นภ พรชำนิ การหวนคืนสู่เวทีในรอบ 12 ปีที่มีมากกว่าแค่เรื่องดนตรี
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
เห็ดหวน กลับมาแล้ว พร้อมกับการได้พูดคุยกับศิลปินในดวงใจใครหลายคนอย่าง นภ พรชำนิ หรือพี่นภวง P.O.P เจ้าพ่อเพลงรักต้นตำรับดั้งเดิมของค่ายอบอุ่น Bakery Music ที่จะเลือกเล่าเรื่องผ่านเพลงเพราะของเขาอีกครั้งในรอบ 12 ปี แต่หนนี้เขาพกความเชื่ออันแรงกล้ามาเต็มกระเป๋าว่า เสียงดนตรีจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้
ทำไมถึงหยุดทำเพลงไปช่วงนึง
ช่วงที่เริ่มทำเพลง Season Change ตอนนั้นคือพี่เริ่มพักแล้ว พี่นภได้โพสต์ในแฟนเพจเล่าเรื่องไปพอสมควรว่า ในช่วงพีคของพี่ที่พี่ทำงานหนักมาก ๆ คือ 1994-2005 เป็นประมาณ 12 ปีแรกของการทำงานของพี่ พี่ทำงานเข้มข้นมาก ทำกับพี่บอย โกสิยพงษ์ อัลบั้ม Rhythm & Boyd, Simplify, A Million Ways to Love Part I เนี่ย เป็นเหมือน co-producer เลยนะ คือเรียนรู้ไปด้วยกัน ตอนนั้นเป็นยุคเปลี่ยนของวงการเพลงไทย คือเมื่อก่อน Bakery Music มันเป็นกลุ่มคนแนวคิดใหม่ มีคนน้อยแต่ต้องมีคนทำครับ เหมือนที่ฟังใจทำตอนนี้แหละ ไม่งั้นจะไม่มีกระแสใหม่ขึ้นมา ตอนนั้นพี่เจอแสตมป์ อภิวัชร์ พี่บอกเลยว่าถ้าเจอน้อง ๆ ฟังใจให้ชวนมาสัมภาษณ์พี่หน่อย เพราะพี่อยากคุยกับฟังใจมาก ๆ เพราะมันคือแนวคิดที่เด็กรุ่นใหม่จะเปลี่ยนโลกด้วยตัวเขาเอง เขาเชื่อมั่นในสิ่งที่อยากจะให้โลกคิดเหมือนเขาในมุมมองที่เป็นทางเลือก เหมือนเบเกอรีตอนนั้นเลย เราทำงานกันแบบไม่ได้คิดว่าต้องเกิดผลลัพธ์อะไร แต่ทำงานเพลงที่มันมีค่ากับตัวเราก่อน เดี๋ยวเพลงมันก็ไปเปลี่ยนคนฟังเอง ตอนนั้นก็มีผู้ร่วมอุดมการณ์ Moderndog, Yokee Playboy, P.O.P, Pause, Friday, 2 Days Ago Kids, Groove Riders เราเป็นกลุ่มคนที่ทำงานทางด้านนี้ จนวันนี้ผ่านมา 20 ปี ก็ยังคงทำงานกันอยู่ มีพี่บอย โกสิยพงษ์ นี่แหละเป็นเหมือนหัวหน้าทีม แล้วพี่ก็แต่งงานปี 2006 คือพอแต่งงานแล้วรู้สึกเหมือนอยากอยู่สบาย ๆ อยู่กับแฟน แล้วก็ยังไม่มีเรื่องเล่า ช่วงนี้แหละที่พี่เริ่มไปเป็นเบื้องหลัง
ตอนนั้นทำไมถึงกล้าทำออกมาทั้งที่ตลาดเมนสตรีมก็เข้มแข็งมาก
น่าจะเป็นเด็กหัวปฏิวัติทั้งหมดที่รวมตัวกัน โดยเฉพาะ Yokee Playboy เนี่ย top of the line บอกได้เลยว่าตอนนั้นคุณโป้คือสุดยอดนักปฏิวัติในการเขียนเพลงครับ เขาเหมือน Stevie Wonder ในยุค 70s ถ้าในยุคนี้ผมว่าน่าจะเป็น The Toys นะ เขาอายุ 20 กว่าเอง รุ่นเดียวกันกับเราตอนนั้นแหละ มีความแปลกแตกต่าง แต่เผอิญว่าตอนนั้นพวกเราอยู่ด้วยกันหมด ไม่ได้มีแค่โป้คนเดียว มี Joey Boy อีก Soul After Six อีก ผนึกกำลังคนที่คิดต่างเข้าด้วยกันเลยไม่รู้สึกว่าอยู่คนเดียวเพราะมีพลังขับเคลื่อนอยู่ แต่ละคนชอบเพลงที่ต่างกัน เราก็อยากทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ โจ้ชอบเพลงฮิปฮอป โมเดิร์นด็อกก็ทำร็อกไป Soul After Six ก็ทำโซลไป พี่บอยก็ทำ r&b พี่สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ ก็ทำแดนซ์กับรีมิกซ์ มันคนละแนวกันหมดเลย เป็นการปฏิวัติแนวคิดใหม่กันหมด แล้วแต่ละคนก็มีความเจ๋งด้วย มีวง Pru อีก ใช้ได้หมดเลย
ไปเจอกับพี่บอยได้ยังไง
