Article Interview

อะตอม ชนกันต์ กับความเชื่อที่ว่าพรสวรรค์ต้องมาคู่กับความพยายาม

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Neungburuj

atom01

ฟังใจซีนฉบับนี้ถือโอกาสชวนเจ้าของบทเพลง Please ที่ฮิตระเบิดระเบ้อทั่วบ้านทั่วเมืองมาพูดคุยกับเรา เผื่อจะได้รู้ว่าทำไมเขาถึงแต่งเพลงได้กินใจขนาดนี้ มาลุ้นกันว่าอะตอมจะยอมบอกเคล็ดลับของเขาให้พวกเราได้รู้กันหรือเปล่า

เข้ามาทำเบื้องหลัง เขียนเพลงให้ศิลปินดัง ๆ ได้ยังไง

มันเริ่มจากการตั้งใจเข้ามาเป็นเบื้องหน้าก่อน มาเป็นศิลปินโดยการส่งเดโม่ของตัวเองไปยังค่ายต่าง ๆ แล้วก็ได้ส่งมาที่แกรมมี่ เพราะวันที่อัดเดโม่ก็บังเอิญเจอพี่แอมมี่ The Bottom Blues ที่เป็นรุ่นพี่โรงเรียนด้วย ก็เลยฝากเขามาส่งเดโม่ให้ที่สนามหลวง ก็มาอยู่กับสนามหลวงนานเหมือนกันแต่ยังไม่ได้ออกงานของตัวเองสักที ด้วยความที่เรายังไม่พร้อมเรื่องสไตล์ เรื่องการทำเพลง ยังไม่มีโปรดิวเซอร์ที่มีเวลาพัฒนาเราจริง ๆ จนสุดท้ายมาเจอพี่บอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ผ่านการชักนำของสนามหลวงนี่แหละ เพราะตอนนั้นวงเขามาเซ็นสัญญากับค่ายพอดี ทางค่ายก็จับคู่เรากับพี่บอลให้ลองโปรดิวซ์ เขาฟังเพลงเราเขาก็ชอบ ก็ได้เริ่มผลิตงานตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวลาที่ผลิตงานตัวเองที่ก็กินเวลาเป็นปี ๆ ทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักพี่ ๆ ศิลปินหลายท่าน ทั้งที่เป็นคนทำงานเบื้องหลังให้นักดนตรีด้วย แล้วก็มีโอกาสได้เขียนเพลงให้พี่บุรินทร์ เพราะพี่บอลก็เป็นโปรดิวเซอร์ให้อัลบั้มนี้ เลยเริ่มจากเพลงแรกที่เริ่มเขียนให้พี่บุรินทร์ก็ร่วมสองปีกว่าแล้วครับ เป็นเพลงที่เขาทำดนตรีเสร็จหมดทั้งอัลบั้มแล้วแจกจ่ายให้นักเขียนเพลงหลาย ๆ ท่าน อย่าง พี่บอย โกสิยพงษ์ พี่บอย ตรัย ภูมิรัตน เขาก็เขียนกันมาประมาณนึงแล้ว ทีนี้มีเพลงนึงที่เขาเห็นว่ายังว่างอยู่เลยลองให้เขียน ปรากฏว่าก็ถูกใจกันทั้งสไตล์ ทั้งคำที่ใช้ เมโลดี้ หลังจากเพลงแรกพี่บุรินทร์ก็เลยชวนไปร้องคอรัส เป็น back up ให้พี่บุรินทร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ออกไปทัวร์ เหมือนไปฝึกงาน ได้อะไรหลาย ๆ อย่างจากตรงนั้นเยอะมาก เรื่องการแสดงสด เรื่องเกี่ยวกับวงการเพลง เพราะตอนนั้นเราเองก็ใหม่มาก แล้วเขาก็ให้โอกาสให้เขียนเพลงต่อ ๆ มา อัลบั้มใหม่ของพี่บุรินทร์ที่กำลังจะออกเร็ว ๆ นี้ คาดว่าน่าจะมีของผมประมาณ 5 เพลงที่เป็นคนเขียนเนื้อร้องกับทำนอง พอหลังจากนั้น ก็เกือบจะได้ออกกับสนามหลวงแล้ว แต่ค่ายก็มายุบตัวลงก่อน ตอนนั้นก็มีการปรับโครงสร้างค่ายกันยกใหญ่เราก็เลยเคว้ง เผอิญว่าเรารู้จักกับผู้ใหญ่ที่นี่ ต้องย้อนไปก่อนว่ารู้จักโดยการที่ส่งเพลง ปล่อย ให้พี่ป๊อปไป ช่วงอยู่สนามหลวง เราก็มีโอกาสได้คุยกับพี่อาร์ม ผู้บริหารค่าย White Music ที่กำลังหาเพลงดี ๆ ให้พี่ป๊อปร้องอยู่ เพราะจะเปลี่ยนแนวทางทั้งข้อความที่จะสื่อออกมาแล้วก็สไตล์ดนตรี เราก็เลย โอเค เอาเพลงในสต็อกมาเปิดให้ผู้ใหญ่ฟังแล้วเขาก็เลือกเพลง ปล่อย ไป ก็เลยได้ทำกันตอนนั้น พอค่ายสนามหลวงยุบไปเราก็เลยมาอยู่กับทางนี้ดีกว่า สบายใจและค่อนข้างคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ก็เลยออกมาเป็นผลงานของตัวเอง

