Nowadays

DAJIM: Hip-Hop Underworld

  • Writer: Gandit Panthong
  • Photographer: Nattanich Chanaritichai

หากจะกล่าวถึงชื่อของ สุวิชชา สุภาวีระ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน แล้วทำไมเราถึงต้องกลับไปย้อนวันวานถึงชีวิตเขา แต่ถ้าพูดชื่อฉายาของเขารับรองทุกคนไม่มีใครไม่รู้จัก “DAJIM” แร็พเปอร์รุ่นบุกเบิกของวงการเพลงไทยในบ้านเราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทั้งใต้ดินและบนดิน จนถึงวันนึงที่กาลเวลาค่อย ๆ พาเขาออกจากวงการเพลงไทยอย่างช้า ๆ ฟังใจซีนจึงออกตามหาและชวนเขามาพูดคุยถึงชีวิตปัจจุบันของชายหนุ่มผู้นี้ว่า ชีวิตของเขาทุกวันนี้ทำอะไรอยู่ แล้วเป็นอยู่อย่างไรบ้าง ยังร้องเพลงอยู่รึเปล่า คำตอบเหล่านั้นจะหมดไปเมื่อคุณเลื่อนลงเพื่ออ่านบทสัมภาษณ์นี้ 

4

ดาจิมหายไปไหนมา

จริง ๆ ผมไม่ได้หายไปไหนนะ แต่ประเด็นมันเกิดขึ้นจากเฟซบุ๊กมันบล็อกแอคเคานต์เพจผมไปเมื่อช่วงกลางปี 2015 แฟนเพลงเราเขาก็ไม่รู้จะติดต่อเรายังไง แต่ตอนนี้ผมก็ยังมีไลน์กับไอจีอยู่ ที่เพจผมโดนแบนก็เพราะมีแฟนเพลงเนี่ยละชอบเข้ามาแล้วแปะอะไรไม่รู้หน้าวอลล์มั่ว ๆ มีคลิปโป๊มีอะไรเต็มไปหมดเลย ทีนี้เลยโดนแจ้งแบนเลยติดต่อใครไม่ได้เลยครับ ทำให้เหมือนเราเองก็โดน Fade out ออกมาจากวงการเพลงแบบที่เราเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เราเปิดเฟซบุ๊กใหม่ไม่เป็นด้วยละจริง ๆ เราพยายามแล้ว แต่ก็งง ๆ ระบบมัน เลยไม่เล่นมันเลย ก็เลยดูเหมือนจะหายจากวงการเพลงไป

แต่ตอนช่วงปี 2014 งานเยอะมาก ไปเล่นที่ลาว 8 รอบ ตอนนั้นที่ลาวเราดังมากอะ เล่นที่เวียงจันทน์ 2 รอบ ปากเซ 4 รอบ สุวรรณเขต 2 รอบ คำม่วนอีก รวมไปถึงงาน Big Mountain ก็ได้ขึ้น พอ 2015 ปีที่แล้วงานดรอปลงมาเฉย ช่วงต้นปียังพอมี แต่พอเฟซบุ๊กหาย จบเลย ปีนี้ต้นปีก็มีงานวันที่ 12 มีนาคมนี้ ชื่องาน Ez street ครับ

ส่วนคำว่าหายในมุมของเรา เราคิดว่าคงจะเป็นเพราะการออกจากสื่อบันเทิงด้วยหมดด้วยละ เพราะ ดาจิมหมดสัญญากับ genie records ตอนปี 2549 เป็นยุคเปลี่ยนผ่านของ genie records ด้วย ที่เขาจะเริ่มทำเป็นวงร็อกแล้วก็เลยออกมา แล้วปี 2552 ได้ทำอัลบั้มใต้ดินชุดที่ 6 ชื่อ Independence day ผลตอบรับก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว หลังจากนั้นเลยได้แต่ทำซิงเกิลออกมาบ้างตามที่เราสะดวก แต่เพลงใหม่ล่าสุดของเราจริง ๆ  ก็คงจะเป็นเพลง TAXI BKK เพลงที่ได้ร่วมงานกับ พี่แก๊ป วง T-Bone ครับ ส่วนถ้าจะทำอัลบั้มตัวเองตอนนี้คงไม่ทำแล้ว

