ปลุกความเป็นฮิปฮอปในตัวคุณกับดีเจเชาเชา แห่ง Da Killerz
- Writer: Montipa Virojpan and Sand Thippapha
- Photographer: Chavit Mayod
Da Killerz
ประมาณปี 1999 ตอนนี้ก็ 17 ปีแล้ว สมาชิกก็จะมี เชาเชา โทนี่ ไซม่อน เอเอ เป็นวงฮิปฮอป ในยุคนั้นก็จะมีวง Triumph Kingdom ที่เกิดพร้อมกัน
จุดเริ่มต้นสู่ฮิปฮอป
ที่เราชอบเพลงฮิปฮอปเพราะตอนเรียนมหาวิทยาลัยมีโอกาสได้รู้จักพี่ต๊อก ศุภกร เพราะเขาเต้นให้กับพี่เจ เขาไปเรียนที่แคนาดามา เขาก็จะเป็นฮิปฮอปแบบเจ้าพ่อแร็พมาเลย ไปเรียนก็มัดผมเป็นสนูป ด็อกก์ ผมยาวก็มีผ้าคาดหัว เหมือนฮิปฮอปเขาจะมีผ้าคาดหัวกัน แกก็คาดไปเรียน เราก็เลยรู้สึกว่า พอได้ฟังเพลงแบบนี้แล้วเราชอบ เราชอบจังหวะของเพลงก่อน คือจังหวะจะ ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง เราชอบจังหวะแล้ว และพี่ต๊อกก็จะอธิบายว่าเพลงที่เราชอบมันไม่ได้ร้องไปเรื่อยนะ มันเป็นเรื่องราวที่เขาได้ไปเจอมาเกี่ยวกับ Lifestyle ชีวิตเขา ความยากจน สังคมบ้านเขา เรื่องระหว่างคนผิวดำผิวขาว ความแตกต่างทางชนชั้น หรือเรื่องสาว ๆ เราก็เลยรู้สึกว่าเจ๋งดีว่ะ ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ด้วยการร้องที่เป็นเมโลดี้ คือมันเป็นการเล่าเรื่องที่เป็นเมโลดี้และบีทที่เป็นฮิปฮอปก็เลยรู้สึกว่าพอฟังมันก็คล้าย ๆ กับกลอนหรือแหล่บ้านเรา รู้สึกว่ามัน get ได้ง่าย แล้วเราก็ชอบคำที่มันคล้องจอง เราก็เลยรู้สึกว่าชอบเพลงแนวนี้ เพราะเมื่อก่อนเราจะชอบเพลงป๊อบธรรมดา พอได้เจอพี่ต๊อกเนี่ยไปถึงกลับบ้านเปิดทีวีดู MTV, Channel [V] ไม่เปิดช่องอื่น เราก็จะได้ฟังฮิปฮอปตั้งแต่สมัยอยู่กับพี่ต๊อก ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีแรกเลย หลังจากนั้นพอเราชอบและเลย?ซึมซับไปเรื่อย ๆ
Hiphop Community ในยุคนั้น
พี่ต๊อกเขาก็เต้นให้กับพี่เจ เขาก็มีโอกาสได้ไปรู้จักกับโจอี้ บอย เจอไทยเทเขาก็รู้จักกับสองคนนั้น พอเวลามีฮิปฮอปปาร์ตี้ เราก็จะจัดกันทุกคืนวันศุกร์กับวันเสาร์ที่สีลมซอย 4 ซึ่งเมื่อก่อนนี้มันจะมีผับที่เป็นฮิปฮอปอย่างเดียวอยู่ที่นั่น แล้วก็จะมีอยู่อีกที่หนึ่งคือที่ทองหล่อ ตอนนี้มันกลายเป็นร้านอะไรน้า (นึก) อยู่บนตึกอะ ที่มันเป็นผับเต้น ๆ เปิดดึก ๆ แต่ตอนนั้นชื่อ Leo grotto ตอนนั้นเป็นเหมือนแหล่งศูนย์รวมของฮิปฮอป คือคนที่ชอบฮิปฮอปจะรู้ว่าคืนวันศุกร์กับเสาร์ต้องไปสองที่นี้ เสร็จจาก Leo