ริค วชิรปิลันธิ์ ธิดาปิศาจแห่งเสียงผู้พบความงามของความมืดมิด
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Neungburuj Butchaingam
หลายคนอาจคิดว่านักร้องเสียงคุณภาพมากความสามารถอย่าง ริค วชิรปิลันธิ์ หายหน้าหายตาไปจากวงการเพลง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้หายไปไหนและพร้อมที่จะถ่ายทอดบทเพลงที่อัดแน่นไปด้วยตัวตนของเธอให้เราได้ฟังกันอีกไม่นานเกินรอ แต่ตอนนี้เรามาถามไถ่กันหน่อยว่าที่เห็นเงียบ ๆ นี่เธอไปอยู่ที่ไหนมา
PART 1: I’m always here
ห่างหายไปจากการทำอัลบั้มถึง 7 ปี
มันก็ไม่เชิงหาย แค่แต่ละอัลบั้มที่ทำมันค่อนข้างจะห่างกัน ตอนทำอัลบั้ม ปฐม นี่ตอนปี 2542 แล้วก็ใช้เวลาอีกประมาณนึงเหมือนกันถึงมาออกอัลบั้ม ราสมาลัย ตอนปี 2547 สองอัลบั้มต่อกัน จากนั้นก็เป็นอัลบั้ม Trois เป็นคัฟเวอร์ แล้วก็มาเป็น Pandora ตอนปี 2551 จากนั้นเว้นมาถึงตอนนี้ที่จะออกอัลบั้มใหม่ คือทำเสร็จไปส่วนนึงแล้ว อัดก่อนริคไปผ่ากระดูกคอเพราะเป็นรูมาตอย ก็ยังทำกับ Hualampong Riddim แต่พี่โหน่งแกไม่ค่อยว่าง ก็เลยเหลืออีกส่วนนึง แต่คิดว่าต้นปีหน้าจะเสร็จเพราะเหลืออีกสามเพลง
จริง ๆ แล้วคือทำงานเบื้องหลังไปด้วย
ก็มีงานของศิลปินคนอื่น ๆ ให้เราไปแจม ๆ ตั้งแต่ช่วงระหว่างที่ทำราสมาลัยมาจนถึงตอนนี้ ก่อนหน้านี้เป็นงานของวง Cocktail ที่ไปช่วยร้อง แล้วหลังจากนั้นก็เป็นงานโฆษณาอัดร้อง ไม่ได้มีเยอะมากเพราะเสียงริคเป็นแบบนี้ งานที่ได้เลยค่อนข้างเฉพาะนิดนึง แถมพองานออกมาคนก็จะไม่ค่อยรู้หรอกว่าเป็นเสียงเรา แล้วก็มีเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ทำอยู่เรื่อย ๆ ล่าสุดมีเรื่องห้องหุ่น กับเพลงประกอบละครทายาทอสูร ผีอีกแล้ว เบื่อนะ มีแต่ผี ๆ พระ ๆ (หัวเราะ)
มันก็ไม่ได้ยากจนเกินไปที่จะทำให้ทุกคนยอมรับ เพียงแต่เราต้องมั่นใจ ตอนขึ้นไปต้องไม่กลัว ต้องคิดว่า มึงมาดูกู เราต้องอยู่กับตัวเอง ต้องมีสติ
ก่อนที่จะมาอยู่ตรงนี้ ทำวงเมทัลมาก่อน
สมัยก่อนแค่ร็อคเฉย ๆ สำหรับผู้หญิงยังยากเลย ไม่ต้องเมทัลหรอก เพราะมันเป็นสังคมของผู้ชาย มันยากมากที่เราจะขึ้นมาอยู่แถวหน้าหรือจะให้ผู้ชายยอมรับเรา เราเลยต้องแสดงตัวมากพอสมควร ที่สำคัญเราต้องฝึก ถ้าเราไม่มีอะไรเลยเราก็แข่งขันกับพวกนี้ไม่ได้ แล้วสังเกตว่าศิลปินร็อคผู้หญิงเมื่อก่อนในบ้านเรา มันก็ไม่ใช่ร็อคจริง ๆ ส่วนมากจะเป็นพ็อพแล้วใส่ดนตรีร็อคเข้ามานิดนึงก็บอกว่าเป็นร็อคแล้ว หรือแค่จับแต่งตัว ใส่เสื้อหนัง แต่พอฟังเพลงเราก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เลย กับผู้หญิงเราก็เลยไม่อยากแข่งด้วย และมันทำให้ริคแข่งกับผู้ชายจนกลายเป็นสันดานไปแล้ว ทีแรกก็ได้มาอยู่วง Mad Hot ตอนนั้นมี ต้น Dezember ด้วย ก็ไปประกวด Pepsi Music Festival แล้วได้รางวัล คิดว่าเพราะเราเป็นวงที่แปลกที่สุดจากทุกวงที่ประกวดเวทีนั้นแล้ว ไม่มีใครประกวดวงร็อค แล้วเราก็ไม่ใช่เมทัลเฉย ๆ แต่เป็น speed metal ขณะที่วงอื่น ๆ เป็น fusion jazz ที่ก็ไม่ได้แจ๊สแบบจริงจัง ออกแนวไทย ๆ แล้วจะคล้าย ๆ กันหมด อีกฝั่งที่เป็น Coke Music Awards ก็คล้าย ๆ กัน มี Modern Dog ที่เป็นร็อคโผล่ไปแล้วก็ชนะ โจ้ วง Pause เองใช้เพลงร็อคเป็นเพลงประกวดเวที Coke เหมือนกัน เพลง อย่าหยุดยั้ง ปีนั้นเป็นปีที่วงร็อคได้รางวัลทั้งสองเวที เหมือนเป็นยุคของร็อค แต่สมัยนั้นเพลงพวกนี้คนฟังจะเฉพาะกลุ่มมาก ทุกคนรู้จักกันหมดเลย มันจะไม่แยกเป็นสายขนาดนั้นนะเมื่อก่อน มันจะรวมกันไปหมด ถ้าแยกแนวกันก็จะอยู่กันแค่สองสามคน อย่างสมัยนี้ underground ยังกว้างขวางใหญ่โตกว่านะ
อะไรทำให้เป็นที่ยอมรับได้
ตอนที่เข้ามาอยู่ในวง เราต้องลองร้องด้วยกันกับวงให้เขาเชื่อว่าเราทำได้ แต่สมัยนั้นผู้หญิงร้องเสียงแบบริคก็ไม่มีนะ เสียงแตก ๆ หน่อย วันนั้นเล่นเพลง So Lonely ของวงญี่ปุ่นชื่อ Loudness แล้ว แล้วต้น Dezember ก็แซว เฮ้ย ริคร้องเมโลดี้ได้ด้วย ไม่ได้ร้องแต่เสียงแบบสปีดเมทัลอย่างเดียว เราก็แบบ ใช่สิ ก็ร้องได้ ทำไมล่ะ เราอยู่โรงเรียนคอนแวนต์ก็ต้องร้องเมโลดี้ได้ แต่ช่วงหลังก็จะร้องเสียงแตก ๆ น้อยลง จะใช้วิธีร้องแบบนั้นแค่บางช่วง เพราะยังไงผู้หญิงเส้นเสียงมันไม่เท่ากับผู้ชายที่จะหนากว่า ตอนช่วงทำอัลบั้มแรก เพลง นิทานของคนโกรธแค้น หรือ นางเศียรขาด ก็ร้องเสียงแตก แต่ต้องร้องแบบ 2-3 ไลน์เพื่อให้เสียงมันหนาขึ้น แล้วก็ตั้งใจจะร้องเสียงแตกแบบผู้หญิงเลย คือทำไมเราต้องร้องเสียงให้มันต่ำแบบผู้ชายเพื่อให้ผู้ชายเชิดชู แต่สมัยก่อนหน้านั้นมันจำเป็น เราต้องร้องให้เขารู้ว่าเราทำได้เหมือนเขา แต่หลังจากนั้นเราก็ใส่ความมากกว่าเข้าไปให้รู้ว่า เออ กูทำได้มากกว่า มันก็ไม่ได้ยากจนเกินไปที่จะทำให้ทุกคนยอมรับ เพียงแต่เราต้องมั่นใจ ตอนขึ้นไปต้องไม่กลัว ต้องคิดว่า มึงมาดูกู เราต้องอยู่กับตัวเอง ต้องมีสติ
ทำไมถึงได้ไปร้องที่ The Rock Pub
เพราะว่าวงเก่าทะเลาะกัน ทีนี้ พอแยก ๆ กันไป เขาทำของเขา เราก็ทำของเราคนเดียว แล้ววงที่ The Rock Pub ก็ชวนเราไปเล่นพักนึง ตลกที่สมัยก่อนความจำดีมาก ให้เวลา 3 วัน แกะเพลง 16 เพลง ภาษาอังกฤษด้วยนะ จำได้ไม่หมดก็ต้องจำ แล้วเอาเข้าจริงก็จะกดดันว่าจะร้องได้หรือเปล่าเพราะเข้าไปก็มีแต่คนเก่ง แต่ตอนหลังเราก็คิดว่า ไม่ได้เว่ย ต้องทำให้ได้ แล้วก็ได้ไปเล่นที่ Metal Zone จนพี่สุกี้มาเจอ สำหรับริคแล้ว Metal Zone กับ The Rock Pub มันไม่ใช่ที่เล่นดนตรีกลางคืนนะ มันเหมือนเป็นที่พบปะของกลุ่มเพื่อน เป็น community ที่ทุกคนบ้าฝึกดนตรี ฟาดฟันกันด้วยฝีมือว่าฉันอยากจะเก่ง แต่ไม่มีใครเกลียดขี้หน้ากัน ถ้าวันนี้วงที่แยกกันไปทุกคนกลับมาเล่นก็คงคิดว่า ตอนนั้นทำอะไรกันลงไป คือจริง ๆ วงมันก็ดี แต่มาพังเพราะทะเลาะกัน ตอนนั้นเขาตีกันเรื่องที่จะเป็นมือกีตาร์ยอดเยี่ยม มือกลองยอดเยี่ยม อะไรประมาณนั้น เราไม่ได้นักร้องยอดเยี่ยมเราก็ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย วงมันสำคัญกว่าการเล่นแล้วมีเครื่องดนตรีชิ้นใดชิ้นนึงที่เด่นขึ้นมา มันคือทีมเวิร์ค เราซ้อมเยอะ เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือการไปแจมกัน ทุกคนก็ต้องสนิทกัน บางครั้งก็อยากจะบอกน้อง ๆ เหมือนกันว่าการได้รางวัลมันไม่มีอะไรหรอก รางวัลมันไม่ได้การันตีว่าคุณเก่งหรือไม่เก่ง อีโก้ทั้งนั้น เราต้องรู้ตัวเองว่าเราห่วยหรือเราดี ขอให้รางวัลเป็นเหมือนการให้กำลังใจให้วงอยู่ต่อ ไม่ทะเลาะกันดีกว่า แต่สมัยนี้การแจมกันต่างกับเมื่อก่อนนะ ถ้าเล่นกับ The Photo Sticker Machine พีโหน่งจะกระซิบว่า ริคขึ้นมาก่อนเลย แล้วคนอื่นก็จะตาม แต่การ improvise ก็ยังต้องฟังกัน อย่างแซ็กโซโฟนกับร้องคล้าย ๆ กันนะเพราะใช้ลมเหมือนกัน ถ้าเขาเยอะเราก็ต้องเบา ไม่ใช่ว่าฉันถือไมค์ ฉันต้องเป็นที่หนึ่งตลอด ก็เป็นเรื่องของทักษะกับความสนิทสนมด้วย วง ๆ นึงมันเหมือนการคุยเรื่องเดียวกัน แค่คนนี้อาจจะพูดเบา คนนี้พูดดัง ดังนั้นถ้าวงไหนคนเขาพูด ๆๆๆๆ ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องเลยเพราะไม่ฟังกัน
