ร่วมเขียนบันทึกบทใหม่ในเส้นทางดนตรีไปกับ The Note
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
เห็ดหวน กลับมาพร้อมกับวงบัลลาดร็อกในตำนาน The Note เจ้าของเพลง Learn to Fly, White Lies, Love Lost ที่หนนี้เขามีเพลงใหม่มาให้เราฟัง พร้อมทำความรู้จักกับสมาชิกใหม่กันได้แล้ว ที่นี่
The Note เป็นใครมาจากไหน มารวมตัวกันได้ยังไง
ออลลี่: พวกเรารวมตัวกันเมื่อหกปีที่แล้วเพราะมีพี่ชายคนนึง ชื่อพี่โน้ต เขาเซ็นสัญญากับค่าย Media of Media แล้วหลังจากที่เขาเซ็นสัญญาไปได้อาทิตย์นึงเขาก็เสียชีวิตจากไวรัสขึ้นสมอง เราก็เลยทำวงขึ้นมาชื่อ The Note ใช้ชื่อพี่เป็นชื่อวง ทำออกมาเป็นอัลบั้มชื่อ Fulfill the Dream บนปกก็จะมีหน้าเขาอยู่ ชื่ออัลบั้มก็เหมือนเพื่อทำความฝันของเขาให้สำเร็จแหละครับ ตอนนั้นหมดเงินไปเยอะเหมือนกันกับห้องอัดเพราะเรายังไม่รู้เรื่องว่านักดนตรีเขาต้องทำยังไง
โจอี้: ซึ่งตอนที่เราทำอัลบั้มนั้นมันเป็นการที่เราเล่นกันเพื่อความสุข ไม่ได้หวังจะปล่อยที่ Fat Radio หรือให้ใครได้ยิน ถ้าไปฟังในนั้นคือพี่นุซึ่งเป็นมือเบสก็ไม่เคยเล่นเบสมาก่อน ออลลี่ยังฝึกร้อง ผมฝึกเล่นกีตาร์อยู่เลย ครั้งแรกที่เราไปอัดเขาบอกว่าเดี๋ยวเปิดเมโทรโนมนะ พวกเรามองหน้ากัน เมโทรโนมคืออะไรวะ ถ้าไปฟังเพลง Waste My Time ผมจับคอร์ด C คอร์ด G ไม่ได้ พี่นุต้องเล่นคอร์ดกีตาร์โปร่งให้ผมเพราะผมจับไม่เป็นจริง ๆ
ออลลี่: แล้วพอดี พี่ฤทธิ์ Fat Radio เขาก็เปิดเพลง Learn To Fly ของเรา แล้วมันก็ขึ้น highest calories ประจำสัปดาห์ ติดชาร์ตไป ก็ต้องขอบคุณพี่ฤทธิ์อีกทีครับ แล้วก็ไปติดชาร์ตที่อื่นด้วย เชียงใหม่ หาดใหญ่ โคราช ขอนแก่น จนพวกเรารู้สึกว่า เอาไงต่อวะ ทุกคนชอบ ก็เลยกลายมาเป็นอัลบั้ม Fulfill the Dream
โจอี้: มีช่วงนึงที่ Fat Radio ไม่เปิดเพลงของเรา เขาคิดว่าเราไปปั่นวิวหรือเปล่าเพราะคนขอเยอะมากเลยครับ (หัวเราะ) เป็นวงใหม่มาจากไหนอยู่ดี ๆ คนขอเยอะ เขาอาจจะตกใจ แต่พอพิสูจน์แล้วรู้ว่าคนที่ขอมาเป็นแฟนคลับของ Fat Radio มานานแล้ว
อะไรทำให้คนขอเพลงเยอะขนาดนั้น
โจอี้: มันเป็นความรู้สึกที่อยากให้เพลงออกมาดีจริง ๆ เราเล่นแล้วเราไม่ได้หวังว่าจะต้องขายได้หรือทำตามกระแส เราเล่นแบบฝึกเล่นกัน น้อง ๆ ที่ได้ฟังอาจจะอายุน้อยหน่อย เหมือน The Beatles ที่ว่าทำไมเขาเป็นวงที่ดังมาก เพราะคนเล่นกีตาร์ตามเพลงของเขาได้หมด มันเป็นเพลงที่ง่าย ตีคอร์ดแล้วร้องตามได้
ออลลี่: หลังจากนั้นเราพักเพราะไม่ได้คิดว่าจะมาทางดนตรีจริงจัง พี่นุเขาก็มีธุรกิจของเขาอยู่แล้ว ก็กลับไปทำของเขา โจอี้กับผมก็ไปเป็นอาจารย์ จนมาเป็นวง The Note ตอนนี้ มี้อุ้ย มาเล่นเบส กับอาร์ม มาเล่นกลอง สองคนนี้ทำเพลงกับโจอี้อยู่แล้วโปรเจกต์นึง ผมก็ทำของผมเป็นงานเดี่ยว เขาก็ชวนผมมาร้อง เพราะไหน ๆ เราก็มีแฟนเพลงที่รอเราอยู่แล้ว The Note ก็มาจากออลลี่กับโจอี้อยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นเราเราขาดมือเบสกับมือกลอง เพราะพี่นุเขาก็ไม่ใช่มือเบสมืออาชีพ อันนี้ก็ลงตัว แล้วรู้จักกันอยู่แล้ว พี่อาร์มตีกลองแบบที่ผมชอบ อุ้ยก็เล่นเบสในแบบที่ผมชอบ
