เรื่องราวบทใหม่ของ Blissonic
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Raweepat Pimkaew
“เนิ่นนานที่ฉันยังแปลกใจ เหตุใด เจ้าหญิงต้องรอเจ้าชาย…” เมื่อเนื้อร้องคล้ายนิทานก่อนนอนกับดนตรีสุดดาร์กไม่คุ้นหูเริ่มบรรเลงขึ้น เด็กมัธยมในยุคนั้นก็พากันจับกลุ่มท่องเนื้อเพลงแล้วเอามาร้องแข่งกันช่วงหลังเลิกเรียน นี่เป็นอีกกิจกรรมที่เกิดจากความประทับใจแรกเมื่อได้ฟังเพลงเท่ ๆ เพลงนี้ของ Blissonic จนถึงวันนี้เพลง เจ้าหญิงคนต่อไป ก็ยังเท่สำหรับเราและฟังได้เสมอไม่มีเบื่อ วันนี้เราได้มาเจอกับพวกเขาอีกครั้งหลังห่างหายจากวงการดนตรีไปนาน แต่รอยยิ้ม แววตา และน้ำเสียงยามที่พวกเขาพูดถึงอดีตยังสดใสเหมือนเมื่อพวกเขายังเพิ่งเป็นที่รู้จักใหม่ ๆ
สมาชิก
พีท ตันสกุล (พีท) ซินธิไซเซอร์, กีตาร์
มณีรัตน์ เรเชล ฮุนตระกูล (บิ๋ม) ร้องนำ
Chapter 1 ครั้งแรก
ทั้งสองคนมาทำเพลงด้วยกันได้ยังไง
พีท: กลับไปเมื่อปี 2000 ผมมารู้จักกับบิ๋มเพราะเขาเป็นน้องของเพื่อน ตอนนั้นบิ๋มทำกราฟิก ส่วนผมทำด้านเว็บไซต์อยู่ ก็หลอกล่อด้วยการชวนมาทำงานด้วยกันไปก่อน แล้วจากนั้นก็คุยกันไปเรื่อย ๆ จนมาเจอความสนุกตรงที่เขาชอบเพลงเหมือนกับผมอย่าง Massive Attack, Potishead จะมียุคนึงที่จะมีแต่เพลงพวก Bristol sound เราก็แลกเปลี่ยนเรื่องเพลงกัน จนวันนึงบิ๋มก็บอกว่าเขาเป็นคนชอบร้องเพลงในห้องน้ำ เราก็ว่าน่าสนุกถ้าจะมาทำเพลงกันเอง
บิ๋ม: จริง ๆ ทั้งหมดเนี่ย คือมาจีบ (หัวเราะ) วันนั้นนั่งรถกันแล้วบิ๋มก็ร้องเพลง พี่พีทว่าเสียงเราพอได้นี่ เราก็บอกว่าเราชอบร้องเพลงในห้องน้ำ แป๊บนึงเขาจัดแจงมีเพลงมาให้ร้องเสร็จเลย
พีท: ตอนนั้นมันก็เป็นเพลงที่ทำกันเล่น ๆ ส่งให้เพื่อนฝูงฟังกัน จนลองเอาเพลงไปให้ ก้อ-ณฐพล ศรีจอมขวัญ ที่อยู่ The Ghost Cat ด้วยกันตอนนี้ฟัง ถามว่าจะให้เพลงเราไปเปิดในวิทยุต้องทำยังไงบ้าง เราไม่เคยมีประสบการณ์ ก้อก็แนะนำว่าให้ลองหาคนเขียนเนื้อที่เป็นภาษาไทย เพราะภาษาไทยน่าจะสื่อสารได้ดีกว่าเนื้อที่บิ๋มเขียนเองเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยตลาดตอนนั้นก็ยังไม่เหมือนสมัยนี้และต้องมีขั้นตอนอะไรยิบย่อย จนก้อไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้วง โซฟา ผมได้ไปมิกซ์ให้ด้วย ก็เลยชวนโตนมาทำ Blissonic เหมือนเป็นสมาชิกอีกคน
แล้วหลังจากนั้นหายไปไหนกันมา
พีท: ก่อนหน้าที่จะปล่อยอัลบั้มในปี 2005 ผมก็ทำงานเบื้องหลัง mixing, mastering ให้ศิลปินหลาย ๆ วงอยู่แล้ว เช่น Groove Riders, แสตมป์, ลุลา ส่วนตอนนั้นบิ๋มทำงานกราฟิก ก็ได้เจอผู้คนในวงการเอเจนซี่หรือมีเพื่อนฝูงที่ทำงานด้านวิทยุ ก็ชวนบิ๋มมาเป็นดีเจคลื่น Met 107 แต่ตอนนี้มาทำอยู่ที่ HD1 93.5
ทำไมเลิกทำเพลง
พีท: ย้อนไปตอนปี 2002 เราทำซิงเกิล ครั้งแรก แล้วส่งไปที่ Fat Radio ที่เดียว พอส่งไปที่นั่นคนฟังก็จะเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มเดียว ก็รู้สึกอบอุ่นดีครับ แต่พอจะปล่อยเป็นอัลบั้มเต็ม สมัยนั้นไม่มีสื่อโซเชียลมีเดียมากมายเท่าสมัยนี้ เราก็มองหาหนทางว่าจะไปทางไหนดีที่จะทำให้เพลงของเราไปสู่หูคนฟังได้มากขึ้น ก็คิดว่าต้องไปทำงานกับค่ายเพลงที่ Genie Recordsตอนนั้นก็ปล่อยให้เราทำทุกอย่างเอง 100% จนเสร็จ แล้วเขาก็ช่วยเราโปรโมตสื่อ วิทยุ ทีวี ค่าใช้จ่ายการเดินทางไปเล่นที่ไหนค่ายก็ดูแลส่วนนี้ทั้งหมด แต่ด้วยความที่วงของเรามี 2 คนจะต้องมีนักดนตรีมาช่วยเล่นมากมาย การเคลื่อนตัวมันจะไม่ค่อยสะดวกเหมือนวงร็อกที่เล่นกัน 4 คน แล้วด้วยงานเบื้องหลังที่ผมทำแล้วก็งานของบิ๋มมันทำให้ไม่สามารถเล่นโชว์ไปได้ช่วงนึง จนถึงจุดนึงเรารู้สึกว่าเราต้องเลือกว่าจะทำยังไงดีกับอนาคตของวง จะทำอัลบั้มใหม่หรือยึดการทำงานประจำ เราก็มานั่งคุยกันว่าความสนุกของเราคืออะไร ความสนุกของเราคือการได้ทำเพลง การได้สร้างเพลงใหม่ ๆ ออกมา ได้อยู่ในห้องอัด การสร้างเสียงต่าง ๆ การออกไปเล่นโชว์ ติดอยู่แค่เรื่องความซับซ้อนวุ่นวายในสิ่งที่เราต้องทำเอง บวกกับเวลาที่ต้องใช้เยอะ ทั้งซ้อม ทั้งนัดวง ดีลกับหลาย ๆ เรื่อง แล้ววงเราจะไม่ค่อยเล่นเพลงคัฟเวอร์เท่าไหร่ แล้วเราจะพยายามดันเพลงของตัวเอง ซึ่งเราก็เข้าใจว่าคนที่มาดูเขาอาจจะไม่ได้อยากฟังเพลงของเราทั้งหมด