grotto ก็ไปต่อสีลมซอย 4 เรียกได้ว่าเป็นเหมือนกับสังคมหรือ Nature หรือ Nation ของฮิปฮอปที่เวลาเราแต่งตัวมาก็จะมาอวดเสื้อผ้ากัน อวดรองเท้ากัน แล้วก็มาแลกเปลี่ยนกันว่ามีเพลงไหนเจ๋งบ้าง ไปแต่งเพลงอะไรมา ซึ่งตอนนั้นคนที่ไปเที่ยวไม่ได้ว่าไปแค่กินเหล้าหรือหาสาวเท่านั้น แต่ไปเพื่อแลกของ แลกเปลี่ยนกันมันก็จะมีบีทจากผับมา เราก็จะแร็พให้กันฟังว่าดีไหม เจ๋งไหม เหมือนกับว่าเรามาเช็กการบ้านกัน มาแลกเปลี่ยนกัน หลังจากนั้นกลุ่มคนฟังฮิปฮอปก็ค่อย ๆ กว้างขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าฮิปฮอปจะค่อย ๆ เข้ามา แล้วคนไทยก็จะเริ่มรู้จัก บางกลุ่มก็จะเริ่มชอบ พอเริ่มชอบเสร็จแล้วเขาก็จะรู้ว่าเดี๋ยวเขาจะไปปาร์ตี้กันที่ไหน เขาก็จะตามกันไป มันก็เลยกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนที่สีลมกลายเป็นผับฮิปฮอปอย่างเดียวเลย แล้วก็จะมีการ battle กัน มีการ competition เหมือนคนที่โนเนมมาแต่อยากจะขึ้นมาให้คนรู้จัก ก็ต้องไปที่เวทีนั้น โดยเฉพาะเจ้ากอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ก็เกิดที่เวทีนั้นเหมือนกัน
ฟักกลิ้งฮีโร่
ก็คือเจ้าฟักกลิ้งฮีโร่เป็นเด็กจากเชียงราย นั่งรถมาเลย เขาเป็นคนที่ชอบฮิปฮอปมาก เขาฟังหมด เขารู้จักทุกเพลง เขาแร็พได้ทุกเพลงทั้งของ โจอี้ บอย, Da Killerz เขาก็ได้หมด เขาถึงเจอเรา เขานี่กระโดดกอดเลย แต่ตอนนั้นกอล์ฟยังเป็นเด็กต่างจังหวัด เราก็คิดว่า เฮ้ย คนนี้มันจะรอดเหรอวะ ซึ่งการแต่งเนื้อแต่งตัวก็ยังเป็นสไตล์ที่แบบว่าเอาเท่าที่มี ตอนนั้นเขายังไม่มีเงิน แต่ใจมันอะเกินร้อย กอล์ฟก็มาเจอที่สีลม แต่ตอนนั้นไปเจอพี่โจ้ก่อน (โจอี้ บอย) ตอนนั้น โจอี้ บอย ไปถ่ายรายการเกมฮอตเพลงฮิตที่ช่อง 7 แล้วกอล์ฟรู้ว่าพี่โจ้จะไปที่นั่น เขาก็เลยไปดักรอพี่โจ้เพื่อจะส่งเดโม่ มันก็ตั้งหน้าตั้งตาไปตั้งแต่ตี 5 พี่โจ้มาประมาณ 11 โมงอะ เลิกประมาณบ่ายโมงมันก็นั่งอยู่ที่นั่น แล้วมันก็เอาเดโม่ไปให้พี่โจ้ บอกพี่โจ้ฟังงานผมหน่อย หลังจากพี่โจ้กลับไปฟัง มันเสือกใช่ไง แบบเด็กคนนี้มันเจ๋งมาก มันหา generation ใหม่ที่เป็นแบบนี้ไม่ได้ ตอนนั้นมันกำลังขาดอยู่ ตอนนั้นพี่โจ้เลยเรียกมาที่สีลมซอย 4 เพื่อจะมา competition แล้วมันก็ไปแข่งกับเขา มันก็ชนะ หลังจากนั้นก็เลยภูมิใจ เหมือนมีแรงบวกแรงผลักให้เดินหน้าต่อไปทางนี้ เจ้ากอล์ฟก็เลยฝังใจ และเดินหน้ามาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเจ้าพ่อแร็พเปอร์ไปเป็นที่เรียบร้อย นั่นก็คือเรื่องราวจากที่ผ่านมาจนถึงช่วงที่เริ่มมีคนรู้จักเพลงฮิปฮอปนั่นเอง