วงมันสำคัญกว่าการเล่นแล้วมีเครื่องดนตรีชิ้นใดชิ้นนึงที่เด่นขึ้นมา มันคือทีมเวิร์ค เราซ้อมเยอะ เป็นหนึ่งเดียวกัน… วง ๆ นึงมันเหมือนการคุยเรื่องเดียวกัน แค่คนนี้อาจจะพูดเบา คนนี้พูดดัง ดังนั้นถ้าวงไหนคนเขาพูด ๆๆๆๆ ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องเลยเพราะไม่ฟังกัน
PART 2: Becoming Rik Wachirapilan Jankali
ทิศทางของเพลงหลังจากได้ร่วมงานกับคุณสุกี้
จนถึงตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าสรุปเขาอยากได้อะไรที่ไปชวนเรามาเล่นตอนนั้น (หัวเราะ) เคยมีวิดิโองานประกวดเราก็เอาไปให้เขาดู เขาบอก ไอดูยูจากตอนที่ยูเอาพรอพกระโหลกฟาดพื้น แต่ตัวริคเองเป็นคนที่ไปถึงแล้วบอกว่า ฉันจะทำอันนี้ จะเอาแบบนี้ จริง ๆ ตอนนั้นถ้าวงยังไม่แตกก็กะจะทำเป็นสปีดเมทัลที่มีดนตรีอินเดียผสม สมัยก่อนเขียนเรื่องเกี่ยวกับซาตาน แต่ก็เบื่อเพราะพอไปหาเรื่องซาตานมาอ่านมันก็คล้าย ๆ กันหมด เราก็เลยทำเรื่องเกี่ยวกับที่นับถือเทพเจ้าสตรี เขียนเรื่องทุรคากาลี แล้วเป็นช่วงที่มีดนตรีหลากหลายแนวประดังเข้ามาเยอะมาก ด้วยความที่ยังเด็กก็กลัวว่าจะไม่ได้ทำอัลบั้มอื่น ๆ อีกแล้ว ก็เลยอยากจะทำตรงนี้ให้ดีที่สุด ก็คือใส่ทุกอย่างที่ชอบลงไปหมดเลย แล้วเริ่มรู้ว่าร้องแบบ world music ก็ดี เพราะเราก็ไม่ได้ยึดติดกับการร้องแบบเมทัล เรายังชอบเมโลดี้ แล้วเราก็ชอบความเป็นพ็อพด้วย คนจะชอบปฏิเสธความพ็อพ ว่า อ่อนว่ะ พ็อพมันผิดตรงไหน มันก็อยู่ในตัวเรา ไม่ว่าจะแต่งเพลงยังไงก็ตามมันก็จะมีความพ็อพของมันอยู่ เพราะเราเติบโต เรียนรู้ ฟังเพลงในยุค 80s มันก็ต้องเจอเพลงพ็อพ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าคุณไม่พ็อพเลยถ้าคุณเป็นเด็กยุคนั้น แล้วทีนี้สุกี้ก็ให้เราเลือกว่า จะเอากล่อง หรือจะเอาพาณิชย์ ถ้ากล่อง มันก็จะเป็นอย่างที่เป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ มันจะไม่ได้ดังแบบที่สังคมโลกเข้าใจ มันจะเป็นอาร์ตที่จะไม่กระจายออกไปมาก เขาถามว่าเราจะยอมรับได้ไหม เราบอกว่าเรายอมรับได้ เพราะถ้านับจากหนึ่งมา ทุกอย่างมันคือการก้าวของเรา และถึงมันจะห่างจากเมทัลที่เราเคยทำมาแต่มันก็ยังเป็นเราแหละ เพราะนี่คือสิ่งที่เราเลือก คนรู้ว่าเราทำแบบพาณิชย์ได้ แต่เราเลือกอันนี้เพราะมันได้ใช้ความสามารถ ได้ค้นหาตัวเอง ทำเพลงเนี่ยต้องบอกก่อนว่าไม่เคยมี reference ว่าต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ เพราะมีความเชื่อที่ว่าถ้าเราไปมี reference อีก เราก็จะกลายเป็นอย่างอื่น และการทำอัลบั้มออกมาหนึ่งอัน เราไม่สนหรอกว่าคนจะคิดยังไง มีคนชอบก็มีคนเกลียด แต่อัลบั้มของฉัน ไม่มีวันที่ถ้าคุณฟังแล้วจะรู้สึกกลาง ๆ คือถ้าไม่ชอบมาก ก็เกลียดมาก ถ้าอยู่ตรงกลางก็แปลว่า ฉันตายไปแล้ว อัลบั้มนั้นไม่มีค่า ส่วนจะดังหรือไม่ดัง เราแค่ต้องการให้เพลงไปถึงคนฟังเท่านั้นแหละ
Pop มันผิดตรงไหน มันก็อยู่ในตัวเรา
คอนเซปต์ของแต่ละอัลบั้ม
ปฐม – อัลบั้มแรกมันเหมือนมีบางสิ่งส่งลงมาบอกว่าให้เราทำในสิ่งที่เชื่อ ช่วงนั้นริคมีเอกภาพตัวเองชัดเจน มีสมาธิค่อนข้างมาก เป็นปรีชาญาณที่ไม่ใช่ของเราล้วน ๆ 100% เหมือนเราเป็นแค่เครื่องตอบรับจากใครสักคนที่ส่งมามากกว่า เป็นช่วงชีวิต 15 ช่วงที่บอกว่า เกิดแล้วต้องทำอะไรต่อ คนชอบเข้าใจผิดว่าปฐมคือเพลงพระแม่ทั้งชุด จริง ๆ แค่ เทวี เพลงเดียว แต่ทั้งหมดเป็นเพลงเกี่ยวกับมนุษย์ ศาสนา ธรรมชาติ ที่มันสอดคล้องกัน เป็นพาร์ทยาว ๆ ของการเกิด การเริ่มต้น อย่างเพลงแรก เป็นการเกิดทางร่างกายก่อน คือการปฏิสนธิ การเสพสังวาส แล้ววัชรยานจะเชื่อว่าวิญญาณจะมาเลือกพ่อแม่ก็ต้องมาเห็นตอนที่เขาเสพสังวาสกันแล้วดูว่าเราจะรักพ่อหรือรักแม่ ถ้าเรารักพ่อจะเป็นผู้หญิง ถ้าเรารักแม่เราจะเป็นผู้ชาย นั่นคือการจุติ เป็นตัวอ่อน ตอนที่สามก็เป็นการที่เราคลอดออกมาแล้ว หลังจากนั้นเราเติบโตขึ้นมาเราจะอยู่ในสังคมของโลก เราเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนเราโตแล้วระลึกได้ว่าตอนนี้เราเป็นใคร แต่ก่อนหน้านี้เราจะรู้แค่ว่าเราชื่อนี้ ๆ เพราะพ่อแม่บอกเรามา แต่ตอนนี้เราโตมาเพื่อที่จะเป็นคนแบบไหน จะชอบอะไรไม่ชอบอะไร นี่คือเรากำลังให้กำเนิดตัวเองแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นการเรียนรู้ในชีวิตที่จะเจอเรื่องหลากหลาย ความทุกข์ ความเศร้า เป็นการเกิดอารมณ์ต่าง ๆ แต่ทุกอย่างเกิดแล้วก็ตาย แล้วก็กลับมาเกิดอีก สุดท้ายบางคนหันไปหาศาสนา คือการกลับไปหาธรรมชาติ เป็นการให้กำเนิดตัวเองอีกครั้ง ได้เติบโตขึ้น เหมือนงูที่มันลอกคราบ ริคคิดว่าวงจรของงก็ไม่ต่างอะไรกับการหมุนรอบวัฏจักรของคน จนมาจบเป็นเพลง วชิระ ค่ะ