เขาอาจจะอยากฟังเพลงที่ฮิตอยู่ตอนนั้น ด้วยความดื้อ หัวรั้น สมัยที่เรายังเด็กกว่าตอนนี้มาก (หัวเราะ) มันก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เราพัก ไม่เล่นโชว์แล้ว ตอนนั้นเราเลยกลับไปทำสิ่งที่ตัวเองทำก่อนออกอัลบั้ม แล้วค่อยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ดูไปดูมาก็ล่วงเลยมาเป็น 10 ปี ซึ่งจริง ๆ Blissonic ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการทำงานของผมครับ ก่อนหน้าที่ผมทำคนอาจจะไม่รู้จักเยอะมาก แต่พอไปทำกับค่าย รู้จักนักดนตรีคนอื่น เขาก็ให้โอกาสผมเข้าไปทำงานด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับดนตรี ส่วนบิ๋มคนก็ได้ไปทำงานวิทยุ แล้วก็อ่านสปอตโฆษณาจากที่คนได้ยินเสียงร้องและเป็นที่รู้จักจาก Blissonic
แฟนเพลงที่มาดูโชว์ตอนนั้นเป็นใคร
พีท: เด็ก ๆ มหา’ลัยครับ สมัยนั้นมันยังเป็น Myspace เราก็มีคนตามอยู่ประมาณหลักพัน ไม่ได้เยอะอะไร แล้วก็ทำเว็บไซต์ของตัวเองคล้าย ๆ ฟอรั่มให้คนเข้าไปพูดคุยกัน ก็มีแฟนเพลงเหนียวแน่นกันไม่เกินหลักร้อยแหละครับ มีมีตติ้ง คุยกัน แล้วกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ไปตามดูโชว์ที่ต่าง ๆ แล้วพอมีเพลงนึงเกิดดังในวงกว้าง คือ เจ้าหญิงคนต่อไป ช่วงนั้นก็จะมีแฟนเพลงขาจร ซึ่งบางคนเขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าวงเราเคยทำอะไรมาบ้าง แต่เขาชอบเพลงนี้ ก็ตามไปดู
ครั้งแรกเราไม่มั่นใจเลย พูดกับพี่โตนตลอดว่า ถ้าคนทำคัฟเวอร์แล้วเขาร้องดีกว่าบิ๋ม บิ๋มจะทำยังไง พี่โตนบอกว่าเขาจะร้องเป็นแบบไหน เขาไม่ใช่ออริจินัล เพราะฉะนั้นเราเริ่มทำไปก่อน มันเป็นผลงานของเราที่เราทำ เราก็ เอาวะ
เพลง เจ้าหญิงคนต่อไป ปรากฏการณ์ของเพลงไทยยุคนั้น
พีท: เล่าให้ฟังการทำงานคร่าว ๆ คือผม บิ๋ม โตน นั่งกันอยู่ 3 คน ส่วนมากจะคุยถึงประสบการณ์ชีวิตกันว่าจะเอาเรื่องไหนมาเขียนเพลงดี เพลงอื่น ๆ ก่อนหน้าจะพูดถึงความรักทั่วไป การเจอกันแล้วก็จากกัน อะไรแบบนี้ แล้วเพลง เจ้าหญิงคนต่อไป คือเพลงที่เขียนเป็นเพลงท้าย ๆ แล้วในอัลบั้ม ด้วยความที่ดนตรีมันค่อนข้างจะดาร์กกว่าเพลงอื่น เลยคิดไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี จนวันนึงก่อนที่โตนจะมาหาผมเขาขับรถผ่านแดนเนรมิต แล้วรถก็ติดอยู่ตรงนั้นหรืออะไรสักอย่าง โตนก็มองปราสาทที่อยู่ในนั้น แล้วอยู่ ๆ เขาก็คิดเนื้อเพลงเป็นเพลงนี้ พอมาถึงก็เล่าให้ฟังว่า เนี่ย ได้ไอเดียของเพลงนี้ละ ตอนแรกบิ๋มชอบนะ แต่ผมเป็นคนคัดค้าน บอกว่าคนเขาจะชอบหรอ มันไกลตัวมากเลยนะ พูดอะไรก็ไม่รู้ แต่บิ๋มกับโตนเขาเป็นคนคอยโน้มน้าวผมว่ามันต้องเป็นแบบนี้แหละมันถึงจะดี พอเห็นดีเห็นงามด้วยกันแล้วก็ลุยกันไป
บิ๋ม: ตอนร้องที่โหดมาก สองคนนี้เล่นเกมฟุตบอลแล้วบอกให้บิ๋มไปท่องเนื้อ (หัวเราะ) ตอนอัดนี่อัด 3 ชั่วโมงจนเสียงแห้งเลย คือมันไม่ได้อะ ทั้งเนื้อ ทั้งฟีลลิ่ง ทุกอย่าง แต่เพลงนี้เป็นปรากฏการณ์อีกอันนึงนะ คือตอนเข้าค่ายไปแล้ว พี่นิค-วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ที่ Genie Records เขาจะปล่อยเพลง บอกฉันหน่อย ปกติตอนนั้นเขาจะส่งซิงเกิลเดียวไง บิ๋มบอกว่า ไม่ได้ ต้องปล่อย เจ้าหญิงคนต่อไป เขาก็บอกว่า จะบ้าหรอ ใครจะฟัง เป็นเพลงที่จะทำให้วงดูเก๋ ๆ เท่านั้นแหละ แต่บิ๋มว่ามันจะต้องดังมาก ก็มีแต่บิ๋มคนเดียวแหละที่ดื้อมาก จะเอา ๆๆๆๆ ให้ได้ จนพี่นิคบอกว่า โอเค ยอม ก็คือส่งเพลง บอกฉันหน่อยไป แล้วแถมเพลง เจ้าหญิงคนต่อไป ไปให้ด้วย แต่ปรากฏว่าทุกคลื่นเปิด เจ้าหญิงคนต่อไป บิ๋มนี่ตบขาฉาด
ตั้งใจให้เนื้อเพลงเป็นเฟมินิสต์ด้วยไหม
บิ๋ม: มิวสิกวิดีโอนี่เฟมินิสต์สุด ๆ อะ ที่ถีบหัวส่งเจ้าชาย (หัวเราะ)
พีท: เนื้อเพลงตอนแรกมีหลายเวอร์ชันครับ มันจะจบหลาย ๆ แบบ มีทั้งโหดกว่านี้ แล้วก็จบ happy ending แต่ด้วยความที่เราอยากให้เป็นการจบแบบปลายเปิด ก็คุยกับโตนว่าให้คนฟังเขาสามารถเอาไปคิดได้ว่ามันเกี่ยวกับอะไรโดยที่เราไม่ได้บอกว่ามันควรจะเป็นยังไง พอหลังจากเพลงปล่อยไป ผมไปอ่านที่เขาไปตีความเพลงนี้เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งบางอันมันก็ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราคิด บางอันมันก็ไปทางไหนเลยก็ไม่รู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะ ผมก็ชอบที่เพลงมันสามารถทำงานได้ในหลาย ๆ แบบ ส่วนเนื้อเพลงเวอร์ชันนี้คือบิ๋มเป็นคนเลือกให้เจ้าชายตายตอนจบ แล้วเจ้าหญิงก็ไม่รอ เจ้าหญิงไปต่อเอง