ตอนนี้ชีวิตแต่ละวันของ DAJIM ทำอะไรอยู่

ตอนนี้เราทำผับอยู่แถว ๆ เลียบด่วนรามอินทราแล้วก็ทำเสื้อขายด้วยนะ อันนี้เหมือนไปช่วยเพื่อนทำลายเสื้อส่งไปขายมากกว่า ชื่อยี่ห้อ Zextoy โดยสามารถหาซื้อได้ในเว็บไซต์เลย ตัวละ 590 บาท จัดส่งทั่วประเทศครับ งานเพลงก็ยังมีร้องอยู่บ้าง แต่มันน้อยกว่าแต่ก่อนเยอะ ละส่วนใหญ่ก็จะไป Featuring กับน้อง ๆ รุ่นใหม่ ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ชีวิตดี อีกงานที่ทำตอนนี้ก็รับจัดปาร์ตี้ดีเจกับเพื่อนด้วยชื่อทีมว่า “4 กุมาร” มีดีเจ 2 คน MC 2 คนเลย โชว์เราจะไม่เหมือนใครด้วย ยังไงลองจ้างกันเข้ามาได้แล้วจะรู้เลยว่าเป็นยังไง ชีวิตตอนนี้ก็ประมาณนี้ละครับ

ตอนนั้นเราได้ฟัง Eminem แล้วเขาดังมาก เราชอบ มันรู้สึกเออแม่งแสบดี แม่งด่ามัน ก็เลยคิดแบบเด็ก ๆ ว่า ถ้าเราทำเพลง เราอยากทำเพลงแบบนี้เลย เลยผันตัวเองมาทำเพลงเล่น ๆ ใน Home Studio ที่บ้าน

ย้อนเวลากันหน่อย DAJIM มาจากอะไร

ถ้าให้เล่าเรื่องนี้มันยาวเลยนะ ขอย่อหน่อยละกัน (หัวเราะ) เริ่มจากคำว่า Da ก่อนครับ เป็นคำสแลงที่มาจากคำว่า The คนผิวสีเขาจะชอบใช้กัน คล้าย ๆ กับคำว่า You ก็พูดว่า Ya มันเป็นความหมายเดียวกันเลย ส่วนคำว่า Jim เป็นชื่อของ Jim Carrey ตอนนั้นผมชอบดูหนังของเขามาก เป็นตลกที่หน้ากวน ๆ ทะลึ่งทะเล้นเลยแหละ แล้วอยู่มาวันนึงผมจำมุกในหนังมาเล่นกับหัวหน้างานของเราที่ Tower Record ดู ปรากฏว่าเขาชอบ ทีนี้เขาเลยเรียกผมว่า Jim เพราะมันเรียกง่ายดี ชื่อเล่นผมชื่อ Tum ไง แล้วเหมือนหัวหน้าเขาเป็นฝรั่งด้วยเลยเรียก Jim ง่ายกว่าก็เลยเรียกชื่อนี้มาเรื่อย ๆ จนเรารู้สึกว่า เออถ้าจะเป็นศิลปินทำเพลงจริงจังอย่างที่เราชอบจะตั้งชื่ออะไรดีระหว่าง Dajim กับ Datum (หัวเราะ) ก็ต้องเลือก Dajim ละครับ ไม่งั้นถ้าชื่อ Datum ป่านนี้ดับไปแล้ว พอได้ชื่อเสร็จมันก็ต่อยอดไปสู่อัลบั้มแรกของเราเลยที่ใช้ชื่อชุดว่า Dajim Show เนื้อหาเพลงในตอนนั้นก็จะเป็นไปตามช่วงเวลาที่เราชอบเลยว่าเราอยากเล่าเรื่องแบบไหนเราก็สื่อสารออกไปแบบนั้นเลย ที่มาของชื่อมันก็ประมาณนี้ครับ จริง ๆ เรื่องเล่ามันยาวมากสำหรับเรื่องนี้

คิดอะไรอยู่ถึงทำเพลง Hip-Hop

มันเริ่มจากการที่เราเป็นพนักงานขายซีดี ขายเทป ในร้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตอนนั้นคือ ร้าน Tower Record พนักงานที่อยู่ในนั้นจะได้ฟังเพลงสากลเป็นหลัก ตอนนั้นเราได้ฟัง Eminem แล้วเขาดังมาก เราชอบ มันรู้สึกเออแม่งแสบดี แม่งด่ามัน ก็เลยคิดแบบเด็ก ๆ ว่า ถ้าเราทำเพลง เราอยากทำเพลงแบบนี้เลย เลยผันตัวเองมาทำเพลงเล่น ๆ ใน Home Studio ที่บ้าน มีคอมพิวเตอร์ มีโปรแกรมทำเพลง ไมโครโฟนพร้อม อัดกันเองเล่น ๆ ที่บ้าน ตอนนั้นปี 2541 เอง เลยคิดว่าจะทำเทปใต้ดินขายกับเพื่อนตอนนั้นมีโปรดิวเซอร์ด้วยชื่อว่า DJ Dick it all ไม่ได้คิดว่าจะไปไกลด้วย แค่รู้สึกชอบแนวนี้เลยทำเลย