ได้ร่วมงานกับศิลปินคนไหนบ้าง

มีพี่บุรินทร์ พี่ป๊อป ปองกูล พี่ดา เอ็นโดรฟิน แต่อันนั้นไปช่วยเขียนเนื้อ ชื่อเพลง รักเอย เป็นเพลงสนุก ๆ ก็ไปช่วยเกลาหน่อย แล้วพี่โตน โซฟา ประมาณนี้แหละครับ

การที่เป็นคนตัวเล็ก ๆ แล้วได้เขียนเพลงให้ศิลปินแถวหน้า รู้สึกอย่างไรบ้าง

ตอนแรกตื่นเต้น แล้วเราเชื่อว่าเด็กทุกคนมันแสวงหาการได้รับการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองชอบและเราอยากจะเป็น ซึ่งเราก็ได้มาในช่วงที่ไม่ทันตั้งตัว มาเร็วมากในตอนนั้น ทั้งได้เขียนเพลงให้พี่บุรินทร์ ได้ทัวร์คอนเสิร์ตกับเขาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เรียนมหาลัยปีสอง ขึ้นปีสาม ก็ออกทัวร์แล้ว ได้เจอศิลปินขวัญใจเราที่เราโตมากับเพลงเขา ศิลปินรุ่นพี่รุ่นน้องทั้ง Moderndog Sqweez Animal อพาร์ตเมนต์คุณป้า ซึ่งเราค่อนข้างจะคลั่งไคล้งานของเขามาตั้งแต่ที่มาฟังเพลงจริง ๆ จัง ๆ ก็ได้พูดคุย ได้ประสบการณ์ ได้ความรู้จากพี่ ๆ หลายท่าน ก็รู้สึกดีครับ ถือเป็นโชคดีของเราเหมือนกัน

รู้สึกยังไงที่เพลง ปล่อย ของ ป๊อป ปองกูล ที่เป็นผลงานแต่งเพลงของเราดังเปรี้ยง

จริง ๆ ต้องบอกว่ามันถูกเขียนไว้ก่อนเจอพี่ป๊อปกับพี่อาร์มที่ White Music นานเหมือนกัน ประมาณสองสามปี ซึ่งมันเป็นเพลงที่เราเขียนเก็บ หมกไว้ แล้วไม่เคยให้ใครฟัง ครั้งแรกที่คนอื่นได้ฟังจริง ๆ คือวันที่มาเปิดให้พี่ ๆ ฟังนั่นแหละ เราไม่ได้คิดว่ามันจะอิมแพคคนอะไรขนาดนั้น มันเป็นอารมณ์ช่วงนั้นของเรา ซึ่งพอพี่ป๊อปบอกว่าชอบเพลงนี้ ความหมายดี มันก็เป็นโอกาสที่ดีของเรา พี่ป๊อปก็เป็นอีกท่านนึงที่เราก็ชอบผลงานของเขาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เลยไม่ลังเล แบบ เอาเลยพี่ ก็นับเป็นเกียรติของเราเหมือนกัน สุดท้ายก็ออกมาแล้วคนชอบกันเยอะ ก็ดีใจครับ เพลงที่เราเขียนทุกเพลง พอเราไม่ได้แบ่งคนอื่นฟังบางทีเราก็ไม่รู้ว่าคนจะรู้สึกกับเพลงของเรายังไง แล้วพอมันได้ออกไปในสนามใหญ่ ผ่านพี่ป๊อปงี้ มันก็ท้าทายสำหรับเราตอนแรก แล้วพอมันออกมาดี ก็ดีใจมาก ๆ ครับ