บิ๋ม: Girl power (หัวเราะ) เราคิดว่าทำไมเราต้องรอใคร ในเมื่อมันไม่จำเป็น เพราะชีวิตคนปกติเราต้องพึ่งตัวเองอยู่แล้ว
พีท: แล้วทำไมต้องรอให้เจ้าชายตายก่อนแล้วค่อยไป
บิ๋ม: นึกได้ตอนเขาตายแล้วก็ไม่มีใครช่วยชั้นแล้ว (พีท: โอเค)
รู้สึกยังไงที่เพลง เจ้าหญิงคนต่อไป ทำให้คนกลับมาฟังงานชิ้นก่อน ๆ ของเรา
พีท: ก็มีหลายกระแสนะครับ กระแสที่ดีเขาก็บอกว่าวงนี้ทำเพลงหลากหลายดีนะ หรือบางคนมาเจอผมก็บอกว่าทำเพลงละเอียดดี แล้วคนก็ชมเสียงบิ๋ม ถึงจะไม่ได้เป็นนักร้องที่เสียงมีพลัง แต่ก็เป็นเสียงที่มีเสน่ห์ พวกเราก็ดีใจ แต่อีกกระแสนึงเขาก็บอกด้วยความคาดหวังน่ะครับว่า พอเขาได้ยินเพลง เจ้าหญิงคนต่อไป เขาก็นึกว่าเพลงอื่น ๆ ของเรามันจะเป็นแบบนั้นไปด้วย ก็ถามว่าทำไมไม่ทำเพลงอย่างนั้นอีก ผมก็ต้องบอกเขาตรง ๆ ว่ามันก็ยากสำหรับเราที่จะสร้างอะไรเหมือนเดิม เพราะตอนที่เราทำเพลงทุกเพลง เราไม่เคยมานั่งคิดถึงอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น เราเอาความชอบส่วนตัวเป็นหลัก เราคิดว่าเพลงนี้เพราะแบบนี้ อีกเพลงก็ควรจะเพราะอีกแบบนึง ถ้าทำซ้ำเดิมสำหรับเรามันอาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ที่ทำเพลงใหม่กันอยู่ก็ไม่ได้ยึด referece หรือแนวทางเก่า ๆ ใด ๆ ทั้งสิ้น มันก็จะวิวัฒนาการไปในรูปแบบของเรา
บิ๋ม: พูดตรง ๆ ว่าตอนนี้ดนตรีมีเป็นสิบเพลง พี่พีททำไว้เยอะมาก ออกได้แบบไม่รู้กี่อัลบั้มแต่ไม่มีคนเขียนเพลง
พีท: มันจะมีอุปสรรคอยู่เสมอ ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไร แต่กับเรื่องโปรเจกต์นี้ ทุกครั้งที่เรามีเวลาคิดจะทำอะไรเมื่อไหร่ มันจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ทำให้มันไปไม่ถึงจุดที่เป็นมาสเตอร์สักที เช่น เมื่อต้นปีคุยกันว่าเราต้องมีเวลา ทำให้มันเป็นบทสรุปได้แล้วนะ เพราะก่อนหน้าก็เหมือนปล่อยหายไป ด้วยทุกอย่าง อายุ งาน มันคงไม่มีโอกาสได้มาทำอะไรอย่างนี้บ่อย ๆ ปีนี้ก็เป็นดีเดย์ที่จะทำให้มันเสร็จสัก 2 – 3 เพลง เริ่มทำดนตรีเรียบร้อย มีแนวทางทุกอย่างคิดไว้ในหัว ชวนเพื่อนคนนึงมาเขียนเนื้อ เขียนไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วเป็นภาษาอังกฤษ ตอนนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นภาษาไทยแต่ตอนนี้ตัดสินใจไม่เปลี่ยนแล้ว ทำต่อไปอย่างนั้น ส่วนเพลงภาษาไทยอีกเพลงที่ผมส่งให้เพื่อนอีกคนเขียนเพราะผมชอบเนื้อเขามาก ก็เกิดเหตุการณ์ว่าคุณพ่อเขาเสียพอดี หลังจากนั้นก็คิดว่าเขาคงไม่ได้อยู่ในมู้ดที่จะเขียนเพลงได้ แล้วผมถึงไปเจอสิ่งนึงที่เป็นคล้าย ๆ สัญญาณ วันนึงเดิน ๆ อยู่ก็เจอโตน คือผมไม่เจอโตน คนที่เคยเขียนเพลงให้เรามาประมาณ 5 – 6 ปีแล้ว เพราะเขาก็ไปทำงานในสายที่อาจจะไม่ค่อยได้เจอกัน ตอนจะทำBlissonic ใหม่ก็ไม่ได้นึกถึงเพราะไม่ได้เจอกันเลย แล้วพอเจอ กำลังจะถามว่าว่างไหม จะชวนมาทำงาน เขาก็บอกว่าจะบวช ซึ่งตอนนี้ก็คงเป็นพระอยู่ แต่ถ้าสึกแล้วก็คงจะถามว่าสนใจที่จะมาทำบทสรุปกันอีกทีหรือเปล่า คิดว่าเขาไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าได้เป็นโตนตอนนี้ก็คงจะราบรื่นครับ
ทำไมช่วงนั้นไม่ค่อยไปออกสื่อ
พีท: เหตุผลที่ว่าดื้อรั้นก็น่าจะมีส่วน เพราะวงเราเป็นวงที่เงื่อนไขเยอะมากครับ วงอื่นเขาให้ทำอะไรก็ทำกัน ด้วยความที่เรามีความคิดแบบเด็ก ๆ ต่อต้านสังคมนิดหน่อย
บิ๋ม: จนเหมือนตอนนี้เราทั้งคู่คุยกันมาตลอดว่าจุดประสงค์ของการทำเพลงไม่เคยมีความรู้สึกว่าอยากดัง ไม่ใช่คนที่อยากดัง เพราะถ้ามีโอกาสเราคงทำอะไรที่ทำให้เราดังขึ้นกว่านี้ไปแล้ว บางอย่างที่เขาจะให้เราไปออกก็ไม่เห็นว่ามันจะส่งเสริมเพลงของเราเลย ทั้งบิ๋มทั้งพี่พีทเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก พ่อแม่บิ๋มตอนแรกตกใจมากว่าบิ๋มเนี่ยนะจะเป็นนักร้อง โลกส่วนตัวมันสูงมากกก จะไปยืนบนเวทีได้ยังไง หรือตอนที่เราจะแต่งงาน อัลบั้มยังไม่ออก บอกพี่นิคว่าธันวาฯ นี้จะแต่งงานแล้วนะคะ ถ้าพี่ยังไม่ออกอัลบั้ม พี่ต้องโปรโมตเป็นวงผัวเมียกันนะคะ พี่นิคเรียกคนใน Genie ว่าตอนนี้มีตารางอะไรยังไม่ออก เอา Blissonic ดันไปก่อน แล้วตอนที่เราออกไปแป๊บเดียวเราก็แต่งงาน แล้วเราก็จงใจไม่เชิญสื่อเพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ผิดกับหลาย ๆ คน