ตอนนั้นเรียนคำสอนในพระคัมภีร์ฮินดูนิดหน่อย ฮินดูเขาจะแบ่งชีวิตเป็นการเกิด แล้วอยู่ในช่วงวัยคฤหัสถ์ แต่งงาน มีลูกเต้า แล้วเราก็ต้องเตรียมตัวสละ ไปเป็นโยคีอยู่ป่า แล้วก็เตรียมตัวตาย คือริคก็ไม่ได้ทำทั้งหมด ถ้าชุดแรกทำนี่คือตายแน่ เลยเอาแค่พาร์ทแรก ริคเชื่อว่าสิ่งที่ได้ปรีชาญาณมาคือเขาให้ทำเรื่องการเกิดนี้เป็นอัลบั้ม ปฐม บนโลกนี้มีงานอยู่มากมาย เราก็ไม่ได้เสพงานทุกคน บางทีงานที่ทำเกี่ยวกับพาร์ทที่สอง สาม อาจจะไปเกิดอยู่ในประเทศอะไรเราก็ไม่รู้ เพราะเราไม่ได้ยินไง แต่มันอาจจะมีใครส่งไปให้คนพวกนั้นทำพาร์ทอื่น ๆ ดีที่ริคโตมากับเรื่องสัญชาตญาณ เชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง มีความรู้สึกว่าถ้าเราทำเรื่องเกิดแล้ว ก็คงได้ทำเรื่องตายด้วยแน่ ๆ มันก็เลยกลายเป็นว่าถ้าทำเรื่องตายจริงจังชัดเจนเมื่อไหร่ พอหมดอัลบั้มนั้นไปเราคงไม่ทำเพลงแล้ว ก็รอเวลา ถ้ามาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่คิดว่าใกล้แล้วเพราะพี่กลับมาวัชรยานอีกรอบ ซึ่งมันสำคัญมาก วัชรยานจะสนใจเรื่องการตาย การเตรียมตัวตาย เป็นเรื่องช่วงที่ได้ข้อมูลให้เราเริ่มเก็บเกี่ยว แต่ถ้าเมื่อไหร่เราได้องค์ความรู้ตรงนี้ครบ ก็ทำเป็นงานได้ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าปีหน้าอัลบั้มใหม่จะเป็นเรื่องนี้ เพราะที่ทำอยู่ก็ไม่ได้พูดเรื่องตาย แต่อาจจะเป็นเรื่องระหว่างทาง
ราสมาลัย – ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนาแล้ว ริคก็รู้สึกกลับมาเป็นมนุษย์ธรรมดานั่นแหละ ครั้งที่แล้วเหมือนปรีชาญาณส่วนนึง แต่ครั้งนี้ทำให้ตั้งคำถามว่า ที่เราทำได้เพราะสิ่งนั้น หรือเพราะตัวเราเอง ก็เลยคิดว่าอยากจะทำเพลงเพราะในแบบของริค เป็นคอนเซปต์ความสวยงามของขนมหวานในความมืดมิดของจันกาลี ราสมาลัยมันเป็นขนมอินเดียสีขาว ดูน่ารัก ปุย ๆ อยู่ในนม หนึ่งคือริคชอบกิน สองคือในความมืดก็มีแต่อะไรดำ ๆ ไปหมด คนถามว่าทำไมเราถึงชอบอะไรดาร์ค ๆ หม่น ๆ แต่ที่เราชอบเพราะเราเห็นความสวยงามของมัน เหมือนขนมขาว ๆ เนี่ย บางทีริคมองว่าบางคนอยู่ในแสงสว่างที่จ้ามาก ๆ มองไม่เห็นจุดดำ ๆ เพราะมันสว่างมากเกินไป ขณะที่คนอยู่ในความมืด แค่มีอะไรสว่างนิดนึงก็เห็นแล้ว มันก็คือความสวยงามที่เรามองเห็น ส่วนเพลงในอัลบั้มอย่าง ติชิลา แปลว่า พระจันทร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกียะ ริคว่ามันคือเพลงเพราะในแบบของริค
Trois – ครั้งสุดท้ายโจ้อยากให้ลองทำเพลงเพราะ ๆ อย่างที่คนอื่นจะได้ฟังเราร้องบ้าง เพียงแต่ว่าเราก็ยังอยากร้องแบบนี้ แต่จะเบาลงเมื่อเทียบกับการร้องแบบอื่น อาจเป็นเพราะเมโลดี้ที่คนอื่นทำมาเป็นอีกแบบนึง กับเนื้อหาไม่ได้ซับซ้อนแบบที่ริคเขียน หกเพลงในอัลบั้มก็จะแบ่งเป็นสองส่วน เป็นเพลงที่เราชอบที่ได้ฟังตอนเด็ก ๆ ครึ่งนึง แล้วอีกครึ่งเป็นเพลงของเพื่อนสนิท
Pandora – ชุดนี้พี่โหน่งให้ริคโปรดิวซ์เอง มันเลยจะต่างจากของหัวลำโพงทุกชุด หัวลำโพงยุคนั้นถ้าไม่ใช่เพลงแบบ avent-garde หรือเพลงในแบบเฉพาะอย่าง The Photo Sticker Machine ก็จะเป็นเร้กเก้ สกา เพราะมี T-Bone ส่วน Pandora จะมีความเป็นร็อค แล้วก็เมทัล แหวกมา แต่ยังไม่สุดนะ วันนึงอยากจะรื้อเมทัลมาทำจริง ๆ จัง ๆ บางเพลงนี่ควรจะมีสองกระเดื่องเลยล่ะ ริคข้างในปกอัลบั้มว่า “มนุษย์เป็นกล่องบรรจุความชั่วร้ายกาจชนิดหนึ่ง” ดังนั้นอันนี้จะเป็นเรื่องกิเลส ความชั่วร้ายทั้งหมด แต่ริคจะไม่เขียน 7 เพลงแล้วมาพูดถึงบาป 7 ประการแล้ว เอาเป็นว่ากิเลสมันมาจากสิ่งที่จับต้องได้ใกล้ตัว เราก็เอาตรงนั้นมาใช้ แล้วอัลบั้มมันเสร็จก่อนเรื่องการเมืองมาทั้งที่จริง ๆ เรานึกถึงเรื่องความรุนแรง ตอนปี 2550-2551 ริคเขียนในเพลง เมืองต้องฑันท์ เรื่องสามจังหวัดภาคใต้ แล้วเผอิญพอเขียนไปแล้วเราไม่ได้จำกัดลงไปในเนื้อหาว่าจะเป็นแค่สามที่นี้ มันก็ใช้ได้กับทุกที่บนโลกที่มีเรื่องสงคราม ความขัดแย้ง การเข่นฆ่ากันโดยไม่เป็นธรรม เลยดูจะค่อนข้างการเมือง เป็นทางโลกที่เราโตแล้ว ต้องสัมผัสกับมันแล้ว เรามีช่วงที่เป็นเด็ก แต่ก็ต้องมีช่วงที่เป็นหนุ่มสาวที่รับรู้เรื่องพวกนี้ที่ต้องส่งผลกระทบกับชีวิตเราที่เราต้องเจอ แล้วก็มีเพลง Eden เนื้อหาจะประมาณว่า การที่เราจะสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาเราไม่ได้สร้างได้ภายในวันเดียว มันต้องมีการสั่งสมมา อัตลักษณ์แสดงได้หลายแบบ อย่างเรื่องเพลง การที่จะเป็นผู้ใช้เสียงก็ต้องหาอัตลักษณ์ที่ก็ไม่ได้ผลิตขึ้นมาได้ง่าย ๆ หรือไปดูของคนอื่นมาแล้วแก้ไขปรับปรุงเป็นตัวเรา มันต้องเสริมสร้างหล่อหลอมจากสิ่งที่เราเป็น ในสวนสวรรค์อีเดน คุณอาจจะบรรยายภาพลักษณ์ไว้แบบนึง แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่ตัวคุณจริง ๆ ที่คุณแสดงออกไป คุณย่อมรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นอีเดนของคนอื่น ฉันรู้ว่าจริง ๆ คุณก็ร้องไห้อยู่กับความพ่ายแพ้นี้ มีเพลง เงาบุหลัน เพลง เสี้ยม ทำกับ Flure นะ ใส่พวกแบนโจไปในช่วงแรก ๆ ให้เท็ดดี้ลองเล่นดู ก็คิดว่ามันควรจะมีเสียงนี้ แต่เสียดายที่คนไม่ค่อยได้ฟัง งงมาก บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอัลบั้มนี้
ทีนี้สุกี้ก็ให้เราเลือกว่า จะเอากล่อง หรือจะเอาพาณิชย์ ถ้ากล่อง มันก็จะเป็นอย่างที่เป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ มันจะไม่ได้ดังแบบที่สังคมโลกเข้าใจ มันจะเป็นอาร์ตที่จะไม่กระจายออกไปมาก เขาถามว่าเราจะยอมรับได้ไหม เราบอกว่าเรายอมรับได้ เพราะถ้านับจากหนึ่งมา ทุกอย่างมันคือการก้าวของเรา และถึงมันจะห่างจากเมทัลที่เราเคยทำมาแต่มันก็ยังเป็นเราแหละ เพราะนี่คือสิ่งที่เราเลือก
วิธีการร้องแบบ “ราค” ที่เป็นเอกลักษณ์ของริค
ราคเป็นของอินเดีย คือ เอ Pause เรียนซีต้าที่ ICC (ศูนย์วัฒนธรรมอินเดีย) ริคนึกว่ามีสอนร้อง แต่ไม่มี มีแต่เต้นภารตนาฏยัมที่ ก็เลยเรียนเต้น แต่จังหวะที่ริคไปนั่งเล่นในห้องซีต้าก็เห็นโน้ต ก็เลยไปร้องเล่น แล้วคุรุเด (อาจารย์) เดินเข้ามาก็ตกใจว่าทำไมร้องได้ ก็เล่าให้ฟังว่าเคยเรียนเบสิคเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ตอนอัลบั้ม ปฐม ตอนนี้ก็เลยได้สกิลเพิ่มเข้ามาอีก ราคที่ใช้ในอัลบั้มปฐมจะต่างกับราคแบบดั้งเดิม คุรุเดจะสอนเบสิกเราทั้งหมด จะเน้นการออกเสียงเฉพาะ แต่พอเขาฟังเราร้อง มันอาจจะไม่ได้ถูกต้องเป๊ะ ๆ แต่เขาจะบอกว่า ไม่ต้องเปลี่ยน ให้ร้องไปแบบนี้ เพราะมันให้ความรู้สึกว่ามันจะต้องร้องแบบนี้แหละ ขณะที่นักดนตรีบางคนถ้ามาฟังเราร้องจะบอกว่าอันนี้มันไม่ตรงกับที่เขาตั้งไว้นะ แต่ถ้าพี่โหน่งมาฟังจะบอกว่า อะไรที่ไม่ตรงกับที่ตั้งไว้นิดนึง มันเป็น texture ในงาน ถ้าทุกอย่างตรงเป๊ะ ๆ มันจะเป็นหุ่นยนต์ ไม่มีใครร้องตรงแล้วชนะเลิศ ถ้าเราร้องตรง มันจะเป็นการไปตัดตัวตนของคน ๆ นั้นให้ลดหายมาเพื่อให้เป็นแบบเดียวเหมือนกันหมด โชคดีริคเจออาจารย์ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเพลงของเขาเอง เขาให้เราร้องในสไตล์เรา แต่ให้ไปฝึกเพิ่ม เผอิญวันนั้นได้ทำโปรเจคเล่นกันเอง ทำเพลงไทยเดิมใหม่ มีน้องคนนึงเล่นซอเก่งมาก เราก็เอาดนตรีอินเดียเข้าไป improvise คุรุเดก็จะเข้ามาฟัง เราเป็นคนร้อง มันจะมีทั้งไทย อินเดีย ผสมประยุกต์ เขาก็บอกว่านี่คือความก้าวหน้าของการนำมาใช้ ดังนั้นการเรียนราค เรารู้ความเป็นมัน ได้พื้นฐานของมันมาใช้ ดึงส่วนที่ดีของมันมา แต่เราไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นมัน เราใช้เครื่องดนตรีของเราเล่นเอง ต้องชอบในสิ่งที่เรามี น้องบางคนชอบบอกว่า หนูอยากร้องเพลงร็อค ต้องเสียงหนา ๆ ใหญ่ ๆ พอร้อง แมว ๆ เล็ก ๆ โซปราโน จะไม่ชอบ เราก็จะบอกว่า ไม่ควรรังเกียจเสียงตัวเองไม่ว่าเสียงเราจะเป็นยังไงก็ตาม ถ้าเราร้องตรง ร้องไม่เพี้ยน ไม่ร้องคร่อม ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการฟังหรือการใช้เสียงร้องกับดนตรี เราก็ต้องรักเสียงตัวเอง ไม่ควรอยากได้เสียงแบบคนอื่น เดี๋ยวเราจะหาทางทำเสียงนั้นของเราให้ออกมาดี ถ้าพยายามปรับให้เป็นอย่างอื่นนั่นคือเราไม่รักตัวเอง สมัยนี้มีคนคิดว่าทำเพลงคัฟเวอร์แล้วจะดังจากตรงนั้นได้ แต่พอคุณเข้าห้องอัด ร้องเพลงใหม่ทั้งหมด ไม่มีเสียงที่เขาตีกรอบคุณมาก่อนแล้ว ไม่นับคนคุมร้องหรือคุมอัดนะ เดี๋ยวคุณจะรู้เองว่าที่ผ่านมามีความเป็นตัวคุณเองแค่ไหน
ทำเพลงเนี่ยต้องบอกก่อนว่าไม่เคยมี reference ว่าต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ เพราะมีความเชื่อที่ว่าถ้าเราไปมี reference อีก เราก็จะกลายเป็นอย่างอื่น
อะไรคือสเน่ห์ของ world music
ช่วงนี้จะสนใจมองโกลมาก ถ้าทำเพลงออกมาก็จะมีฟีลมองโกล สมมติถ้าเราเคยฟัง เราจะรู้เลยว่าเพลงแต่ละประเภทมันจะไม่เหมือนกัน มันจะแสดงอัตลักษณ์ของมัน เพลงชาติพันธุ์มักจะสนุก และจะมีข้อแม้ของมนุษย์ในชาตินั้น ๆ เรื่องการออกเสียงริคไม่นับ เพราะริคยังใช้การออกเสียงของริคอยู่และนี่คือเครื่องดนตรีของเรา เราแค่หยิบเครื่องดนตรีของเขามาใช้ทำเพลงในแบบต่าง ๆ แต่ก็จะไม่ทิ้งความที่เราเคยมีมาก่อน อย่าง Arabien scale หรืออะไรที่เป็นอินเดีย ความไทย ๆ มันก็จะยังมีโผล่เข้ามา มันจะไม่ใช่ฮัมไปเรื่อยแล้วบอกว่า เฮ้ย ! อันนี้ดี แต่บางทีเรานั่งคิดภาพเล่นแล้วมันก็ได้ยินเพลง ก็จะเริ่มฮัมสิ่งที่เราได้ยินนั้นออกมาแล้วก็อัดเก็บไว้ เช่น เราจะเห็นว่าเราอยู่ในทุ่งหญ้า อย่างถ้าเป็นพวกเพลงมองโกลเมโลดี้จะไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก เขาจะร้องวน ๆ อยู่ไม่กี่อัน ก็ลองฟังหลาย ๆ แบบ ถ้าฟังมองโกลจะเห็นความแตกต่างจากพวกคาซัคสถาน พวกเติร์กก็ต่าง เพราะพื้นที่ไม่เหมือนกัน เวลาเดินทางก็จะผ่านคน หมู่บ้าน อะไรที่ต่างกัน จะมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน พวกเส้นทางสายไหม หรือตอนทำเพลงชุดแรก เราต้องมีคลังคำเป็นภาษาของเราเอง ต้องทำการบ้านเยอะมาก เพราะเพลงเราก็ไม่เคยเขียนมาก่อน เหมือนเป็นการฝึกตัวเอง
พอเขียนคำว่าเพี้ยน ประหลาด หลอน น่ากลัว ลงไปก็จะทำให้คนที่ไม่รู้จักเราเขาคิดตามนั้นแหละ มันก็จะเป็นข้อไม่ดีที่จะทำให้คนเชื่อว่าเราเป็นแบบนี้ทั้งที่ยังไม่รู้จักหรือยังไม่เคยฟังเพลงของเราเลย แล้วเพลงเราก็ไม่ได้บอกว่าต้องคิดตามทั้งหมดว่าเราจะเป็นคาแรคเตอร์แบบในเพลง ถ้าคนเราเลิกใช้คำว่า “เขาบอกว่า” ได้เนี่ยจะดีมากเลย
ถือว่าในวงการมีพื้นที่ให้เพลงของเราได้เป็นที่รู้จักเท่าที่ควรแล้วหรือยัง
ตอนนั้นแทบไม่ได้คิดอะไรเลยว่าจะต้องไปอยู่จุดไหนในวงการ เพราะตั้งแต่แรกแล้วที่สุกี้ถามว่าจะอยู่ในกล่องหรือพาณิชย์ ในตอนนั้นอุตสาหกรรมดนตรีมันเป็นพาณิชย์อะ มันไม่มีพื้นที่ให้สิ่งที่ไม่ใช่พาณิชย์ก็เลยไม่รู้ว่าเรายืนอยู่จุดไหน แต่พอมันออกมาแล้วก็รู้ประมาณนึงว่าอยู่ระดับไหน บางคนทุกวันนี้มาเจอเราก็รู้จักบ้าง ทุกวันนี้ก็ยังมีคนจำได้ อาจจะเป็นเพราะเพลงหรือภาพลักษณ์ที่ไม่เหมือนคนอื่น บางทีไป Tops Market แถวบ้าน ตอนจ่ายเงินเสร็จพนักงานคิดเงินก็ถามว่า ใช่พี่ริค ที่เป็นนักร้องหรือเปล่าครับ เขาก็บอกลูกค้าคนอื่น รอสักครู่นะครับ พี่ริคขอลายเซ็นหน่อยครับ ก็จะมีอะไรประมาณนี้ เลยไม่รู้ว่าอะไรคือการชี้วัดความดังในแบบของเรา ไม่รู้ว่าความสำเร็จในความดังของเรามันอยู่ตรงไหนในเกณฑ์ที่คนทั่วไปใช้ชี้วัดความดังนะ แต่เรารู้ว่า ไม่มีคนรู้สึกเฉย ๆ กับงานของเราจริง ๆ ด้วย ถ้าเอาตามเกณฑ์ของเราก็ถือว่าประสบความสำเร็จแหละ เพราะเราเริ่มจากศูนย์ แล้วคนก็ฟังงานเรา ก็มีทั้งชอบและไม่ชอบ บางคนเคยไม่ชอบ ฟังไม่ได้ ก็มาชอบเอาตอนหลังก็มี
สมัยก่อนคนมอง ริค วชิรปิลันธิ์ ว่าแปลก
บางคนใช้คำว่าเพี้ยน ริคก็ไม่เข้าใจว่าริคเพี้ยนยังไง หรือเขาพยายามสรรหาคำให้น่าสนใจในการเขียนข่าวมั้ง เพราะคนที่มาคุยทุกคนเราก็ไม่ได้ทำตัวเพี้ยนใส่ เพี้ยนนี่ต้องคุยไม่รู้เรื่องแล้วรึเปล่า แล้วทีนี้พอเขียนคำว่าเพี้ยน ประหลาด หลอน น่ากลัว ลงไปก็จะทำให้คนที่ไม่รู้จักเราเขาคิดตามนั้นแหละ มันก็จะเป็นข้อไม่ดีที่จะทำให้คนเชื่อว่าเราเป็นแบบนี้ทั้งที่ยังไม่รู้จักหรือยังไม่เคยฟังเพลงของเราเลย แล้วเพลงเราก็ไม่ได้บอกว่าต้องคิดตามทั้งหมดว่าเราจะเป็นคาแรคเตอร์แบบในเพลง ถ้าคนเราเลิกใช้คำว่า “เขาบอกว่า” ได้เนี่ยจะดีมากเลย คือมันก็คือเพลงที่ออกไปแล้วก็อยู่ที่คนฟังฟังแล้วรู้สึกว่าอยากจะได้อะไร จะเห็นเป็นภาพอะไร ไม่ได้ไปยึดติดอะไรกับมัน ส่วนตอนนี้ยังมีบางคนอยู่ที่คิดว่าน่ากลัว แต่ก็น้อยลงมากแล้วนะ ยังมีเกร็ง ๆ อยู่
ก่อนหน้านี้ริคอาจจะอยากรู้ให้เข้าใจความแตกต่างในสิ่งที่แต่ละศาสนาสอน ถ้ามีเพื่อนเป็นมุสลิมก็จะไปเรียนเป็นเบื้องต้น หรือตอนเด็ก ๆ เราเรียนโรงเรียนคอนแวนต์ก็จะได้รู้ว่ามันคืออะไร เราจะเข้าใจหลายอันมาก แล้วเราจะไม่แบ่งแยกใครเลย
เรียกว่าตัวเองเป็น diva ได้ไหม
เทพธิดาแห่งเสียงหรอคะ ? ขอเป็น “ธิดาปิศาจแห่งเสียง” ก็แล้วกัน
PART 3: Faith, belief, and destiny