ออกอัลบั้มแรกตอนอายุเท่าไร

ตอนนั้นอายุ 23 ครับ (ตอนนี้ 39 ละ โคตรแก่เลย) แต่เราเนี่ยมาดังจริง ๆ ตอน 24 นะ พีคสุดตอน 25 พอดี ไล่อายุไปเลยนะ Dajim Rap Thai ตอน 26 ก็มีคอนเสิร์ตใหญ่จัดที่อาคารนิมิบุตร ชื่อคอนเสิร์ต RVS stage show ตอน Dajim show บิด จัดโดยพี่ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา กับ พี่นิค-วิเชียร ฤกษ์ไพศาล

ยอดขายแต่ละอัลบั้มเป็นยังไงบ้าง

อัลบั้มแรกตอนปี 2543 ขายไม่ดีเท่าไหร่ ยุคนั้นมันเป็นเทปด้วย ขายได้พันกว่าม้วนเอง ส่วนอัลบั้มที่ 2 ทำขายจริงจังก็ขายได้เกือบ 1 แสนตลับ เราทำเองโดยไม่มีการโปรโมตอะไรเลย ทำขนาดไปส่งเทปเองด้วย ตอนนั้นไปส่งที่ร้าน DJ SIAM คนขายยังไม่รู้เลยว่านี่คือดาจิม (หัวเราะ) ร้านเขาสั่งประมาณทีละพันม้วนเลยอะ แบบฮอตมาก ผมก็ไปส่ง พี่เปี๊ยกเขาก็ถามเราว่าดาจิมมันเป็นใครวะ เราก็บอกผมเองเนี่ยละดาจิม พี่เปี๊ยกเขาก็งงเลย แบบมึงเนี่ยนะ กูไม่เชื่อหรอก ล้อเล่นแน่ ๆ ตอนนั้นสภาพเราไม่ได้เลย แบบดำ ๆ ผอม โทรม แต่ยอดขายเทปมันดีมากเลยนะ ดีถึงขนาดจัดคอนเสิร์ตเองเลยที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว แบบศิลปินใต้ดินยุคนั้นเราน่าจะเป็นคนแรก ๆ ที่กล้าจัดด้วย ขายบัตรประมาณ 1,000 ใบ ใบละ 250 บาท แถมก่อนโชว์มีข่าวจะโดนจับด้วย คนก็คืนบัตรกันอีก แต่สุดท้ายก็ได้เล่น เล่นแบบช่วงเวลาที่เรากำลังเป็นข่าวดังเลยก็สนุกดีชีวิตช่วงนั้น

2

ดาจิมเคยโดนจับเพราะเพลงหยาบคาย

ตอนแรกมีคนฟังพวกพ่อแม่เด็ก ๆ เนี่ยละไปร้องเรียนว่าอัลบั้มที่เราทำมันมีคำหยาบเยอะมาก เขาเห็นลูกหลานเขาฟังกัน เขาก็ร้องเรียนไปที่กองปราบเลยว่า มีเทปแบบนี้ออกมาขายได้อย่างไร ปกเทปทุกอย่างมันชัดเจนมาก ด้วยความที่ตอนนั้นเรากับเพื่อนไม่ได้คิดอะไรมากด้วย เลยแบบมีอะไรก็พูดตรง ๆ ใช้คำแบบไม่อ้อมค้อม ก็เลยโดนจับไปคดีแรกของประเทศไทยเลยนะ ตำรวจบอกเราเลยว่าพี่มาจับน้องนะ มาถึงที่บ้านเลย เพราะตอนนั้นให้ที่อยู่ไว้ในเทปด้วย แบบทำเล่น ๆ ไม่คิดอะไรจริงจังเลยเขียนไว้ (หัวเราะ) ตำรวจเขาก็บอกว่า ก่อนที่พี่จะมาจับน้อง พี่นึกว่าน้องไปก๊อปทำนองเพลงคนอื่นมาทำเป็นของตัวเอง แต่สรุปสุดท้ายแล้วข้อหาที่โดนจับคือ เนื้อหาของเพลงมีความหยาบคาย มีคำหยาบ ผลิตเพลงที่มีแต่คำอนาจารและลามกโดยผลิตออกมาเป็นเทปเสียง เพื่อเผยแพร่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีฟัง โดนเลยเต็ม ๆ ครับตอนนั้น แต่คิดในใจ เออมีนักข่าวมาทำข่าวด้วย ลงหน้าหนึ่งเลย ยิ่งดังเข้าไปใหญ่ คดีนี้มันเท่ดีเว้ย เขียนเพลงแล้วโดนตำรวจจับ

แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสนะ เข้าใจมากกว่าว่าทำไมเขาถึงจับเรา มันเหมือนกับการเขียนเสือให้วัวกลัวมากกว่า คือ ถ้าไม่จับไม่เอาจริง มันก็ต้องมีคนทำเพิ่มขึ้นมาอีก แล้วยุคนั้นมันไม่ได้ทำง่าย ๆ เหมือนสมัยนี้ไง มันทำยาก ช่วงนั้นเด็กนักศึกษาถึงขนาดมาสัมภาษณ์เอาไปเขียนเป็นกรณีศึกษาเลย เพราะมันเป็นยุคเดียวกันกับช่วงที่ออกกฎหมายจัดระเบียบสังคมเลย เพลง “เสือกทำไม” เนี่ยมันดังมาก ไปผับนี่ต้องได้ยินอะ เราไปผับ Dance Fever สมัยก่อน ตำรวจลงตอนตี 5 ดีเจก็เปิดเพลงนี้ใส่ตำรวจ เราก็ยืนฟังแบบ เฮ้ยนี่เพลงกูทำไมคนมันร้องได้ทั้งผับเลย ทั้ง ๆ ที่คนก็ไม่รู้นะว่าเราคือดาจิม มันกลายเป็นการบอกต่อ ๆ ไปมากกว่า พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น มันก็เหมือนเปลี่ยนชีวิตเราไปด้วยเหมือนกัน รู้สึกขึ้น ๆ ลง ๆ มันแบบแปลก ๆ ในชีวิต

ดาจิมถือเป็นผู้บุกเบิกวงการ Hip-Hop ในไทยมั้ย

ผู้บุกเบิกคำนี้น่าจะไม่ใช่นะสำหรับเรา ส่วนตัวคิดว่า เราทำให้เด็กหันมาร้องแร็พ แต่เป็นแร็พแบบหยาบ ๆ มากกว่านะ ตอนนั้นแร็พสีขาวมีอยู่แค่คนเดียวคือ โจ้ (Joey Boy) พอสีดำมาปุ๊บก็เหมือนทำให้เขาเห็นว่า เออ มีแบบนี้ด้วย เป็นทางเลือกให้กับคนฟังดี แต่ผู้ใหญ่หลายคนเขาก็ไม่สนับสนุนนะ เพราะว่าเราใช้คำหยาบไง คนก็ถามว่ามันจำเป็นด้วยเหรอคำหยาบพวกนี้ แต่จริง ๆ มันก็แค่คำปกติที่เราพูดกับเพื่อนเท่านั้นเอง เหมือนคล้าย ๆ เราก็พูดให้เพื่อนฟังว่า เออกูไปเจออะไรมา กูอยากเล่าให้มึงฟังนะ แค่นี้เอง มันเป็นคำถามที่ผมเจอบ่อยมากว่า ทำไมต้องใช้คำหยาบ ซึ่งผมก็ตอบจนเบื่อแล้วเหมือนกัน ทั้งนักข่าว คนสัมภาษณ์ รายการทีวี ผมว่าปัจจุบันนี้เขาคงไม่ถามผมกันแล้วล่ะ เพราะเราเป็นศิลปินเก่าแก่ ๆ คนนึงแล้ว (หัวเราะ)

เวลาแต่งเพลงของผมเนี่ย เรื่องราวทั้งหมดประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์มาจากตัวเองนะ ที่เหลือจะมาจากประสบการณ์ของเพื่อนมาเล่าให้ฟัง ไม่ก็เป็นประสบการณ์ที่เราไปอ่านไปดูมา แต่มันต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด

จากชีวิตใต้ดินสู่บนดิน

มันก็มาจากข่าวที่โดนจับเนี่ยละ พอหลังจากนั้นเราก็ไม่รู้จะไปต่อทางไหนดีเพราะเพลงหยาบเราก็เขียนไม่ได้แล้ว เลยไปขอคำปรึกษากับพี่โปรดิวเซอร์เราว่าเอาไงดี พอดีพี่เขาทำงานให้กับค่ายเพลง genie records อยู่แล้ว พอโดนจับเรื่องมันเลยไปเข้าหูพี่หมี (เทียนชัย เกียรติปรุงเวช) โปรดิวเซอร์ของค่ายในช่วงนั้น เขาก็เลยชวนมาคุยด้วยว่าเออถ้าจะทำเพลงใต้ดินไม่ได้แล้ว มาทำเพลงบนดินด้วยกันดูมั้ย ก็เลยตกลงเซ็นสัญญากัน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ไฟแรงมาก เห็นใครพูดอะไร ทำอะไร เราเอามาเขียนได้หมดเลย แต่ดูตอนนี้ดิ ไม่ไหว เขียนแบบนั้นไม่ได้ (หัวเราะ) แม่งตื้อตามอายุ พอไปเรื่อย ๆ มันก็สนุกนะ แฮปปี้ดี แต่เราต้องทำตามกฎที่เขาตั้งไว้ด้วย เราจะหยาบเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เวลาโปรโมตเพลงก็ต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี ได้ลงนิตยสารด้วย มีคนมาขอลายเซ็นจากที่ไม่มีใครรู้จักชื่อเรา ตอนนั้นมันเปลี่ยนชีวิตเราไปอีกครั้งเหมือนกันสำหรับเรื่องการมีค่ายอยู่