อุปสรรคของระหว่างการทำเพลงที่เจอคืออะไร
พีท: อุปสรรคในช่วงนั้นมันไม่มีสื่อ ช่องทางที่ไปหาคนฟังได้ เรามานั่งคิดกันแล้วว่าถ้าเราไม่อยู่ค่ายมันจะต้องเหนื่อยมากที่ต้องไปดีลกับหลาย ๆ เรื่อง เวลามีคนจ้างไปเล่นก็ต้องมีทีมงาน ซึ่งด้วยสภาพชีวิตเรา คิดว่ามันค่อนข้างลำบากในการทำอะไรแบบนั้น ถ้าเป็นสมัยนี้ที่มีเฟซบุ๊กเพจ เราก็อาจจะทำอะไรได้มากกว่าในช่วงปี 2005 พอเราคิดจะทำเพลงนึงขึ้นมาตอนนั้นก็ต้องคิดภาพใหญ่แล้ว จะโปรโมตยังไง จะทำยังไงให้ไปถึงคนฟัง ด้วยความที่ตอนนั้นยังไม่มีสื่อ เราก็ค่อย ๆ พับไอเดียไป เพลงที่ทำไว้แล้วแล้วจะยังไงต่อ ถ้าไปคุยกับค่ายก็มีสิ่งที่ต้องทำหนึ่งสองสามสี่ ต้องไปเล่นโชว์ ก็มาตกที่เรื่องเวลา เราก็อาจจะไม่สะดวกไปโปรโมต เล่นโชว์ เพราะเราต้องทำอาชีพหลัก
บิ๋ม: สำหรับบิ๋ม อุปสรรคมันคือเวลา ไม่มี เช้าก็จัดรายการ บ่ายก็เลี้ยงลูก คือบิ๋มกับพี่พีทเลี้ยงลูกกันเอง เพราะฉะนั้นก็ต้องสลับกัน ตอนนี้ก็หนักเลยแบบ บิ๋มลงมาสตูดิโอ ลองร้องหน่อย เราไปไม่ได้เพราะลูกกำลังเล่นอยู่
Chapter 2 เมื่อได้ยินเพลงนี้
ตั้งใจจะทำอัลบั้มเลยไหม
พีท: คืองาน Blissonic ส่วนตัวผมทำในเวลาว่าง เป็นการพักผ่อนจากการทำงานอื่น ๆ ทำเพลงคนอื่น ถ้าเกิดเรามีเวลาว่างก็นั่งเขียน นั่งทำไปเรื่อย ๆ ทีนี้มันก็มีทั้งอันที่ดี อันที่ไม่ดี บางอันบิ๋มร้องไว้เมื่อประมาณ 8 – 9 ปีที่แล้วก่อนแต่งงานกัน เนื้อหามันก็เป็นเด็ก ๆ หน่อย (บิ๋ม: หวานแหวว) ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้มันก็คงไม่ใช่แล้ว ที่เราเลือก ๆ กันไว้ที่จะปล่อยในอนาคตน่าจะเหมาะกับภาพวงในปัจจุบัน
บิ๋ม: บางเพลงคือพี่พีททำไปได้ 80% แล้วโละเลย ไม่เอาแล้ว เพราะเบื่อ ก็เลยนาน
พีท: ความชอบมันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในช่วงเวลา 10 ปี เวลาฟังอะไรก็ตามที่มันเป็นแฟชั่นมาก ๆ ในยุคนั้นพอเราเอามาใช้ในเวลาที่มันเลยช่วงของมันไปแล้วมันก็ฟังแล้วแปลก ๆ
จะได้ฟังเพลงใหม่กันตอนไหน
พีท: จริง ๆ ผมวางว่าเพลงจะเสร็จมิถุนาฯ ครับ แต่อย่างที่เล่าให้ฟังมันมีอุปสรรคนู่นนี่ แล้วงานส่วนตัวก็ดึงเวลาไม่หมด แต่ยังไงก็ต้องเป็นปีนี้แหละครับ เพราะแพลนปีหน้าก็มีอย่างอื่นที่จะต้องทำ ตอนนี้เราตัดพวกความคิดมากทั้งหลายที่มีทั้งหมด สิ่งที่เราจะทำจะตอบสนองความต้องการส่วนตัวมากกว่า การทำครั้งนี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนฟังเท่าไหร่ อาจจะมียอดวิว 200 คนจากเพื่อนฝูง พ่อแม่พี่น้อง แต่ถือว่าเราทำบทสรุปของเราออกมาแล้ว เพลงจะเป็นยังไงก็ปล่อยให้มันทำงานของมันไป พอตัดความคาดหวัง ขั้นตอนต่าง ๆ ออกไปก็เหมือนไม่มีกรอบ อยากทำอะไรก็ทำ
บิ๋ม: จริง ๆ มันก็เหมือนที่เราทำอันแรก คือทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง แต่ค่ายนี่มาทีหลังนะ เราทำไปแล้ว 8 เพลง แล้วค่อยเข้าไปคุยกับค่าย เขาก็บอกว่ามันไม่โดน แต่เราบอกว่าเราจะไม่รื้อ เขาก็กล้ากับเรานะ เพราะคนอื่นในค่ายเราก็คือ Big Ass, Bodyslam ไม่ใช่แนวนี้เลย
พีท: เราต้องขอบคุณค่ายมาก ๆ เลยนะ เพราะมันเป็นการสวนกระแสในการทำงานแบบเก่า แล้วน้อยคนที่จะได้รับโอกาสแบบนี้ ผมจำได้ว่าที่คุยกับเขาตอนแรกว่าเราคงไม่ได้เงินกันหรอก แต่ก็อยากให้เพลงและภาพของวงการดนตรีแตกต่าง คนฟังที่เขามีทางเลือกได้ฟัง มันอาจจะไม่ได้เกิดอิมแพคอะไรมากมาย เราก็ไม่ได้เป็นวงใหญ่ แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นสีสันได้ พี่นิค แกยังอยากจะทำอะไรที่เป็นสีสันของวงการด้วยก็ให้โอกาสเรา
อุปสรรคมันมีอยู่แล้วทุกงาน อย่างเราก็กว่าจะผ่านอะไรได้หลาย ๆ อย่างก็เยอะแยะ แต่พอสุดท้ายมันออกมาได้ มันก็เป็นเหตุการณ์นึงในชีวิตที่มันเป็นเรื่องน่าจดจำครับ
จะมีโอกาสได้ดูเล่นสดไหม