อุ้ย: ช่วงที่ทำโปรเจกต์มันเหมือนมีช่วงที่หาแนวเพลงกับตัวตนว่าจะยังไงดี แล้วโจอี้ที่เป็นมือกีตาร์ก็จะไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ เลยคิดว่าทำไมเราไม่เอาคนที่ร้องเพลงเป็นและร้องดีอยู่แล้วมารวมวง โจอี้ก็เลยเสนอว่ากลับมาเป็น The Note เลยไหม
โจอี้: เป้าหมายจากตอนแรกกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ทีแรกเราทำเพื่อพี่โน้ต เพื่อฝันของเขา แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เป็นฝันของพวกเราแล้วที่อยากเป็นนักดนตรี เป็นศิลปิน พี่อาร์ม อุ้ย ก็มีความฝันว่าอยากเล่นหลาย ๆ เวทีให้คนมาดู เราพยายามจะไม่เล่าเรื่องพี่โน้ตเท่าไหร่เพราะไม่อยากให้มันมาเป็นจุดขาย เราพยายามเปลี่ยนชื่อวงใหม่หลายรอบแล้วแต่มันก็ยังไม่ลงตัว มี Bright City Lights มันก็ โอ้โห อีโมมาก (หัวเราะ)
ทำไมถึงตัดสินใจกลับมา
ออลลี่: ง่าย ๆ คือทุกคนอยากเล่นดนตรี แต่ตอนนั้นยังหาจังหวะหรือโอกาสเหมาะ ๆ ไม่ได้ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว เราพยายามจะแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในวงเท่า ๆ กันด้วย ความใส่ใจและเป้าหมายของเราก็เท่ากัน
อุ้ย: อย่างออลลี่กับโจอี้จะดูแลพาร์ตดนตรี ผมจะคอยจัดการเรื่องเงินหรืองานให้เล่น พี่อาร์มทำอะไร (หัวเราะ)
ออลลี่: เขาเป็นคนที่สร้างความสนุกให้วงได้ดีมาก และเป็นมือกลองที่ดีมากครับ
โจอี้: ทำไมงานของพี่อาร์มจะเบา เพราะจริง ๆ ออลลี่เป็นมือกลอง แล้วเขาเป็นคนที่ซีเรียสกับเพลงมาก ทุกอย่างต้องเป๊ะ ๆ เรื่องกลองเขาจะคิดกรูฟมาก่อนแล้วพี่อาร์มจะดัดแปลงต่อ
แล้วการกลับมาทำเพลงอีกครั้งมีความคาดหวังที่จะต้องกลับไปอยู่ในจุดเดียวกับเพลง Learn to Fly ไหม
ออลลี่: มีนะครับ แต่อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น เราแค่อยากกลับไปอยู่ในสายตาของคนที่เคยชอบเรามาก่อนแค่นั้น ไม่ได้ขอดังอะไรมากมาย เป็นการให้คืนกำไรให้แฟนคลับจากที่เขาให้อะไรเรามาเยอะมาก
อาร์ม: อยากให้เขาได้รู้ว่าเรายังทำเพลงอยู่นะครับ ไม่ได้หายไปไหน อยากให้คนยังจำได้อยู่
โจอี้: อย่างถ้ากลับไปดู เหมือน The Note อยู่ดี ๆ มันหยุดไปเลย ไม่มีการลา ไม่มีอะไร บอกว่าซิงเกิ้ลใหม่กำลังมาแล้วหายไปเลย มันมีเรื่องเบื้องหลังด้วยครับ ผมกับพี่นุไม่ได้อยากเป็นศิลปิน full time ขนาดนั้นด้วย อยากทำเป็นงานอดิเรก เลยให้ออลลี่ไปเดี่ยวดีกว่ากับสัญญาอันนั้น
ออลลี่: เพราะผมแยกไปเซ็นสัญญากับที่อังกฤษด้วยตอนนั้น แล้วเหตุการณ์ไม่ได้เป็นตามแผน
โจอี้: ซึ่งมันยิ่งใหญ่มาก แต่มันก็เกิดความผิดพลาดอะไรต่าง ๆ จากฝั่งนู้น แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็กลับมาแล้วแบบทุกวันนี้
แนวดนตรีของเพลงใหม่ต่างจากงานก่อน ๆ ไหม เหมือนเพลงสนุกขึ้นด้วย
ออลลี่: ก็ไม่มากนะครับ เราสองคน (ออลลี่กับโจอี้) ได้เสริมมือกลองกลับมือเบสที่ดีเข้ามา ทำให้ The Note ชัดเจน