atom02

ที่ผ่านมาใช้เวลาทั้งหมดกี่ปีกว่าจะได้ออกเพลงของตัวเอง

ถ้านับตั้งแต่เซ็นสัญญาก็น่าจะเกือบสี่ปี แต่ถ้านับตั้งแต่ดิ้นพยายามส่งเดโม่ แต่งเพลง อัดเก็บไว้ อาจจะเจ็ดแปดปี ตั้งแต่ที่เราเริ่มคิดว่าเราอยากทำตรงนี้ เราแต่งเพลงได้ เราเริ่มเขียนให้มันจบเพลงจริง ๆ จัง ๆ เขียนไว้หลาย ๆ แบบ หลายมุมมอง ก็เริ่มอัดในตอนนั้น จริง ๆ ผมก็เคยมีวง เด็กมัธยมก็มีวงกัน ผมก็เขียนเพลงให้วงบ้าง แต่มันก็แบบเด็ก ๆ สุดท้ายผมก็คิดว่าไม่มีวงดีกว่า มีวงแล้วมันวุ่นวาย เดี๋ยวก็เห็นไม่ตรงกัน ทะเลาะกันเยอะแยะ เราเลยลุยเดี่ยวละ มีกีตาร์ตัวเดียวเนี่ยแหละ แล้วเขียนเพลง ร้อง อัด มาเรื่อย ๆ แรก ๆ มันก็ ส่งไปที่ไหนเขาก็ไม่สนใจด้วยความที่เรายังเด็ก แล้วมันยังไม่พร้อมจริง ๆ ตอนนั้น เราก็พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ

เริ่มเขียนเพลงตั้งแต่ ป.6 ถ้าเป็นเด็กคนอื่น ๆ คงไปทำอย่างอื่น เรารู้ตัวเมื่อไหร่ว่าอยากทำสิ่งนี้

ทุกอย่างมันเริ่มมาจากการชอบดนตรีก่อนแหละ ผ่านการปลูกฝังจากพ่อแม่มาประมาณนึง พ่อแม่เล่นดนตรี ร้องเพลงได้ เขาก็ไม่ได้ทำอาชีพทางด้านนี้เพราะเขาก็เป็นนักกฎหมายทั้งคู่ แล้วเราก็ได้เห็น ได้ฟังมา เราก็ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ๆ ฟังเทปเปิดในรถ ร้องตามมาเรื่อย ๆ ถึงจุดนึงที่เริ่มเขียนเพลง อันนี้บอกทุกคนว่ามันเริ่มอย่างนี้จริง ๆ มันมาจากการเขียนกลอนตามการบ้านที่ครูให้มาก่อน แล้วทุกคนก็เอ๋อว่าให้แต่งกลอนอะไรวะ เพราะไม่เคยแต่งมาก่อนในชีวิตนี้ แต่กับเรามันกลายเป็นเรื่องง่าย อยู่ดี ๆ ก็ทำได้ รู้สึกว่าทำได้ดี ก็เริ่มมาจากกลอนมาก่อน แล้วประมาณ ป.5 เห็นเพื่อนเล่นกีตาร์ แบบ มึงดีดคอร์ดเดียวมั่วทั้งเพลงแต่มึงเท่มาก ก็เลยขอพ่อแม่เรียน ก็เรียนได้อยู่พักเดียว พอเล่นคอร์ดได้ ร้องตามได้ ก็เริ่มจากการแปลงเพลงละ เรารู้สัมผัสคำ การยืมคำ เราเล่นอะไรกับคำได้ก็เริ่มจากการแต่งล้อเพื่อนไปก่อน จนมันพัฒนาสกิลขึ้นมา แล้วพอถึงจุดนึงพอโตขึ้น เราก็เจออะไรเกี่ยวกับตัวเอง มีเรื่องความรัก มีเรื่องจะเล่าเอง มันก็มีข้อความของตัวเองที่จะใส่เข้าไป ถึงจุดที่ฟังเพลงเยอะพอ มีวัตถุดิบในการคิด การทำเพลง ก็เลยพัฒนามาเรื่อย ๆ

ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในการทำเพลง

จริง ๆ มันก็หลายทางแหละ แต่ส่วนตัวเราเอาเรื่องตัวเองเป็นหลัก เพราะเราคิดว่าถ้าเราทำเพลงที่ออกมาจากอารมณ์ เรื่องราวของเราจริง ๆ มันน่าจะเข้มข้น เรียกว่าจับใจคน คือพอมันเกิดกับตัวเราเอง คนอื่นก็น่าจะรู้สึกกับมันเหมือนกัน รองจากเรื่องตัวเองก็มีเรื่องคนอื่นที่เราไม่เคยเจอ พอลองไปฟังความเห็นคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันมันก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน แล้วก็สร้างแง่มุมใหม่ ๆ ให้เรา รองลงมาก็เป็นภาพยนตร์ ซึ่งก็มีหลาย ๆ เรื่องที่เราชอบ อาจแค่บางฉากที่อิมแพคเราจริง ๆ หรือเมสเสจมันแข็งแรงพอ หรือมันน่าสนใจ ก็เก็บตรงนั้นมาต่อยอด อย่างสุดท้ายที่เพิ่งมาเริ่มก็คือหนังสือ เพราะช่วงเรียนธรรมศาสตร์ เรียนกฎหมาย ก็อ่านหนังสือตรงนั้นพอแล้ว ไม่ไหวแล้ว พวกหนังสืออ่านเล่น ปรัชญาอะไรไม่ได้อ่านเลยครับ มาเริ่มเอาทีหลัง แล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เติมไฟแล้วก็ให้วัตถุดิบ ให้แง่มุมกับเราได้ดีกว่าภาพยนตร์หรืออย่างอื่นอีก

ตั้งใจว่าจะมุ่งเป้ามาเป็นศิลปินเมื่อไหร่

จริง ๆ ก็มอปลาย เราเริ่มอัดเล่น ม.3 แบ่งเพื่อนฟัง เอาลง hi5 พอ ม.6 เรามีโอกาสได้เขียนเพลงให้ละครเวทีโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เขาดึงเราไปลองเขียนดู ปรากฏมันก็เวิค เด็กในโรงเรียนชอบ แล้วมันก็ขยายไปข้างนอกบ้าง เราก็รู้สึกว่า นี่ก็มีคนชอบนะ เราอยากจะลองทำให้มันจริงจังกว่านี้ ก็เป็นที่มาของการเข้าห้องอัดอย่างจริงจัง โดยการที่ไปคนเดียว ขอตังแม่ไปเข้าห้องอัด แล้วพอขึ้นมหาลัย เราไปเลือกเรียนกฎหมายด้วยความที่เราไม่มั่นใจกับทางสายนี้นักว่า ถ้าไปเรียนดนตรี แต่งเพลง เรียนอะไรที่ชอบจริง ๆ แต่สุดท้ายแล้วเราจะไปอยู่ตรงไหนด้วยความที่บ้านเรามีงานประจำทำกันหมด ไม่มีใครที่ทำฟรีแลนซ์หรืออาชีพทางนี้เลย ซึ่งเขาก็ค่อนข้างเป็นห่วงอยู่ พวกกับความชอบที่ตอนนั้นพ่อแม่ทำงานตรงนี้ด้วย เราเลยเลือกที่จะเข้านิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ก็โชคดีว่าสอบติด แล้วเรียนออกมาจนจบ แต่เรื่องดนตรีเราก็ไม่ได้ทิ้ง มันก็เป็นอะไรที่เราชอบ ก็หากิจกรรมเกี่ยวกับมันทำตลอดเวลา

แล้วไม่คิดจะไปสายกฎหมายที่เรียนมาบ้างเหรอ

ก็คิดครับ คือก่อนที่จะได้ออกเพลง รอแล้วรออีกจนท้อไปหลายรอบ จนรู้สึกว่ามันต้องถึงวันของเราสักวันแหละ เราค่อนข้างมั่นใจว่าเพลงเรามันจะต้องถูกใจ ต้องมีคนชอบเรื่องที่เราเล่า ด้วยความคิดความเชื่อนี้มันเลยทำให้เรายังดื้อด้านและทำตลอด สุดท้ายแล้วก็โชคดีที่มันออกมาได้ดี แต่ก่อนทีมันจะเวิคเราก็ชั่งใจว่า สงสัยว่ากูต้องไปเป็นทนายแล้ว ซึ่งเราก็ทำได้ดีประมาณนึง แต่ถ้าให้เลือกชั่งน้ำหนักระหว่างสองอันเราก็เลือกดนตรีอยู่แล้ว

ผมว่าทุกคนมันมีพรสวรรค์หรือว่าอะไรที่อธิบายไม่ได้ที่มันทำได้ดีจริง ๆ อยู่ในตัวเองทุกคนแหละ เพียงแต่เราจะเลือกใช้ตรงนั้นหรือเปล่า ถ้าคุณเลือกที่จะไปทางไหนแล้ว สิ่งสุดท้ายที่มันหนีไม่ได้ก็คือการพยายาม ความอดทน และการฝึกฝนตัวเอง