มีช่วงนึงที่ฮิพฮอพหายไป แล้วตอนนี้กลับมาได้อย่างไร
เราว่ามันหายไปเพราะ หนึ่ง ศิลปินที่จะต่อยอดงานในเมืองไทยยังไม่ออกมาในตอนนั้น วงที่มีก็จะเป็นวงเก่า ๆ วงใหม่ก็จะน้อยมาก คนก็จะรู้สึกว่าถ้ามันมีวงที่เจ๋งจริง ฮิตจริงมันต้องมีออกมาเรื่อย ๆ สิ อย่างสมมติเพลงร็อกก็จะมีออกมาเรื่อย ๆ เด็กก็จะได้เสพเพลงใหม่ แต่อย่างฮิปฮอปเนี่ย หนึ่ง คือมันต้องแต่งเอง มันไปจ้างนักแต่งเพลงไม่ได้ มันต้องมาจากความรู้สึกของเรา มันต้องเป็นเรื่องราวที่เราต้องเคยเจอมากับตัวเอง ต้องมีประสบการณ์กับชีวิตแล้วถึงจะเอามาเป็นเพลงได้ เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยการที่ฮิปฮอปแต่ละคนจะแต่งเพลงได้มันต้องมีประสบการณ์กับเรื่องนั้น ๆ อย่างวงเราเนี่ยไปหาสาวที่ผับไปแต่งกันมาคนละ 16 บาร์ จะแบ่งงานกันแบบนี้ แล้วเราก็จะไปแต่งกันมาเป็นสไตล์ของแต่ละคน แล้วก็จะมีท่อนเชื่อมกันหรือท่อนฮุค ท่อนหลักที่เราแต่งด้วยกันเป็นตัวเชื่อมระหว่างคนที่ 1, 2, 3, 4 แต่มันจะยากตรงที่เราต้องแต่งเพลงเอง แต่เราว่าเด็กในยุคสมัยนั้นแต่งเพลงแร็พยาก เด็กจะไม่ค่อยรู้จัก เด็กจะไม่ค่อยรู้ว่ามันต้องแต่งยังไง เพลงแร็พเป็นเพลงที่แต่งออกไป ถ้าร้องแล้วมันจะกลายเป็นแหล่ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีสกิลในการแบ่งส่วนด้วยถึงจะเป็นการวัดทักษะของคนแต่งเพราะถ้าเป็นขาฮิปฮอปตัวจริง เขาฟังแล้วเขาจะรู้ว่าอันนี้มันเด็ก ๆ หรืออันนี้แม่งเจ๋งว่ะ เขาจะวัดจากส่วนของเพลง เนื้อร้อง และบีทซึ่งเป็นส่วนสำคัญอันดับสุดท้าย เราว่ามันเป็นการหยุดช่วงศิลปินฮิปฮอปที่จะเห็นว่าหายไปพักนึง แล้วมันก็จะกลับมาตอนที่มีเพลงฮิปฮอปวงใหม่ ๆ หรือวงเก่า ๆ ที่เขาออกอัลบั้มใหม่มา กระแสฮิปฮอปก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่ถ้ากลับมาแล้วไม่ต่อยอด มันก็จะหายไปอีก เพราะด้วย Nature ของคนไทยเพลงที่เขาชอบฟังคือเพลง Pop กับ Rock สองอย่างนี้ไม่มีวันตายสำหรับคนไทย เพราะฟังง่าย เข้าถึงง่ายและ Mass มาก แต่อย่างฮิปฮอปเนี่ยผู้ใหญ่เปิดมามันไม่ใช่ รำคาญ บ่นอะไร เด็กจะชอบแต่ต้องเป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็นว่า เฮ้ยมันพูดถึงอะไร เด็กที่สนใจเขาจะชอบ เพราะฉะนั้นเราว่าด้วยยุคสมัยที่คนไม่ได้ชอบเพลงฮิปฮอป แต่มันจะมีแค่กลุ่มเล็ก ๆ ที่ชอบ มันก็จะเป็นกลุ่ม ๆ เป็นยุค ๆ เป็นช่วง ๆ ไป