โจอี้: คนที่ทำให้ดนตรีสนุกขึ้น จังหวะแน่นขึ้น ก็คือพวกนี้แหละครับ ฝ่าย rhythm ครับ มันลงตัวมากตรงที่ผมกับออลลี่ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนไปมากเพราะทำเพลงแบบ The Note สมัยนั้นแหละ แต่มีเสริมตรงนี้มา
อุ้ย: อีกอย่างที่เปลี่ยนไปก็เพราะว่าพวกผมมาไล่ฟังเพลง The Note ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงจังหวะกลาง กับเพลงช้า ผมเลยบอกว่า กลับมาคราวนี้ขอมีเพลงเร็ว กลับมาแบบเต็มที่มีพลัง
เรื่องราวที่เล่าในเพลงจะเป็นเหมือนงานชุดก่อนไหม
อุ้ย: ก็ตามประสบการณ์ชีวิตแหละครับ เหมือนเราโตขึ้นมาแล้ว สมัยนั้นเราก็เล่าจากประสบการณ์จริงในวัยนั้น แต่ตอนนี้เราก็เล่าจากสิ่งที่เจอในวัยนี้
ออลลี่: การเขียนเนื้อเพลงของเราอาจจะไม่ได้มีโจทย์ที่ต้องทำให้คนฟังรู้สึกไปกับมันเสียทีเดียว แต่จะเว้นบางช่องให้เขาใส่ประสบการณ์ลงไปเอง
โจอี้: ถ้าใครที่รอฟังเพลงอกหักจากพวกเราก็อาจจะต้องรอสักนิดนึง ปกติผมเป็นคนเขียนเนื้อ ยกเว้นถ้าออลลี่จะเขียนเนื้อก็อาจจะมี (หัวเราะ) อย่างเพลงใหม่ถ้าคนที่ฟังเนื้ออย่างเดียวอาจจะมองว่าเป็นเพลงเศร้า หรือโดนเหยียบแล้วรู้สึกท้อแท้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยครับ มันเป็นเพลงที่พูดว่าเรามีกำลังใจ เราเป็นวงป๊อปจริง แต่ไม่ใช่ป๊อปแบบ ฉันรักเธอ เธอไม่รักฉัน แล้วจบ มันมีความหมายอื่นที่เราสามารถคิดไปเองได้ ภาษาอังกฤษแค่เราเปลี่ยน pronoun ความหมายมันเปลี่ยนไปเลย ตีโจทย์ได้เลย เป็นข้อดีที่เราทำเพลงภาษาอังกฤษที่เราไม่ได้ทำเพลงมาป้อนคนว่าต้องเป็นแบบนี้เป๊ะ ๆ เพลงไทยก็อาจจะทำได้ แต่เรายังไม่เก่งพอที่จะเขียนเนื้อไทยเลยต้องทำแบบนี้
เพลง Kick Down มีความหมายว่ายังไง
ออลลี่: เหมือนเราโดนถีบแล้วล้มครับ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยล้มเหลว แล้วในจุดนั้นต้องมีคนรอเหยียบซ้ำเราอยู่แล้ว เป็นช่วงบอบบางที่สุดและเราจะรู้สึกแย่ที่สุด เป็นการอธิบายว่าคนรอบข้างจะเป็นคนที่ซัพพอร์ตหรือจะเป็นคนที่ซ้ำเติมเรา เพราะส่วนมากเราจะเชื่อคนรอบข้างใช่ไหมครับ อย่าไปฟังเขามากเกินไป
โจอี้: มันจะมีคำว่า lean on เหมือนพิงคนที่อยู่รอบข้างเรา เพราะเขาเป็นคนที่ซัพพอร์ตเรา แต่เมื่อซัพพอร์ตนั้นหายไปเราก็จะล้มเลยครับ เป็นสิ่งที่คนต้องเจอ ตอนนั้น The Note ล้ม แล้วหยุดไป ก็โดนคนรอบข้างบอกว่าบอกให้หยุดตั้งนานแล้วทำไมไม่หยุด อาจจะเป็นความหวังดีเขาแหละ แต่เราก็อย่าเพิ่งท้อ เชื่อตัวเอง ผมเป็นคนเขียนเนื้อ ออลลี่คิดเมโลดี้ แล้วมีท่อนที่ร้องขึ้นมาว่า ‘Some people like to kick you down’ แล้วผมชอบคำว่า kick down มาก เลยยึดคำนี้เป็นธีมหลักของเพลง ส่วนมากเพลงเราจะเกิดจากคำแรกที่ผุดขึ้นมาเนี่ยแหละ ตอนที่เขียนเพลงนี้คือตอนที่ทำงานแล้วมันกดดัน แต่เราก็ยังมีความฝันว่า คิดถึงการเล่นดนตรี การเจอเพื่อน ๆ มันเป็นจุดที่ ตอนที่เรากลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนเป็นจุดต่ำที่สุดของผม เหมือนเรามาอยู่ในระบบแล้ว คนเป็นมนุษย์เงินเดือนเขาไม่เข้าใจ เหมือนเราจ่ายเงินทำเพลงแล้วให้คนฟังฟรี มันไม่ make sense จะทำเพื่ออะไร