ความลับในเพลงของดาจิม

เวลาแต่งเพลงของผมเนี่ย เรื่องราวทั้งหมดประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์มาจากตัวเองนะ ที่เหลือจะมาจากประสบการณ์ของเพื่อนมาเล่าให้ฟัง ไม่ก็เป็นประสบการณ์ที่เราไปอ่านไปดูมา แต่มันต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด เริ่มกันเลยอย่างเพลง “704” ที่หลาย ๆ คนได้ฟังกันแล้วก็จะคิดว่า เฮ้ยผมไปเจอผีมาใช่มั้ย ทำไมแม่งน่ากลัวงี้วะ แต่คนเจอจริง ๆ ไม่ใช่ผมนะ แต่คือทีมงานของผมที่เจอ เพราะผมนอน 705 นี่คือความลับที่ผมไม่เคยบอกใครนะเรื่องนี้ (หัวเราะ) คนเจอชื่อ หนุ่ม เป็นคอรัสสมัยก่อน เรื่องราวก็ตามเพลงเลย แต่เราแค่ไปสวมรอยเล่าเรื่องแทนไอ้หนุ่มแค่นั้นเอง เพราะถ้าเราแบบไอ้หนุ่มไปเจอผีอะ มันก็ไม่อินไง ดูแบบ เฮ้ยอะไรของมึง แต่ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องเราเจอ โอเคคนฟังแม่งอินกว่าอยู่แล้ว ความจริงก็เป็นเช่นนี้เองครับ

เพลง “ผีสิง” ในเพลงก็จะเล่าถึงคนขายยาบ้า เราก็ไม่เคยขายแต่เรารู้จักคนขาย เด็กแถวบ้านเป็นโสเภณีเราก็รู้จัก มีรุ่นพี่อีกคนเล่นชู้ มันเป็นเรื่องจริงจากคนที่เรารู้จักไง เราก็เอาเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาเล่าผ่านเพลง หรืออย่างเพลง สลึง vs สลวย นี่ก็คือสมมุติทั้งนั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในกลุ่มเพื่อน 3 คนที่เรียนด้วยกัน เป็นหญิง 1 ชาย 2 คน ชายนึงเป็นเกย์คิง แต่อีกคนเป็นชายแท้ เกย์คิงแอบชอบผู้ชาย ผู้หญิงดันไปคบกับผู้ชายคนนั้น ด้วยความหึงหวงจึงไปมีเรื่องกันในตลาดแค่นั้นเลย แต่แค่เราตั้งชื่อให้มันจำง่ายครับ

เพลง “อย่าให้กูเจอ” เพลงนี้พูดถึงสมัยที่เป็นนักเรียนชอบซ้อนท้ายรุ่นพี่ไปเที่ยวกัน เราจะซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนชื่อว่า โจ้ ในแก๊งก็จะมี พี่แอ๊ด ต้อง ต้าร์ ใช้ชื่อจริงหมดเลยเพลงนี้ สมัยนั้นแก๊งเวสป้าจะเท่มาก เราก็พากันไปลานเบียร์เวิลด์เทรด (เซ็นทรัลเวิลด์) แล้วปรากฏว่ารถไอ้โจ้ดันหาย เราก็แบบงงว่ามันหายไปไหน ก็เลยคิดคำได้ว่า อย่าให้กูเจอนะ การโดนขโมยรถมันคงไม่มีใครมาพูดหรอกว่า ขอบคุณ มันเป็นเพลงแบบเราเหมือนได้ระบายแทนเพื่อนด้วยอะ คนฟังจะรู้เลยว่ากูจริงใจนะที่จะเล่าให้ฟังเนี่ย ความจริงล้วน ๆ เลย