พีท: เร็ว ๆ นี้ก็น่าจะมีเฟสติวัลบางงานที่เขาชวนไว้ แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะบอกเขาได้ว่าจะไปเล่นให้ได้มั้ย เพราะอย่างที่บอกว่าเราต้องมีแบ็กอัพ นักดนตรีมาช่วยเล่น ต้องซ้อมอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต้องจัดการ ถ้าจะมีหรือไม่มีจริง ๆ ขึ้นอยู่ที่บิ๋มแหละ ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า
บิ๋ม: ปัญหาสุขภาพรุมเร้าเหลือเกิน
พีท: แต่ก็อยากให้มีครับ หลังจากที่ผมไปทำโปรเจกต์ The Ghost Catก็ได้กลับไปเล่นดนตรีอีกครั้งนึง พอมันมีคนดู มี energy ก็มาเล่าให้บิ๋มฟังว่ามันเป็นความรู้สึกสมัยก่อนที่เราสนุกดี ตอนที่บิ๋มได้มีโอกาสทำตอนนั้น แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ เขาก็ยังพูดถึงทุกวันนี้ครับว่า energy ที่ได้รับจากคนดูมันเป็นอะไรที่สุดยอด ไม่สามารถที่จะเล่าออกมาเป็นคำพูดได้
บิ๋ม: ยกเว้นอยู่งานนึง (หัวเราะ) Pattaya Music Festival ปกติเราไปเล่นเนี่ย คนดูของเราจะเล็ก ๆ รู้จักกันดี มองไปก็จะเจอว่าคนนี้เขาตามมาฟังเราอยู่ตลอด แล้วเราไปตอบปากรับคำว่าจะเล่นงานนี้ ไปถึงปุ๊บ เราต้องขึ้นต่อจาก Super Junior เราไปเห็นคนไม่รู้กี่พัน ช็อกไปเลย ก็บอกพี่พีทว่าบิ๋มจะอ้วก ทำไมคนเยอะอย่างนี้ พี่พีทก็บอกว่าไม่เป็นไรบิ๋ม ชิลล์ ๆ ไม่ต้องตื่นเต้น แล้วพอเพลงเขาจบ เขากลับไปหลังเวที พวกแถวหน้าสิบแถวแรกก็หายไปด้วยเหมือนกัน สบายแล้ว ค่อยเป็นแบบเดิมที่พอจะรับได้หน่อย (หัวเราะ) อย่างพี่พีทเนี่ยเขาจะธรรมชาติมากกับการเล่นสด ไปดูเขาเล่นกับ The Ghost Cat เนี่ยเขาไม่มีประหม่าเลย บิ๋มเล่นนี่อ้วกก่อนขึ้นทุกครั้ง ผะอืดผะอม จะตายแล้ว ๆ ตื่นเต้นมาก แต่พอขึ้นไปแล้วก็โอเคขึ้นหน่อย ตอนนี้ก็คุยกับพี่พีทที่จะอัดร้องหลายครั้งว่าปีนี้เป็นอะไรไม่รู้ ป่วยเป็นโรคคอเจ็บประมาณ 4 – 5 ครั้ง ตอนนี้ไข้ 38 เสร็จจากสัมภาษณ์อันนี้จะไปหาหมอ สุขภาพไม่เอื้อเลย
พีท: ตอนปี 2005 อีกปัญหาที่บิ๋มไม่ได้ไปเล่นสดข้างนอกบ่อย ๆ ก็เรื่องสุขภาพนี่แหละครับ นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่เราต้องตัดสินใจว่าจะทำต่อไหม จริง ๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องตัดสินใจด้วยซ้ำ คือเราต้องเลือกให้สุขภาพมาก่อนนั่นแหละ
มีศิลปินยุคใหม่ ๆ เอาเพลงของ Blissonic กลับมาทำใหม่ รู้สึกยังไงบ้าง
พีท: พอเห็นก็รู้สึกดีนะครับที่มีคนเอาเพลงที่เราทำไว้ไปเล่น ช่วงแรก ๆ ที่เฟซบุ๊กมาก็เห็นศิลปินเขาทำเพจกัน เราไม่ได้อยู่ในยุคนี้ก็ทำเล่น ๆ บ้าง โพสต์เพลงเก่า ๆ เอารูปไปลงบ้าง แรก ๆ มีแค่ร้อยคน ตอนนี้ก็ไม่เยอะครับพันกว่านิด ๆ แต่เราก็เริ่มมองเห็นว่ามันมีช่องทางที่สามารถจะสื่อสารกับคนฟังได้ ศิลปินหลาย ๆ คนที่เราไปฟังเพลงเขาแต่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยอย่าง Polycat เนี่ยเขาทำเพลงกันเจ๋งมาก วันนึงเขาไปทำงานกับก้อ เขาก็ฝากบอกมาทางเราว่าอัลบั้ม Automatic เป็นอัลบั้มนึงที่เขาชอบ ก็ดีใจที่คนก็ยังฟังอยู่บ้างครับ
บิ๋ม: หลายคนบอกว่ายังฟังได้อยู่ ยังไม่รู้สึกว่าเชย แต่เรารู้สึกนิดนึงนะว่าเราเป็นวง cult เหมือนกัน คือเรามีแฟนเหนียวแน่นจำนวนนึงที่ถึงจะผ่านไป 10 ปี เราไม่ได้อัพเดตหน้าเฟซบุ๊กแต่ก็ยังมีคนมาไลก์เพจ ไม่รู้ว่ามายังไง
จะมีโอกาสได้ดูเล่นสดไหม
พีท: เร็ว ๆ นี้ก็น่าจะมีเฟสติวัลบางงานที่เขาชวนไว้ แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะบอกเขาได้ว่าจะไปเล่นให้ได้มั้ย เพราะอย่างที่บอกว่าเราต้องมีแบ็กอัพ นักดนตรีมาช่วยเล่น ต้องซ้อมอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต้องจัดการ ถ้าจะมีหรือไม่มีจริง ๆ ขึ้นอยู่ที่บิ๋มแหละ ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า
บิ๋ม: ปัญหาสุขภาพรุมเร้าเหลือเกิน
พีท: แต่ก็อยากให้มีครับ หลังจากที่ผมไปทำโปรเจกต์ The Ghost Catก็ได้กลับไปเล่นดนตรีอีกครั้งนึง พอมันมีคนดู มี energy ก็มาเล่าให้บิ๋มฟังว่ามันเป็นความรู้สึกสมัยก่อนที่เราสนุกดี ตอนที่บิ๋มได้มีโอกาสทำตอนนั้น แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ เขาก็ยังพูดถึงทุกวันนี้ครับว่า energy ที่ได้รับจากคนดูมันเป็นอะไรที่สุดยอด ไม่สามารถที่จะเล่าออกมาเป็นคำพูดได้