คำพวกนี้มันเตะซ้ำเรา แล้วเนื้อเพลงผมพูดประมาณว่า ผมใช้ชีวิตแบบคุณไม่ได้ เพราะคนที่อยู่ในโลกนี้ไม่มีความหวัง ความฝัน พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีแล้ว มันไม่ต่างจากความตาย คุณจบชีวิตได้แล้ว คุณควรจะมีความความคิดตลอดว่าฉันอยากจะดีขึ้น มีการพัฒนาทุกวัน ทำไมผมทำงาน เพราะผมอยากทำแผ่น ทำไมอยากทำแผ่น เพราะผมอยากอยู่ได้ทั่วโลก ถึงจุดนั้นเดี๋ยวมันจะมีความอยากอีก เหมือนตอนเป็นเด็กเราอยากได้ของเล่นอันนี้ พอได้แล้วก็ขอพ่อแม่ว่ามีอีกได้ไหม แต่สำหรับคนอื่น เพลงนี้อาจจะเป็นเพลงรักที่ คุณโดนเตะออกมา อีกคนเขา move on มีคนอื่นไปแล้ว ไม่มีโอกาสแล้ว มองอย่างนั้นก็ได้ครับ
ภาษายังเป็นกำแพงของคนฟังอยู่ไหม
ออลลี่: ไม่แล้วนะ เดี๋ยวนี้มันก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล ความจริงภาษาเพลงมันก็เป็นภาษาทั่วโลกอยู่แล้วครับ ไม่ต้องเข้าใจภาษาก็ได้ แค่เราสนุกหรือเศร้ากับดนตรีก็พอแล้ว
โจอี้: ถ้าอยากจะดูว่าภาษาเป็นกำแพงอยู่หรือเปล่า ดูง่าย ๆ เลยครับ เพลงที่ติดอันดับหนึ่งทั่วโลกประมาณสองอาทิตย์ที่แล้วคืออะไร Despacito ปะ คนก็ไม่รู้ว่าเขาร้องว่าอะไร แต่ทุกคนก็ร้องตามกันได้ หรือ The Toys ตอนเขาแร็ปเราก็ฟังไม่รู้เรื่องแต่เพลงมันดีอะ
The Note เป็นวงแรก ๆ ที่คนรู้ว่าทำเพลงภาษาอังกฤษ คิดยังไงที่เดี๋ยวนี้มีวงทำเพลงภาษาอังกฤษเยอะขึ้นมาก
ออลลี่: ก็ดีใจนะครับที่คนไทยกล้าที่จะทำเพลงภาษาอื่นบ้าง ตอนนั้นเราทำเราก็ไม่ได้หวังว่าจะต้องเปลี่ยนอะไรนะ
มันช่วยให้วงไปไกลได้กว่าเดิมด้วยไหม
ออลลี่: เราน่าจะไปไกลกว่านี้ได้แล้วเนาะ เพราะยังไงภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาทั่วโลกด้วย ไม่ต้องเป็นเราก็ได้ อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย
โจอี้: มันต้องมี Hugo ที่สองได้แล้ว นี่เราก็ได้ไปขายที่เมืองนอกด้วย มันเป็นดีลที่เราทำกับ Pro Karma เป็นดีลที่น่าสนใจมาก ผมแนะนำกับศิลปินหน้าใหม่ถ้าคุณจะเข้าวงการ แล้วคุณมีเพลงที่คุณภาพดี ผมแนะนำให้หา distributor มันจะช่วยคุณได้เยอะมาก ผมอยากให้มีคนมาบอกเราตั้งแต่ตอนเริ่มทำแบบนี้เพราะมันสำคัญมาก แล้วผมคิดว่าการปล่อยเพลงทั่วโลกได้ตู้มเดียวในวันเดียว Spotify Apple Music Pandora มันดีตรงที่ได้พิสูจน์ว่าเพลงเราดีจริงไหม ไม่ใช่ว่าตีตลาดไทยอย่างเดียวแล้ว ถ้าปล่อยไปแล้วแป๊กไม่เกี่ยวกับคนฟังไม่รู้เรื่องแล้ว แต่กลายเป็นว่าเพลงเราดีไม่พอ
จริง ๆ ประเทศไทยก็เริ่มเปิด แล้วประเทศอื่นก็เริ่มยอมรับแล้วนะครับ เราจะได้ไปเล่นงานที่อินเดียเดือนหน้า คือเขาตั้งใจหาวงจาก South East Asia เลย ถือว่าโชคดีที่เราได้ไปเป็นตัวแทนประเทศไทย
อุ้ย: ตอนนั้นเราเพิ่งกลับมา แล้วมีเพลงใหม่ที่เราปล่อย แต่ไม่มีงานเลย ไม่รู้จะหางานยังไงดี ผมเข้าไปในเพจลงขัน แล้วเขามีโปสเตอร์บอกว่ามุมไบรับสมัครวงไทยไปเล่น พวกผมก็มาคุยกันว่าถ้าตอนนี้ยังไม่มีงาน ก็ไม่มีอะไรจะเสีย ก็ลุยไปเลย เป็นงานที่มีวงจากทั่วโลก มีจากอังกฤษประมาณ 4-5 วง เราก็ลองส่งไปดู แล้วโดนรับเลือกเป็น headliner ด้วย 26-30 ตุลาคม ที่มุมไบครับ ขอฝากไว้อย่างนึงด้วย อาหารอินเดียอะไรอร่อยฝากบอกด้วย เราต้องอยู่หลายวัน (หัวเราะ)
โจอี้: ปีที่แล้ว Yellow Fang ก็ได้ไปเล่นเป็น headliner มันน่าตกใจตรงที่ผมส่งไปปุ๊บ เขาตอบเมลกลับมาภายใน 5 นาที เขาบอก มาเลยครับ ฟังเพลงแล้วชอบมาก ไม่ได้เล่นแค่งานเดียว เขาหาร้านให้เราเล่นด้วย ผมเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังแล้วเขาก็ตกใจแบบ ไปอินเดียได้ไง แทนที่จะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น
ออลลี่: จากที่เป็นจุดที่คนอาจจะมองข้าม แต่ผมคิดว่าเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว
อาร์ม: เหมือนได้พิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่างเพราะไม่มีใครเคยไป
ทำไมไม่คิดจะโกอินเตอร์แต่แรกทั้งที่ก็ทำเพลงภาษาอังกฤษมาตั้งนานแล้ว
ออลลี่: พยายามแล้วครับ คิดว่าถ้าเราไปตั้งเป้าหมายสูงไปมันก็ยาก ตอนนั้นเรายังไม่ใช่มืออาชีพ ก็ยังไม่รู้ว่าการตลาดต้องทำอะไรยังไง มันก็เลยไม่ลงตัวตอนนั้น แต่พอได้อุ้ยที่ถนัดการประสานงานมันก็ลงตัวที่อินเดีย ปฏิเสธไม่ได้อะครับ อินเดียผมก็ไป
อุ้ย: มันเป็นที่ที่น่าลองไปลุย ไหน ๆ ก็ทำมาแล้วน่าจะลองไปให้สุดเลย
อาร์ม: ยังดีนะครับที่เป็นมุมไบ ถ้าเมืองอื่นนี่หนักเลย (หัวเราะ)
โจอี้: เป็นข้อดีของวงนี้นะครับที่มีผมกับออลลี่ ไม่เลือก แล้วภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกของพวกเรา คุยได้ทั่วโลก อุ้ยหามา ผมคุยงาน คือตอนนี้เราต้องทำให้วงดูมืออาชีพที่สุด เหมือนตอนนี้ผมเพิ่งเซ็ตสัมภาษณ์ที่อินเดียไป เราไม่มี PR ผมเลยปลอมตัวเมสเสจไปหาเขา ผมเป็น PR ของ The Note สนใจสัมภาษณ์เราไหม เขาก็บอกว่า ประวัติดูดีมาก เพลงโอเคเลย ก็นัดมาสัมภาษณ์
อุ้ย: อย่างที่บอกแหละ เราไม่ได้เลือกจริง ๆ มีให้เล่นก็จะเล่น แต่ว่าขออย่าเป็นวันธรรมดา เพราะพวกเราก็ต้องทำงาน (หัวเราะ)
โจอี้: ฟังจากรุ่นพี่คนนึงเขาพูดว่าปัญหาของวงการดนตรีไทยตอนนี้ ขอพูดกับพี่ ๆ น้อง ๆ นักดนตรีเลยครับ ว่าการเล่นดนตรีมันต้องลงทุนด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา แรง เงิน การเล่นดนตรีสมัยนี้มันมีการแข่งขันสูงมาก พวก YouTube Facebook เราต้องลงทุนหมด ไม่ใช่แค่เพลงดีอย่างเดียว ต้องเหนื่อยหน่อย ไม่เลือกงาน ทำทุกอย่างให้มันสุด เหมือนอินเดียเป็นอะไรที่เราตื่นเต้นมากครับ แม้เราจะต้องไปเล่นให้คนที่อาจจะไม่รู้จักเพลงของเราเลยดู เรามองว่ามันดีกว่าไปเล่นกับ 100 คนที่รู้จักเราอยู่แล้ว มันเป็นการพิสูจน์ไปเลย มันมีความเป็นไปได้ที่เราจะได้ feedback แท้ ๆ กลับมาเลย ไม่ต้องเกรงใจอะไรเลย
ออลลี่: อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่เรามีประวัติที่แบบ เฮ้ย The Note แม่ง ไปเล่นอินเดียนะ อาจจะไม่ได้มีกับทุก ๆ คนที่ไปเล่นที่นี่
มีแฟนคลับต่างชาติบ้างไหม
โจอี้: น่าจะมีครับ มีพี่คนนึงชื่อพี่เอม เขารู้จักเราเพราะเพลง The Note จนตอนนี้เขารู้จักแม่ผมละ เราสนิทกันมาก เขาบินมาจากบอสตันเพื่อมาดูเราเล่นที่ Fat Fest ลงทุนมากเลย มันมีหลายแบบครับ มีคุณแอนมาจากแคนาดา ก็เอาเพลงเราไปเปิดที่นู่น ถ้าเดินเข้าไปใน Starbucks ก็จะเห็นแผ่น The Note ขายอยู่ คลื่นวิทยุ SXSW ก็เคยเปิดเพลงของเรา มีคนติดต่อไปเล่นที่ LA แต่เรายังไม่ค่อยมีกำลัง เลยไม่ได้ไป เสียดาย ถ้าไปดูสถิติหลังบ้าน YouTube จะได้เห็นว่ามีคนดูจากที่ไหนบ้าง เยอะมาก
ออลลี่: เราก็มีเพื่อนอยู่ที่อเมริกาเยอะมาก ซึ่งเขาอาจจะมีเพื่อนจากที่ไหนอีกไม่รู้ เขาก็ส่งต่อ ก็ช่วยเรา
ตอนนี้ที่ทุกอย่างมาไวไปไวหมด วงที่อยู่มานานอย่างเราต้องปรับตัวยังไงบ้าง
ออลลี่: เราต้องกลับมาศึกษาว่าวงการดนตรีเขาต้องทำอะไรกันบ้าง เนี่ยครับ แต่ละคนก็มีหน้าที่ที่แบ่งกันแล้ว เราก็ต้องไปศึกษาแต่ละพาร์ตที่เรารับผิดชอบ หรือวงนี้ทำไมถึงดัง เขาทำอะไรกัน มีอะไรเบื้องหลังที่ต้องทำบ้าง เราไม่มี PR ไม่มีผู้จัดการ ก็ต้องทำกันเอง แม้เราจะมีงานประจำอยู่แล้วก็ต้องพยายามมากขึ้น มีอะไรใหม่ ๆ ที่เราต้องมาเรียนรู้กัน
อุ้ย: ไม่ใช่แค่งานเพลงหรือการเล่นดนตรี เราต้องศึกษาการตลาด สื่อติดต่ออะไรยังไง เป็นเรื่องใหม่ของเราหมดเลย
โจอี้: ผมกับอุ้ยก็มานั่งรื้อกันว่า press kit หรือ press release มันคืออะไรครับ (หัวเราะ) คือเราไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย แต่มันสนุก เพราะผมคิดว่าด้วยยุคนี้ที่ทุกอย่างมันเร็ว บางคนปล่อยคัฟเวอร์เพลงก็ดังแล้ว ผมไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องลบ แต่มันมันมากเลย แล้วเมื่อไหร่ที่เราประสบความสำเร็จมันจะคุ้มกว่าตรงที่เราลุยกันมาเองหมดเลย โอเค เราอาจจะอายุมากกว่าเด็กทั่วไปที่เพิ่งเริ่มทำวง แต่เราก็มา start over เหมือนกัน เราเข้ามาในวงการดนตรีด้วยแนวคิดว่า เฮ้ย เพลงดี พอ แต่ยุคนี้มันไม่ใช่แล้ว Instagram เราก็เพิ่งทำใหม่ ยุคแรกเราจะลงอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้จะลงต้องคุมโทน มันมีการตลาดแฝงอยู่ในนี้เยอะมาก
ออลลี่: แต่ก็ดีที่ผมกับโจอี้โตมาที่เมืองนอก มันก็ได้เห็นการลุยของดนตรีที่รู้ว่ามันยากขนาดไหน ซึ่งมันต่างกับเมืองไทย สมมติเราไปเล่นคอนเสิร์ตที่นู่น วงต้องขายตั๋วเองเพื่อที่จะเล่นที่นั่น ถ้าขายไม่หมดก็ต้องจ่ายค่าสถานที่เอง หรือศิลปินหลาย ๆ คนที่ดังในอเมริกาเขาต้องลงทุนเองทั้งหมด เช่ารถตู้ ไปหาร้านทั่วประเทศเพื่อขอเขาเล่น John Mayor หรือ Taylor Swift ก่อนเขาจะดังก็ผ่านพวกนี้มาหมดละ
โจอี้: คอนเสิร์ตแรกของผมตอนนั้นอายุ 13-14 เล่นที่ฮอลลิวู้ด ยังไงก็เล่น ไม่เลือกเลย ได้ตั๋วประมาณร้อยกว่าใบ เพื่อนซื้อไป 20 ที่เหลือของแม่ผมจ่ายหมดเลย (หัวเราะ)
คิดว่าที่ไทยจะมีไลฟ์เฮาส์แบบที่เมืองนอกได้ไหม
ออลลี่: มันก็เป็นไปได้ครับ แต่ที่ไทยส่วนใหญ่มันเป็นผับ มีวงร้านเล่นประจำ แล้วก็ขายเหล้า คนเขามากินเหล้ากัน ไม่ได้ตั้งใจมาฟังวงเล่นเพลงของตัวเองหรอก ที่อเมริกาจะเป็นวงใหม่หมดเลย ห้ามเล่นเพลงคัฟเวอร์ จริง ๆ ที่ไทยก็เคยมีนะแต่เหมือนเขาอยู่ไม่ได้ ผมก็จำชื่อไม่ได้ ก็นั่นแหละครับ ผมว่าต้องช่วยกัน ไม่ใช่แค่คนเปิดร้านแล้วประชาชนเขาจะเข้าไปฟังกัน ศิลปินวงดนตรีก็ต้องช่วยกัน มีส่วนร่วมกันด้วย
โจอี้: มีร้านที่เราจะไปเล่นวันที่ 29 ผมแนะนำว่าใครอยากได้บรรยากาศเมืองนอก เจ้าของเป็นฝรั่ง ทุกเดือนเขาจะเอาศิลปินมาเล่น มี open mic ชื่อ Live Lounge Bangkok ลองมาดูครับว่าเป็นยังไง
ปัญหาเกิดจากไลน์อัพซ้ำ ๆ วน ๆ กันอยู่แค่นั้น
โจอี้: ผมเป็นอาจารย์สอนเด็กมัธยมมักได้ยินว่า อยากเป็นเหมือนวงนั้นวงนี้ ผมจะบอกเด็กว่า ทำไมคุณอยากจะเป็นเหมือนเขา ทำไมไม่อยากเป็นได้ดีกว่าเขา ผมคิดว่าเป็นที่วัฒนธรรมด้วยครับ ที่อเมริกาจะมองว่า เฮ้ย เราเจ๋งกว่าว่ะ ทำไม Lil Wayne ออกมาบอกว่าเราเป็นแร็ปเปอร์ที่ดีที่สุดในโลก แล้ว Jay-Z บอกว่า ไม่ใช่ กูต่างหาก
ออลลี่: การแข่งขันกันมันทำให้มีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ผิดนะที่ศิลปินเริ่มใหม่เขาอยากจะเป็นเหมือนวงนั้นวงนี้ แต่ผมว่าคนอาจจะยกฝรั่งสูงเกินไป เห็นเป็นไอดอล เป็นพระเจ้าเกินไป จริง ๆ เขาก็เริ่มต้นแบบเรา นิ้วเจ็บ จับคอร์ดไม่ได้ เขาก็คือมนุษย์ ก็ต้องผ่านอะไรที่เรากำลังเดินทางอยู่ถึงจะไปจุดนั้นได้ ถามว่าผมมีไอดอลไหมผมก็มี แต่ผมไม่ได้อยากเป็นเหมือนเขา ผมต้องทำได้ในแบบของผม อยากให้ทุกคนมีความกล้ามากกว่าเดิม ผมว่าไม่มีคำว่าเฟลถ้าเราตั้งใจทำมันจริง ๆ
โจอี้: ผมชอบคำพูดของ John Mayer อันนึงมากที่ว่า การที่เขาพยายามจะเป็นเหมือนไอดอลของเขาแล้วเขาทำไม่ได้ อันนั้นอะคุณจะเจอตัวตนของคุณเอง เช่น ผมอยากเล่นกีตาร์ให้ได้เหมือน Slash แล้วผมเล่นไม่ได้ มันออกมาเป็นแบบนี้ เนี่ย คือผม เพราะ Slash ก็เล่นแบบผมไม่ได้ ผมก็เล่นแบบเขาไม่ได้
จะมีอัลบั้มเต็มเลยไหมรอบนี้
ออลลี่: ผมลุยถึงอินเดียขนาดนี้แล้วก็ต้องมีอัลบั้มเต็มล่ะครับ (หัวเราะ) ค่าใช้จ่ายถ้าเรา cover ได้เราก็จะทำครับ ตอนเราออกอัลบั้มแรกเราก็รู้แหละว่ามันต้องใช้ประมาณไหน ก็เรียนรู้อะไรมาเยอะจากชุดนั้น
โจอี้: ปี 2018 เราจะมี EP ออกมา น่าจะมา 5-8 เพลง ถ้ามาดูในคอมเราจะมีเพลง B side เยอะมาก แต่เราไม่ได้เลือกปล่อย เพราะเราพยายามคัดเลือกเพลงที่ดีที่สุด เพราะยุคนี้มันเป็นยุคใหม่ที่สัญญาค่ายก็เซ็นเป็นซิงเกิ้ลแล้วเหมือนกัน แต่เราก็เป็นคนยุคเก่า เราจะทำแผ่นแน่นอน
อุ้ย: ตอนนี้จะทยอยปล่อยเป็นซิงเกิ้ลไปก่อน แล้วพอมีครบจะค่อยมารวมเป็นอัลบั้ม เราอยากทำแต่ละเพลงให้มันดีก่อน ไม่ใช่รีบ ๆ ทำ แต่อย่างที่โจอี้บอก สุดท้ายเราก็อยากทำเป็นซีดี เพราะเราชอบบรรยากาศอย่างนั้นมากกว่าดิจิทัลทุกอย่าง มันมีผลงานออกมาเป็นชิ้น
โจอี้: มันโรแมนติกมากกว่า ตั้งแต่เราต้องเดินไปซื้อ ดูเขาเล่นสด กลับบ้านมาฟัง มันได้จับ มันได้อ่านเนื้อเพลงตอนฟัง ไม่งั้นมันเหมือนหุ่นยนต์มากเลยที่ต้องโหลดลงมา ถ้าไฟล์หายก็โหลดมาจาก cloud ได้แค่นั้น มันไม่ได้มีแบบ เฮ้ย แผ่นหายไปไหนวะ ผมยังมีแผ่น Kick Kick หรือ ภูมิจิต อยู่ที่บ้าน เพราะเราไปเล่นด้วยกันมา ผมมีเสื้อของ Cigarette Launcher อยู่
ออลลี่: ใครทำแผ่นเป็นรอยนี่โลกแตก ที่อเมริกาตอนเราไปดูเขาเล่นเราชอบมาก ตอนเรานั่งกินข้าวก็มีการเดินเอาแผ่นมาขายให้เรา ตามปั๊มก็มี เอาแผ่นให้เซ็น มันทำให้เรายังรู้สึกดีที่เขายังมาเดินขายแผ่น แล้วทำไมเราจะลุยบ้างไม่ได้ เป็นเหตุผลที่แผ่นมันยังมีขายอยู่ครับ