ถ้าไม่ได้มาเป็นศิลปิน หรือทนาย คิดว่าเราจะไปอยู่ตรงจุดไหน

ก็ยังไม่แน่ ยังนึกไม่ออก ก็อาจจะเรียนต่อ ทำงานออฟฟิศ หรือทำอะไรอย่างที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ เขาทำกัน มันก็มีทางของมันซึ่งก็ไม่ได้เลวร้ายแต่ว่าเราอาจจะทรมานหน่อย ในเมื่อใจเรามาทางนี้แล้ว แต่เราต้องไปติดอยู่ในออฟฟิศอย่างนั้น

เวลาเขียนเพลงเคยมีช่วงที่ตันบ้างไหม

มันมาเป็นช่วง ๆ เหมือนกัน มันไม่มีอะไรตายตัว บางทีแปปเดียว ชั่วโมง สองชั่วโมงก็สามารถจบเพลงได้เลย แล้วแต่อารมณ์จริง ๆ แล้วเวลาตัน ก็ตันไปเป็นเดือนก็มี เป็นคนที่ถ้าเขียนไม่ได้ก็จะไม่เค้น ถ้าไม่มีอารมณ์ก็จะไม่เขียนจริง ๆ เพราะงานมันจะออกมาไม่ดี สุดท้ายแล้วเราก็ไม่แฮปปี้ ก็เลือกเอาเวลาที่รู้สึกว่าพร้อม มีอารมณ์จะแต่งมาทำดีกว่า เอาแต่ใจตัวเองครับผม

เรียกว่าเป็นพรสวรรค์ได้หรือเปล่า

ก็อาจจะส่วนนึง ผมว่าทุกคนมันมีพรสวรรค์หรือว่าอะไรที่อธิบายไม่ได้ที่มันทำได้ดีจริง ๆ อยู่ในตัวเองทุกคนแหละ เพียงแต่เราจะเลือกใช้ตรงนั้นหรือเปล่า ถ้าคุณเลือกที่จะไปทางไหนแล้ว สิ่งสุดท้ายที่มันหนีไม่ได้ก็คือการพยายาม ความอดทน และการฝึกฝนตัวเอง หลาย ๆ คนคิดว่ามันง่าย ไม่มีอะไรมาก แต่สุดท้ายแล้วเบื้องหลังผู้คนที่ประสบความสำเร็จเขาก็ผ่านช่วงเวลายาก ๆ กันมาทุกคนแหละที่จะต้องฝ่าฟันอะไรมาหลาย ๆ อย่าง

ช่วงแรก ๆ แต่งเพลงแบบไหน

ถัดจากเพลงล้อเพื่อน เพลงไร้สาระ ก็เริ่มมีความรัก เริ่มผิดหวังจากความรัก เริ่มมีเรื่องราวจะเล่า ก็คงเป็นเพลงรักแหละครับ แรก ๆ ในความอ่อนต่อโลกก็อาจจะมีความหวาน แบบเด็ก ๆ poppy love อะไรแบบนั้นไป แต่พอผ่านเวลามามากขึ้น เจออะไรมามากขึ้น ก็อาจจะโตขึ้นไปตามเวลา อาจจะหม่นขึ้น ดาร์คขึ้น ตอนนี้เลยมีแต่เพลงเศร้าเลยครับ

ตอนนี้ดาร์คหรอ

ไม่ดาร์ค ๆ คือเพลงที่ได้ยินกันอยู่ทุกวันนี้ทั้งเพลง Please แล้วก็เพลงล่าสุดคือ แผลเป็น เป็นเพลงที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว ก็คือสมัยเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเข้าไปใหม่ ๆ ก็หวั่นไหว จิตใจไม่แข็งแรง ไปเจอเขาทำอกหักมา ก็เป็นช่วงปีที่แต่งเพลงแนวนี้เยอะมาก แล้วมันดันเป็นเพลงที่เราชอบที่สุด พอเราได้ออกจริง ๆ เราเลยอยากให้คนได้ฟังเพลงพวกนี้ก่อน แต่อนาคตก็จะมีเพลงหลาย ๆ แง่มุมมากขึ้น

ทีแรกบอกว่าไม่เจอสไตล์ของตัวเอง ตอนนี้เจอหรือยัง

ผมว่าถ้ามองให้มันหยุดนิ่งเป็นอย่างนี้ มีเท่านี้ ก็จะไปไหนไม่ค่อยได้ เราค่อนข้างเปิดกว้าง ตีกรอบบาง ๆ ให้ตัวเอง กรอบบาง ๆ ก็คือสิ่งที่เราชอบนั่นแหละ เราก็สังเกตจากสิ่งที่เราชอบฟัง หรืออะไรก็ตามที่พอบ่งบอกได้ว่าเราจะอยู่ในกรอบบาง ๆ นี้ แต่เราจะไม่ปิดกั้นตัวเองว่าฉันจะไม่ไปทางนั้น ทางนี้เด็ดขาด มันจะกลายเป็นการบล็อกตัวเองไปหมด ตอนนี้ก็เจอประมาณนึงแล้วแหละจากการที่ได้ไปเจอศิลปินรุ่นพี่หลาย ๆ ท่าน ได้มีคนคอยแนะนำบ้าง ชี้ให้เราเห็นว่าอะไรเป็นอะไร แล้วเราควรจะเลือกอย่างไหน สุดท้ายแล้วที่ออกมาทั้งหมดก็เป็นการตัดสินใจของเราที่มีการแนะนำจากพี่ ๆ หลาย ๆ ท่าน

จุดเด่นเพลงของอะตอมคืออะไร

ถ้าเรื่องเนื้อหาก็คงเป็นเพลงที่ไม่พูดเยอะ พูดตรง ๆ มากกว่า แต่เลือกการเข้าถึงคนด้วยคำที่คมคาย จริง ๆ เราเป็นคนชอบภาษาไทยด้วยความที่คุณยายเราเป็นครูสอนภาษาไทยด้วย แล้วก็เราชอบคำโบราณที่มันซื่อ ๆ ตรง ๆ แต่มันกระแทกใจ อะไรแบบนั้น ซึ่งมันก็ไม่รู้ว่าสร้างจุดต่างขนาดนั้นหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่าเราชอบใช้คำพวกนี้ในเพลงของเรา นั่นก็อาจจะเป็นจุดนึงที่ทำให้คนชอบ ส่วนเรื่องดนตรีตอนนี้เราก็เปิดตัวออกมาด้วยความเป็นพ็อพแหละ เราหนีไม่ได้ด้วยเพลงที่เราเขียนออกมามันก็เป็นเพลงพ็อพ แต่สิ่งที่เราชอบลึกลงไปกว่านั้นคือความเป็น soul, R&B, hiphop หรืออะไรก็ตาม เราก็จะค่อย ๆ ปล่อยออกมาแหละ อย่างที่ปล่อยออกมา เพลง Please ก็จะมีความเป็นโซลนิดหน่อย มีใช้วิธีการเล่นและเครื่องดนตรีที่เป็นโซล เป็นคนชอบเล่นกีตาร์โปร่ง เราเล่นกีตาร์โปร่งเป็นหลักไปแล้ว ดังนั้นในเพลงก็จะมีกีตาร์อะคูสติกเป็นพระเอกอยู่หน่อยนึง ซึ่งในเพลงต่อ ๆ ไปคิดว่าคงจะมีอะไรหลาย ๆ อย่างออกมาอีก เพราะว่าความชอบจริง ๆ ยังปล่อยผ่านเพลงออกมาไม่หมดซะทีเดียว ด้วยความที่เรามีโอกาสได้ทำมาแค่สองเพลงเอง แล้วของที่มีอยู่ก็อาจจะยังปล่อยไม่ครบตอนนี้

ถ้ามีคนพูดถึง อะตอม ชนกันต์ คนจะนึกถึงเราในแง่มุมไหน

โห จำกัดความตัวเองไม่ถูกเลย (หัวเราะ) ถ้าในเรื่องเพลงก็คงเป็นเพลงที่เนื้อหาลึกแหละ เป็นเพลงที่พูดตรง ๆ แต่ว่าลึก สำหรับเรา คงจะขายเพลงเศร้าเป็นหลัก เพราะเราชอบ แล้วก็รู้สึกมาตั้งแต่สมัยเป็นคนฟังแล้วครับว่าเพลงประเภทนี้มันเข้าถึงคนง่ายกว่า แล้วมันอยู่นานจริง ๆ สำหรับคนที่เจอเรื่องราวอย่าง เศร้าตอนนี้ ฟังเพลงเศร้าสิบปีที่แล้วก็ยังเศร้าอยู่

คาดหวังกับความสำเร็จในเพลง Please ไหม ที่ล่าสุดได้ 94 ล้านวิวแล้ว

ทุกคนปล่อยออกมามันก็คาดหวังแหละ แต่เราไม่ได้คิดว่ามันจะเท่านี้ คือตอนนั้นเราอั้นมาที่สุดแล้วกับเพลงทำมา ส่งเดโมเข้ามา แต่งเสร็จมาสี่ห้าปีแล้วไม่ได้ออกสักที เราแค่ ออกทางไหนก็ได้ ออกไปให้คนได้ฟังสักที แล้วเราก็คาดหวังการตอบรับไม่ถึงครึ่งของเท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ อยากค่อย ๆ เริ่มไป แต่พอมันประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นตอนนี้แล้วมันเยอะกว่าที่เราวาดไว้เยอะมาก ๆ ก็คิดว่าคงติดท็อปเท็นแหละ คนน่าจะชอบเพลงอกหัก แล้วเราตื่นเต้นกับมันมาก ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าคนจะชอบเยอะขนาดนี้ เพราะศิลปินในเมืองไทยก็ออกเพลงใหม่ ๆ ดี ๆ ออกมาเยอะเลย เราก็ไม่คิดว่าเราจะผ่าขึ้นมาและเป็นที่ชอบของทุกคนได้

atom03

คิดว่าอะไรทำให้คนชอบเพลง Please มากขนาดนี้

เราว่าเพลง Please แทนคำพูดที่อยู่ในใจทุกคน บางคนเขาเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเองแล้วเขาไม่เคยพูดออกมา ไม่มีโอกาสได้บอกคนนั้น หรือบางคนปากแข็งไม่ยอมรับว่าฉันรู้สึกอย่างนี้ แต่ในใจมันคิดอย่างนี้ ทุกคนอยากให้คนที่เรารักรักเรา แต่จะพูดออกไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง เพลงนี้ก็น่าจะไปกระตุกต่อมในใจใครหลาย ๆ คน น่าจะเป็นอย่างนั้น

กลัวว่าเพลงนี้จะเป็นแค่ one hit wonder ไหม

ก็คิดอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่กลัวขนาดนั้นด้วยความที่เรามีเวลาเขียนเพลงเก็บไว้เต็มไปหมด แล้วเพลงเก่งเราค่อนข้างจะได้รับการ approve จากผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านว่ามันโอเค มันวางให้อยู่ต่อไปได้ จริง ๆ เพลงที่สองตอนแรกก็กลัวมากว่าเพลงแรกจะกลบ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้ ใครที่เปรี้ยงขึ้นมาเบอร์แรกแล้วเพลงแรกเขาจะกลบไปตลอด แล้วเพลงหลัง ๆ จะดรอป ตอนแรกก็กลัว แต่ไม่ได้กดดันในเรื่องการทำงานเพราะเราแต่ง เราเรียบเรียง อัดเสร็จหมดแล้ว เหลือลุ้นตอนปล่อยแค่นั้น ซึ่งก็โชคดีว่าเพลงแผลเป็นที่ออกมาก็ได้รับกระแสตอบรับดีพอสมควร ก็ทำให้เราโล่งใจไปประมาณนึง

ลงไปคลุกคลีกับการทำเพลงทุกขั้นตอนเลยไหม

โชคดีเจอโปรดิวเซอร์ที่เคมีตรงกัน เป็นพี่เป็นน้อง อยู่กันเป็นครอบครัวจริง ๆ ทั้งความชอบทางดนตรี ทั้งนิสัยใจคอค่อนข้างเข้ากันได้ดี การทำงานก็คือการเข้าไปนั่งอยู่ที่บ้านพี่บอล ที่บ้านก็มีศิลปินอะไรแวะเวียนมาเรื่อย ๆ เราก็นั่งทำงานกันสบาย ๆ ก็ปรึกษากัน พี่บอลก็ไม่ได้ชี้นิ้วว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พี่บอลก็ถามเราตลอด พยายามให้เป็นตัวเราที่สุด แล้วพอความชอบมันใกล้กัน ความเห็นก็เลยลงรอยกัน และออกมาเป็นผลงานที่ดีสำหรับเรา ตัวเราเองกับทีมงานก็พอใจกับผลงานที่ออกมา