24 ปีที่แล้ว พี่ตามวงโมเดิร์นด็อกมาที่เบเกอรี ตอนนั้นยังไม่ใช้ชื่อว่าเบเกอรี่เลย เป็นห้องอัดกมลสตูดิโอ ที่สยามสแควร์ แก๊งโมเดิร์นด็อกนี่คือเพื่อนสนิทสมัยอยู่เซ็นคาเบรียล พอเข้ามหาลัยผมเรียนมหิดล พวกป๊อดเรียนจุฬา ฯ กัน ก็ชวนว่า เฮ้ย วันนี้กูเข้าซ้อมห้องอัดที่นี่ ไปดูด้วยนะ พวกนั้นเขาก็เริ่มเขียนเพลงกัน คือป๊อดเข้าไปหาสุกี้บอกว่าอยากทำงานด้วยกัน เพราะตอนนั้นยังทำเพลงไม่เป็น สุกี้ก็โอเค ลองทำกันดู ก็เป็นที่มาของการทำอัลบั้ม เสริมสุขภาพ ตอนนั้นแบ่งเป็นสองกลุ่ม พี่สุกี้ พี่สมเกียรติ พี่บอย อยู่ที่สตูดิโอกันอยู่แล้ว แล้วก็มีแก๊งใหม่หัวรุนแรงเนี่ย ป๊อด โป้ง เมธี พี่ก็เป็นเหมือนกองเชียร์โมเดิร์นด็อก ก็เข้ามาเจอกัน พี่บอยก็ให้ป๊อดร้องเดโม่ใน Rhythm & Boyd แทบจะทุกเพลง มี เจ้าหญิง, ฤดูที่แตกต่าง, รักคุณเข้าแล้ว ผมได้ฟังก็รู้สึกว่าเพราะมาก เพลงไทยอะไรวะเนี่ยไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ไอ้ป๊อดมันร้องได้เจ๋งมาก เริ่มต้นจากเพลง ลมหายใจ ในแนวอิเล็กโทรป๊อปแบบใหม่ของโปรเจกต์สมเกียรติ Z-MYX vol.10 ป๊อดไปช่วยร้อง ดังไปทั่วประเทศเลย
พี่ติดสอยห้อยตามไปตลอดจนวันนึงนั่งกันอยู่ในห้องอัด พี่บอยก็ถามป๊อด เนี่ย มีใครจะร้องเพลง Season Change ได้บ้าง ฝากเอาเดโม่ไปให้เขาหน่อย ป๊อดมันก็บอก เนี่ยพี่ ไอ้นภมันก็ร้องได้ พี่ก็ตกใจว่าเขาโยนกันมาง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรอ (หัวเราะ) พี่บอยก็บอก ไหนนภลองเข้าไปร้องในห้องอัดหน่อยสิ ก็ตื่นเต้นนะเพราะเราได้ฟังเดโม่นี้มาพอสมควร รู้สึกว่าถ้าเป็นเราจะร้องยังไง ผมกับป๊อดชอบร้องเพลงคัฟเวอร์คนอื่นสมัยเรียน เพลงฝรั่ง เพลงไทย มาร้องในแบบตัวเอง แต่ไม่ค่อยอินกับเพลงไทยเท่าไหร่ แต่พอมาเป็นเพลงพี่บอยเนี่ย เราเข้าไปร้อง ‘อดทนเวลาที่ฝนพรำ’ (ร้องให้ฟัง) พี่บอยก็รู้สึกถูกชะตามั้ง แบบ เออ น้องคนนี้มันดูทำงานร่วมกันได้ ก็เป็นที่มาของการมาร่วมงานกับเบเกอรีครั้งแรกในปี 1994 ผมก็ได้ร้องเพลง Season Change ใช้เวลาอัดอยู่ประมาณ 3 เดือน เพราะตอนนั้นผมร้องเพลงไม่เป็น ต้องไปเข้าคอร์สอาทิตย์ละสองสามครั้งตอนเย็น ๆ เริ่มเรียนการคอนโทรลเสียงให้เข้าไมค์ เพราะเราร้องไปเฉย ๆ ไมค์มันก็ไม่จับเสียงนะ ต้องร้องแล้วนิ่ง การออกเสียงต้องบาลานซ์กับตัวไมค์ ต้องออกมาเป็นมวล ไม่งั้นมันจะไม่ได้ฟีลลิง แล้วการที่เราได้ยินเสียงตัวเองบ่อย ๆ จะรู้สึกไม่ชอบ ก็ต้องกลับไปร้องให้มันดีขึ้น จนถึงวันสุดท้ายที่พี่บอยบอกว่า เยี่ยมแล้วครับนภ ผมก็ไม่ชอบอยู่ดี จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ชอบเสียงในตอนนั้น ที่มาประทับใจน่าจะเป็น EP Era ของ P.O.P ปี 1998 มีเพลง รักของเธอมีจริงหรือเปล่า, ไม่มี, แค่ได้พบเธอ พวกเนี้ย ใช้เวลา 4 ปีในการเรียนรู้ว่าต้องถ่ายทอดยังไง เขียนเพลงแบบไหน
เพลงที่เขียนเองเป็นเพลงแรกคือเพลงอะไร
เพลงแรกที่เขียนทั้งเพลงด้วยตัวเองคือ คนดี ครับ
จะโปรดิวซ์ให้วงไหนหรือเปล่า
ในอนาคตครับ ตอนนี้พี่ยังอยู่อเมริกาเป็นหลัก จะกลับมาปลายปีนี้และเริ่มโปรดิวซ์ พี่ได้ความรับผิดชอบงานที่ไปทางแจ๊สหน่อย คงจะช่วยน้อง ๆ ในสายแจ๊สได้ทำงานเป็นป๊อปออกมา เพราะคนเหล่านี้โคตรเก่ง แล้วเขาคือมืออาชีพตัวจริงที่เราต้องให้เขาได้มีความภาคภูมิใจในความสามารถของเขา ทั้งที่เขาเก่งกว่าเราหลายเท่าเลยแต่ไม่ได้รับเครดิต ตอนนี้คนด้านป๊อปรับเครดิตไปหมด พี่ก็มีหน้าที่ทำตรงนี้ให้มันเกิดขึ้น อาจจะเป็น LOVEiS Jazz-Pop หรือ LOVEiS JOP อะไรก็ว่าไป (หัวเราะ) ปีหน้ามีแน่นอน ไม่ต้องทำเป็นอัลบั้มก็ได้ เป็นเพลง ๆ ออกมา แล้ว melodic line มี composition ของแจ๊ส มันจะสามารถประกอบภาพได้ละเมียดละไมกว่าเพลงป๊อปด้วยซ้ำ มันมี tension หรือ voicing ที่ฟังแล้วลอยไปได้เลย อย่างเพลงล่าสุดที่ทำของพี่นภเนี่ย หมุนตามเธอไป น้อง ๆ คงได้ฟังกันแล้ว คงจะเห็นภาพเดียวกันว่าพี่ได้นำ jazz composition หรือ voicing ที่พูดไปเมื่อกี้มาถ่ายทอดในแบบป๊อป มี brass section มี half big band เป็น fundamental ถ่ายทอดออกมา มันจะเป็นซาวด์ที่เป็นประสบการณ์ใหม่ให้น้อง ๆ ได้ฟังแล้วไปกระตุ้นได้ว่า เฮ้ย มันมีแบบนี้ด้วยหรอ อย่างพี่นภเอง ปีนี้ทำงานมาเป็นปีที่ 25 แล้วพี่ยังรู้สึกว่าได้ทดลองอยู่ ยังมีอีกหลายเวย์ที่ยังไม่ได้ลอง อย่างเพลงนี้ได้ทดลองอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งการเขียนเพลง การเรียบเรียง เอาประสบการณ์ที่เราทำงานมาทั้งหมดมาทำเพลงนี้เพลงเดียวเลย เพื่อจะแนะนำตัวเองให้น้อง ๆ รู้ว่า เออ พี่นภกลับมาทำเพลงแล้ว เป็นเพลงสำหรับคนฟังรุ่นใหม่ ไม่ใช่คนรุ่นเก่าเสียทีเดียว