เพลง “ผีกระจู๋” เพลงนี้ตลกครับ เอาเพลงผีกระสือมาล้อเลียน ตรงท่อนที่ว่า “กระสือกลางวันมันเป็นหญิง” ก็เปลี่ยนเป็น “กระจู๋กลางวันมันนอนนิ่ง” อะไรแบบนี้ แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่น้าเล่าให้ฟัง น้าเป็นทหารเขาก็จะชอบมาเล่าอะไรแบบนี้บ่อย ๆ เราก็เอามาทำเป็นเพลงเลย ดูตลกดีครับ ส่วนใหญ่เราจะหยิบเรื่องรอบตัวเนี่ยละมาเขียน

ชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลง

มันเป็นการเข้ามาของ MP3 ด้วยเอาจริง ๆ มันพูดไปถึงวงการเพลงปัจจุบันนี้ได้ด้วยเหมือนกัน ถ้ายังปราบไม่ได้มันก็จะยังเป็นแบบนี้ละครับ ศิลปินหลาย ๆ คนโดนผลกระทบเรื่องนี้รวมทั้งเราด้วย มันกลายเป็นว่ายอดขายเราตก รวมไปถึงหลังที่ออกจากค่ายมาแล้ว เรากลับไปออกอัลบั้ม Independence Day อัลบั้มที่เราตั้งใจทำมากแบบกลับมาใต้ดินเหมือนเดิม ทุกอย่างทำด้วยความตั้งใจมาก ขายแผ่นละ 250 บาท ไปวางขายตามร้านต่าง ๆ ปั๊มครั้งแรก 5,000 แผ่น ขายได้ 800 แผ่นทั่วประเทศอะ คิดดูละกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำให้เรารู้สึกเราอยากจะออกมาจากวงการเพลงตั้งแต่ตอนนั้นเลย เพราะอัลบั้มนี้เราได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของเครื่องเสียง Pioneer ด้วยนะ แต่ก็นั้นละครับ ถ้ายังแก้ไขไม่ได้ ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีนักดนตรีหายไปจากวงการเพลงอีกมากแน่นอน ผมมั่นใจ แต่ก็ไม่เป็นไรนะครับ ตอนนี้เห็นมีคนเอาเพลงเราไปเรียงเป็นเพลย์ลิสต์ให้ฟังใน YouTube ละ ฟังกันยาว ๆ เลย เรียงเพลงดีกว่ากูอีก (หัวเราะ) ก็ไปฟังกันได้

3

เวลาเห็นผลงานเราถูกละเมิดไปปล่อยในโลกออนไลน์รู้สึกอย่างไรบ้าง

ตอนแรกก็รู้สึกไม่พอใจอยู่แล้วแหละ พอผ่านไปยุคนึงเราก็ต้องทำใจ ต้องสนับสนุน เพราะเขามิกซ์เพลงแล้วเอาไปเปิดในผับให้เราด้วย มันก็ถือเป็นการโปรโมตให้อย่างนึง ตั้งแต่ออกจากค่ายใหญ่มา เพลงเรามันไม่มีลิขสิทธิ์อยู่แล้ว เพราะเราทำมาเป็นเพลงใต้ดิน ใครจะเอาไปทำอะไรก็ได้ มีหลายเพลงเลยที่เอาไอเดียมาจากเพลงของเราแล้วเอาไปทำใหม่ นึกในใจจริง ๆ มันเรื่องกูทั้งนั้นเลยนี่หว่า เรื่องที่เราเคยเขียนทั้งนั้นเลย แต่ไปบิดคำ คอนเทนต์มันอันเดิมเลย เดิมมันเป็นฮิปฮอปพอไปทำเป็นร็อกก็ไม่รู้แล้ว ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ทำใจฟังไปดีกว่าครับ

นอกจาก Hip-Hop แล้ว ฟังเพลงแนวอื่นบ้างไหม

ฟังนะ ตอนนั้นเราทำงานอยู่ Tower Record เราฟังทุกแนว ต้องฟังเยอะ ๆ นะ เห็นเราอย่างงี้เราก็ฟังหลากหลายเหมือนกัน ฟังหมดทุกแนว เพลงป๊อบ เพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงเฮ้าส์ อย่างช่วงนี้เพลงที่เปิดบ่อย ๆ เลยจะมี 3 เพลง เพลงแรกคือ Suit & Tie ของ Justin Timberlake เพลงนี้ชอบจังหวะสนุกดี แล้วก็เพลง Nothin’ On You ของ B.o.B อีกเพลงน่าจะเป็นเพลง Happy ของ Pharrell Williams ไม่ก็ Get Lucky ของ Daft Punk ครับ ฟังหมดอะจริง ๆ แล้ว เพลงนี้ด้วยแถมอีกเพลง Jump Around เพลงชาติฮิปฮอปเลย เจ๋งมาก ดังด้วยเพลงนี้ เมโลดี้เขาติดหู ส่วนฝั่งเพลงไทยฟังหมด คาราบาว, สุรชัย สมบัติเจริญ ก็ฟัง รุ่นใหม่ ๆ จะชอบ ว่าน ธนกฤต รู้สึกเขาแต่งเพลงดี การฟังเพลงหลาย ๆ แนวพวกนี้มันทำให้เราได้เอาภาษาของเขาไปเขียนเพลงได้นะ แต่ก็อย่างที่บอกครับ ช่วงนี้เขียนเพลงไม่ค่อยได้แล้วเราแก่แล้ว