Da Killerz เป็นวงสไตล์ไหน
ของพี่เป็น Hip-hop Pop rap คือตอนนั้นเราออกคอนเซปต์ว่าเป็น Hip-hop Pop rap คือรู้อยู่แล้วว่าคนไทยชอบ pop แต่พี่จะมาแบบดาร์ก ๆ แบบไทยเทก็คงไม่ได้เพราะมันมีแล้ว จะไปเป็นเร็กเก้มัฟฟิน เมื่อก่อนนี้จะเป็นโจอี้ บอย ก็จะไปไม่ได้ เพราะว่าโจอี้ บอย มาแล้วของพี่ก็เลยต้องเป็นฮิปฮอปที่มีความเป็น pop อยู่ วงฮิปฮอปที่มีความเป็นป๊อบอยู่สมัยนั้นก็จะมี Da Killerz, ดาจิม มันก็จะมีความเป็นร็อกแบบ ขันที แต่ยังไม่เป็นไทยเท อันนั้นก็จะเป็นฮิปฮอปที่มีความเป็นป๊อบอยู่ มันจะมีเมโลดี้ที่คนฟังง่าย มันจะใช้บีทกลองที่กำหนดจังหวะให้เป็นฮิปฮอป ซึ่งมันก็เป็นยุคแรก ๆ ที่มีแบบนี้เข้ามา คนก็ชอบด้วยเพราะฟังง่ายขึ้น แล้วของเราเนี่ยสมมติว่าไปเที่ยวสถานที่ไฮโซเปิดเหล้าแพง ๆ คนก็จะรู้จักพวกเรา แต่ถ้าจะมาแบบรุ่นที่ไป RCA เมื่อก่อนนี้เขาจะไม่รู้จัก เพราะเมื่อก่อน RCA ก็จะเปิดเพลงตื้ด ๆ เป็นเพลงทรานซ์ เป็นเพลงเฮาส์ เขาจะไม่เอาฮิปฮอป แต่พอแบบยุคหลัง ๆ เนี่ย ฮิปฮอปมันเข้ามาเยอะมากจนเด็กไทยชอบ เขาก็เลยปรับเป็นฮิปฮอป ดึก ๆ ค่อยเปิดเพลงเฮาส์ แต่เฮาส์ก็จะยังคงมีความเป็นฮิปฮอปอยู่ นี่ก็คือยุคสมัยของเรานั่นเอง
Da Killerz ได้รับอิทธิพลมาจากไหน
ของเราเนี่ยรับอิทธิพลมาจากพี่ต๊อกนะ เพราะปกติพี่เป็นคนฟังเพลงป๊อบธรรมดา อยู่กับพี่ต๊อก 3 – 4 ปี พี่ซึมซับความเป็น nigga หรือความเป็นคนผิวดำเข้ามาแบบเต็ม ๆ เพราะพี่ต๊อกเสื้อผ้าเป็นฮิปฮอป รถที่ใช้ก็ต้องบลิงบลิง เงา ๆ แล้วอยู่บ้านก็เปิดแต่ MTV, Channel V ฟังแต่เพลงพวกนี้ ออกไปข้างนอกก็ใส่หูฟังเปิดเทปที่เป็นศิลปินฮิปฮอป เพราะฉะนั้นแล้วเราถูกหล่อหลอมมากจากการที่ได้ไปอยู่กับพี่ต๊อก ได้รู้จักฮิปฮอปตั้งแต่นั้นและชอบตั้งแต่นั้น พอมาแต่งเพลงเองปุ๊บมันก็ภูมิใจ และเราก็รู้สึกว่าเราเป็นได้นี่หว่าก็เลยยึดตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ส่วน โทนี่ เขาก็จะเป็นลูกครึ่ง บ้านเขาอยู่ที่อเมริกา เมื่อก่อนเขาคือวงนานาช่า อยู่ที่แกรมมี่ แล้วพอน้องเขาเรียนต่อหมอ โทนี่ ก็กลับมาเมืองไทย ตอนนั้นว่างอยู่ พี่ต๊อกเขาก็รู้จักกับโจอี้ บอย เขาก็บอกว่าเฮ้ย โทนี่ มันกลับมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นนานาช่าก็ออกมาตอนที่โจอี้ บอย ออกแล้ว เขาก็เลยรู้จักกัน ก็เลยไปหา โทนี่ แล้วชักชวนให้มาทำเพลง เขาก็บอกสนใจมากอยากทำ เพราะตอนนั้นวงเขาก็ไม่อยู่ละ ก็เลยไปเรียก โทนี่ ให้มาอยู่ Da killerz ด้วยกัน ตอนนั้นวงเราฟอร์มวงจะมี 3 วงคือ เรา ไซม่อน แล้วก็ เอเอ พอรวม โทนี่ เข้าไปก็เป็น 4 คน ส่วน เอเอ กับเราจะอยู่กับพี่ต๊อกพร้อมกัน เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ส่วน ไซม่อน เนี่ยไปเจอที่บ้านโปรดิวเซอร์ เขาเป็นเด็กแร็พ เรียนเมืองนอก คือโปรดิวเซอร์ของเราจะมีเด็กมาฝึกที่บ้าน เมื่อก่อนเนี่ยมีเด็กมาฝึกที่บ้านเขาเหมือนไปเรียนร้องเพลง ไป academy ที่บ้านเขา เจ้า ไซม่อน ก็เป็นหนึ่งคนที่โปรดิวเซอร์ของเรา (พี่เอ XL Step) ก็เป็นเหมือนเด็กฝึกของเขา เขาก็ เอ้า เชาจะมีวงเหรอฝากน้องไปคนหนึ่งสิ แร็พเก่งมาก ก็เลยได้ ไซม่อน มา ก็เลยเป็น? เอเอ เชาเชา ไซม่อน และ โทนี่ รวมกันเป็น Da killerz
ฮิปฮอปต่างประเทศที่ต้องฟัง
ตอนนั้นก็จะฟัง Snoop dogg ไซเบสยู อย่างไซเบสยูก็จะเป็น melody rap แล้วก็จะเป็นพวก Usher, 50 cent นี่รุ่นหลังแล้ว ส่วน Eminem ก็รุ่นหลังแล้วแต่เป็นสิ่งที่พวกเราฮือฮามากเพราะเป็นคนขาว เป็นผิวขาวที่แม่งแร็พแบบคนดำเลย แล้วมันก็ไปชนะการประกวด 8 Mile มา มันก็เลยดูเจ๋งในหมู่คนดำ เป็นคนขาวที่คนดำยอมรับและสามารถแร็พได้ ช่วงนั้นก็เป็น Ice cube, Fat Joe, MC Hammer อันนั้นคือยุคแรก ๆ เลยคือยุคที่เราออกอัลบั้ม ตอนนั้นกำลังดังมากแล้วก็มี Snow
ตอนนี้สมาชิกแต่ละคนทำอะไรกันอยู่
ไซม่อน ไปทำงานที่โรงแรม ส่วน เอเอ ก็ไปเล่นละคร น่าจะเคยเห็นกันนะอยู่ช่อง 3 ส่วน โทนี่ ก็เป็นดีเจอยู่ที่ Route 66 ตอนนี้ก็คือต่างคนต่างที่จะไปมีงานที่ตนเองชอบ งานที่ตนเองถนัด
ฮิปฮอปเนี่ย มันต้องแต่งเอง มันไปจ้างนักแต่งเพลงไม่ได้ มันต้องมาจากความรู้สึกของเรา มันต้องเป็นเรื่องราวที่เราต้องเคยเจอมากับตัวเอง ต้องมีประสบการณ์กับชีวิตแล้วถึงจะเอามาเป็นเพลงได้
ทำไมตอนนั้นไม่ทำเพลงต่อ
ซึ่งถามว่าเราอยากจะออกไหม ใจจริงอยากจะออกอัลบั้มต่อนะ แต่ว่ามันมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับค่ายเพลง ซึ่งมันมีความรู้สึกว่าเราคิดไม่ตรงกับเขา คือเขาบอกว่ายอดเทปหรือยอด Break-even เนี่ยมันไม่ได้ แต่เราไปเช็กที่ร้านเทป เมื่อก่อนมันเช็กได้ เราก็ไปเช็กที่ร้านเทปดีเจสยาม ร้านพี่เปี๊ยก วันแรกเราก็สามารถผ่าน Break-even ไปได้แล้ว