ที่มาของเพลงหมุนตามเธอไป
เพลงนี้พี่แต่งออกมาให้ความรู้สึกนั้นจริง ๆ เลยว่า เราไม่ได้อยากไปรักคน ๆ นี้เลยนะ เราอยากจะหลุดพ้นไม่มีบ่วงด้วยซ้ำ คนที่มีลูกก็ไม่ได้อยากรักลูกหรอก แต่มันก็รักถูกไหม พี่มองว่าคนที่มีลูกซวยกว่าเราอีก เขาต้องรักคน ๆ นั้นไปจนตาย ลูกจะเลวหรือดีทำอะไรไม่ได้เลยนะ ได้แต่ดูแลไปตลอด โหดมากนะ แต่ถ้ามองอีกด้านคือ เราเกิดมา เราจะต้องหมุนตามใครสักคนไปหรือเปล่า บางทีมันถูกเขียนมาแล้ว ยังไงก็ต้องเป็นอย่างนี้ มันเปลี่ยนไม่ได้ เหมือนดวงดาวที่มีวงโคจรรอบกัน เราไปเปลี่ยนมันไม่ได้ แต่เมื่อไหร่มันจะจบล่ะ พี่อยากให้เมสเสจที่อยู่ในเพลงส่งไปถึงคนที่อยู่ในห้วงแบบนั้นได้ถามตัวเองว่า จะพอเมื่อไหร่ดี แล้วเขาก็จะได้มีกำลังดึงตัวเองหลุดออกมาจากความเศร้าตรงนั้นได้ จมดิ่งเลยไหม (หัวเราะ)
พูดถึงเพลงแจ๊สในตอนนี้ก็ยังเป็นตลาดรองจากป๊อปที่เปิดในวิทยุอยู่ดี
ในฐานะที่เราเป็นรุ่นพี่ หรือรุ่นอาเลยก็ได้มั้ง เราต้องร่วมมือน้อง ๆ หลาน ๆ โปรดิวซ์ด้วยกัน พี่บอย พี่ก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) พี่นภ อย่างเงี้ย เรามีมุมมองที่เข้าใจ แล้วเห็นว่าน้องมีความสามารถที่สดใหม่มาก ๆ แต่ต้องมีโปรดิวเซอร์เป็นคนคอยตบ อย่างวง Mean ผมว่าจะดังมากแน่นอน เก่งนะ เขาทำได้ทุกอย่าง แต่โจทย์ของมันคือทำเพลงป๊อป เราอยากพรีเซนต์วงป๊อปให้เหมือน P.O.P แต่เพลงในนั้นคอร์ดไม่ได้ง่าย ๆ เลยนะ tension เพียบเลย ทำเพลงป๊อปยังไงให้มันมีมาตรฐาน ฟังง่ายแต่จริง ๆ เล่นไม่ง่าย แล้วพัฒนางานในเชิงลึกได้ด้วย หรือถ้าวงรุ่นใหม่ ๆ อย่าง Summer Dress หรือ บีน นภสร ที่มีแนวเพลงใกล้เคียงทางนี้ได้มาเจอกัน เราอาจจะทำเวิร์กช็อปกัน เราโฟกัสไปที่เพลงเพลงเดียวก่อน ทำให้ตัวเองแฮปปี้ มั่นใจกับมัน เหมือนที่พี่ทำเพลงหมุนตามเธอไป พี่ก็ฝึกกับเพลงเพลงเดียวก่อน แล้วพอมันรู้ว่าเนี่ย มันใช่แล้วว่ะ นี่คือสิ่งที่เราตั้งใจทำและนำเสนอในรูปแบบที่เราเป็นเราในทุกวันนี้ ก็เอาเลย ยังไม่พูดถึงในอนาคตนะ ณ วันนี้ตอนนี้เรานำเสนอเท่านี้ พี่ก็เชื่อว่าแนวความคิดเนี่ยมันจะทำให้น้อง ๆ ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ผสมผสานไอเดียกับเขา แล้วมันจะทำให้เขาเป็นที่รู้จัก พอรู้จักเพลงนึงแล้วจะกลับไปเจอเพลงเก่าเอง อย่าง เฮ้ย Summer Dress ออกเพลงใหม่หรอ ลองไปฟังชุดเก่าหน่อยซิ เหมือนที่ The Toys ทำ วงรุ่นใหม่ ๆ ทำแล้วประสบความสำเร็จในช่วงหลัง ๆ แล้วคนก็จะรู้ว่ามันมีงานเก่าที่ออกมาก่อนหน้านั้น ไม่ต้องเสียดายเลย เพราะมันต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ แล้วเดี๋ยวมันจะดีเอง
แล้วการที่ส่งเพลงไปให้คลื่นแล้วเขาไม่ยอมเปิดล่ะ
มันคือ perception ของสื่อที่เขาฟังแล้วยังไม่โดน ทำไม The Toys ชุดแรก ๆ ก็ไม่มีคนเปิดเท่าไหร่ แต่พอมีเพลง ก่อนฤดูฝน ทำไมถูกเปิด เพราะมันโดนไง แต่พี่ว่า The Toys เขาไม่ได้ตั้งใจนะ แล้วก็ไม่ได้ว่า What the Duck เขาไปทำอะไรกับเพลงนะ ทอยเขาก็ทำเหมือนเดิม แค่มันพอดีกับจังหวะ พี่เชื่อว่าทุกคนทำได้ แต่ต้องมีการรวบรวมเด็ก ผู้มีความเชี่ยวชาญ ทีมงานเก่ง ๆ มาช่วยกัน อย่าง Room 39 ก็ไม่ได้ทำด้วยตัวเอง ได้พี่ไก่—สุธีร์ แสงเสรีชน มาช่วยโปรดิวซ์ หรือวง Mean ก็มีพี่บอยช่วย ในอดีตคนที่ประสบความสำเร็จจะมีโปรดิวเซอร์ดี ๆ ช่วยเสมอ โปรดิวเซอร์สำคัญมาก คล้าย ๆ ผู้กำกับ คือถ้าเล่นเองกำกับเองก็พัง ต้องมีนักแสดงดี ๆ นี่ก็คือต้องมีนักดนตรีที่ดี แค่นี้พอแล้ว เดี๋ยวคนอื่นจะช่วยจัดวางให้เอง