ได้ฟังเพลงจากฮิปฮอปรุ่นใหม่บ้างรึเปล่า

เก่งครับ เด็กรุ่นใหม่ก็ต้องเก่งกว่ารุ่นเก่าอยู่แล้ว คำว่าเก่งสมัยนี้มีเก่งหลายแบบ รุ่นพี่รุ่นก่อน ๆ เขาก็ปูทางไว้บ้างแล้ว กลุ่มคนรุ่นใหม่เขาก็คิดอะไรที่มันแตกต่าง ยกตัวอย่าง ปู่จ๋าน ลองไมค์ นี่ชอบมากเลย เขาแร็พได้แล้วเขาแร็พในสไตล์เพื่อชีวิต เพลงของเขาคือดี แม่งคิดแบบผู้ใหญ่มาก ปรัชญาสุด ๆ อันนี้เราชอบ อีกคนหนึ่งคือ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ เขาคิดเก่ง แต่งเก่ง เล่าเรื่องเก่ง ถ้าเก่งแบบอินเตอร์ก็ South Side อย่าง โต้ง 2P เขาทำเพลงเองตั้งแต่อายุ 13 ซึ่งถ้าย้อนไปเราทำเพลงตอนอายุ 21 แต่ทำไม South Side ถึงทำเพลงตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเขามีรุ่นพี่คอยนำทาง เขาโตมาก็เห็นแร็พเลย อย่างเราไม่มีใครนำเลย แล้วเด็กสมัยใหม่จะต้องเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เด็กตอนนี้อายุ 12 ย้อนกลับมาดูสิเป็นแร็พเปอร์กันเต็มเลย ถ้าเราเกิดยุคสมัยนี้เราก็อาจจะไม่ชอบแร็พก็ได้ สมมติตอนนี้เราอายุ 22 เราต้องไปแข่งกับใครวะ คู่แข่งเพียบเลยแล้วจะดังหรือเปล่าก็ไม่รู้ อีกคนก็เก่ง คนนี้เก่งด้านการร้องและการแต่งเนื้อร้องก็คือ Illslick เด็กเก่ง ๆ มีเยอะ มีอีกหลายคน บางคนมาจากเชียงราย เชียงใหม่ Snoopking ก็เก่ง

แถมเดี๋ยวนี้มีการแข่ง Rap battle กันด้วย เคยดูช่อง Rap is Now ไหม สมัยก่อนไม่มีเลย Battle สมัยพี่คือเห็นภาพพี่โจ้ยืนถือไมค์อยู่ที่สีลมซอย 4 แร็พโชว์ ไม่มีใคร Battle ด้วย มันไม่มีใครแร็พอะตอนนั้นเพราะวัฒนธรรมแร็พยังใหม่มาก แต่พอยุคนี้ที่ไหน ๆ ก็มีแร็พ ตอนนั้นสิ่งที่สื่อความเป็นแร็พก็จะมี แร็พ สเก็ตบอร์ด กราฟิตี้ การเต้นบีบอย 4 อย่างนี้มันจะมาพร้อม ๆ กัน ตอนนี้อะไรหลาย ๆ อย่างมันเติบโต เช่น เด็กไทยเล่นสเก็ตบอร์ดถึงระดับโลกแล้ว มีโรลเลอร์เบลด กราฟิตี้เดี๋ยวนี้เก่ง ๆ มีเพียบ บีบอยเขาก็ไปแข่งระดับเอเชียแล้ว เราต้องดีใจกับมันที่เราอาจเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเหล่านี้

head

เรามาจากศูนย์ เราไม่เคยมีบ้าน ไม่เคยมีรถเป็นของตัวเอง พอเราทำงานหนัก มีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บ เราคิดว่ามันพอ มีเงินแล้วเบื่อแล้วเล่นดนตรี แต่มันกลับกลายเป็นเราทิ้งแฟนเพลงไปเลย ทำให้แฟนเพลงหายไป