แต่ทางบริษัทบอกว่าคุณยังทำไม่ถึง Break-even เพราะฉะนั้นเราไม่มีเงินให้นะ แต่เขาถามว่าจะแก้ตัวไหม ซึ่งเราก็งงนะว่าคือไม่มีเงิน ไม่ประสบความสำเร็จแล้วทำไมจะให้ทำชุด 2 เราก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ปกติแล้ว ก็เลยบอกว่าผมขอไม่ทำดีกว่า เราก็เลยออกมากัน แล้วก็ไม่นานบริษัทนั้นก็ปิดตัวไป เป็นบริษัทเพลงเล็ก ๆ หลังจากที่ออกมาเราก็พยายามหาบริษัทที่อยากจะทำเพลงซึ่งตอนนั้นบริษัทที่จะรับวงฮิปฮอปยากมาก เพราะว่าเขาไม่กล้าเสี่ยงลงทุน เขาไม่คิดว่ามันจะดังไหมหรือประสบความสำเร็จไหม
ไม่เหมือนตอนนี้ที่มันมี Social ที่สามารถโปรโมตเองได้เลยโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใครเลย มันมีช่องทางแต่ตอนนั้นมันไม่มี เราก็พยายามไปซึ่งตอนนั้นแกรมมี่เราก็ไป แล้วเราก็ได้ทำอยู่แกรมมี่แต่ว่าตอนนั้นมันเป็นโปรเจกต์ ซึ่งมันไปรวมกับวงอื่น ๆ ที่เป็นฮิปฮอปเหมือนกัน เราก็ทำ พอทำแล้วมันเริ่มถึงจุดที่ฮิปฮอปเริ่มดาวน์ ทำออกมาดังประมาณนึงไม่มาก งานจ้างก็มีแต่ไม่เยอะ มันอยู่ไม่ได้ เพราะเราก็ต้องใช้เงิน และแต่ละคนก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว ต้องออกไปหาเงิน
ระหว่างที่เราออกไปหาเงินเราก็ได้เริ่มทำงานเป็นดีเจ แต่ก็ยังทำงานเพลงไปเรื่อย ๆ พอเป็นดีเจเริ่มมีชื่อเสียง คนเริ่มรู้จักเริ่มประสบความสำเร็จ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเพื่อน ๆ ก็ทำงานของเขา เขาก็ไม่ได้เงินเยอะแยะมากมาย ตอนนั้นเราถือว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุดในวงที่เจอทางอีกสายอาชีพหนึ่งก่อน แล้วก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ว่าเพื่อนแต่ละคนก็ยังไม่ทิ้งฮิปฮอป ไซม่อน ก็ยังแต่งเพลงฮิปฮอปให้กับศิลปินคนอื่น ๆ แต่งเพลงโฆษณา แลคตาซอย 5 บาท 125 มิลลิลิตร เพลงของทาทายัง (I Believe) เขาก็เป็นคนแต่ง แต่งเพลงโด่งดังมากมายแล้วก็แต่งเพลงโฆษณาเยอะ ส่วน เอเอ ก็ไปเล่นละคร เพราะตอนนั้นเขาหล่อที่สุดในวง เขาก็มีงานต่อเนื่อง ส่วน โทนี่ มีช่วงหนึ่งที่เราเบรกวงไป เขาก็กลับไปอเมริกา เขาก็รู้สึกว่างานที่เขาชอบจริง ๆ คือการได้เป็นศิลปิน เขาก็เลยกลับมาที่เมืองไทยอีก หลังจากนั้นเราก็ได้ออกกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าอยู่แบบเป็นสังกัดเล็ก ๆ เป็นโปรเจกต์เล็กๆ ที่ทางแกรมมี่เป็นคนออกให้ ชื่อโปรเจกต์ว่า Hip Army