหมกมุ่นเหมือนคนกำลังเป็นโรคจิตเลยล่ะ นึกถึงอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาเลย พอถึงวันที่ค่ายบอกว่า เดี๋ยวเข้ามาคุยกันเราจะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ให้ ผมเดินเข้ามานั่งฟังด้วยความแบบไม่ได้รู้สึกว่ามันจะมี ยิ่งเขาบอกเราว่า จัด 2 รอบ เรายิ่งแบบเอาจริงดิ คือ รอบเดียวมันก็เกิดขึ้นยากแล้ว พอรู้ว่าจัด 2 รอบก็ดีใจ ไม่คิดว่ามันจะเกิด 2 รอบ เพราะ ผมไม่ได้มองกระแสใด ๆ เลย แต่ทางค่ายเขามองเห็นตรงนี้ สำหรับผมมองว่า ครั้งนึงในชีวิตของเราจะมีคอนเสิร์ตตัวเองไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่นั้นก็พอแล้ว มันดีใจแล้ว ตอนนี้โชว์ก็เตรียมไปเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วครับ จะบอกว่า 19 ปีที่ผ่านมาผมหมกมุ่นกับเรื่องนี้ พอได้มีคอนเสิร์ตของตัวเอง ทุกอย่างเราก็คิดไว้จบล่ะ ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของแสงสีโปรดักชันและก็โชว์เลย
สิ่งที่แฟนเพลงจะได้เห็นในงานนี้
จะได้เห็นสิ่งที่ผมไม่มีวันได้ทำอีกแน่ ๆ ในคอนเสิร์ตนี้ แต่ไม่ต้องเดาว่าผมเต้นนะ ผมไม่เต้นนะ (หัวเราะ) มันมากกว่านั้นเยอะแถมแขกรับเชิญก็เพียบเลย แต่ขอไม่เปิดเผยตอนนี้นะ
แม้จะมีคอนเสิร์ตใหญ่แล้ว แต่มันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ผมว่าตอนนี้ทุกอย่างมันแค่เริ่มต้นนะ ถ้าวันนั้นวันที่ผมเป็นวงกะลาแล้วมีคอนเสิร์ตใหญ่ ผมจะคิดว่ามันคือจุดสูงสุด มันพอแล้ว เราถอยจากวงการก็ไม่เสียใจละ แต่กลับวันนี้มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง ผมมีแผนจากต่อนี้และคุยกับทีมงานแล้วว่า ผมจะทำอะไรต่อไปอีกบ้าง
30 ล้านวิวกับเพลงที่มีชื่อว่า แอบ
กระแสเพลงนี้ดีมากเลย ผมว่าคนคงคิดถึงเพลงกลิ่นแบบนี้ ซึ่งผมก็ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นเลย เพลงที่มันเป็นเพลงแอบรักของผมและวงกะลามันหายไปจากผมนานแล้ว เลยตั้งใจว่าอยากได้เพลงแอบรักเพลงนึง แล้วก็ขอเป็นนักเขียนเพลงที่เป็นสุดๆ เลย ทุกอย่างมันก็เลยลงตัวมาเป็นเพลงนี้ครับ
เสน่ห์ของเพลงกะลา คือ ความจริงใจ
เข้าถึงง่าย ไม่มีพิธีใด ๆ ไม่ต้องมานั่งแปลอะไรมาก ๆ มันคือแบบนั้นเลย
เพลงของวงกะลาที่หนุ่มชอบที่สุด
มันเป็นช่วงมากกว่า ถ้าช่วงนี้ผมชอบเพลง ไม่มีทาง ผมจะพยายามรักษาความเป็นต้นฉบับของผมไว้ด้วยการฟังเพลงเก่า ๆ ของตัวเองบ่อย ๆ เผื่อที่จะให้คนฟังเขารู้สึกว่าผ่านไปกี่ปี ผมก็ร้องเหมือนเทปที่เขาเคยฟังอยู่ ความประทับใจในวันเหล่านั้นมันคงอยู่ นั้นคือการฝึกของผมอย่างนึง มันก็เลยจะมีช่วง ๆ ต่างในชีวิตที่ชอบเพลงแตกต่างกันไป บางช่วงก็ชอบ ขอเป็นตัวเลือก เหมือนกันนะ แต่ถ้าให้ตอบช่วงนี้ขอเลือก ไม่มีทาง ละกัน
สิ่งที่หนุ่มอยากทำในวงการบันเทิงอีก
ผมก็มีงานแสดงที่อยากทำนะ เกือบจะได้เล่นละครเวทีแล้วแต่คิวผมไม่มีให้ ถ้าเกิดทุกอย่างมันดีก็อยากแสดงอีกที แต่ว่าละครทีวียังคงไม่ครับ ส่วนบทบาทที่อยากเล่น มันก็ต้องแล้วแต่ทางผู้จัดเขาเลย เพราะว่าตัวผมเองก็ยังไม่เก่งขนาดที่จะไปเลือกได้ใช่ไหม ก็ต้องแล้วแต่ผู้ใหญ่หรือผู้เชี่ยวชาวเขาเห็นเลยว่าเราเหมาะกับแบบไหน
วงการเพลงไทยในสายตา หนุ่ม กะลา
ส่วนตัวผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีความวุ่นวายยุ่งเหยิงปนกับเรื่องดี ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการนะครับ มันมี 2 พาร์ตอย่างชัดเจนเลย ความวุ่นวายอย่างนึงคือ คนฟังเปลี่ยนไว โลกมันเปลี่ยนไวมาก ผมว่าแทบจะทุกวงไม่สามารถจะเป็นวงที่คว้าใจคนทั้งประเทศเหมือนเมื่อก่อนแล้ว พอสื่อมันเยอะคนเราก็จะแตกแขนงไปในแนวเพลงของตัวเอง สมมุติว่าผมดูดังมากเลยแต่ในกลุ่มของผมเท่านั้น ในหนึ่งล้านคนเท่านั้น ถัดมาอีกกลุ่มนึงอาจจะเป็นอีกศิลปินนึง ฝั่งนั้นก็จะไม่รู้จักผมเลย ฝั่งผมก็จะไม่รู้จักเขาเลย ซึ่ง ณ นาทีนี้มันไม่มีใครที่สามารถเป็นแกนได้ เหมือนสมัยก่อนอย่าง เสก โลโซ ที่เอาคนทั้งประเทศได้มันไม่มีเลย ผมเลยรู้สึกว่า โหเราทำเพลงเหนื่อย บางเพลงเราทำเพลงมาคิดว่ามันดีที่สุดแล้วอ่ะ ก็ครองใจแค่ครึ่งประเทศเอง อีกครึ่งประเทศที่เป็นนักศึกษาเขาก็ชัดเจนในสิ่งที่เขาฟัง มันก็ดูวุ่นวายดีเหมือนกัน
วงหน้าใหม่ที่หนุ่มฟังอยู่
ฟังเยอะครับ The Toys ผมก็เปิด YouTubr ฟัง เปิดแอพเพลงฟังไปเรื่อยเลย ฟังว่าเขาพูดอะไรกันแล้วตอนนี้ Max Jenmana ก็ฟัง มันฟังไปด้วยแล้วก็วิเคราะห์ไปด้วยว่า ทำไมเขาถึงดังมากในเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า
ความรู้สึกของคนที่มีแฟนคลับตามมาหลายรุ่น
มันเปลี่ยนไปหลายรุ่นนะ รุ่นที่ตามผมตอนนี้มันคือรุ่นใหม่หมด ไม่ใช่คนเก่า ๆ ที่ตามกันมา มันผลัดใบไปนานแล้ว ยิ่ง ณ นาทีนี้ คือกลุ่มใหม่หมดแล้ว รุ่นใหม่หมด เด็กยุคใหม่เลย ผมดีใจที่เพลงเราเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้ ผมไม่คิดว่าเพลงที่แต่งมันเดินทางไกลขนาดนี้ มีเด็กบางคนมาตามผมอายุ 13 ผมก็คิดในใจ เขาร้องเพลงเราได้ด้วย โห อัลบั้มแรกเราออกน้องยังไม่เกิดเลย (หัวเราะ)
สิ่งสุดท้ายที่อยากฝาก
ฝากด้วยนะครับ บัตรจำหน่ายแล้ว คอนเสิร์ตนี้ก็เป็นคอนเสิร์ตที่ผมเชื่อว่า ถ้าคุณเป็นแฟนเพลงของผม มันไม่ใช่แค่ผมที่เฝ้ารองานนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนก็เฝ้ารอเหมือนกัน เราจะไปทำสิ่งที่เป็นความทรงจำของเราทั้งสองฝ่ายด้วยกันครับ แล้วพบกันครับ
สุดท้ายนี้เชื่อว่าการเดินทางของผู้ชายคนนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในเส้นทางดนตรีต่อไปอย่างแน่นอน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจิตใจที่เข้มแข็งและการเติบโตตลอดช่วงเวลา 19 ปีได้สอนให้ทุกคนได้รู้แล้วว่า เขาคือของจริง และผู้ชายคนนี้ชื่อว่า หนุ่ม กะลา เพราะฉะนั้นวันที่ 19 – 20 พฤษภาคมนี้ที่ ธันเดอร์ โดม เมืองทองธานี ไปพบกันที่คอนเสิร์ต MY NAME IS NUM KALA CONCERT กันนะครับทุกคน