จริง ๆ พวกเราเปิดกว้างนะครับ คนไม่ทราบเองว่า โปรดิวเซอร์นี่ไม่ได้จำกัดแค่ในค่ายตัวเอง จะทำให้ใครก็ได้ อยู่ที่ว่างานนั้นมันคลิกกันกับตัวเขาหรือเปล่า โปรดิวเซอร์เขาจะรู้อยู่แล้วว่ามีงานอะไรที่ต้องทำบ้างในปีนี้ แต่จะมีแบบบางทีหาศิลปินไปเรื่อย ๆ แล้วมาเจอว่าคนนี้น่าสนใจ อยากทำให้ คุยกันได้เลยอยู่แล้ว Summer Dress จะมาคุยกับพี่นภก็มาได้หมดเลย เพราะโปรดิวเซอร์ก็อยากทำงานที่มีคุณภาพออกไปเหมือนกัน เราไม่ได้อยากทำงานที่ไร้สาระ อยากทำงานที่มีของ มี element บางอย่างให้คนฟัง อย่างบางทีเราทำเองร้องเองก็ไม่สนุกเท่ากับทำให้คนอื่น
คนที่ทำฝั่งสร้างสรรค์ก็อยากจะสร้างงาน แต่ขณะเดียวกันก็มีฝั่งธุรกิจอย่างค่ายครอบอยู่ทำให้เกิดการแข่งขัน อย่างนี้จะมีวิธีแก้ยังไง
ตอนนี้น่าจะคลี่คลายขึ้นเยอะนะครับ เพราะค่ายเล็ก ๆ อย่าง LOVEiS, What the Duck, Boxx Music ก็เป็นพันธมิตรกันหมด เวลาจัดงานก็มาจอยศิลปิน มา featuring กัน เชิญชวนกันไปดู เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันหมด แล้วโชคดีที่การจัดศิลปินของเราเหมือนไม่แข่งกันเอง แนวเพลงอาจจะใกล้กันก็จริง แต่เหมือนเป็นการที่ฟังเพลงนั้นแล้วไปต่อเพลงนี้ได้ ก็ช่วย ๆ กันไป ถ้าพูดถึงค่ายใหญ่ก็ไม่เหลือแล้ว มีแค่แกรมมี่ค่ายเดียว ซึ่งเขาก็ลดบทบาทมาทำเพลงอินดี้ซะมากขึ้นด้วยซ้ำ White Music, Genie Records ก็ออกมาเป็นเพลงทางเลือก แต่เขามีตลาดที่กว้างกว่า อย่างต่างจังหวัด คนที่ฟังเพลงด้วยความคุ้นเคยหรือเปิดตามสื่อหลักก็จะมี format ของเขา เมโลดี้เดิม ๆ มันโดนเขา เขาก็ฟังอยู่อย่างนั้น
เราว่าเขาไม่ได้เพราะเขาเป็นองค์กรที่ใหญ่ มีลูกน้องเป็นพันที่เขาต้องเลี้ยง เรามีกันไม่ถึงสิบคนเอง มันน้อยอะ เราถึงเป็นทางเลือกเสมอ เมื่อไหร่ที่องค์กรมีลูกน้องเยอะ เขาต้องมีวิธีทำธุรกิจที่ต่างจากเรา เราก็ต้องเคารพพวกเขาเหมือนกันเพราะเขาก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเขาเองอย่างเดียว ยิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็ยิ่งมีผู้ถือหุ้น ซึ่งเขาต้องทำสิ่งที่ไปรองรับผู้ถือหุ้นอีก สิ่งที่เขาทำกับสิ่งที่เราทำเทียบไม่ได้ เราอิสระกว่าเยอะ วันนี้จะขับรถไปหัวหินนั่งกินปลาหมึกย่างก็ยังทำได้อยู่เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้ผู้ถือหุ้นคนไหน
แต่เรื่องกฎหมายอันนั้นอะที่ยากว่าเราจะทำยังไงจะคลี่คลาย จะแบ่งเงินยังไงให้ทุกฝ่าย นั่นเลยทำให้ business deal เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องการทำงานตรงนั้นมันลดลงแล้ว ส่วนปลายทางใครจะได้ตังยังไงตรงนั้นยังเป็นกำแพงอยู่ ทั้งสองฝ่ายต้องได้ บางทีเราเด็ก ๆ มีไฟ เราต้องรักษาไฟของเราไว้ อย่าให้เรื่องธุรกิจหรือการเมืองมาทำให้เราหมดไฟในการสร้างสรรค์ ถ้าเราไม่พอใจตรงนี้ก็หาอย่างอื่นทำ จัดคอนเสิร์ตกันเอง สบายใจเอง ขายบัตรเองดีกว่า รวบรวมศิลปินที่เขาคิดเหมือนเรา โดยพื้นฐานศิลปินอยากจะเล่นอยู่แล้ว ให้ไปเล่นริมถนนหน้าสยามเขาก็ไป เขาต้องการแสดงให้คนที่เชื่อในฝีมือเขามาชม เขาไม่ได้ต้องการไปเล่นให้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่แฟนเพลงเขาฟัง ฟังใจเนี่ยทำถูกแล้ว จัดงานเพื่อคนที่เชื่อและซัพพอร์ตเด็กกลุ่มนึง บัตรสามร้อยเอง นี่คือสิ่งที่ควรจะทำอย่างยิ่งเพื่อทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนในวงการมากขึ้น พวกพี่ช่วยอะไรได้ก็บอก มาหาได้เลย สบายมาก
P.O.P อยากมาเล่นเห็ดสดไหม
โห (หัวเราะ) พี่กลัวจะไม่มีคนมาดู!