สมมติมีคอนเสิร์ตใหญ่มาให้เล่นจะเล่นไหม

เล่นสิ จ้างมาเลยครับ (หัวเราะ) จะเล่นเพลงตัวเองล้วน ๆ เลย มีตั้ง 6 อัลบั้มเลยนะ ตอนยกเลิกสัญญากับทางค่าย genie records เราคุยกันไว้ว่า สามารถเอาเพลงทุกเพลงที่เป็นลิขสิทธิ์ของแกรมมี่มาเล่นได้ ยกเว้นว่าจะเอามาทำใหม่ขายใหม่อย่างนั้นทำไม่ได้ ตอนมีเรื่องลิขสิทธิ์ตามร้านอาหารมีตำรวจจะมาจับอะไรงี้ แต่ถ้าเปิดเพลงของเราเปิดไปเหอะ กูไม่เกี่ยว เพลงกูเขาไม่มายุ่งอะไรด้วยแล้ว ยังไงก็จ้างมาเลยครับใครอยากให้เราไป อยากจะบอกว่าเรายังรับงานโชว์อยู่นะ จัดกันมาเยอะ ๆ เลยครับ ทุกวันนี้รายได้จากดนตรีเราเหลือแค่เนื้อเพลงที่เขียนไว้เท่านั้นเองอย่างเพลง แม่ ของวงกะลา เราเป็นคนเขียนนะ เราจะได้จากเพลงนี้เยอะมาก เพราะวงกะลาเป็นวงดัง ขายคอนเสิร์ตได้เยอะ เขาก็จะมีส่วนแบ่งมาให้เราด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว อยากเล่นฮะ คิดถึงเวทีเหมือนกันจ้างมาได้เลยรออยู่ (หัวเราะ) ถึงจะแก่แล้วแต่ยังไหวครับ

มีอะไรอยากจะบอกน้อง ๆ ฮิปฮอปรุ่นใหม่มั้ย

ตอนที่มีแฟนเพลงเยอะ ๆ ก็พยายามสร้างผลงานให้ต่อเนื่องนะ อย่าเบื่อและอิ่มตัว เดี๋ยวจะเหมือนพี่ ตอนนั้นพี่ทำเพลง 5 ปีติด เขียนเพลงตลอดเวลา เราบอกก่อนเลยว่าเรามาจากศูนย์ เราไม่เคยมีบ้าน ไม่เคยมีรถเป็นของตัวเอง พอเราทำงานหนัก มีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บ เราคิดว่ามันพอ มีเงินแล้วเบื่อแล้วเล่นดนตรี แต่มันกลับกลายเป็นเราทิ้งแฟนเพลงไปเลย ทำให้แฟนเพลงหาย ตอนนี้คิดได้ละนะเรื่องนี้ แต่กว่าจะคิดได้ กลับไปอีกทีก็คงลำบากแล้ว แฟนเพลงเราน้อยมากหรืออาจจะไม่เหลือแล้ว อยากจะบอกว่าถ้ามีเพลงแล้ว ทำเพลงได้แล้ว มีเงิน มีทรัพย์สินแล้วก็อย่าหยุด ทำเพลงต่อไปเรื่อย ๆ ตอนนี้เหมือนผมกลับไปเริ่มใหม่แต่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ มันอาจจะเริ่มจาก 3 แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเหมือนเดิมเท่าที่เราจะทำได้

สุดท้ายนี้ฝากอะไรถึงคนที่คิดถึง DAJIM หน่อย

ฝากไลน์ไว้ได้ไหม แอดไลน์มาเลยเป็นเพื่อนกัน เวลาแอดไลน์มาให้บอกด้วยนะว่ามาจากฟังใจ ID: …….. (หากท่านผู้อ่านอยากได้ไลน์ของดาจิมส่งเมลล์มาขอได้ที่ [email protected]) แอดไลน์มาเลย แล้วก็ฝากตาม IG ด้วยละกัน Dajim2013 มีอะไรจะอัพเดตให้ดูทาง IG เฟซบุ๊กไม่เล่นแล้วโดนบล็อกเพราะฉะนั้นอย่าไปกดตามเฟสคนอื่นมั่ว ๆ กันนะ แต่ถ้าอยากตามเราก็ไปดูที่เพจของทีม 4 กุมารได้เลย สามารถไปฝากถามเราได้เหมือนกัน ส่วนใครคิดถึงเราก็ฟังเพลง TAXI BKK ได้นะหรือไม่ก็เปิดหาฟังอัลบั้มเก่า ๆ ใน YouTube ได้ ถ้าเจอกันก็ทักกันบ้างนะ เรายังเป็นดาจิมคนเดิมเพิ่มเติมคือแก่แล้ว (หัวเราะ)

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง