Article Interview

Night and Day อัลบั้มเต็มที่สรุปการเดินทาง 5 ปีของ Fwends ไว้ใน 10 เพลง

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photos: Fwends Official

Fwends คือวงดนตรีที่มีผลงานออกมาให้เราได้ฟังกันอย่างสม่ำเสมอที่สุดวงนึง และสีสันในดนตรีที่เปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัยก็เหมือนเป็นเครื่องบันทึกเรื่องราวการเติบโตและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาผ่านพ้นมาร่วมกัน ตอนนี้การเดินทางของพวกเขาในขวบปีที่ 5 ได้ถูกสรุปไว้ใน Night and Day อัลบั้มเต็มชุดแรกที่ครบทุกรส พร้อมให้เราได้ฟังตั้งแต่พลบค่ำจนฟ้าสว่าง

อัลบั้มเต็มของ Fwends จะเป็นเพลงใหม่หมดเลยหรือว่ามีเพลงก่อนหน้าที่ปล่อยออกมาด้วย

ตอง: จะมี Why Can’t You See กับ For a While แต่เพลงหลังนี่เอามาทำใหม่ จริง ๆ ในอัลบั้มเป็นเพลงที่เคยเล่นสดบ่อย แต่ไม่ได้อัด อย่าง Talk Outside, Summer Love ทั้งหมดจะมี 10 เพลง

เมย์: เราเคยปล่อย For a While มานานมากแล้ว แต่เราอยากทำเป็นอีกเวอร์ชันนึงเลยลบอันเก่าออกไป มี Dear Friend ที่จะทำเป็นอัลบั้มเต็มเพราะเราเคยปล่อยไปแต่แบบที่เป็นอะคูสติก

ทำไมถึงชื่ออัลบั้ม Night and Day

เมย์: คำนี้มาจากเมลวิน เพื่อนเราที่เป็นโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้ด้วย พูดคำนี้ขึ้นมาแต่ไม่ได้จะให้เป็นชื่ออัลบั้มซะทีเดียวนะ แค่พวกเราคิดไปคิดมาแล้วชื่อนี้มันได้ว่ะ คือพอมันเชื่อมโยงกับเพลงในอัลบั้ม บางเพลงมันเป็นความรู้สึกแบบตอนกลางวัน บางเพลงมันเป็นตอนกลางคืน หรือแม้แต่ตอนเขียนเพลงเราก็ไม่ได้เขียนแค่ตอนกลางคืน อย่าง Summer Love เนี่ยเราเขียนตรงชายหาด สีของแต่ละเพลงมันจะค่อนข้างชัดว่าฟังแล้วรู้สึกถึงดนตรีแบบ day scene หรือ night scene ด้วย ไม่ใช่แค่เนื้อเพลง

กว่าจะเคาะมาเป็น 10 เพลงนี้ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวอะไรมาบ้าง

เมย์: เมลวินให้โจทย์ว่าไม่ให้ใส่เพลงเก่าเลย จริง ๆ Why Can’t You See ก็ไม่ให้ใส่เพราะถือว่าเราเคยปล่อยไปแล้ว แม้ว่ามันจะเป็น EP แต่เราอยากให้มีเพลงนี้ในอัลบั้ม เราเลยต้องแต่เพลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนแรกก็รู้สึกว่าไม่ทันแน่ แล้วอยู่ดี วันนึงซ้อมเสร็จเมย์ก็จดว่าเหลือเพลงอะไรอีก แล้วเมย์ก็นับ เอ้า ครบ 10 เพลงแล้วนี่หว่า (หัวเราะ) เราก็เลยอัดเดโม่ เข้าสตู

ตอง: เป็น process ที่ดีมากถ้าคุณมี deadline จริง process มันคือ 2 เดือน บวกลบแล้วจริง ไม่ทันด้วยซ้ำ

แล้วสองเพลงเก่า กับอีกแปดเพลงที่เหลือจะต่างกันมากไหม

เมย์: เรามิกซ์ใหม่ แต่พอฟังรวม มันก็จะยังดูคล้าย เดิมแหละ แค่ทำให้มันดูภาพรวมเข้ากันทั้งหมดเพราะต้องเอาไปมาสเตอร์ทั้งอัลบั้ม

เอก: เหมือน Why Can’t You See เป็นเพลงที่เราใช้ยึดว่าจะให้เพลงต่อ ไปออกมาในมู้ดโทนนี้ เหมือนเป็นตัวเปิดอัลบั้ม

ตอง: เพราะโทนของเพลงในอัลบั้มฝั่ง night มันจะคล้าย Why Can’t You See แต่ไม่ได้แบ่งเป็น 5/5 มันจะเป็นเพลงที่กึ่งอารมณ์โพล้เพล้ เย็น ร้อน ผสมกันอยู่ แต่บางเพลงก็จะชัดมากว่าสว่างจ้ามาก บางเพลงก็จะมืดสุด

พูดถึงแต่ละเพลงในอัลบั้ม

Talk Outside

เมย์: ตอนนั้นเราทะเลาะกับแฟนเก่า ทะเลาะแรงมาก แล้วเราไม่เคยเดือดขนาดนี้ ขับรถออกจากบ้านไปถึงที่ที่เขาอยู่ แล้วเราตะโกนแบบมีความเกรี้ยวกราดนิดนึงอะออกมาคุยกันข้างนอก!’  (หัวเราะ) ตอนนั้นเด็กอยู่ หลายปีมาละ แล้วทุกคนบนโต๊ะก็ช็อก แล้วเขาก็เดินออกมาคุยข้างนอก ตอนคุยอยู่มันมีคำว่าต้องออกมาคุยข้างนอกอะ เถียงกันไปเถียงกันมา จนเราอยากแต่งเพลงที่ชื่อ Talk Outside แบบมึงออกมาคุยกับกูข้างนอก ก็ให้ตองร้อง เนื้อเพลงก็มีแค่นั้น

ตอง: คือก็ให้คนตีความได้ด้วย ดนตรีมัน intense ให้รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ถึงขนาดต้องออกมาคุยข้างนอก อยากให้เป็นเรื่องอะไรก็เป็นแต่เราอยากให้มันเครียด

Summer Love

เมย์: แต่งตอนอยู่ทะเล ปิ๊งหนุ่มริมหาดคนนึง หล่อ เอามาแต่งเพลง จบ (หัวเราะ) เหมือนบางทีเราไม่ต้องอินกับอะไรขนาดนั้น แค่เจอเรื่องเรื่องนึงมาแล้วก็หยิบมาเป็นหัวข้อเขียนเพลง เราแต่งเพลง 80% จากการตั้งคอนเซ็ปต์ ที่เหลือจะจินตนาการเวิ่นเว้ออะไรต่อก็ได้ แล้วอีก 20% จะเป็นอะไรที่ออกมาจากสิ่งที่อยากพูดจริง แล้วค่อยมามีคอนเซ็ปต์

ซึ่งแค่สองเพลงนี้ดนตรีก็ต่างกันมาก แล้ว เอามาเรียงต่อกันเลยอะนะ

เมย์: So that’s why it’s Night and Day (หัวเราะ)

ไม่กลัวคนฟังขัดมู้ดหรอแบบฟัง อยู่แล้วอารมณ์เพลงเปลี่ยน

ตอง: จริง เซ็ตที่เล่นมาตลอดก็จะมีเพลงอย่างนี้เล่นสลับ กัน ตั้งแต่ Where Do We Go? แล้วกลับมา Why Can’t You See หรือ Fade Away มันมีความกระโดดกันอยู่

เมย์: มันก็เป็นสิ่งที่ Fwends อยากนำเสนอ ไม่ได้อยากทำออกมาโทนเดียว ถ้าให้เป็น Where Do We Go? ทั้งอัลบั้มก็คงไม่ไหว ทุกคนน่าจะหลอนเสียงเมย์ กินข้าวไม่ลง มันอาจจะสดใสไป

Front Row

เมย์: เพลงที่เพิ่งปล่อยไป เป็นเพลงที่แต่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา ตอนนั้นเราเล่นอินสตาแกรมอยู่แล้วเจอ Cherie Ko ลง IG Story วง Sobs คือ Celine เขาเล่นดนตรีอยู่ แล้วซูมไปที่แฟนของเซลีนที่อยู่หน้าเวที แล้วสายตาแฟนของเซลีนเขาดูอินแฟนมาก แบบ ‘I’m so proud of my girl’ เราดูแล้วเราก็อินเว่ย แต่เราไม่เคยมีความรู้สึกนั้น ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจให้เราเอามาเขียนเกี่ยวกับสิ่งนี้ มี Pyra มาช่วยพูดสองสามประโยคในเพลง แล้วก็มี Cuco มาเป่าทรัมเป็ตให้

จริง ตอนแรกเราคุยกับ JP เขาคือมือทรัมเป็ตวง Destroyer บอกว่าเราตั้งใจจะให้เพลงในอัลบั้มอย่างน้อยหนึ่งเพลงมีทรัมเป็ต เพราะเราชอบเขาเป่ามาก แล้วเขาก็ตอบตกลงไปละ แต่สุดท้ายแล้ว JP พิมพ์มาบอกว่า accident นิดหน่อย เขาไม่สามารถทำให้เสร็จทันเวลาได้ เราเลยปรึกษาเมลวินว่าเป็นไรไหมถ้าส่งมาเลต เมลวินบอกไม่ได้ มันไม่ทันจริง เพราะว่าลงวันมาสเตอริ่งไปแล้ว  ตอนนั้นเราอยู่อเมริกาเมื่อสัปดาห์ก่อน ๆ เองก็เลยถามเพื่อนที่อยู่ตรงนั้นว่ามีใครเป่าทรัมเป็ตเป็นบ้าง ทุกคนก็บอกว่าให้ Cuco เป่าแล้วกัน เพราะในขณะที่ทุกคนต้องไป Tropicalia Festival อะ Cuco มันเจ็บขาจากอุบัติเหตุเลยต้องอยู่บ้าน ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เลยส่งเพลงไปให้ฟังว่าโอเคไหม ช่วยหน่อย ขอเวลาสองวัน น้องก็บอกโอเคเดี๋ยวส่งมาให้ เราก็แบบ เย่ แต่จริง มันควรจะมีทรัมเป็ตจนจบเพลง แต่เนื่องจากว่าวันต่อมาน้องเจ็บแผลแล้วน้องเป่าให้เพิ่มไม่ไหว เราก็เลยเพิ่มโซโล่อย่างอื่นไปแทน

กร: ตอนแรกเพลงนี้เกิดจากการสลับตำแหน่งกันเล่นด้วย เหมือนเราไปเล่นกีตาร์ แล้วตองไปเล่นเบส เมย์ไปเล่นคีย์บอร์ดอีกตัว

เมย์: แล้วอยู่ดี ทุกคนก็เล่นเลย เมโลดี้อันนั้นก็ออกมาในตอนนั้น ตะโกนร้องออกมาเลย รู้สึกว่า เหี้ย ต้องอัดเพลงนี้เอาไว้ ฟังแล้วชอบ แต่เวลาเล่นสดก็กลับมาประจำตำแหน่งใครตำแหน่งมันนะ เคยมีไอเดียจะสลับนะแต่เอาลงไปและ (หัวเราะ)

For a While

ฟ้าใส: เขียนเพลงนี้ขึ้นมาเป็นเดโม่แล้วให้พี่ เขาแก้ แต่เรื่องเกิดตั้งแต่ตอนปีสอง ตอนนั้นไม่ได้อินเลิฟหรืออะไร แต่มีคำนี้ผุดขึ้นมาแล้วมันก็ลงตัวกับเพลงที่ขึ้นโครงมาพอดี แล้วก็รื้อกันไป 80%

เมย์: แต่ดนตรีอันที่ฟ้าใสเล่นมาก็ดูเป็นมันดีอะ ตอนนั้นก็เปลี่ยนไปครึ่งนึง จริง เพลงนี้แก้หลายรอบมาก เหมือนความที่มันไม่ลงตัวแล้วรอบที่เราแก้รอบสองสมาชิกเป็นหมีกับยูกิ แล้วพอตอนนี้สมาชิกเป็นไลน์อัพเดิมเราก็อยากให้ทุกคนเล่นที่ตัวเองอยากเล่น

กร: เอาจริงตอนนี้มันก็ใกล้เคียงนะ แต่ถ้าเล่นแบบที่หมีกับยูกิเล่นไว้มันไม่ใช่ทาง (เมย์: วิธีการตีกลองของหมีกับพี่เอกไม่เหมือนกัน กีตาร์ของตองกับยูกิก็คนละแบบกัน มันคือคนละสีเลยอะ) ก็ไม่ถึงกับรื้อใหม่ อิงจากกรูฟที่เล่นกันมาแหละ แล้วให้เล่นแบบที่ตองกับพี่เอกถนัด

Why Can’t You See

เมย์: เพลงนี้ตัวดนตรีมาจากห้องซ้อม มาจาก ตึกตึกตึกตึ๊ก

เอก: ใช่ มาจากอันที่เมย์ขึ้นมา แล้วลองต่อให้มัน ก็ทำโครงอะไรให้ไปเรื่อย จนจบ จริง เพลงนี้ทำมานานมาก มีหลายเวอร์ชันมาก จนมันมาลงตัวเวอร์ชันนี้ มันเคยเป็นเพลงที่มีเวิร์ส มีฮุก มีโซโล่ กลับมาฮุกอีกรอบ (ตอง: เป็นสิบนาทีแล้วตัดต่อเหลือสามนาทีครึ่ง)​

เมย์: เนื้อเพลงเราอยู่คาเฟ่กับบีม ไปเจริญกรุงแล้วบอกว่า mission วันนี้คือกูต้องแต่งเพลงนี้ให้ได้ เพราะเพื่อน ทำดนตรีเสร็จแล้ว แล้วเมย์ต้องเขียนเนื้อ แต่ก็ไม่รู้จะเขียนว่าอะไร แล้ววันนั้นฟ้ามันครึ้มมาก ก็นึกถึงคำว่า ‘Looking for the sun when the sky is cloudy’ อยากได้แสงอาทิตย์อะ เลยได้เป็น rhyme เขียนต่อมาเรื่อย เป็นไอเดียเปรียบเปรยตรงนี้ แล้วก็ได้อิ๊กช่วยเขียนเนื้อเวิร์ส 2 ด้วย (หัวเราะ)

อิ๊ก: ก็คืออยู่กับเมย์ที่คาเฟ่นึงที่เอกมัยแล้วเมย์บอกอิ๊ก กูคิดไม่ออก ช่วยเขียนต่อให้หน่อย’ (เมย์: ตอนนั้นมันไปต่อไม่ได้แล้วอะ) ก็ลองอ่านเวิร์สแรก เห็นว่าเล่นง่ายเป็น Sun, stars, sky อะไรมาหมดละ เวิร์สสองเลยอยากลองใช้คำที่ซับซ้อนขึ้นนิดนึงจะได้ไม่ซ้ำกับตอนต้น อยู่ดี ก็มีคำว่า ‘Great Wall’ กำแพงเมืองจีน มาได้ไงไม่รู้

จริง เพลงนี้ก็ไม่ค่อยเหมือนงาน Fwends ที่ผ่าน มา

ตอง: ก็เป็นจุดเปลี่ยนนั่นแหละ แบบไม่เอา ไม่อยากร้อง แง้ว ๆๆ ละ’ (เลียนเสียงเมย์) เพลงงุ้งงิ้งอะ อยากทำอะไรที่มันซีเรียสกว่าเดิม

เมย์: ด้วยความที่เสียงเมย์เป็นแบบเนี้ย แต่ไม่ใช่แค่เรา อย่างกรก็พูดตลอดว่าอยากทำเพลงที่มันกรูฟขึ้น ส่วนเราก็อยากร้องอะไรที่มันร้องออกมาแล้วไม่ได้แบ๊วขนาดนั้น คือเราก็ไม่ได้อยากเสียงออกมาแบบนั้นแต่ร้องออกมายังไงมันก็เหมือนเด็กประถมอะ ก็รู้สึกว่า ถ้ามันมีเพลงที่ทำให้เราดูนิ่ง ได้หน่อยก็คงจะดี กลองพี่เอกก็ทำการบ้านเยอะมาก

กร: เพราะว่าสามเพลงที่ปล่อยไปตอนนั้นมันมั่ว นิดนึง ก็เลยมาคุยกันว่าจะเอาไงกันต่อดี จบที่ว่าอยากให้มันสนุกขึ้น ให้มันมีกรูฟมากขึ้น ตอนนั้นบอกตรง ว่าก็ยังไม่มีใครรู้หรอกว่ามันคืออะไร ไอ้ที่เราคิดกันมา เพราะพี่เอกก็มีแบ็กกราวด์การตีอีกแบบนึง ตองก็อีกแบบนึง เราก็เพิ่งมาเล่นเบสกับวงเนี้ย ก็มั่วเหมือนกันอะ ถึงบอกว่า Why Can’t You See มันมีหลายเวอร์ชันเพราะกว่าจะเข้าที่เข้าทางได้จาก source ที่เรามีกันตอนนั้น (เมย์: ลิกกีตาร์ก็มาแบบมั่ว )

เอก: มันเป็นเพลงที่ทำมานานแล้วตั้งแต่ For a While แต่ไม่เสร็จซักที จน Where Do We Go? ปล่อยมาแล้วเพลงนี้ก็ยังไม่เสร็จ จนมันเปลี่ยนไปเรื่อย ไปเล่นแต่ละรอบก็คนละเวอร์ชัน จนวันที่เราไม่มีเพลงอะไรจะต้องปล่อยแล้ว ก็มา brainstorm เพลงนี้ให้มันได้ แต่เพลงนี้ถ้าฟังดี มันสะท้อนแบ็กกราวด์ของทุกคนเลยนะ อย่างสไตล์การเล่นของแต่ละคน ตองแม่งคือเป็นคนเล่นแบบนั้น คีย์บอร์ด กลองเราก็เล่นแบบนั้น

กร: พอมันผ่านตรงนั้นกันมาได้มันก็เหมือนก้าวขึ้นไปอีกขั้นแล้ว (เมย์: มันเห็นภาพของวงชัดขึ้น) จากที่ทุกคนทำการบ้านกันมาก็ได้ให้อะไรกับแต่ละคนด้วยเหมือนกัน

145 at 6AM

เมย์: เพลงนี้แต่งตอนขับรถ ตอนนั้นขับรถไปออกกองตอน 6 โมงเช้า แถวเลียบด่วนรามอินทรา แล้วตอนนั้นไม่มีคนเลย เราก็ emotional อะไรไม่รู้ แล้วมองไปที่หน้าปัดว่าขับรถเร็วเท่าไหร่อะ (FJZ: นี่ขับ 145 เลยหรอ) คือเหมือนเหม่อลอยมาก จนเหยียบไปเท่านั้น ปกติคือเป็นคนขับรถช้า แต่วันนั้นถนนมันไม่มีใครเลยมีแต่เมย์ มารู้ตัวอีกทีคือตกใจมาก แต่แทนที่จะหยุดขับอะ เราแต่งเพลง (หัวเราะ) พยายามนึกถึงเมโลดี้แล้วก็คิดว่าอยากร้องออกมาว่าอะไร ก็เลยนึกถึงคำว่า 145 at 6AM เอามาเขียนเพลง เนื้อเพลงก็มีความช่างแม่ง เหมือนคงเบลอ อยู่แล้วเผลอขับไปอย่างนั้น ตอนนั้นไม่มีดนตรี ไม่มีอะไรเลย คิดไม่ออกด้วยว่าดนตรีจะเป็นยังไง แค่ฮัมเมโลดี้แล้วก็พิมพ์เข้าไปในกรุ๊ปวงว่า เนี่ย อยากมีเพลงเนี้ย แล้วก็พิมพ์เนื้อเพลงเข้าไปในกรุ๊ป

กร: เป็นวิธีการทำงานที่ย้อนกลับสำหรับวงเราอะ เป็นเนื้อมาก่อนเงี้ย แล้วพอจะเอามาทำจริง คือจะทำยังไงให้มันสมบูรณ์วะ เพลงนี้ยากสุดละ (ตอง: เพลงนี้เราชอบสุด มันไม่เยอะดี) เวอร์ชันแรก แย่กว่านี้อีก รู้สึกว่า นี่กูทำอะไรไปวะ เพลงนี้บทบาทน้อยเลยคิดว่ามันโอเคหรือยังวะ มันนิ่งมาก

เมย์: เพลงนี้เราร้องนิ่งกว่า Why Can’t You See อีก แบบสวดอะ คือทุกอย่างมันก็นิ่ง แต่เราว่ามันมีเสน่ห์บางอย่างมาตัดกับเพลงอื่น ในอัลบั้ม (ตอง: มันไม่ได้เลี่ยนไปแล้วก็ไม่ได้จืดไป)

Dear Friend

เมย์: เป็นเพลงที่แต่งเร็วที่สุด ประมาณ 5 นาที ตอนนั้นไม่ได้คิดจะแต่งเพลง แต่เศร้ามาก คอร์ดก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรแค่เล่นเพราะคิดถึงเพื่อนสนิทที่เสียไป เหมือน flashback ไปถึงตอนที่อยู่สิงคโปร์แล้วเรารู้ข่าวว่าเพื่อนเสียกะทันหัน ก็พูดอะไรที่เรารู้สึก เรเจออะไรอยู่ เหตุการณ์แต่ละอย่างตอนนั้นฝนตกอยู่ ‘The rain outside can’t even hind my sorrows’ แล้วเราดราม่ามาก เหมือนถ่าย mv เดินออกมาข้างนอก มันเป็นเพลงที่เสร็จแล้วในเวอร์ชันอะคูสติก แต่คนอื่นทำงานกันหนักมากเพราะต้องมาทำเพลงกันใหม่ให้เป็น full version

กร: คอร์ดกับเมโลดี้ที่เมย์เขียนออกมาเล่นยังไงก็รู้สึกว่าเป็นโพสต์ร็อก จะทำยังไงให้หลบ direction นี้ไปดี มันฟังดู cliche มากด้วยความเรียบง่ายของเมโลดี้ ก็ไปจบที่การที่พี่เอกเสนอมู้ดโทนอันนึงมาจนทุกคนอ๋อ ลองแบบนี้ดู ก็เลยเห็นทางสว่าง แต่ไม่ใช่จะได้เลยเหมือนกัน กว่าจะเดินมาถึงตรงนี้ก็ไปหลายแยก (หัวเราะ)

No Pressure

เมย์: เพลงไร้สาระมาก มาจากวันนึงพี่เอกส่งมาในกรุ๊ปว่า พี่ติ ก็คือเจ้าของห้องซ้อมดนตรีที่เรามาซ้อมกันเนี่ย เขาลงรูปพวกเราแล้วเขียนแคปชันว่าไร้ความกดดัน’ (หัวเราะ) แล้วพวกเราก็ฮามาก รูปไม่ได้ทำอะไรเลยคือถ่ายธรรมดา ปกติมาก (เอก: ว่าง ลองเข้าไปดูเพจ ห้องซ้อมดนตรี Music Group แล้วจะพบกับความบันเทิง) คือพี่เขา genius มาก

แล้วที่ตัดสินใจจะทำเพลงนี้กันคือทีแรกมีเพลงนึงที่เราเสียดาย เพราะเรารักเพลงนั้นมาก ชื่อ Exit 66 เพราะมันเป็นเพลงที่เราทำกับยูกิกับหมี แล้วเหมือนพอเอามาให้ original lineup เล่นมันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี เพราะตอนที่แต่งเพลงนั้น Exit 66 คือบ้านยูกิ อยู่ลาดปลาเค้า 66 เป็นที่ที่เรามาเล่นดนตรีด้วยกัน กรเลยคิดว่ามันไม่ใช่ถ้าจะให้ไลน์อัพนี้เล่น ก็เลยแต่งเพลงใหม่ดีกว่า แล้วคิดว่าที่ไหนคือ safehouse ของพวกเราอีก มันก็คือที่ห้องซ้อมเนี่ย คือ Music Group พี่เอกก็ให้ไอเดียมาว่า ‘เป็นเพลงไร้ความกดดันปะล่ะ’ เลยเป็นที่มาของเพลง No Pressure (หัวเราะ) (ตอง: แต่เพลงนี้ดีนะ ติดหูดี) ก็เป็นเพลงที่บันเทิง เนื้อเพลงก็จะไร้สาระที่สุดที่เคยเขียนมา มีความอยากทำอะไรก็ทำ โคตรขี้เกียจ มาสาย เขียนว่า ‘eating sleeping on the floor’ เขียนอะไรไม่รู้อะ แล้วสตีฟคนที่จะมาสเตอร์ให้ถามเมลวินว่า ‘คนที่แต่งเพลงนี้เขาแต่งจากอะไรวะ’ (หัวเราะ) เมลวินบอกว่ากูก็ไม่รู้จะตอบเขายังไง เพราะเพลงไร้สาระมาก (หัวเราะ)

Morning

เมย์: เพลงนี้มากับเมโลดี้กีตาร์ตอนแรก ไม่มีท่อนอื่นเลย ทุกคนมาช่วยเราทำ คือมันมีทำนองที่ฮัมมาตั้งแต่ที่ทำกับยูกิละ พยายามจะขาย ยูกิมันเคยอินนะ แต่มีช่วงที่มันไม่อินละ ก็เลยไม่ได้ทำสักที แต่ในใจเราจะไม่ปล่อยเพลงนี้ไปไหน ยังไงก็จะทำ เพราะเพลงนี้มีผลกับการเติบโตของเรามากเหมือนกัน ช่วงต้นปีเราเป็น depression หนักมาก เขียนเพลงนี้เพราะเจอใครหรือปรึกษาใคร หรืออ่านอะไรมา จะชอบมีคำว่า ‘ไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมาก็ดีขึ้น’ แต่สำหรับเราความรู้สึกพวกนั้นมันไม่จางไปเลยอะ บางทีมันก็หนักขึ้นด้วยซ้ำ เราไม่รู้จะทำยังไง แล้วตอนนั้นอยู่อังกฤษ ไม่มีเพื่อนเลย แล้วก็ไม่ออกไปหาเพื่อนใหม่ด้วย กลายเป็นคนอีกแบบนึงไปเลย ก็เลยพยายามเขียนเพลงนี้ออกมา ตอนที่ทุกคนกลับมาเล่นด้วยกันก็เล่นตอนต้นให้ทุกคนฟัง แล้วช่วยกัน brainstorm กันแหละว่าแต่ละพาร์ตจะมาตอนไหน ก็ช่วยกันทำท่อน ตรงนี้ต้องหน่วง นะ ตรงนี้เร็ว

กร: เริ่มจากแค่เมย์เอากีตาร์มาเล่นให้ฟัง เทียบกับผลที่ได้ออกมาก็น่าตกใจเหมือนกัน (หัวเราะ) นี่มันไปถึงขั้นขนาดมีท่อนนั่นนี่เลยหรอ

เมย์: หนึ่งคือเราไม่ใช่คนแต่งเพลงที่ทำโปรแกรมอะไรเป็นเลย ตีกลองไม่เป็น เล่นอย่างอื่นไม่ได้ แล้วบางทีด้วยความทีทฤษฎีดนตรีเราไม่ได้แข็งแรงก็อธิบายให้เพื่อนฟังไม่ได้ว่าเราจะเอาแบบไหน แต่เพลงนี้พี่เอกโฟกัสเรามาก ช่วยเยอะมาก ตรงนี้เร็ว ตรงนี้หน่วงอย่างนี้ มันมาจากกลองเลย ตอนนั้นทำกันที่ Guitar Lab มั้ง แล้วพี่เอกตีออกมาแบบ อีเหี้ย เนี่ยแหละที่กูต้องการ แต่พูดออกมาให้เก็ตไม่ได้ ดนตรีทุกอย่างก็มาเติมเต็มมาก

Friend Trip

เมย์: เพลงนี้แปลกมากแปลกมาก มันมีดนตรีอยู่แล้วตองกับพี่เอกเล่นไว้ แล้วทีนี้มันก็มีเมโลดี้นึงที่เราแต่งเอาไว้ใน timeline เดียวกัน แต่ไม่ได้มานั่งทำด้วยกันอะ เราเป็นคนชอบแต่งเพลงตอนขับรถ ก็เอามาลองเปิดพร้อมกัน พอมันมารวมกันแล้วมันตรงกันอะ พวกนี้เขียนไว้ให้สีมันเป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้มพอดี แล้วเนื้อหาที่เราเขียนก็เหมาะจะเป็นเพลงสุดท้าย ทุกอย่างมันลงตัว แล้วมาเกลี่ย ให้มันสมูธ

ก็เป็นเพลงที่เราตั้งใจเขียนเพราะเรื่องมิตรภาพสำคัญกับเรามาก แต่มันก็จะมีความ error ของชีวิตที่ผ่านมาเยอะมาก ที่เราสื่อสารกับคนไม่ได้ มีปัญหา ดังนั้นเพื่อนที่รับเราได้และยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้ คือ appreciate มากที่ทุกคนยังอยู่ บวกกับสัปดาห์นั้นเป็นช่วงที่ Cuco เพิ่งกลับไป เราทำงานกับศิลปินมาหลายวงนะ แต่ Cuco เป็นแก๊งแรกที่เรารู้สึก connect เป็นเพื่อนจริง เพราะสิบคนนั้นทุกคนรักกันมากจนพลังนั้นมันส่งมาถึงเรากับ นัท กับ บีม คือเพื่อนเราที่พาพวกนั้นเที่ยวตอนมาเล่นที่กรุงเทพ​ ฯ เราเลยรู้ว่าทุกอย่างสำเร็จเพราะ friendship จริง เลยมีไอเดียว่าต้องเขียนเกี่ยวกับเรื่องเพื่อนสักเพลง

แล้วก็ได้คุยกับอิ๊ง เพื่อนสนิทอีกคนนึง เป็นช่วงที่เพื่อนเศร้าอยู่แล้วหายไปจากเราแปปนึง พอกลับมาก็ได้อัพเดตกันว่าไปเจออะไรมา แล้วอิ๊งพูดขึ้นมาว่านี่เป็นครั้งแรกที่มันต้องการความช่วยเหลือ คือจริง มันเป็นคนที่เพื่อนรักและเป็นคนสตรอง ขนาดอิ๊งยังต้องการความช่วยเหลือ แล้วทุกคนไปอยู่รวมกันที่ One Ounce For Onion เพื่ออิ๊ง แล้วอิ๊งก็เดินมาน้ำตาไหล เราก็น้ำตาไหลเว่ยเพราะรู้สึกว่า เชี่ย กูอยากให้มึงดีขึ้นว่ะ มันหลายเรื่องมากเลยอะ พอเจออิ๊งก็ได้ไอเดียคำว่า Friend Trip ขึ้นมา

รู้สึกยังไงที่ได้กลับมาเล่นด้วยกัน

เอก: เหมือนเดิมเลย มาก แต่ในเรื่องการแสดงก็มีดรอปลงไปบ้าง ต้องมาปรับจูนกันประมาณนึง

ตอง: เหมือนเดิม ไม่ได้ใช้เวลาต่อติดอะไรมาก แต่พี่เอกยังได้เล่นดนตรีบ้าง เราไม่ได้เล่นดนตรีเลยสองปี

เมย์: ช่วงที่หายไปตองไปเป็นดีเจ Burton.G

Art Direction ของอัลบั้มนี้

เมย์: ย้อนไปที่พี่กัน เป็นคนออกแบบโลโก้วงให้ เรารู้สึกว่าโลโก้อันนี้มันมีผลกับ art direction ของ Fwends มาตลอด จนที่เราจะทำปกอัลบั้ม ก็คุยกันว่าจะเอาใครดี เพราะว่าด้วยความที่เราอยากได้คนที่เป็นเพื่อน รู้จัก Fwends โตมากับ Fwends ตอนนั้นมีแค่พี่กันกับพี่ต่อ พี่ต่อคือกราฟฟิกดีไซเนอร์ของ Conflakes แต่พี่ต่องานเดือดมาก เลยให้พี่กันทำ ตอนหลังพี่กันงานเดือดมากก็ทำไม่ทัน เราก็เลยแบบ เอาไงดีวะ กลับไปขอร้องพี่ต่ออีกรอบ พี่ต่อเอาด้วยว่ะ อาร์ตเวิร์กเลยเป็นเขา เขาบอกว่าไปนอนฝันมาเลยคืนนึง พอบอกชื่ออัลบั้ม Night and Day เขาอยากให้คนเก็ตภาพไว ไม่อยากให้ลึกซึ้งซับซ้อน เลยนึกถึง emoji พระจันทร์กับพระอาทิตย์สีดำกับสีเหลือง ออกมาเป็นทางนั้น บวกกับรูปถ่ายวงที่ตอนแรกไม่ได้คิดกับอาร์ตเวิร์กนะ แค่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องถ่ายรูปวงใหม่สำหรับใช้โปรโมตอัลบั้ม

โลเคชันที่จะถ่ายตอนนั้นก็เกือบหาไม่ทัน แต่นึกถึงพี่ตอง เป็นรุ่นพี่พวกเราที่กำลังจะมาเป็นผู้จัดการวง เขาทำสตูดิโอใหม่แถวบ้านเมย์พอดี ก็แชร์รูปให้ช่างภาพดูว่าชอบอะไรแบบนี้ไหม เขาบอกว่าอยากถ่ายอะไรแบบนี้ เราตามใจช่างภาพมาก คือพอเราเลือกใครแล้วเราก็ตามใจตรงนั้น เพราะเราชอบที่พี่เบสถ่ายอยู่แล้ว ถ้าที่นี่โอเคก็ไป แล้วพอพี่เบสพูดเรื่องคอสตูมมาก็คือ เหมือนอยากให้เมย์ช่วยทำสไตลิส อยากให้เป็น Fwends แบบที่ไม่ได้เป็นอย่างปกติ ก็แชร์เรฟเสื้อผ้า ตอนแรกรู้สึกว่าไม่มีเงินซื้อว่ะ เสื้อผ้ามันดูแพงมาก ไปขอสปอนเซอร์ตอนนี้เขาคงไม่ให้เพราะมันเร็วเกินไป ขอไม่ทันอะ เลยไปเอาเสื้อผ้าในสต๊อกที่เคยทำสไตลิสเก็บ ไว้ พวกสูทวินเทจที่เรายังมีอยู่ แล้วบางตัวก็ไปเอาของพี่ตองมาเพราะพี่ตองก็เป็นสไตลิสอยู่แล้วเหมือนกัน ได้เสื้อลายเสือมาให้ไอ้ตองใส่ ก็มีความจับ หน้างานแล้วเลือกตามสี ก็เลยออกมาเป็นแบบนั้นอะ

Night and Day

ฝากอัลบั้มเต็มกันหน่อย

กรNight and Day มันก็คือการเดินทางตลอดเวลาที่ผ่านมา ปกติมันเล่าเรื่องจากกลางวันไปกลางคืนใช่ปะ อันนี้มันเหมือนช่วงกลางคืนมาถึงเช้ามืด 6-7 โมง แล้วก็มีผลกับที่เรียงเพลงด้วย จากกลางคืน เดินมาด้วยกัน จนถึง Friend Trip มันคือช่วงเช้า ไม่ได้นอน นึกถึงฟีลนั้น สว่างคาตา (ตอง: เล่นเกมแน่ )

เมย์: อัลบั้ม Night and Day มันคงจะเป็นของขวัญในวัยหนุ่มสาวของพวกเรา ที่เราใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เรามีจริง กับอัลบั้มนี้ ในที่สุดมันเสร็จแล้ว ตอนแรกเราจะไม่ทำอัลบั้มกันด้วยซ้ำ แต่มันไม่ได้อะ มันติดอยู่ในใจสมมติถ้าจะไปอยู่ที่อื่นหรือจะไปเรียนต่อ แต่ยังทำอัลบั้ม Fwends ไม่เสร็จ คือคิดแบบนี้มาตลอดเลยยังไม่ได้ไปสักที ไม่ได้จะเลิกเล่นนะ ยังเล่นกันอยู่ แค่มันต้องทำ และมันก็เสร็จแล้ว เราอินกับอัลบั้มนี้มาก มันอาจจะไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีอยากแก้นู่นแก้นี่หรือเปล่า แต่นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้แล้ว ตอนนี้ กลับมาฟังก็คงไม่ได้รู้สึกเสียดายที่ได้ทำ เพราะมันคือพวกเรา ณ เวลานี้

ตอง: เป็นจดหมายเหตุของชีวิตวัยเยาว์ว่าทำอะไรมาบ้าง ตั้งแต่เรียน เพราะนี่เรียนด้วยกันกับฟ้าใส จบมาแบบกระท่อนกระแท่นเพราะทำโน่นทำนี่ รวมถึงทำวงด้วย (หัวเราะ) ก็ดีที่มีอะไรให้เอามานึกถึงว่าเราทำตรงนี้มาด้วยกัน

ฟ้าใส: ในที่สุดก็เสร็จสักที แล้วก็หลังจากโดนกดดันมาเยอะก็สนุกท้าทายดีในระดับนึง อยากให้ทุกคนซื้อเยอะ มางานคอนเสิร์ตด้วย

เอก: ฝากวันที่ 1 ธันวาคม ด้วยครับ งานเปิดอัลบั้มที่ Goose Life Space ใครติดเกมก็เอาเกมมาเล่นได้

เมย์: จริง ตอนแรกเราตั้งใจจะทำทุกอย่างให้ทันงาน Cat Expo แต่มันผลิตซีดีไม่ทันจริง เลยให้ไป pre-order กันก่อน แล้วมี album party จัดกันเล็ก ชวนพี่โหน่ง The Photo Sticker Machine มาเล่นด้วยกัน ตอนแรกพยายามเลือกหลาย วงที่เกี่ยวข้องกับเรามาเล่นงานนี้ ซึ่งพี่โหน่งเคยทำ Why Can’t You See เป็นเวอร์ชันภาษาไทย เราก็เคยเล่นกับพี่โหน่ง อยากมี Two Million Thanks ด้วยเพราะพี่ดุ่ยเคยเป็นอาจารย์สอนกีตาร์เรา แต่เหมือนเวลาไม่พอเพราะเราต้องฉายหนังสารคดีขอบคุณ Studio 28 ที่ให้สถานที่เราอัด เป็นหนังของเพื่อนเราชื่อโคดี้ทำ เลยมีวงเดียว จบงานมีดีเจเซ็ตของเมลวิน Pecking Opera มีเมย์ กร ตอง อยากให้ทุกคนมาเจอกัน

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้