จุดเริ่มต้นของ P.O.P
วงเราก็ไม่ต่างจากวงทั่ว ๆ ไปที่เริ่มจากการเป็นเพื่อนกันมาก่อน พวกเราก็ทำงานในเบเกอรีมาด้วยกัน ก็ชวนกันว่าเฮ้ย มาทำเพลงของตัวเองกันไหม แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นเพลงที่อยู่ในสตูดิโอเท่านั้น จะไม่เล่นสดเหมือนพี่บอย พี่สมเกียรติทำ แล้วทำไม P.O.P จะเป็น studio band บ้างไม่ได้ ฉันทำงานเพลงของฉัน คุณชอบก็เอาไปฟังกัน นั่นคือความตั้งใจ พี่เขาก็บอก ทำมาเลยเว้ย ก็ตั้งใจทำเพลง ไม่มี, แค่ได้พบเธอ เขาชอบ เข้าห้องอัดได้เลย ใช้เวลาอัดทั้งหมดเดือนนึง แต่พอทำเสร็จแล้วต้องส่งคืนเนื่องจากว่าตอนนั้นสถานการณ์การเงินของเบเกอรี่ไม่ค่อยดี พวกพี่เลยมอบอัลบั้มชุดนี้ไว้ให้เหมือนเป็น fund raising คือยังไม่ต้องจ่ายเงิน เดี๋ยวว่ากัน เอาไปขายก่อนเลย จะได้เงินเข้ามาช่วยบริษัทให้อยู่รอดต่อไปได้ นี่คือสัญญาใจล้วน ๆ เลย ไม่มีเซ็นสัญญาด้วยนะ แล้วได้เงินกลับมาเป็นล้านเลย ชุดนั้นขายได้แสนกว่าชุด เป็นชุดที่เป็นพื้นฐานของกลุ่มแฟนเพลงเบเกอรี่เลย เป็นโปรดักชันทีมหลักด้วย พี่ก้อ พี่โต้ง พี่นภ พี่บอย บอย ตรัย ด้วย มาช่วยกันทำ สุดท้ายหักเหลี่ยมโหดนิดหน่อย สุกี้โทรมาหาพี่บอกว่า นภ ยูต้องแสดงสดด้วยนะ (หัวเราะ) พี่บอก ไม่ได้ ผมอาย ผมไม่ชอบขึ้นเวที สุกี้บอก ไม่ได้นภ แล้วคนดูจะสัมผัส หรือรู้ว่าวงนี้เป็นยังไงได้ยังไง งั้นผมขอแสดงน้อย ๆ นะ ไม่อยากไปไหน ขี้อายมาก
คอนเสิร์ตปีแรกนี่ทุเรศฮะ วันแสดงคอนเสิร์ตพี่แทบจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับตัวเลย จนมาถึงวันนี้ก็ยังแค้นใจอยู่ว่าเราไม่น่ายอม แต่ก็ดีครับ ทำให้เราได้ฝึกฝนตัวเอง จนทุกวันนี้เราสามารถ entertain คนฟังให้เขามีความสุขไปกับเพลงที่เราร้อง เขาหลุดออกมาจากโลกความเครียดได้โดยใช้เพลงเป็นหลัก พี่จะไม่ค่อยพูดตลกโปกฮาเท่าไหร่ พี่เข้าเพลง ดื่มด่ำกับเพลง ร้องเพลงไป คนจะต้องพีคกับตรงนี้ กับเนื้อหาของมันจนน้ำตาคลอ พี่ตั้งใจจะเป็นแบบนั้น ก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ และคิดว่าจะทำต่อไป แล้วยังมีพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ยังไม่เคยฟังเพลงพี่อีกเป็นสิบล้านคน ถ้าเป็นคนในเมืองจะรู้จักพี่ แต่คนที่ทำนา อยู่ในสวน คนเหล่านั้นล่ะคือเป้าหมายหลักของพี่เลยที่พี่จะต้องร้องเพลงให้เขาฟังให้ได้ ให้เขาได้รู้สึกถึงคำว่า นี่แหละคือคนไทย ภาษาไทย ทรัพยากรณ์ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยความสุขและความเปล่งปลั่ง พี่อยากทำให้คนทั้งประเทศมีความสุข หลังจากนี้พี่จะเดินสาย ถ้าเป็นไปได้มีตลาดสดพี่จะตั้งวงเล่นเลย
การมาร่วมงานกับ The Groovetomatix
จากการที่พี่ทำงานเพลงในวงการมายี่สิบกว่าปี สิบสามปีที่แล้วที่เราทัวร์กับ P.O.P พี่คิดว่า ถ้าเรากลับมาทำเพลงชุดใหม่จะเป็นยังไงน้อ เลยปรึกษากับตัวเองก่อนว่า เราต้องหาช่องที่มันไม่เหมือนเดิม ที่เราไม่เคยทำในอดีต มันมีช่องเล็ก ๆ ที่พี่พอจะแทรกตัวเข้าไปได้คือแจ๊ส พอแทรกตัวเข้าไปก็พบว่าโลกกว้างมาก มีทั้ง traditional, fusion, big band, bebop, hard bop เต็มไปหมดเลย เอาตรงไหนดีวะเนี่ย พี่ก็ ไม่ใช่เลยว่ะ แจ๊สเป็นที่ที่เราจะได้เจอนักดนตรีและแรงบันดาลใจต่างหาก เราขออยู่สายป๊อปเหมือนเดิม แต่เลือกจะเปิดประตูเข้าไปแล้วหยิบจับ element ที่เราอยากเอามาใส่ในทางป๊อปเรา ขอแค่นี้ก่อนจะเข้าไปในแจ๊สจริง ๆ พี่คิดว่าพี่ไม่มีทางทำอัลบั้มแจ๊สได้เพราะมันเกินเอื้อม เรายังเข้าไม่ถึงขนาดนั้น
The Groovetomatix พวกนี้เป็นอาจารย์สอนแจ๊สหมด พอเข้ามาร่วมงานกับพี่นภแล้ว มุมมองของแต่ละคนคือต้องอยู่ในกรอบของความคิดที่เป็นป๊อป เราเริ่มจากการเอาเพลง ใคร, ลมหายใจ หรือ ความคิด ของแสตมป์ มา re-arrange ใหม่เป็น big band แล้วสุดท้ายเราทำได้สำเร็จ เจ๋งว่ะ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แล้วเริ่มทำเป็นแจ๊สป๊อป ก็รู้สึกว่าน่าจะทำเป็นคอนเสิร์ตให้คนได้เห็น เลยคิดว่าเดือนพฤศจิกายนนี้จะทำคอนเสิร์ต The Story of Nop Ponchamni เป็นคอนเสิร์ตที่นำเพลงที่ผมชอบ เพลงเก่า และเพลงที่เขียนขึ้นมาใหม่ มาบอกทุกคนว่าเรากลับมาแล้ว แล้วก็รวบรวมศิลปินต่าง ๆ นักดนตรีที่อยากเชิญมาอยู่บนเวที