คนที่ฟังงานของริคจะพบว่าค่อนข้างพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับศาสนา
ปกติอ่านหนังสืออยู่แล้วตั้งแต่เด็ก พวกหนังสือพระ ปรัชญา ศาสนา ช่วงทำอัลบั้มแรกก็สนใจวัชรยานแล้ว การจะหาความรู้เกี่ยวกับวัชรยานในสมัยก่อนยากมาก เพราะมีน้อยมาก ต้องขวนขวายจริง ๆ แล้วคนจำนวนหยิบมือเท่านั้นที่สนใจ แถมหลายคนยังไม่เข้าใจอีกว่าทำไมพุทธวัชรยานถึงเป็นแบบนี้ อาจารย์ท่านนึงจะบอกว่า เถรวาทจะเหมือนประถม มหายานก็จะเป็นมัธยม ส่วนวัชรยานก็เป็นมหาลัย แต่นั่นก็แปลว่าเราต้องรู้ให้หมด เพราะถ้ามาเรียนมหาลัยแต่อ่านหนังสือไม่ออก ไม่รู้พื้นฐาน มันก็จะไม่ได้อะไร วัชรยานเลยเป็นเหมือนทางเลือกที่เหมาะกับเรามากกว่า ริคเชื่อว่าวงจรชีวิตมันกำหนดว่าตอนนี้เราควรเรียนรู้อะไร การขวนขวายบางทีก็ไม่ได้มา แต่ถ้าถึงเวลาของมันแล้วที่จะต้องได้ อยู่เฉย ๆ มันก็ได้ ตอนทำอัลบั้มปฐม คนชอบเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นฮินดู แต่เราก็เป็นฮินดูที่นับถือพุทธ เราเชื่อในพลังเทพสตรีที่เหมาะสมกับเรา เอาจริงว่าพอเราเริ่มโตแล้วก็จะรู้ว่าไม่มีอะไรแยกออกจากกันเลย จะพุทธนิกายไหน นับถือพระโพธิสัตว์อะไร ก็ล้วนเป็นสิ่งเดียวกันในธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ริคอาจจะอยากรู้ให้เข้าใจความแตกต่างในสิ่งที่แต่ละศาสนาสอน ถ้ามีเพื่อนเป็นมุสลิมก็จะไปเรียนเป็นเบื้องต้น หรือตอนเด็ก ๆ เราเรียนโรงเรียนคอนแวนต์ก็จะได้รู้ว่ามันคืออะไร เราจะเข้าใจหลายอันมาก แล้วเราจะไม่แบ่งแยกใครเลย ซึ่งถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ท่านก็มีความเป็นประชาธิปไตยมาก มีอิสระจริง ๆ เราก็ไม่ควรจะไปยึดติดอะไรกับการที่เป็นวัชรยาน ถึงเราจะเป็นวัชรยานแต่เราก็ไม่ได้รังเกียจคนอื่น เพราะแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน อีกอย่าง ตอนเด็ก ๆ ริคคิดที่จะศึกษาเพื่อให้รู้ แต่พอรู้แล้วโตมาริคก็ไม่ได้ศึกษาเพื่อที่จะเลือกว่าจะอยู่ตรงไหนอีก ริคมีความเชื่อว่าเราได้เลือกมาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว เรากำหนดตั้งใจว่าเลือกที่จะเป็นแบบนี้ แล้วเราแค่ปล่อยให้ธรรมชาติพาเราให้เป็นไปในสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ ช่วงเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็เป็นการสานต่อสิ่งที่เราเลือกมาแล้ว ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าเราจะทำตัวเองให้พัฒนาขึ้น ก็เลยได้เล่าเรื่องผ่านงานตรงนี้
อะไรทำให้เชื่อในพลังแห่งเพศหญิง
เพราะเราเป็นผู้หญิงค่ะ ทั้งนิสัย จริต บุคลิกภาพ เราเห็นว่าความเป็นผู้หญิงเราทำอะไรได้มากมาย บางคนจะบอกว่าเราเป็น feminist แต่เราก็ยังมีแฟน ยังแต่งงาน ยังช่วงใช้ผู้ชายในเรื่องร่างกาย ไม่ได้หมายถึงเรื่องเพศอย่างเดียว แต่อย่างแค่ของหนัก ฉันไม่หยิบ เธอมายกให้ฉันสิ นี่คือเรื่องที่เห็นง่ายที่สุด คือริคโตมาที่บ้านผู้หญิงเยอะ พอแก่ตัวก็อยู่คนเดียวแล้วจะออกแนวธรรมะธัมโม ลูกหลานผู้ชายก็มีแต่ก็จะอ้อนแอ้น เราเลยได้เห็นความเข้มแข็ง เฉลียวฉลาด การเอาตัวรอดจากย่า หรือจากป้ามากกว่า มันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนครอบครัว เราก็เลยมีความรู้สึกว่าพลังเพศหญิงมันยิ่งใหญ่มากจนต้องมีพลังเพศชายมาช่วยให้สมดุลกัน โดยเขาจะมีกรอบอำนาจ ตั้งกฏเกณฑ์ สร้างข้อจำกัดนั้นขึ้นมาที่ทำให้เชื่อว่าผู้หญิงด้อยกว่า เพราะจริง ๆ แล้วผู้ชายกลัวเรา อีกอย่างธรรมชาติของความเป็นแม่มันมีข้อจำกัดหลายอย่างมาก ต้องเสียสละตั้งแต่การคลอด ตอนเด็ก ๆ เราไม่รู้หรอก ว่าตอนเรามีลูกมันใช้อะไรหลายอย่างไปมากในตัวเรา
เป็นคนชอบอ่านหนังสือ
ถ้านักเขียนคนไทยชอบก็มี แดนอรัญ แสงทอง, คุณฟ้า พูลวรลักษณ์, อรุณวดี อรุณมาศ เรื่อง การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักมิอาจเยียวยา เขียนตอนอายุ 19 แล้วติด 1 ใน 7 ซีไรต์ ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่เขียนงานได้โหดมาก ได้แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วย แล้วพวกวรรณกรรมแปลก็มี รพินทรนาถ ฐากุร, Albert Camus, Milan Kundera เรื่อง The Unbearable Lightness of Being เป็นเล่มแรกที่อ่านแล้วต้องตามเก็บของเขาทุกเล่ม The Lover ของ Marguerite Duras เป็นผู้หญิงที่ก็น่าจะมาจากยุคเรอเนซองส์เหมือนกันนะ ไม่ได้เขียนหนังสืออย่างเดียวแต่ทำหนังด้วย แล้วก็ Franz Kafka น่าจะประมาณนี้ ซื้อเก็บไว้ยังไม่มีเวลาอ่าน เพราะถ้าอ่านแล้วเราต้องหมกมุ่นกับมัน บางทีคนที่ทำงานกับริคต้องเข้าใจอย่างนึง เวลาเราทำเพลงหรืออ่านหนังสือก็เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลก อย่ามาเรียก มันจะโมโหอะ เอาเป็นว่างานฉันสำคัญกว่าคน เพราะนี่เป็นลูก ๆ ของฉัน ส่วนใหญ่จะอ่านไว้ inspire ตัวเอง เหมือนเราได้เห็นมุมมอง เรื่องราวของคนอื่น ๆ เหมือนเราไปสัมผัสโลก อย่างบางคนไปสัมผัสโลกด้วยการท่องเที่ยว แต่เราไปสัมผัสโลกด้วยการอ่าน
PART 4: โจ้
มีคนทักบ้างไหมว่าริคคล้ายกับโจ้ Pause อยู่เหมือนกันนะ
เมื่อก่อนพี่สุกี้เคยบอกว่า ริคกับโจ้เหมือนกันเลย แต่เป็นคนละขั้วกัน โจ้เขาจะเป็นด้านสว่างที่คนเห็นกันนั่นแหละ ส่วนเราจะเป็นด้านดาร์ค โจ้เคยทักว่า ริค ทำไมมึงปฏิเสธคนเป็นวะ เวลามึงจะไม่เอาอะไร มึงก็บอก ไม่ ได้อะ กูทำแบบมึงไม่ได้ เราก็ถามทำไมมึงไม่ทำอะ โจ้บอก ทำไม่ได้ เราก็จะบอกว่า ถ้าทำไม่ได้ก็จะทำไม่ได้ตลอดไป ต้องหัดปฏิเสธบ้าง มึงเป็นตัวของตัวเองเกินไป มึงไม่เคยปฏิเสธใครเลย แล้วโจ้จะบอกว่า บางครั้งกูก็อยากเป็นอย่างมึง เราก็บอกว่า ถ้ามึงเริ่มปฏิเสธสักครั้งแล้วมึงจะติดใจ อีกอันนึง อัดเพลงอัลบั้มพี่ ตอนอัลบั้มปฐม เพลงสุดท้ายชื่อเพลงวชิระ อันนี้เป็นความคิดสุกี้อยากจะให้ทุกคนในเบเกอรีมาร้อง ทุกคนหันหน้าเข้าไมค์ มีอยู่สองคนหันหน้าเข้ากำแพงคือริคกับโจ้ เพราะตอนแรกร้องเข้าหาไมค์แล้วเขาว่าร้องดังเกินไป แต่ก่อนพวกนี้ยังไม่สามารถจะเก็บพลังของตัวเองได้ เลยบอกโจ้ว่า ตอนสมัยกูเรียนซิสเตอร์ให้กูหันหลัง งั้นเราหันเข้ากำแพงกันเถอะ คนอื่นก็หันเข้าไมค์ แล้วโจ้กับพี่ก็ชอบร้องเพลงเล่นกัน แล้วมันเป็นไม่กี่คนที่ได้เห็นว่าริคทำเพลงพาณิชย์ได้ แต่ริคเลือกที่จะทำอันนี้ อยากจะให้ร้องเพราะ ๆ ก็ทำได้ ร้องเพลงเก่า เพลงโบราณ ก็ร้องได้ ตอนนั้นอัดเพลง แค้น ของ Eclextic Suntaraporn นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอโจ้ ก็เอาเพลงนี้ไปให้มันฟัง ฟังเสร็จก็พูดว่า ดีมากเลยริค แต่กูก็อยากให้มึงร้องเพลงที่กูเคยได้ยินมึงร้อง แต่คนอื่นไม่มีโอกาส เรามองหน้ามันแล้วก็โกรธ แบบ พูดงี้หมายความว่าไง มึงเห็นสิ่งที่กูทำมั้ย แล้วมึงไม่เชื่อในสิ่งที่กูทำหรอ เพราะกูเชื่อมาตลอดว่ามึงเชื่อในสิ่งที่กูทำ เขาก็บอกว่า ไม่ คือกูยอมแพ้แล้ว กูอยากจะร้องเพลงแค่ให้ได้สตางค์ ให้ช่วยเหลือที่บ้านได้ กูไม่อยากเป็นศิลปินแล้ว กูยกให้มึงแล้วกัน มึงคงเป็นคนสุดท้ายที่ยังเชื่อในสิ่งที่เราเชื่อกันอยู่ คือมันพูดตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าอีกสองอาทิตย์โจ้ก็ไป ไม่รู้สิ ก็ยังไม่อยากทำอะไรแบบนั้น แต่รู้นะว่าโจ้มันพูดด้วยความเป็นห่วง ถ้าทำแบบนั้นจะได้งานเยอะ ๆ แต่เราก็เห็นอยู่ว่าขนาดโจ้มันร้องเพลงแนวนั้นก็ยังมีช่วงนึงที่ก็ไม่ได้งานเยอะ อัลบั้มแป้กมันก็มี ถ้ามันยังอยู่จนบัดนี้มันก็คงได้เห็นอะไรหลายอย่าง
แล้วมาตรฐานที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมเพลงสมัยก่อนกับตอนนี้ ความอยู่ยงของมัน ระยะเวลามันสั้นและยาวไม่เท่ากัน เราอาจจะรู้สึกว่าเพลงที่เล่นตอนนี้มันดัง มันเกทกับเราตอนนี้ แต่ถ้าผ่านไปอีกห้าหรือสิบปี เพลงนั้นจะยังฮัมอยู่ในใจเราไหม เราจะรู้สึกว่ามันเป็นเพลงยุคสมัยของเราไหม
ความทรงจำที่มีร่วมกับโจ้
ตอนนั้นมีแค่ 5 วง ที่ได้ไปเล่น Live And Loud ของ MTV Asia ที่เลือกคนไทยไปงาน unplugged มี คาราบาว Blackhead ฟอร์ด Loso แล้วริคเป็นผู้หญิงคนเดียวในนั้น โจ้ไปดูแล้วบอกว่า ไอ้ริคเป็นเกตเตอร์ แปลงร่างได้ คือเป็นหุ่นสมัยที่มาก่อนกันดั้มที่จะต้องมีสามยานมาประกอบร่างกันถึงจะเป็นหุ่นตัวนึงได้ อย่างตอนอยู่ข้างล่างกันก็ยังเป็นคนดู แต่พอขึ้นเวทีแล้วก็กลายเป็นอีกคนนึง เรามีความทรงจำที่ดีต่อกันหลายสิ่งมาก อย่างตอนนั้นรถไฟฟ้ามาใหม่ ๆ เราขึ้นรถไฟฟ้ากัน แล้วสองคนผมยาว โจ้ก็ถามว่า เรายืนด้วยกันนี่ผมเราจะพันกันไหมวะ ริคก็บอกว่า ไม่พันหรอก หรือบางทีก็ถามว่า เราเดินด้วยกันแล้วคนจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันหรือเปล่า ริคก็บอก ไม่คิดหรอก ! มึงถามอะไรกูแต่ละอันมึงควรรู้คำตอบใช่มั้ยว่า ไม่ ! มึงบรรลุไว้เลยว่าริคจะตอบว่าไม่ แล้วคิดไปต่อได้เลยนะว่ามันจะไม่มีวัน ! แล้วมันก็หัวเราะ มีอยู่วันนึงมันทำท่าชาบู ๆ ใส่ เราก็ถามว่า มึงเป็นอะไรวะ โจ้บอกว่า นี่กูเพิ่งมาจากบ้านแล้วมาสยามก็สังเกตมาตลอดทางเลยนะว่ามีมึงคนเดียวที่เป็นผู้หญิง เราก็งงว่ามึงหมายความว่าไงวะ โจ้ก็บอกว่า ทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมด แต่พอมึงเดินเข้ามาเนี่ย โห ! ดอกไม้บาน เป็นแบบที่ชาวบ้านเขาไม่เป็นกัน ก็เป็นเพื่อนที่ตลก เราก็เป็นเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่สนิทกับมันที่สุด โจ้บอกว่า จงดีใจเถอะกูเรียกมึงว่า ไอ้ริค เพราะเราข้ามความเป็นผู้หญิงไปแล้วสำหรับมัน มันบอกมันเรียกคนที่เป็นผู้หญิงว่าไอ้ไม่กี่คน ดังนั้นจงดีใจที่ถูกเรียกว่าไอ้
ไม่มีอะไรสมัยใหม่ที่สุด มันคือสิ่งที่เริ่มมาจากของเก่า แล้ววนกลับไปหาอันเก่าเพื่อจะไปเข้าใจมัน อย่างที่บอกว่าถึงจะเป็นวชัรยาน ก็ยังต้องกลับไปเรียนรู้อันเก่า คนในวงการก็กลับไปฟังเพลงเก่าเพื่อเรียนรู้ตัวเองและทบทวนสิ่งที่เรารู้อยู่ในตอนนี้ เพื่อให้พุ่งไปข้างหน้า ไม่ใช่ว่าจะพูดว่าเราทำอะไรใหม่ ๆ โดยไม่หันกลับไปมองว่าของเก่าเขาทำอะไรมา แล้วเราจะพัฒนาได้ยังไง แต่ละคนมันมีสไตล์ไ้ด้ แต่ไม่ควรมาใช้กับการเล่นผิดเล่นถูกแล้วรู้สึกว่าโอเค มันคือการไม่ฝึกฝน
เมื่อเพื่อนรักจากไป
ข้อดีของการที่มันตายก็คือมันจะคงสภาวะความเป็นหนุ่มสาวไว้ชั่วนิรันดร์ และจะเก็บเป็น memory นั้นตลอดไป ถ้าเป็นไปได้ใครทำบุญก็ฝากนึกถึงมันด้วย จริง ๆ แล้วคนที่ฆ่าตัวตายก็จะอยู่ในสถานที่นึง ทุกวันนี้ยังฝันถึงโจ้อยู่ และจะต้องมีเรื่องโจ้ผุดขึ้นมาในชีวิตทุก ๆ วัน วันละหนึ่งครั้ง เหมือนว่ามันพยายามสื่อสารกับเราว่ามันยังไม่ได้ไปในที่ที่มันควรจะต้องไป ดังนั้นแล้วในยุคของเราที่เรารู้จักมัน ยังเป็นยุคที่เรายังอุทิศให้มันได้ เพราะถ้าไม่มีคนนึกถึงมันก็เท่ากับว่าไม่มีคนทำอะไรไปให้ มันก็ต้องอยู่ตรงนั้นจนกว่ามันจะหมดกรรมไปเอง ถ้าใครคิดจะตายต้องยอมรับข้อแม้ข้อนี้ ว่าความทุกข์หลังจากนั้น หรือการติด loop มันจะยาวนาน พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไม่เคยคิดอยากจะตายนะ เคยคิดเหมือนกันตอน 32 ว่าตอนนี้ฉันทำเต็มที่แล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่บนโลกเหี้ย ๆ ใบนี้แล้ว แต่ทีนี้พอมีลูกเสร็จก็ไม่ได้ไง มันเป็นหน้าที่ เท่ากับลูกเป็นคนดึงให้เราต้องอยู่ดูแลให้เขาโต นี่ก็ถือว่าเป็นบุญอย่างนึงที่ลูกมาทำให้เราเบี่ยงเบนความคิด เราไม่สามารถให้เด็กเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่มีแม่ แต่สุดท้ายทุกคนบนโลกก็ต้องแยกจากกัน เราก็รู้ว่าต้องแยกจากเขา เขาก็ต้องทำใจ แต่การเลี้ยงดูเขาก็ไม่ใช่แค่เลี้ยงให้โต แต่ต้องเป็นเพื่อนทางจิตใจให้เขาด้วย อยู่ด้วยกันมันก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์ สนใจใส่ใจกัน แต่เราจะรู้ว่าความรักมันไม่สามารถหยุดเขาได้ วันนึงเขาก็ต้องไปใช้ชีวิตของเขาเพราะเขามีความฝันของเขา ถ้าสมมติเขาไปทำงานเมืองนอกไม่กลับบ้าน ก็เป็นชีวิตของเขาแล้ว ริคไม่มีสิทธิไปโกรธ เราจะไปฟูมฟายเพื่อ เพราะเราก็ต้องหัดที่จะอยู่คนเดียว ถ้าตอนเราเกษียณแล้วเราจะอยู่ยังไง ไม่จำเป็นต้องให้ลูกเลี้ยง มันก็จะอิสระจากกัน บางทีการมีลูกไม่ได้แปลว่าเราจะต้องไปขังเขาไว้ในคุกของการเป็นพ่อเป็นแม่ เขาก็มีโอกาสในการมีชีวิตของเขา ดังนั้นถ้านาน ๆ ลูกจะมาหาก็ไม่เป็นไร หรือถ้ามันจะหายไปเลยก็เป็นเรื่องของมัน มันก็เหมือนกรรมใครกรรมมัน เราก็ให้เขาได้เท่าที่เราให้ได้ เราก็ถือโอกาสให้อิสระกับตัวเองด้วย การไม่ไปยึดติดกับเขาเราก็ไม่ทุกข์
PART 5: Nowadays