บิ๋ม: ยกเว้นอยู่งานนึง (หัวเราะ) Pattaya Music Festival ปกติเราไปเล่นเนี่ย คนดูของเราจะเล็ก ๆ รู้จักกันดี มองไปก็จะเจอว่าคนนี้เขาตามมาฟังเราอยู่ตลอด แล้วเราไปตอบปากรับคำว่าจะเล่นงานนี้ ไปถึงปุ๊บ เราต้องขึ้นต่อจาก Super Junior เราไปเห็นคนไม่รู้กี่พัน ช็อกไปเลย ก็บอกพี่พีทว่าบิ๋มจะอ้วก ทำไมคนเยอะอย่างนี้ พี่พีทก็บอกว่าไม่เป็นไรบิ๋ม ชิลล์ ๆ ไม่ต้องตื่นเต้น แล้วพอเพลงเขาจบ เขากลับไปหลังเวที พวกแถวหน้าสิบแถวแรกก็หายไปด้วยเหมือนกัน สบายแล้ว ค่อยเป็นแบบเดิมที่พอจะรับได้หน่อย (หัวเราะ) อย่างพี่พีทเนี่ยเขาจะธรรมชาติมากกับการเล่นสด ไปดูเขาเล่นกับ The Ghost Cat เนี่ยเขาไม่มีประหม่าเลย บิ๋มเล่นนี่อ้วกก่อนขึ้นทุกครั้ง ผะอืดผะอม จะตายแล้ว ๆ ตื่นเต้นมาก แต่พอขึ้นไปแล้วก็โอเคขึ้นหน่อย ตอนนี้ก็คุยกับพี่พีทที่จะอัดร้องหลายครั้งว่าปีนี้เป็นอะไรไม่รู้ ป่วยเป็นโรคคอเจ็บประมาณ 4 – 5 ครั้ง ตอนนี้ไข้ 38 เสร็จจากสัมภาษณ์อันนี้จะไปหาหมอ สุขภาพไม่เอื้อเลย
พีท: ตอนปี 2005 อีกปัญหาที่บิ๋มไม่ได้ไปเล่นสดข้างนอกบ่อย ๆ ก็เรื่องสุขภาพนี่แหละครับ นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่เราต้องตัดสินใจว่าจะทำต่อไหม จริง ๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องตัดสินใจด้วยซ้ำ คือเราต้องเลือกให้สุขภาพมาก่อนนั่นแหละ
มีศิลปินยุคใหม่ ๆ เอาเพลงของ Blissonic กลับมาทำใหม่ รู้สึกยังไงบ้าง
พีท: พอเห็นก็รู้สึกดีนะครับที่มีคนเอาเพลงที่เราทำไว้ไปเล่น ช่วงแรก ๆ ที่เฟซบุ๊กมาก็เห็นศิลปินเขาทำเพจกัน เราไม่ได้อยู่ในยุคนี้ก็ทำเล่น ๆ บ้าง โพสต์เพลงเก่า ๆ เอารูปไปลงบ้าง แรก ๆ มีแค่ร้อยคน ตอนนี้ก็ไม่เยอะครับพันกว่านิด ๆ แต่เราก็เริ่มมองเห็นว่ามันมีช่องทางที่สามารถจะสื่อสารกับคนฟังได้ ศิลปินหลาย ๆ คนที่เราไปฟังเพลงเขาแต่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยอย่าง Polycat เนี่ยเขาทำเพลงกันเจ๋งมาก วันนึงเขาไปทำงานกับก้อ เขาก็ฝากบอกมาทางเราว่าอัลบั้ม Automatic เป็นอัลบั้มนึงที่เขาชอบ ก็ดีใจที่คนก็ยังฟังอยู่บ้างครับ
บิ๋ม: หลายคนบอกว่ายังฟังได้อยู่ ยังไม่รู้สึกว่าเชย แต่เรารู้สึกนิดนึงนะว่าเราเป็นวง cult เหมือนกัน คือเรามีแฟนเหนียวแน่นจำนวนนึงที่ถึงจะผ่านไป 10 ปี เราไม่ได้อัพเดตหน้าเฟซบุ๊กแต่ก็ยังมีคนมาไลก์เพจ ไม่รู้ว่ามายังไง
ฝากถึงศิลปินรุ่นน้องที่เห็นเราเป็นไอดอล
พีท: อย่าหยุดเรียนรู้ อย่าหยุดทำครับ คือตอนนั้นถ้าเราหยุดทำก่อนปี 2005 ที่เราจะทำอัลบั้ม เราทำแค่ซิงเกิล นิด ๆ หน่อย ๆ จะเลิกหลายครั้งเหมือนกัน ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะไม่รู้มันจะเป็นไงต่อไป จะทำเป็นอาชีพได้ไหม แต่เราก็ดันทำมันไปเรื่อย ๆ อย่าไปยอมแพ้ครับ อุปสรรคมันมีอยู่แล้วทุกงาน อย่างเราก็กว่าจะผ่านอะไรได้หลาย ๆ อย่างก็เยอะแยะ แต่พอสุดท้ายมันออกมาได้ มันก็เป็นเหตุการณ์นึงในชีวิตที่มันเป็นเรื่องน่าจดจำครับ เพราะงั้นถ้าทำดนตรีหรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ทำไปให้มันสุด มันจะเป็นยังไงก็ตาม ถึงเราจะไม่ได้เป็นวงที่ประสบความสำเร็จ มีแฟนเพลงเยอะแยะ ได้รับการตอบรับอะไรมากมาย แต่มันก็เป็นช่วงเวลานึงที่มันค่อนข้างสำคัญมาก ๆ สำหรับชีวิต บิ๋มฝากอะไรน้อง ๆ มั้ย สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ (หัวเราะ)
บิ๋ม: บางครั้งมันมีอะไรที่เราไม่กล้า เรากลัว บิ๋มพูดเลยว่าบิ๋มไม่ใช่นักร้อง ที่เริ่มร้อง อัดเพลงครั้งแรก พี่พีทส่งไปเรียนร้องเพลงเลยนะ บอกว่าอีกหน่อยอาจจะต้องร้อง 5 – 6 เพลง เวลาไปโชว์หรืออะไร บางเพลงอาจจะยาก บิ๋มควรที่จะรู้เทคนิค บิ๋มก็แบบเกิดอะไรขึ้นกับเราวะเนี่ย ก็คิดว่าไหน ๆ เราต้องทำแล้ว เราต้องทำให้ดีที่สุด ก็ไปเรียนร้องเพลง ตอนนั้นก็ได้ น้ำมนต์ (ธีรนัยน์ ณ หนองคาย) มาเทรนเพราะเป็นเพื่อนกัน แล้วเสียงเขาอลังการเว่อวังมาก แต่เสียงเราแบบ… ครั้งแรกที่พี่พีทอัดเสียง บิ๋มฟังเสียงตัวเอง เสียงอย่างกับหนูแหนะ เสียงมันเล็ก ไม่มีพลัง พี่พีทบอกว่า บิ๋ม เราไม่ต้องเป็น Christina Aguilera ครั้งแรก เราไม่มั่นใจเลย พูดกับพี่โตนตลอดว่า ถ้าคนทำคัฟเวอร์แล้วเขาร้องดีกว่าบิ๋ม บิ๋มจะทำยังไง พี่โตนบอกว่าเขาจะร้องเป็นแบบไหน เขาไม่ใช่ออริจินัล เพราะฉะนั้นเราเริ่มทำไปก่อน มันเป็นผลงานของเราที่เราทำ เราก็ เอาวะ