พวกที่เกี่ยวข้องกับไอ้นภเนี่ย มาอยู่ด้วยกัน แล้วจะเป็น format ที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน เชื่อว่าเพลงเหล่านี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของเพลงไทย อีกหน่อยพี่อาจจะอยากเอาเพลงคนนั้นคนนี้มาคัฟเวอร์ พี่จะเดินเข้าไปขอเลย จะได้ร้องให้คนทั้งประเทศฟังในมุมมองใหม่ พี่เชื่อว่าเจ้าของเพลงเขาน่าจะอนุญาต แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้วที่เอาเพลงของดิอิมพอสซิเบิลมาทำแล้วพี่ร้องออกมาเป็นอีกฟีลลิง เป็นการเชื่อมระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่ให้รู้สึกถึงกันได้ว่าเพลงเหล่านี้มีถ้วงทำนองที่คลาสสิก และมีความเป็นไทยอยู่ในนั้น ก็จะรักษามันให้ดี
คิดว่าทำไมหลาย ๆ เพลงของเบเกอรียังมีคนฟังอยู่ทั้งที่เวลาผ่านมาหลายสิบปี
มันเป็นเพลงสำหรับคนฟังจริง ๆ มันคือประสบการณ์ร่วมระหว่างคนฟังกับคนทำเพลง เพลงใคร ฟังแล้วรู้สึกคิดถึง หรือตามหาใครสักคน ป๊อดก็ร้องไว้แบบเหงาสุด ๆ เลย คนก็จะรู้สึกว่าเพลงนี้มันเข้ามาในชีวิตเขา อยู่ในช่วงเวลาที่จะเจอคนนั้นมั้ยน้อ คนที่โตมาในยุคเบเกอรี่จะมีเพลงพวกนี้อยู่ในหัวใจเลย เพราะมันไป fill in the blank ของเขาได้ มากกว่าเพลงที่ฟังแล้วโดน หรือเพลงโจ๊ะ ๆ แล้วผ่านไป มันกลับกลายเป็นชิปที่ฝังอยู่ในความทรงจำเขา เขาจะจำโมเมนต์เหล่านั้นได้ ก็ดีใจที่ชีวิตของทุกคนมีเพลงของพวกเราไปเป็น soundtrack ในชีวิตเขา
คิดว่าเพลงสมัยนี้มีอะไรที่เพลงยุคเบเกอรีไม่มี
โห น้อง ๆ รุ่นนี้เก่งกันเยอะมาก มีสไตล์เพลง มีความที่เป็น individualist สูงกว่าพวกเรา เมื่อก่อนพี่ก็มีแล้วนะ แต่ยังเป็นแบบที่ค่อนข้างแครคนฟัง แคร์สังคม ยังไม่สุดโต่งเท่าไหร่ มีคุณริค วชิรปิลันธิ์เนี่ยที่สุดอยู่คนเดียว ริคสุดไปแล้ว เราไม่ต้องสุดละกัน ไม่งั้นจะสุดโต่งไปทั้งค่าย ก็ต้องขอบคุณริคที่ช่วยปลดปล่อยพวกเรา หรือ Flure อย่างเงี้ย
กลับมาที่ยุคปัจจุบัน น้อง ๆ มีความเป็นนักทดลองที่เก่งกว่าพวกเรา สามารถเอาความคิดที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้กับเพลงภาษาไทยที่มันค่อนข้างยากในการแต่ง พวก Polycat นี่สุดยอดจริง ๆ จีน กษิดิศ ต้องยกนิ้วให้เลย หรือ My Life as Ali Thomas มีความ international สูง กล้าที่จะทำ โดยไม่แคร์ด้วยว่าป้าที่ขายกล้วยแขกจะฟังหรือเปล่า ความเป็นศิลปะทั้งนั้นเลยครับ แล้วเดี๋ยวมันจะแตกหน่อไปได้เองในทุกองค์ประกอบของการรับรู้สื่อของมัน ทั้งเรื่องภาพ เสียง จินตนาการ ก็ยกนิ้วให้เลยครับว่าเก่งมาก
เพลงของเบเกอรีหลาย ๆ เพลงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจของคนยุคนี้ แล้วสมัยพี่ ๆ มีใครเป็นแรงบันดาลใจ
ก็ขอบคุณที่มีเพลงของพวกเราเป็นจุดสตาร์ทครับ แต่เด็กรุ่นใหม่เขาต้องทำได้ดีกว่าเรา ถ้าเท่าเราก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ต้องเก่งเท่าเมืองนอก The Toys หรือแสตมป์ชุดใหม่อย่างเงี้ย เก่งมาก เพลงก็เพราะด้วย สมัยพี่มีแรงบันดาลใจจากการฟังเพลงในยุค 80s ที่เราโตมา วงที่ชอบก็เป็นต่างประเทศ เป็นแนวทางเหมือนกับ ต้องทำให้ได้ครึ่งนึงของเขา พี่ชอบ heavy metal หรือพวก Guns n Roses, Led Zeppelin, Phil Collins, Seal นี่คือเรื่อง songwriting ล้วน ๆ ที่พี่ชอบมาก เมโลดี้ catchy มาก ร้องตามได้ เนื้อหาก็ดี ซึ่งเราก็เอามาใช้ในยุค 90s ของเราที่ไม่มีเฮฟวี่เมทัลแล้ว มาทำเป็นป๊อปร็อก P.O.P แทน แล้วใส่ element ริฟฟ์กีตาร์แบบนั้น คอร์ดแบบนั้น แต่ใส่ tension แบบนั้นเข้าไป มันคือแคปซูลเวลาของพวกพี่ตอนที่อายุ 30 พี่ก็ทำได้เท่านั้น ตอนนี้พี่ 45 แล้วพี่คงไม่ทำแบบเดิม มันก็จะซ้ำใช่ไหม ก็ต้องทำแนวใหม่ พี่เชื่อว่าคนที่โตมากับเพลงพี่จะรู้สึกได้ว่า เพลงใหม่พี่นภนี่มันสวิงดีแฮะ แล้วเดี๋ยวน้อง ๆ โตมาเป็นผู้ใหญ่น้องคงมาฟังเพลงพวกพี่แล้วรู้สึกว่า โห ทำทิ้งไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว โคตรเจ๋งเลย แต่ตอนนี้น้องอาจจะเอ็นจอยกับวงใหม่ ๆ อยู่ ก็อยู่กับของที่ตัวเองรู้สึกว่าใช่กับตัวเรา มันก็คือเพลงในยุคของเรา เป็นแนวทางของเรา แต่วันนึง เหมือนที่พี่ฟัง Phil Collins พี่ก็ยังฟังอยู่ทุกวันนี้ แบบ โห ทำไมเขาถึงเขียนเพลงได้ปวดรวดร้าวขนาดนี้ คอร์ดเดียวกันกับที่เราเขียนแท้ ๆ C major 7 เหมือนกัน ทำไมเมโลดี้เขาเป็นแบบนั้นได้วะ มันคือความข้นคลั่กของ emotion ที่ฝรั่งเขามีตอนที่เขาอยากบอกว่าตอนนี้เขาเจ็บปวดนะ ของเรานี่อ้อมไปคู้บอนแล้วยังกลับมาไม่ถึงหนองจอกเลย ก็เป็น nature ของภาษาด้วย