งานอื่นนอกเหนือจากงานเพลง
เมื่อ 13 ปีที่แล้วเคยเขียนรวมเรื่องสั้นอีโรติก ทีนี้ตอนท้องฬามเมมันไม่อยากให้เขียนอิโรติก ก็เลยเก็บไว้ไม่ได้เขียนสักที แล้วก็ต้องทำอัลบั้มตัวเองด้วย แต่ระหว่างนี้ก็เขียนคอลัมน์ เรื่องสั้นบ้าง ประปราย มีเขียน GM ช่วงหลังจากกลับมาจากงานที่ Lincoln Center เขียนเกี่ยวกับ travel กับงานคอนเสิร์ตเราที่ไปเล่นมา ตอนนั้นออกหนังสือกับสำนักพิมพ์ Open เป็นรวมเรื่องสั้นอีโรติกที่มีงานของริคเป็นหนึ่งในนั้น เดี๋ยวปีหน้าจะทำสำนักพิมพ์ของตัวเอง เผอิญว่าตอนทำอัลบั้มเพลงนี่ก็ทำทุกอย่างเองตั้งแต่เพลงไปจนถึงปก มิวสิควิดิโอด้วย แค่รู้ว่าต้องไปทำอะไรบ้างมันก็ไม่น่าจะต่างกัน แค่เปลี่ยนจากการคุยเรื่องการส่งแผ่นไปเป็นการส่งต้นฉบับกับอาร์ตเวิร์คให้โรงพิมพ์ ริคก็เชื่อว่างานริคโอเค อย่างคนที่อ่านที่เราเขียนมา หรือฟังเนื้อเพลง ส่วนนึงก็ได้ยินมาว่า ถ้ามีหนังสือออกมาเขาก็อยากจะเก็บงานเราไว้ แล้วกำลังจะมีโปรเจคเรื่องสั้นที่ทำอยู่กับเพื่อนนักเขียน เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยม ชื่อ เกษณี ไทยสนธิ ออกกับสำนักพิมพ์เม่น ชื่อเรื่อง เสียงครางของวีนัส จะออกหลังจากงานสัปดาห์หนังสือไปแล้ว ตั้งใจว่าเป็นเรื่องอีโรติกที่ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าจะเป็นแบบไหน โดยริคเชื่อว่ามีวีนัสอยู่ในตัวผู้หญิงทุกคน รวมถึงในเกย์ด้วย ดังนั้นแล้ววีนัสของแต่ละคนจะเปล่งเสียงยังไงก็แล้วแต่ ผู้หญิงก็มีความรู้สึกอิโรติกที่หลากหลาย อิสระ ส่วนใหญ่จะคิดไปในเรื่องความสวยงามมากว่าด้านกักขฬะย่ำแย่ รสนิยมความสวยงามของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ยังมีงานของนักเขียนหญิงอีก 5 คนรวมอยู่ด้วย แล้วจะมีเพลงประกอบหนังสือเพลงนึง ริคกับเพื่อนจะร้อง แล้วก็จะมีอ่านบทกวี นอกจากหนังสือก็มี Symphony of Voice ทำพวกผลิตภัณฑ์แม่มดค่ะ ก่อนหน้าเคยทำโมเดล เหมือนตัวบนปกราสมาลัย เป็นตัว Automata กับ Dark Angel แล้วก็จะทำละครวิทยุกันกับคิว Flure พากย์กันเอง ทำเป็น channel ใน YouTube แล้วก็ไปแคสท์เป็นนักแสดงละครเวทีของ KBank Siam Pic-Ganesha Theater บน Siam Square One ริคบอกคิวว่าอยากเล่นละครเวที คือริครู้ว่าเล่นได้ แต่เราอีโก้แรง ก็อยากรู้ว่าเขาจะเรียกเราเพราะความสามารถหรือเปล่า เราอยากไปคัดเท่าเทียมกับคนอื่นว่าเราจะได้ไหม ถ้าจะเรียกเพราะว่ามีชื่อมาก่อน เราจะไม่เอา บางครั้งเราเห็นว่าที่หลายคนเขาได้เพราะเขาดัง แต่เขาเก่งจริงหรือเปล่า ตอนนี้ยังไม่ได้คำตอบ ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร ได้คือได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราก็เป็นตัวเองเต็มที่ ไปแบบไม่แต่งหน้า โทรม ๆ ไปนั่งแปะตัวเลขแบบคนอื่น ๆ ไม่คิดว่าเขาจะรู้จักแต่ก็มีคนรู้จักจนได้ ก็สนุกดี
เรียกว่าเป็นมนุษย์ Renaissance ได้ไหม
ส่วนใหญ่สิ่งที่สนใจจะทำก็เป็นสิ่งที่เราทำได้นะ ถ้าเราทำไม่ได้ก็คงจะแค่สนใจแต่จะไม่ทำ อะไรที่ทำได้ดีก็มีความรู้สึกว่าต้องทำ อย่างที่พูดไปตอนแรก เราเกิดมาเรามีสิ่งที่เราเป็นหรือทำอยู่แล้วก็ต้องพัฒนาตรงนั้นให้ดีขึ้นไป ถึงแม้ศาสนาจะบอกว่าการหลุดพ้นคือการไปสู่ความสุขที่แท้ แต่ริคยังมองเห็นว่างานศิลปะที่ริคทำมันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเยียวยาชีวิตเราที่จะอยู่กับเราแล้วทำให้เรามีความสุข เพราะเราเป็นคนไม่เที่ยวห้าง ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ปาร์ตี้ ไม่กินเหล้า ชอบอยู่กับตัวเอง หรืออยู่กับคนที่เราชอบ ส่วนใหญ่งานที่ริคทำส่วนมากจะเป็นงานที่ต้องทำคนเดียว อยากทำวงมาก แต่ก็ไม่มีอะไรบันดาลให้ทำวงสักที ส่วนใหญ่จะเป็นวงที่ชาวบ้านเขาทำอยู่แล้ว แล้วดึงเราไปอยู่ด้วย ทำวงเหมือนมีแฟน ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยกัน ต้องมากินขนม นั่งฝอยอะไรเหมือนกัน ดูหนังก็ต้องดูเหมือนกันจะได้มองไปทิศทางเดียวกัน
มองภาพวงการเพลงตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกันอย่างไร
โดยพื้นฐานก็ไม่ค่อยต่างจากตอนนั้น แต่ตอนนี้เรายิ่งวิ่งตามคนบริโภคมากขึ้นกว่าเดิม ไม่มีอะไรเป็นงานสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นเลยในความเป็นจริง ดูเหมือนจะกว้าง แต่จริง ๆ ก็แคบ เหมือนจะอิสระ แต่ก็ไม่อิสระเลย สิ่งที่ต่างอีกอย่างคือเดี๋ยวนี้เพลงที่ออกทั้งอัลบั้มกลายเป็นซิงเกิ้ลแล้ว เมื่อก่อนคนมองเห็นภาพวงชัดเจนกว่านี้ คือคำว่าวงจะมาหลังซิงเกิ้ลละ ในปัจจุบันวงก็ไม่ได้มีอัตลักษณ์ขนาดนั้น ที่ริคไม่ค่อยได้ฟังเพลงเดี๋ยวนี้เพราะมันดูใกล้เคียงกันไปหมด มีที่แตกต่างมาก็บ้างไม่กี่วง แต่พูดมากก็ไม่ได้เพราะไม่ได้ติดตาม ช่วงก่อนหน้าวงออกมาเยอะ ผลิตภัณฑ์ถูกสร้างออกมาให้คนทำงานง่าย สกิลไม่ต้องมีเยอะ แต่ทำเพลงได้ แล้วคนโอเค คนก็ยอมรับแล้ว ริคเลิกฟังตอนเจอ Bedroom Studio ใน Fat Radio ช่วงนึง คือไม่ใช่ว่าทุกคนไม่มีสิทธิจะทำเพลงนะ แต่คนที่มาอยู่ในวงการควรรู้มาตรฐานของตัวเองได้ ถ้ามันตกขอบมาตรฐานไปแล้วมันก็ไม่ควรได้รับการเปิดนะ เขาต้องไปพัฒนาเพื่อให้มันดีขึ้นไป นี่จะเป็นการสร้างสรรค์ให้เขาได้เก่งขึ้นด้วย ที่ผ่านมาทำให้เส้นมาตรฐานมันไม่มี มาตรฐานในความรู้สึกเด็กตอนนี้คือ แค่เราได้ออกซิงเกิ้ล ที่อินเดียคนทุกคนร้องราคได้หมด แต่คนที่จะได้ออกอัลบั้มจริง ๆ คือคนที่ต้องเจ๋งจริง เขาก็คือประเทศที่กำลังพัฒนาเหมือนเราแต่ทำไมเขามีวิสัยทัศน์แบบนี้
ที่ริคไม่ค่อยได้ฟังเพลงเดี๋ยวนี้เพราะมันดูใกล้เคียงกันไปหมด มีที่แตกต่างมาก็บ้างไม่กี่วง แต่พูดมากก็ไม่ได้เพราะไม่ได้ติดตาม ช่วงก่อนหน้าวงออกมาเยอะ ผลิตภัณฑ์ถูกสร้างออกมาให้คนทำงานง่าย สกิลไม่ต้องมีเยอะ แต่ทำเพลงได้ แล้วคนโอเค คนก็ยอมรับแล้ว
มาตรฐานคืออะไร