พีท: และถ้าบิ๋มไม่กล้าดื้อวันนั้นก็คงไม่มีเพลง เจ้าหญิงคนต่อไป ออกมา
บิ๋ม: แต่อันนั้นความรู้สึกแรงกล้าจริง ๆ ตอนนั้นบิ๋มไม่ได้ฟังเพลงไทยเลย ฟังแต่เพลงฝรั่งซะส่วนใหญ่ แล้วพอเจอเพลงนี้บิ๋มแบบ หูย เพลงนี้เป็นเพลงไทยที่เจ๋งว่ะ แล้วเราเป็นคนร้องด้วยหรอเนี่ย เลยรู้สึกว่าคนอื่นต้องชอบ ต้องคิดว่าเจ๋งเหมือนเรา
พีทไปร่วมโปรเจกต์ The Ghost Cat ได้ยังไง
พีท: The Ghost Cat นี่ก็เป็นอีกโปรเจกต์นึงที่ยาวนานมาก น่าจะเริ่มทำเมื่อปี 2011 ตอนนั้นผมทำโปรเจกต์อะไรกับก้อก็จำไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนก้อเขาชอบแนวดิสโก้ แต่ช่วงนั้นเขาจะอินอิเล็กทรอนิก ซินธิไซเซอร์ด้วย ก็เลยเข้าทาง คุยกันสนุกว่าเราจะมาลองทำเพลงอีกแนวนึงมั้ย ก้อน่าจะคุยกับมาตร แล้วมาชวนผม กลายเป็น 3 คน ก็อยากได้คนมาเพิ่ม ตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อ The Ghost Cat เลยครับ แค่อยากทำดนตรีแนวที่ไม่เคยทำกัน พออยากได้มือกีตาร์ก็ไปชวนเท็ดดี้ วง Flure มา ก็ซ้อมดนตรี เขียนเพลงไปเรื่อย ๆ จากการซ้อมอาทิตย์ละครั้ง เริ่มมีเพลงออริจินัล เป็นรูปเป็นร่าง สุดท้ายก็ได้วินมา กลายเป็นโปรเจกต์ตัวนี้
ความยากในการทำ Blissonic กับ The Ghost Cat ต่างกันยังไง
พีท: ต่างครับ อย่าง Blissonic ผมเป็นโปรดิวเซอร์ก็สามารถตัดสินใจได้แทบจะเป็น 100% เลย ก็ถามบิ๋ม ถามโตนว่า แบบนั้นแบบนี้ดีไหม สุดท้ายก็กลายเป็นหัวใจทั้งหมดมาอยู่ที่ผม แต่ใน The Ghost Cat เนี่ย ก้อเป็นโปรดิวเซอร์ ผมเป็นสมาชิกในวง ก้อก็ให้เกียรติสมาชิกทุกคนตัดสินใจ แต่ว่าบทบาทมันก็จะต่างกัน ผมก็จะดูแลในสิ่งที่ผมถนัด การทำงานของพวกซินธ์อะไรแบบนี้
Chapter 3 บอกฉันหน่อย
ช่วงที่ Blissonic ยังมีผลงาน กับช่วงที่หายไป จนมาถึงตอนนี้ สังเกตความเปลี่ยนแปลงของวงการยังไงบ้าง
พีท: ในสมัยก่อนสื่อใหญ่ก็เป็นวิทยุกับทีวี ซึ่งผมก็มองว่าหลาย ๆ วงที่เป็นเพื่อนกันที่ไม่ได้อยู่ในค่ายหรืออยู่ค่ายเล็กก็จะมีการบ่นกันว่า ทำมิวสิกวิดีโอออกมาก็ไม่มีที่ไปปล่อย YouTube ก็ยังไม่ดัง เหมือนต้องปรับตัว ทำยังไงให้ได้เจอคนมากที่สุด ก็ต้องออกไปเล่น ซึ่งจริง ๆ ในยุคนี้มันต้องเล่นเหมือนกัน แต่สมัยก่อนสื่อมันน้อยวิธีการเข้าหาแฟนเพลงมันก็ยากกว่า ข้อจำกัดมันเลยกลายเป็นว่าต้องมีค่าย ต้องมีคนคอยซัพพอร์ต เพื่อจะไปถึงในจุดที่อยากไป แต่สมัยนี้ก็มีโซเชียลมีเดียมากมาย มีทั้งเรื่องดีและไม่ดี วงที่มีเพลง active ใน YouTube ในโลกนี้น่าจะมีเป็นล้านวง มันเป็น platform ที่ทำให้เข้าถึงคนฟังได้แล้ว แต่ในมุมกลับกัน วงเยอะ เพลงเยอะ อะไรที่มันเยอะมาก ๆ บางทีเราอยากจะฟังอะไรสักอย่างที่ชอบจริง ๆ มันก็เริ่มหายาก ต้องปรับตัว ตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมามันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งค่ายเล็กค่ายใหญ่อย่าง Spicy Disc ก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะเดินมาถึงจุดนี้ ตอนแรกที่เห็นเขาเปิดค่าย พอดีรู้จักกับศิลปินที่อยู่ในนั้นบ้าง จนมาถึงวันนี้เขาก็เป็นอีกทางเลือกนึงให้คนฟัง ค่ายอื่น ๆ อย่าง LOVEiS, smallroom ทั้งหลายที่เขาทำอยู่ ทุกคนก็มีช่องทางที่จะสื่อสารกับแฟนเพลงในแต่ละยุคได้ ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่ชัดเจนกว่าสมัยก่อน
ตอนนี้ถ้าเพลงเสร็จแล้วจะกลับไปเข้าค่ายไหม
พีท: คิดว่าคงไม่นะครับ อย่างนึงก็ปัญหาสุขภาพ เวลา ถ้าไปอยู่ในค่ายก็จะมีสิ่งที่เราต้องทำมากมาย แต่เดี๋ยวคงต้องไปชั่งน้ำหนักกันอีกที
ความสนุกที่ได้ทำเพลงคืออะไร
พีท: ผมสนุกตั้งแต่เริ่มคิดแล้วล่ะครับว่าอยากจะพูดถึงเรื่องอะไร อยากจะทำซาวด์แบบไหน เหมือนเราฟุ้งได้ทุกวันเวลาจะทำเพลง ตอนอาบน้ำก็คิดแล้ว เสียงในหัวคอยบอกว่าจะทำนู่นทำนี่ มันก็เหมือนฝันกลางวันคิดไปนั่นไปนี่ บางทีก็ฝันไปถึงว่ามิวสิกวิดีโอจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่พอลงมือทำจริง ๆ ก็อาจจะไม่ได้อย่างที่คิดก็มี ซึ่งมันก็เป็นความสนุก บางคนอาจจะชอบเล่นเกมจับโปเกมอนแหละครับ แต่ผมชอบทำด้านนี้มากกว่า (หัวเราะ)
บิ๋ม: ก็เป็นความสนุกที่ได้ออกมานอก comfort zone ของตัวเอง ชอบร้องเพลงแต่ไม่อยากให้ใครฟัง นี่คือความรู้สึกแรก พอทำออกมา มีงานนึงที่เราเล่นที่ AUA มีน้องคนนึงในเพจเข้ามาพูดทำนองว่า ทำไมต้องดัดเสียง ทำไมต้องแอ๊บ แล้วน้องเขาด่านะ แต่ตามไปดูด้วย พอมาดูก็บอกว่า พี่ครับ พอพี่อ้าปากพูดผมเข้าใจเลยว่านี่คือเสียงจริง ๆ ของพี่ ผมขอโทษ เราก็ อ๋อ ไอ้นี่นี่เอง (หัวเราะ) มันคือความชอบแต่ไม่มั่นใจมากกว่า จนตอนนี้พูดจริง ๆ ก็ไม่ได้ถือว่ามั่นใจเต็มร้อยนะ แต่มีความสุขที่ได้ร้อง บิ๋มว่าง ๆ นั่งร้องเพลง ตอนนี้ลูกร้องเพลงตลอดเวลาเพราะบิ๋มก็ร้องตลอด ได้ใช้เวลาร่วมกันกับลูก
ฝากอะไรถึงแฟนเพลง
พีท: ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกันครับ แต่ถ้าได้ตรงนี้เป็นสื่อกลาง ก็ต้องขอขอบคุณที่คอยถามไถ่ บางคนยังมาถามเราว่ามีซีดีเหลือหรือเปล่า เราก็บอกว่าไม่มีให้เขาไปโหลดตามเน็ตน่าจะยังมีอยู่ Apple Music งี้ ก็อยากขอบคุณที่สนับสนุนตลอด แล้วอย่างคำพูดที่เขียนมามันก็ช่วยเป็นกำลังใจให้เราทำต่อ แต่ตอนนี้แฟนเพลงสมัยนั้นบางคนเขาก็เลิกฟังเพลงไปแล้วมั้งครับ ตอนนั้นอยู่มหา’ลัย ตอนนี้คง 30 กว่า มีครอบครัว มีลูกแล้วมั้ง
บิ๋ม: บางทีเราคิดว่าบางคนก็ลืมเรา แต่ก็คิดว่าแฟนเพลงเราเหนียวแน่นจริง ๆ ตอนนั้นเขามาบอกว่าฟังตั้งแต่อยู่ม.4 แล้วเขาก็จะร่ายชีวิตเขาตอนนั้นแล้วบอกว่าเพลงเรามีผลอะไรกับชีวิตเขาบ้าง แล้วเรารู้สึกว่า เออ ดีเนอะ
พีท: บิ๋มเขาจะดีใจครับที่คนมาเขียนในเชิงบวก แบบ พี่พีทดูดิเขามาโพสต์อีกแล้ว ผมว่าเป็นทุกวงนะ
บิ๋ม: อย่างนึงบิ๋มว่าตอนนี้พี่พีทเขาทำแต่ mixing, mastering ให้วงนั้นวงนี้ มันเป็นส่วนน้อยมากกับความสามารถของเขา แต่ว่างานของเขามันเยอะมากอยู่แล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะ arrange เพลงของตัวเอง แล้วเขาก็ไม่อยากทำให้ศิลปินอื่น บิ๋มบอกว่าบิ๋มโอเคนะ ทำเลย เขาไม่ยอม เขาบอกว่าถ้าทำจะทำแค่ของ Blissonic
พีท: เดี๋ยวเขาหาว่าเป็นคนยากอีก (หัวเราะ) ใครจ้างก็ทำครับ จริง ๆ แล้วผมเป็นคนที่มีแนวทางค่อนข้างชัดน่ะครับ ถ้าเกิด mixing, mastering มันแนวไหนก็ได้ ผมทำตั้งแต่เพลงป๊อป เพลงร็อก ลูกทุ่ง มันเป็นอีกศาสตร์นึง แต่ถ้าแต่งเพลงใหม่ขึ้นมา คนที่จะมาทำเขาก็ต้องเข้าใจว่าผมเป็นคนแบบนี้ ทำแนวนี้ จะให้ผมหลุดเป็นแนวอื่นก็อยากจะลองทำให้ได้ แต่ก็ยังต้องมีติดลายเซ็นของเราอยู่ แล้วผมก็ปรับไม่ค่อยเก่ง ไม่ได้เป็นมือปืนรับจ้างที่จะทำอะไรก็ได้ ก็คือต้องเข้าใจกันในมุมนี้ก่อน ถ้าแนวทางตรงกันก็ทำ แต่น้อยงานที่มาแล้วจะเป็นลักษณะแบบนั้น บางงานมาก็จะมีโจทย์ตายตัวว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ผมก็ต้องปฏิเสธไปว่าทำไม่ได้ แต่พยายามจะยินดีทำทุกงานครับ
บิ๋ม: จริง ๆ เรามีแพลนเพลงคัฟเวอร์กัน บิ๋มฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่ามันเหมาะกับสไตล์เรา บางทีเราทำเพลงออกมาแล้วกุ๊กกิ๊กวัยหวานมาก ร้องไปแล้วไม่ใช่ แต่เพลงนี้เป็นเพลงที่บิ๋มบอกพี่พีทว่าทำกันมั้ย พี่พีทบอกว่ากำลังจะพูดเลย
พีท: เออ ใช่ ๆๆๆ เวลาเราทำอะไรในสตูดิโอเราก็คิดกันเยอะแหละครับว่าจะเอาไปให้คนอื่นฟังดีไหม เพลงที่เละ ๆ เราก็มีนะ ซึ่งไม่สมควรปล่อยออกไปเพราะเดี๋ยวจะทำลายภาพเก่า ๆ (หัวเราะ) แต่คราวนี้เรามาคิดว่าทำไปทำมาก็ควรให้คนอื่นได้ฟังบ้าง แต่ต้องทำให้มันดีหน่อย
บิ๋ม: เวลาไม่ช่วยอะไรพวกเขาเลย (หัวเราะ) มีทั้งบอสซาโนวา อิเล็กโทร ดาร์กมาก ๆ ก็มี เกือบจะ EDM ก็มี เยอะมาก
พีท: ทำไมมันห่วยไปเรื่อย ๆ (หัวเราะ) ไม่ใช่ครับ บางทีมันเป็นงานส่วนตัวก็มีสะท้อนสังคมบ้าง เป็นเหมือนสมุดโน้ตส่วนตัวมากกว่า ทำไปไม่คิดอะไร แต่คราวนี้เราก็คิดกันว่า จากเพจของเฟซบุ๊กที่มีคนเข้ามาเขียน มาถามถึง หลายคนบอกว่า ขอเพลงอะไรก็ได้ เพลงที่ทำทิ้ง ๆ ไปแล้วก็ได้ เอามาโพสต์เถอะ ก็มีความรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรให้เขาฟังกันบ้าง แต่อันเก่าอย่าไปทำอะไรกับมันเลย เอาอันใหม่ คัฟเวอร์เพลงเล่น ๆ ก่อนจะปล่อยอันจริงจังออกมาให้ฟังกัน
บิ๋ม: อันนี้คือไม่ต้องรอคนมาเขียนเนื้อร้องด้วย คือพี่พีททำดนตรีเสร็จ บิ๋มร้อง ก็ได้ละ จุดมุ่งหมายตอนนี้คือทำคัฟเวอร์ก่อน เดี๋ยวรอเช็กร่างก่อนว่าโอเคแล้วหรือยัง ค่อยว่ากัน
ติดตามผลงานและความเคลื่อนไหวของ Blissonic ได้ที่ Facebook Fanpage และ http://8bitmixlab.com/