ก็จะมีเพลงเราอยู่ด้วย ตอนนั้นคือเพลง Warnนิดๆ พอทำมาได้สักพักนึงงานจ้างมันน้อยมาก เราก็เลยรู้สึกว่าฮิปฮอปทำเป็นงานหลักไม่ได้ มันต้องทำเป็นงานอดิเรกหรืองานที่เราชอบจริง ๆ เราถึงจะทำเป็นฮิปฮอปได้ พอเรารู้ตัวเราก็ต้องไปหาอาชีพตามที่ตนเองถนัด ถามว่ารักไหมรัก อยากกลับมาไหม ทุกคนยังเจอกันเหมือนเดิม เวลาที่เราไปเที่ยวพัทยา ไซม่อน เขาทำงานโรงแรมที่นั่น เราก็จะชวนวงไปหา ไซม่อน แกก็แต่งเพลงไว้เยอะเหมือกัน พอไปถึงก็เอาเพลงให้พวกเราฟัง พอเจอกันมันก็ทำให้รู้สึกเหมือนเรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง มันมีความสุขนะ เราว่าถึงแม้ว่าเราจะผ่านกันมาหลายปี ต่างคนต่างใช้ชีวิต มีครอบครัวแล้ว มีลูกมีเต้าไป แต่พอกลับไปทีไร เพลงฮิปฮอปก็เหมือนตัวเชื่อมที่พาเรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง กลับไปมีไฟอีกครั้ง ทุกครั้งที่เรากลับไปรวมกัน มันอยากจะกลับมาร้องเพลงทุกครั้งเลย แต่พอห่างกันไปมันก็ลืม ๆ ไป จนทุกวันนี้พี่ก็แบบ เฮ้ย ม่อน ถ้าว่างแล้วมาร้องเพลงปล่อยลงยูทูบกัน ไซม่อน ก็เริ่มสนใจเริ่มรู้สึกว่าอยากปล่อยเพลงลงยูทูบ ใครไม่ฟังไม่เป็นไร เราทำเอาสะใจดีกว่า (หัวเราะ) คือตอนนี้เราเริ่มมีเงินกันแล้ว ทำงานมีเงินกัน พอมีเงินมันก็ไม่เครียดแล้ว การแต่งเพลงก็ไม่ได้ซีเรียสว่านี่คือความหวังเรา เราจะหาเงินจากตรงนี้ มันไม่เครียดแล้ว เพราะฉะนั้นเราคิดว่าฮิปฮอปยุคนี้ถ้าได้ออกอัลบั้มหรือซิงเกิลมามันคือความเท่ สนอง need ของตัวเอง เขาเรียกว่ามันเป็นการชี้จุดยืนของตนเองว่าเราก็ไม่ได้เลิกราไป แต่ถ้าจะให้หากินจากตรงนี้มันไม่ได้
นอกจากวงที่มันดังจริง ๆ ติดลมบนไปแล้วอย่าง ไทยเทเนียม, โจอี้ บอย, บุดดาเบลส เพราะฉะนั้นถ้าเป็นวงแบบนั้นมันมีสิทธิ์ได้เงิน เพราะมีคอนเสิร์ตบ่อย มันต้องแรงจริงปังจริง อย่างสมมติว่าวงใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่เราเห็นได้ชัดอย่างสิงห์เหนือ เสือใต้ ช่วงที่พีคก็พีค ช่วงที่ฮิปฮอปเริ่มดาวน์ สิงห์เหนือ เสือใต้ก็ดาวน์ไปด้วย อันนี้มันจะบอกว่าบางทีแล้วการที่เราทำเพลงฮิปฮอปสมาชิกในวงจะต้องมีกำลังใจที่ดี มันต้องมีกำลังใจจากคนฟังหรือคนที่ชอบ ยิ่งถ้ามีคนที่ชอบเพิ่มมากขึ้น มันก็จะมีกำลังใจให้เราทำเพลงต่อไป ซึ่งเราก็รู้ว่าถ้าเราทำออกมาแล้วคนฟังมีกลุ่มเดียว ไม่ได้เงิน คอนเสิร์ตไม่มี เหนื่อย ไปทำอย่างอื่นไหม