จริง ๆ ก็มีเหมือนกันทั้งโลก มันคือเพลงที่ทำออกมาแล้วเป็นเพลงที่ สกิล ความเข้าใจของคนทำเพลงมันออกมาเป็นยังไง การเล่นสดถ้าไม่ตั้งสาย แล้วบอกว่านี่เป็นสไตล์ฉัน บางคนจะมองว่าเราหัวเก่า แต่เรามองว่ามันเป็น standard อะ ไม่งั้นดนตรีมันจะกำหนดขึ้นมาบนโลกทำไม แม้แต่เครื่องดนตรีอินเดียหรือเครื่องดนตรีไทยก็ต้องมีการตั้งสาย แล้วการตั้งสายมันมีมานานแล้ว แสดงว่าคีย์หรือคอร์ดแต่ละอันมันสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ นิสัย หรือบุคลิกภาพของคนที่จะใช้ได้ แล้วมันก็เกี่ยวเนื่องกับเรื่องใช้การบำบัดได้ด้วย ดังนั้นแล้วถ้าไม่ตั้งสายแล้วบอกว่าสมัยใหม่คืออะไร ไม่มีอะไรสมัยใหม่ที่สุด มันคือสิ่งที่เริ่มมาจากของเก่า แล้ววนกลับไปหาอันเก่าเพื่อจะไปเข้าใจมัน อย่างที่บอกว่าถึงจะเป็นวัชรยาน ก็ยังต้องกลับไปเรียนรู้อันเก่า คนในวงการก็กลับไปฟังเพลงเก่าเพื่อเรียนรู้ตัวเองและทบทวนสิ่งที่เรารู้อยู่ในตอนนี้ เพื่อให้พุ่งไปข้างหน้า ไม่ใช่ว่าจะพูดว่าเราทำอะไรใหม่ ๆ โดยไม่หันกลับไปมองว่าของเก่าเขาทำอะไรมา แล้วเราจะพัฒนาได้ยังไง แต่ละคนมันมีสไตล์ไ้ด้ แต่ไม่ควรมาใช้กับการเล่นผิดเล่นถูกแล้วรู้สึกว่าโอเค มันคือการไม่ฝึกฝน มาตรฐานคือการฝึกฝน ถึงแม้ว่าคุณจะแต่งเพลงเก่งยังไง แต่สกิลการเล่นกับการแต่งเพลงมันก็ต้องผ่านการฝึกฝน คุณก็สมคววรจะเป็นคนแต่งเพลงมากกว่าคนเล่นที่มาอยู่ข้างหน้า ถ้าตอนริคเลี้ยงเด็กจะไม่ยอมให้ลูกฟังดนตรีเพี้ยนหรือคนเล่นดนตรีเพี้ยน ต้องให้คนมาตั้งกุญแจเปียโน ไม่งั้นเด็กจะหูเพี้ยนแต่เด็ก เขาจะเข้าใจไม่ถูกต้อง แล้วมาตรฐานที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมเพลงสมัยก่อนกับตอนนี้ ความอยู่ยงของมัน ระยะเวลามันสั้นและยาวไม่เท่ากัน เราอาจจะรู้สึกว่าเพลงที่เล่นตอนนี้มันดัง มันเกทกับเราตอนนี้ แต่ถ้าผ่านไปอีกห้าหรือสิบปี เพลงนั้นจะยังฮัมอยู่ในใจเราไหม เราจะรู้สึกว่ามันเป็นเพลงยุคสมัยของเราไหม แต่ตอนนี้มันไม่มีเพลงที่เป็นยุคสมัยของเราเพราะเราไม่มีมาตรฐาน มีไม่กี่วงเอง อีกอย่างที่ยังเหมือนเมื่อก่อนคือมีคนก็อปเพลงฝรั่งมาทำ ใช้การบิดคีย์ บิดโน้ต หลาย ๆ วงมารวมกัน การร้องบางทีก็มียุคนึงที่ Incubus ดัง แล้วเวทีแต่ละคนเล่นก็อยากเอากลองมาเล่นข้างหน้า คือเป็นอะไรกับ Incubus เขาเป็นพ่อแกหรอ เราก็งง ๆ คนข้างหน้าก็แฮปปี้ เราก็ว่าอะไรไม่ได้ มันต้องเอื้อกันระหว่างคนฟังและคนเล่น ฉันชอบวงนั้น สมมติว่าถ้าวงนั้นได้มาฟังเพลงฉัน ฉันอยากให้เขาภูมิใจที่เขาเห็นว่าเขาทำให้ฉันหาตัวเองเจอ ถ้ามีวิสัยทัศน์แบบนี้ก็ดีนะ ดีกว่าจะแบบว่า ฉันชอบวงนี้ ฉันอยากเป็นวงนี้ โลกมันก็กว้างขึ้นแล้ว แต่ตอนนี้ยังมีแบบนี้อยู่ ยังก็อปปี้อยู่ด้วย สมมติเราทำเพลง แล้วมีเพลงที่เราชอบก็เอาของเขามาบิด ๆ แล้วถ้าคนทำเพลงคนนั้นตายแล้วจะทำยังไง ถ้าต้องคิดเพลงขึ้นมาเองก็เครียด แล้วคนในวงก็จะตีกันเพราะอยากได้วงดี ๆ แต่ไม่มีตัวอย่าง นี่เรื่องจริงนะแต่ไม่บอกว่าวงอะไร เรายังขำอยู่เลยว่าจริงหรอวะมันเครียดขนาดนั้นเลยหรอเวลาทำเพลง มันไม่ใช่การสร้างสรรค์แล้ว ถ้าต้องมานั่งคิดว่าจะทำยังไงให้คนรักฉันอยู่ ก็เริ่มที่จะเอาผลลัพธ์จากการทำเพลงไปเป็นอย่างอื่น สร้างงาน เล่นดนตรีแล้วไม่แฮปปี้ อะไรที่ทำแล้วไม่สนุกก็จะเหนื่อย จะเครียด มันก็ไม่ดีทั้งนั้น ริคไม่ได้ตั้งใจทำเพลงดาร์ค ก็เป็นไปตามชอบ แต่ก็สนุกกับมันทุกครั้ง ไม่มีรักมากรักน้อย แต่อาจจะมีบางเพลงที่จะชอบมากกว่าอีกเพลงในแต่ละวันต่าง ๆ กันไป ทุกวันนี้ก็ยังฟังเพลงตัวเองด้วย แต่ไม่บ่อยมาก แต่เมื่อไหร่ที่ต้องทำเพลงจะไม่ฟังเพลงคนอื่นเลย เพราะกลัว อันนี้รู้สึก Enya ก็เป็น คนที่ทำ new age ทำเพลงประกอบให้ The Lord of the Ring เมโลดี้ชัดเจนมาก เมื่อก่อนเคยเจอ บก. หนังสือคนนึงบอกว่าริคเป็น Björk เมืองไทย ริคอึ้ง ไม่รู้สึกดีนะ คือรู้สึกว่าถ้าปิยอคมาได้ยินริคคงอาย เขาคงหัวเราะว่า ว้าย เธอทำอัลบั้มมาแล้วมีคนคิดว่าเธอเป็นคนอย่างฉัน เหมือนโดนตบหน้า เราชอบปิยอคแต่เราไม่เคยก๊อปปิยอค เราอยากให้เขารู้สึกว่าเรานับถือซึ่งกันและกัน แล้วเราเป็นตัวเอง
มาตรฐานในความรู้สึกเด็กตอนนี้คือ แค่เราได้ออกซิงเกิ้ล ที่อินเดียคนทุกคนร้องราคได้หมด แต่คนที่จะได้ออกอัลบั้มจริง ๆ คือคนที่ต้องเจ๋งจริง เขาก็คือประเทศที่กำลังพัฒนาเหมือนเราแต่ทำไมเขามีวิสัยทัศน์แบบนี้
ทิ้งท้ายให้หายคิดถึง
เราไม่ได้ออกงานเบื้องหน้าเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นงานเบื้องหลัง งานโฆษณา หนัง ที่บางทีก็ไม่ได้ฉายในเมืองไทย เลยทำให้ดูเหมือนเราหายไป แต่จริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังทำเพลงอยู่ พี่โหน่งยังจ่ายสตางค์ให้ทำอัลบั้มใหม่อยู่ ก็คิดว่าจะยังทำต่อไปเท่าที่ตัวเองทำได้ คือเราไม่มีกำหนดว่าจะออกเมื่อไหร่ แต่ถ้าอัลบั้มไหนที่จะออก ช้าเร็วแค่ไหน ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตายก็ให้รู้ว่าเราจะเลิกทำแล้ว เป็นหน้าที่ที่จะได้ทำในฐานะธิดาปิศาจแห่งเสียง เราไม่อยากจะวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องเทพเจ้ามาก แต่ถ้าให้ฉันเป็นเทพธิดาปิศาจแห่งเสียงคงไม่มีใครว่านะ ถ้าเป็นดีว่าคนจะหมั่นไส้ เป็นแบบนี้คงไม่กล้ามีใครมาทะเลาะกับฉัน เพราะฉันลอยตัวจากทุกเรื่อง แต่ขอฝากว่าถ้าคุณมีเพื่อนที่ชอบงานในแบบของริค ถ้ารู้ว่ามีงานอื่น ๆ หรืออัลบั้มของริคออกมาแล้ว ช่วยเอาข่าวนี้ไปบอกเพื่อนของคุณ ไม่ชอบไม่เป็นไร แต่ก็ช่วยบอกให้คนที่เขาชอบหน่อยก็แล้วกัน และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบริควันนี้ แต่เราก็เปิดโอกาสให้คุณชอบงานของเราได้ในวันข้างหน้า บางทีลองนึกดูละกัน คุณชอบคนนึงตอนนี้ คุณชอบที่เขาเป็นเขา คุณได้รับการเชียร์จากคนอื่น ๆ ให้คุณชอบเขาหรือเปล่า ถ้าอีกสิบปีคุณยังชอบเขาอยู่โดยที่เขาหายไป ก็แสดงว่าคุณคงชอบเขาจริง ๆ
ฉันชอบวงนั้น สมมติว่าถ้าวงนั้นได้มาฟังเพลงฉัน ฉันอยากให้เขาภูมิใจที่เขาเห็นว่าเขาทำให้ฉันหาตัวเองเจอ ถ้ามีวิสัยทัศน์แบบนี้ก็ดีนะ ดีกว่าจะแบบว่า ฉันชอบวงนี้ ฉันอยากเป็นวงนี้
เร็ว ๆ นี้ไปพบกับ ริค วชิรปิลันธิ์ได้ที่งาน Cat Expo และงาน Stone free ส่วนปีหน้าเตรียมตัวไปดำดิ่งกับงานคอนเสิร์ตใหญ่ส่วนตัวของเธอ แล้วที่พิเศษมาก ๆ ในเดือนกุมภาพันธ์เธอชวนเราไปดูไพ่ยิปซีกับเธอได้ที่กระโจมแม่มดในงาน Gypsy Carnival หากต้องการติดตามผลงานอื่น ๆ หรืออยากทราบความเคลื่อนไหวของ ริค วชิรปิลันธิ์ เพิ่มเติม เข้าไปดูได้ที่ Facebook fanpage และสามารถรับฟังเพลงของเธอบนฟังใจได้ ที่นี่