เซนส์ของป๊อปสอนกันไม่ได้ แล้วจะเขียนเพลงป๊อปที่ดีออกมาได้ยังไง
อันนี้ตอบยากนะ ป๊อปของไทยก็แบบนึง ป๊อปฝรั่งก็แบบนึง พี่เปิดเพลง P.O.P ให้ฝรั่ง เขาฟังผ่านเลยนะ เมโลดี้ไม่โดนเขา แต่เปิดให้คนญี่ปุ่นฟังเขาโดน มันเป็นป๊อปร็อกที่มีโครงสร้างอีกแบบนึงที่เขาเก็ต คนเอเชียฟังได้ แต่คนอเมริกันเขาล้ำยุคไปพวก grass root มาตั้งแต่ The Velvet Underground จนมา Mumford & Sons เขาข้นมาก ๆ เขาเลยจะชอบวงที่มาจากทางยุโรป พวกแคนาดา The XX ที่มีซาวด์แปลก ๆ Sam Smith เงี้ย เขาจะชอบของที่แปลกไปกว่าของเขา หรือ Phoenix ดังที่อเมริกา แต่พี่ชอบ Vampire Weekend มาก มันมีความโดดเด่น ชุดนี้จะต้องดังกว่าชุดที่แล้ว ทั้งที่ก็โคตรดีแล้วนะ ชุดนี้มาแรงแน่ เอาใจช่วยเขาอยู่ พวกเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจตลาดมาก เขาก็ทำเพลงของเขา ถ้าเป็นกระแสหลักของอเมริกาจะมีฮิปฮอป r&b ด้วย Beyonce, Jay-Z อันนี้พี่เข้าไม่ถึง ตลาดกว้างมาก มูลค่าเป็นพัน ๆ ล้านที่เขาฟังเพลงแบบนั้นอย่างเดียว แร็ปเปอร์คนนั้นคนนี้เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ทั้ง Detroit, Oakland, Chicago ต่างเมืองต่างก็ฟังของตัวเองกันเองอีก เฮ้ยเพลง P.O.P เราหรอ กระจอก เทียบไม่ได้กับเขาเลย แต่เราทำให้คนไทยที่โหยหาเพลงป๊อปร็อกสแตนดาร์ดที่เป็นฟอร์แมตให้เกาะแล้วมีความสุขไปกับมันก่อน แต่ถ้าโจทย์เราเป็นตลาดโลก ก็ต้องคิดอีกแบบนึง
อย่าให้เรื่องธุรกิจหรือการเมืองมาทำให้เราหมดไฟในการสร้างสรรค์ ถ้าเราไม่พอใจตรงนี้ก็หาอย่างอื่นทำ จัดคอนเสิร์ตกันเอง สบายใจเอง ขายบัตรเองดีกว่า รวบรวมศิลปินที่เขาคิดเหมือนเรา โดยพื้นฐานศิลปินอยากจะเล่นอยู่แล้ว ให้ไปเล่นริมถนนหน้าสยามเขาก็ไป เขาต้องการแสดงให้คนที่เชื่อในฝีมือเขามาชม เขาไม่ได้ต้องการไปเล่นให้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่แฟนเพลงเขาฟัง
ไปทำอะไรอยู่ที่อเมริกา
พี่นภทำงานช่วยเหลือสังคมไทยที่นู่นครับ จัดกิจกรรม เรียกว่า Treasure Thailand San Francisco พี่ตั้งองค์กรการกุศลขึ้นมาเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทยสมัยใหม่ได้มาชมกัน ทุก ๆ ปีพี่นภจะจัดงานที่ซานฟรานซิสโก Bay Area เนี่ย จัดมาสามปีแล้ว เริ่มต้นทำงานกับกลุ่มนักเรียนไทยก่อน แล้วขยายไปที่สภาวัฒนธรรมไทย วัดไทย โรงเรียนสอนภาษาไทย ค่ายมวยไทย ร้านค้าต่าง ๆ ที่ประกอบอาชีพที่ซานฟรานซิสโกก็ไปทำความรู้จัก หาพันธมิตร หากลุ่มที่ทำเพื่อส่วนรวมโดยแท้จริง ให้คนได้มากินอาหารไทยกัน ต่อยมวย รำไทย ดูเด็กน้อง ๆ ที่เรียนโรงเรียนวัดไทยที่นั่นโชว์ เขาจะได้มีความภาคภูมิใจในความเป็น ไทย เขาจะได้ดีใจที่มีฝรั่งมาถ่ายรูปกับเขา มีความ proud ใน Thai pride วัฒนธรรมไทยพอได้ไปอยู่เมืองนอกแล้วทำให้รู้ว่ามันสุดยอดจริง ๆ มันเป็น pop culture อาหารไทย มวยไทย นวดไทย โคตรดัง ดังสุด ๆ คนไทยคือในโลกนี้ติด top 3 คนจะรู้จักว่าเป็นคนไนซ์มาก น่ารัก ช่วยเหลือคน จริงใจ… กับชาติอื่น (หัวเราะ) กับคนกันเองนี่ต้องดูกันหน่อย แต่กับต่างประเทศนี่ โห เวรี่ไนซ์เลย เนี่ยแหละ พี่เชื่อว่ากลุ่ม Treasure Thailand San Francisco ของพี่เนี่ย จะขยายและเพิ่มให้คนอเมริกันได้สัมผัสความเป็นไทยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม พี่ตั้งใจเลยว่าเมื่อไหร่ที่เขาเดินออกจากงานนี้ไป เขาจะจำประเทศไทยได้ไปตลอดชีวิตเลย ว่าครั้งนึงเขาเคยมา Thai Festival แล้วรู้สึกว่า ทำไมคนมันน่ารักจังวะ อาหารอร่อย เฟรนด์ลี อยากกลับมาอีก อยากเที่ยวเมืองไทยจัง จะได้รู้ว่าเราไม่ได้มีแค่ผัดไทย มีเชียงใหม่ มีภูเก็ต มีพัทยา อยู่คนละที่กันหมด เรามี layer ความแตกต่างทางวัฒนธรรมมากกว่าที่เขาเห็นอีก มีทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ เต็มไปหมด เนี่ย พี่เชื่อว่ามันจะมีค่ากับโลกใบนี้อย่างหาที่สุดไม่ได้ ไม่ใช่กับพวกเราเอง สิ่งที่พระมหากษัตริย์ทำไว้ในอดีตเป็นเรื่องที่เราต้องสานต่อไปให้ได้ พี่ก็จะต้องทำตรงนี้ให้ดีที่สุด
มีใครช่วยซัพพอร์ตทุนไหม
จริง ๆ ทุกคนก็คอยซัพพอร์ตนะ อยู่ที่พี่จะเริ่มต้นทำเมื่อไหร่ให้มันเสร็จ เพราะว่าปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เราเสียพระองค์ท่านไปแต่ไม่ได้ทำ ก็กะจะทำปีนี้แหละ รอส่งพระองค์ท่านให้เสร็จ ตอนนี้ก็มีกิจกรรมถวายความอาลัยให้พระองค์ที่ซานฟรานซิสโกที่พี่นภกับทีมงานที่นู่นจัดตลอด งานล่าสุดคืองานถวายดอกไม้จันทน์ คนเป็นพันใน Bay Area ออกมาแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายด้วยกันที่วัดพุทธานุสรณ์ นี่เป็นงานที่พี่อุทิศตัวเองว่าเราทำงานส่วนตัวของเรามาถึงจุดนึงแล้วเนี่ย เราต้องแชร์กลับไปให้กับสังคม ให้เขารับรู้ว่ามีคนอยากทำงานแบบนี้จริง ๆ โดยที่ไม่มี hidden agenda ไม่หวังอะไรตอบแทน เราทำเพราะมันต้องทำ พอทำเสร็จแล้วมันก็จะเป็นความรู้สึกของเด็กรุ่นใหม่ที่ เฮ้ย เดี๋ยวทำต่อให้ พี่นภสบายใจได้ ช่วยกันทำต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงรุ่นต่อไป ให้อธิบายเป็นคำพูดคงยาก ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครทำแล้ว ไม่งั้นมันจะหายไปเลย วัฒนธรรมเราจะโดนกลืนไปกลายเป็นวัฒนธรรมผสมไปหมด ทั้งที่จิตใจเนื้อในของเรามันไทยมาก ๆ
แล้วมีแผนจะกลับมาอยู่ไทยยาว ๆ ไหม
เดือนพฤศจิกายนนี้จะครบสิบปีที่อยู่ที่นู่น ก็ถึงเวลาที่พี่ต้องกลับมาอยู่เมืองไทย ทำอัลบั้มชุดนี้ ทำคอนเสิร์ตอันนี้ แล้วก็ทัวร์ตลอดทั้งปีหน้า แต่ก็จะปลีกเวลากลับไปทำ Thai Festival ที่อเมริกาด้วย ก็คงเป็นช่วงพักตอนสงกรานต์แหละครับ ปีหน้าพี่อยากจะรวมคนไทยให้ทำงานเผยแพร่วัฒนธรรมไทยด้วยกันที่อเมริกา
อะไรเป็นสิ่งที่บอกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องกลับมาทำเพลง
พี่มีเรื่องที่จะเล่าแล้ว พี่รู้สึกว่าครบลูปของความเป็นผู้ฟังแล้ว ฟังมาเยอะมาก ถึงเวลาที่เราจะออกมาเล่าเรื่องแล้วว่าเราจะทำสิ่งนั้นนี้ด้วยกัน จริง ๆ เพลงเป็นแค่จุดเริ่มต้น จะมีอะไรหลาย ๆ อย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังการทำเพลง เช่นการทำกิจกรรม อีเวนต์ คอนเสิร์ต การสร้างอะไรบางอย่างให้คนหมู่มากได้มาเจอกัน ให้สปอนเซอร์มาเจอกัน สร้างอะไรดี ๆ ร่วมกัน ที่ไม่ใช่แค่ความบันเทิงอย่างเดียว แล้วมันจะพาไปได้ไกลเอง
เพลงพี่นภจะไม่ใช่แค่มาคอนเสิร์ต เฮ กินเหล้า กลับบ้าน มันจะพาทุกคนมาเจอกันก็จริง จะได้ช่วยทำอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้น ปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดปะการัง ช่วยเด็กที่มีความต้องการพิเศษ มันจะหมุนไปถึงคนเหล่านั้นที่รอคอความช่วยเหลือหรือรอความเข้าใจก็ยากอยู่แล้ว พี่จะเป็นตัวเชื่อมให้เอง พี่มั่นใจว่าคนฟังของพี่พร้อมที่จะช่วย คิดว่าน่าจะเป็นอีกทางนึงที่ทำให้สังคมไทยเราแข็งแกร่งขึ้น ต้องรอติดตามครับ ทำต่อเนื่องระยะยาวไปยี่สิบปีเลย ถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกันก็จะชวนมาเล่าเรื่องด้วย
ก็ฝากฟังใจให้เอาเรื่องนี้ไปเล่าต่อครับว่า เพลงมันเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลาย ๆ อย่าง ในการที่พี่ได้มาเจอพี่บอย มาเจอโมเดิร์นด็อก เจอแฟนเพลง เจอฟังใจ มันคงจะนำพาเราไปเจออะไรอีกหลาย ๆ อย่างในแง่ดี แล้วมาผันให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ที่มันน้อยลงทุกวัน ก็พยายามทำตรงนี้ให้ดีที่สุดกับผลลัพธ์ที่ควรจะได้
ฝากถึงแฟน ๆ ให้หายคิดถึง
ฝากถึงน้อง ๆ รุ่นหลานแล้วกัน วัยมัธยมก็ดี หรือประถมนี่ พี่ขอแนะนำตัวว่า นี่คืออานภ พรชำนิ นะ ก็ขอฝากผลงานน้อง ๆ ในค่ายของพี่ดีกว่า ไม่ต้องฟังเพลงพี่ก็ได้ ก็ลองฟังเพลงของพี่ ๆ วง Mean, Sweat16 ที่เรากำลังจะทำออกมาในอนาคต น่าจะเหมาะกับน้อง ๆ ทั้งหมด แต่ถ้าใครสนใจเรื่องประวัติการทำงานเพลงที่เข้มข้นของพวกเราก็อ่านบทสัมภาษณ์นี้ได้ เป็นบทสัมภาษณ์ที่ดีมาก เหมือนเป็นเครื่องชี้ทางอย่างนึงว่าถ้าเรามีความตั้งใจทำอะไรสักอย่างแล้วเนี่ย มันประสบความสำเร็จได้ถ้าเราทำมันอย่างต่อเนื่องและมีความเชื่อในสิ่งนั้น ขอให้ทุกคนโชคดีครับ