มีอีเวนต์ที่ประทับใจบ้างไหม
โจอี้: งานเปิดอัลบั้มครับ เละ มัน จนถึงวันนี้คุณก็กลับไปดูใน YouTube ได้
ออลลี่: งานนั้นเราก็ไปลงทุนจ้างร้านเอง ถึงมันจะเละแต่เรายังรู้สึกดีครับ สิบกว่าวง Abuse the Youth, ภูมิจิต, ปลานิลเต็มบ้าน, คณะดนตรีร่วมสมัย คณะมะขามป้อม, Cigarette Launcher
โจอี้: ทุกคนใจมาก แทบจะไม่คิดตัง ทุกคนยินดีที่จะมาทำเพราะไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน ผมคิดว่า ถ้าวงทำได้ organizer ครับ ผมมองพวกคุณแล้ว มี 700-800 คนมางาน เห็นมั้ยว่ามันเวิร์ก ทำไมไม่จัดแบบนี้ มีวงเพื่อนออลลี่ Bulldog นั่นเขาไม่ค่อยได้เล่นที่ไหน ใส่ชุดนอนเล่นเปิด แล้วเล่นดีมาก พอเอาวิดิโอขึ้น YouTube Asiatique ก็จ้างเขาไปเล่น ขอให้เราเปิดช่องทางให้ ถ้าไม่มีใครทำงั้นเรายอมทำให้ก็ได้ ผมเชื่อว่าเขายินดีครับ ถ้านักดนตรีแท้ ๆ เรื่องเงินโยนทิ้งไปเลย ขอแค่เล่นแล้วมีคนดูก็พอแล้ว แต่ได้เงินก็ดี (หัวเราะ) เราอยากทำเพราะมันสนุก ทำไมเราต้องอยากให้มีคนจ้างไปเล่นทำไมเราไม่ลุยกันเอง เราวางแผนไม่ได้ว่าเราจะดัง
ออลลี่: ผมว่าดนตรีมันสนุกเพราะไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เราคิด มันคือความสวยงามตรงนี้ เราไม่มีทางรู้
เป้าหมายของวงตอนนี้
โจอี้: ผมอยากเป็น talk of the town อยากให้คนเห็นสิ่งที่เราทำ ผมรักและมั่นใจในสิ่งที่พวกเราทำมาก ขอแค่อยู่ต่อหน้า ถึงหูคนฟัง จะชอบไม่ชอบก็เรื่องของคุณ แต่ขอให้ได้มีโอกาสพิสูจน์
อุ้ย: เราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อยากทำอะไรที่อยากทำ ไม่ว่าจะต้องลุย ลงแรงอะไร ก็ขอให้ได้ทำก่อน เป้าหมายจะถึงไหนก็ขอให้เราได้ทำเต็มที่
ฝากอะไรหน่อย
โจอี้: เดือนตุลาจะได้ฟังเพลงของเราเป็นครั้งแรกครับ ใช้เงิน ใช้เวลา ลงทุนกับมันมาก เป็นครั้งแรกที่เรามิกซ์เพลงใหม่หลายรอบ อันนี้เราดีใจกับคุณภาพของเพลงที่ออกมามาก เป็นครั้งแรกที่มีฝรั่งมามิกซ์ให้ด้วย เขาชื่อ Rhys และมีการดูแลจากคุณ Chris Craker เคยเป็น VP ของ Sony Music ทั่วโลก Pro Karma นี่ได้เซ็นเพราะคุณเล็ก สุภิสา วิลเลียมสัน กับคุณคริส เนี่ยแหละ
อุ้ย: ต้องขอบคุณแฟนเพลงเก่า ๆ ถึงเราหยุดไปนานก็ยังซัพพอร์ตอยู่ ปล่อยอะไรออกไปก็ยังกลับมาถาม ผมน่ะเป็นคนนอกที่เพิ่งมาร่วมวง แค่อย่างนี้ก็รู้สึกดีใจแล้ว ถ้าร้านไหนหาวงเล่น พวกเรายินดีครับ
โจอี้: ขอบคุณคนที่หาเพลงดี ๆ ฟังแล้วมาเจอวงเรา แล้วบอกว่าเราเป็นวงที่ทำเพลงที่ดี (หัวเราะ) ทุกคนที่ยังค้นหาเพลงใหม่ ให้โอกาสวงอินดี้ วงหน้าใหม่ ไม่พอใจกับเพลงในตลาดไทยตอนนี้เพราะเขาอยากให้มันดีกว่านี้ ขอบคุณทุกคนที่ยังสนใจ ให้โอกาสพวกเราเล่าเรื่องของเรา วันที่ 6 ตุลา ได้ฟังทางฟังใจที่เดียวครับ 29 กันยา พวกเราก็จะเล่นเพลงใหม่ ๆ 2-3 เพลง ใครอยากมาดูก็เชิญครับ Live Lounge Bangkok 20 ตุลา มีที่ร้าน Jam ครับ มีวง City Plant กับวง Kunst ครับ มาดูวงใหม่ ๆ กัน