มันเลยทำให้ฮิปฮอปบ้านเราจากที่เคยโชติช่วงชัชวาลมันก็มาแป๊ปเดียวเหมือนไฟเย็นที่ค่อย ๆ มอดไป คือความไม่ต่อเนื่องของศิลปินที่ออกอัลบั้มในยุคนี้ และเพลงที่สามารถทำให้คนชอบได้จริง ๆ มันก็มีน้อยด้วย อย่างดาจิมตอนนั้นเพลงเขาดังมาก โยกย้ายๆ พอชอบมากปุ๊บกระแสฮิปฮอปมันก็มา เพียงแค่ตอนนี้ขอให้เพลงฮิปฮอป ของใครดังเพลงเดียวก็ได้ แล้ววงฮิปฮอปก็จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนมีไฟในการทำงานอีกครั้ง ทุกครั้งที่เพลงฮิปฮอปติดชาร์ตในคลื่นเรา เราโคตรดีใจเลย มันเหมือนแบบ เฮ้ย เอาเว้ย มาแล้ว คนจะได้นึกถึงพวกเรา ซึ่งทุกครั้งที่เราจัดรายการคนก็จะแบบให้เราเปิดเพลงของตัวเองบ้าง หรือไม่ก็ พี่เชาขอเพลงวง Da Killerz วงพี่หน่อย คือเขารู้ว่าถ้าดีเจเป็นเราเขาจะขอเพลงฮิปฮอปได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะไม่ค่อยกล้า มันก็เลยรู้สึกว่าวงขาดช่วงกับความที่นิยมที่ไม่ต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่ทำให้ฮิปฮอปหายไปในปัจจุบัน
ฝากอะไรถึงแฟนเพลง Da Killerz ให้หายคิดถึงหน่อย
ก็ดูแลตัวเองดี ๆ (หัวเราะ) เราก็ยังมีกรุ๊ปไลน์คุยกันอยู่ เราก็ยังรักยังคิดถึงกันเสมอ อย่างเวลาที่ไปหา ไซม่อน ที่พัทยาบางทีเสาร์อาทิตย์ก็ชวนเพื่อนอย่าง โทนี่ เอเอ มาทานข้าวที่บ้านกัน อยากให้ทุกคนแบบยึดแนวตรงนี้ไว้ ยึดจุดยืนของเราไว้ เพราะฉะนั้นแล้วอยากให้เพื่อน ๆ แต่งเพลงเยอะ ๆ อยากให้หลายคนกลับมารวมกัน อาจจะทำเป็นโปรเจกต์เล็ก ๆ ก็ได้ เป็นเพลงประกอบละคร ประกอบรายการ ประกอบหนังหรือทำเล่น ๆ ลงยูทูบก็ได้ ยังไงก็ยังรักและคิดถึงเพื่อนๆ Da Killerz ทุก ๆ คนถึงแม้ว่าวันนี้เราจะไม่มีซิงเกิลหรือออกอัลบั้มร่วมกัน แต่ความผูกพัน ความสัมพันธ์ของพวกเรายังเหมือนเดิม ยังเป็นเพื่อนที่รักและหวังดีต่อกัน มีอะไรก็โทรหากันตลอด แต่ถ้าเป็นไปได้ เราอยากให้ใครสักคนจัด Reunion Hip hop เอาวงในอดีตมารวมกัน เช่น วงหนึ่งอาจจะร้องสักเพลงสองเพลงก็ได้ เพราะแต่ละคนอายุเยอะแล้วก็อาจจะไม่ไหว (หัวเราะ) ก็อาจจะเป็น ขันที 2 เพลง Da Killerz 2 เพลง ดาจิม นายครรชิตกับทิดแหลม อยากให้มีคนจัด ซึ่งเราเคยคิด แต่มันรวบรวมยาก เพราะวงอื่นเราไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนกันแล้วตอนนี้ แต่ถ้ามีใครทำได้ผมกราบเลย วิงวอนเลย อยากให้ทำมาก แล้วเราเชื่อว่าถ้าทำแล้วคนจะฟังฮิปฮอปเพิ่มขึ้นและฮิปฮอปจะกลับมาอีกครั้งครับ