การทำงานในห้องอัดค่ายใหญ่แตกต่างกับการทำงานเองยังไงบ้าง

ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรแต่ก็ตื่นเต้น อยากทำ หมายถึงโปรเจคตอนม.5 ที่ได้ไปทำกับห้องอัดห้องนึงชื่อ Vintage Studio ชื่อโปรเจคชื่อ School Gang คือมันเริ่มจากเราทำเดโมชุดแรก ๆ ตอนนั้นเลยส่งไปค่ายไหนก็ไม่มีค่ายเรียก ก็มีห้องอัดที่เราใช้ประจำ คือของเขาทำโปรเจคนี้มาพอดี ก็ชวน อะ อะตอม เพลงเราพอได้ เอาเข้ามารวมกับวงที่เป็นนักเรียนรุ่นเดียวกันหน่อยไหม ก็เป็นการทำเพลงแบบเต็มรูปแบบของเราครั้งแรก ๆ ก็ตื่นเต้นครับ ด้วยความเป็นเด็กก็คาดหวังกับมันไว้มาก แต่ด้วยสเกลงานมันก็น่าจะอยู่ได้ประมาณนึง มันไม่ได้ออกมาเท่าศิลปินทั่ว ๆ ไปอยู่แล้ว สำหรับเรามันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี แต่ยอมรับว่าตอนนั้นผิดหวังด้วยความคาดหวังแบบเด็ก ๆ ที่คิดว่ามันจะต้องดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมา ซึ่งสุดท้ายแล้วเราโตมาเราก็รู้ว่ามันไม่ใช่ แต่มันก็เป็นอะไรที่ได้เจอคนเก่ง ๆ แล้วก็ได้ทำงานร่วมกับพี่ ๆ หลาย ๆ ท่าน นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่ดี เพลงไม่ติดชาร์ตเลยครับแต่ได้เปิดในวิทยุบ้าง แค่นั้นก็ดีใจแล้ว เราหวังเยอะไปหน่อยในตอนนั้นที่คิดว่าเราเจ๋งแล้ว แต่มันยังไม่ใช่

ลองเล่าที่มาของเพลง Please และ แผลเป็น

เพลง Please ก็ตามเนื้อเพลงเลยครับ ทั้งสองเพลงเกิดตอนมหาลัยปีหนึ่ง คงเป็นช่วงที่หนุ่มสาวเจอเรื่องความผิดหวัง ดราม่า กินเหล้า น้ำตาตก อะไรกันตอนนี้ ก็เป็นช่วงที่เราไปรู้สึกดีกับคน ๆ นึง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไปเลือกคนอื่น จบอย่างในเพลงเลยครับ ก็เป็นที่มาของเพลงนี้ที่ถูกเขียนในปีนั้น แล้วก็เกิดจากความเรื่องที่บังเอิญเพื่อน ๆ รอบตัวดันมาเจอแบบเดียวกับเราด้วย มันก็จะถาโถม แบบ กูก็เจอ มึงก็เจอ ก็มาเล่ากัน ก็อิน แล้วก็ออกมาเป็นเพลงนี้ในเวลาที่สั้นมาก แล้วเราก็เล่นเพลงนี้ในร้านเหล้า เมื่อก่อนเราเล่นตามร้านนั่งดื่มจนคนแถวนั้นรู้จักตั้งแต่แต่งเสร็จปีแรก เพราะเราเล่นบ่อยมาก ดังนั้นเด็กธรรมศาสตร์รุ่น ๆ เดียวกับเราก็จะเบื่อเพลงนี้มาก ฟังมาสี่ปีแล้วมึงยังมาออกซ้ำอีก อะไรแบบนั้น ส่วนเพลง แผลเป็น ก็อยู่ในช่วงปีเดียวกัน แต่อันนี้มันเกิดมาจากแผลเป็นจริง ๆ ที่หัวเข่าเรา แล้ววันนึงเรามาเห็น วันที่เขียนก็อายุประมาณ 19 ก็คิดว่าแผลนี้มาเป็นสิบปีแล้วนะ มาตั้งแต่ตอนเรา ม.4 ม.5 ทำมีดบาดตัวเอง เรายังจำเรื่องเกี่ยวกับมัน จำรายละเอียดของมันในคืนที่มันบาดเราได้ว่ามันเจ็บยังไง เลือดออกขนาดไหน มานั่งคิดว่า นี่มันเหมือนแผลในจิตใจของเราเลย แบบแผลสดมันหายไปนานแล้ว เลือดมันหยุดไหล มันไม่เจ็บแล้ว แต่มองมันแล้วก็ยังคิดถึง ยังจำได้ ก็เลยเกิดมาเป็นเพลงนี้

ในเอ็มวีเพลงแผลเป็นเล่าเรื่องนี้ผ่านรอยสัก ถ้าให้เลือกระหว่างรอยสักที่ก็เจ็บแต่เราตั้งใจให้อยู่บนตัวเราเพราะมันสวยงาม กับแผลเป็นที่มักได้มาจากอุบัติเหตุ เราจะเลือกอะไร

เราเลือกแผลเป็นนะ เพราะเรากลัวเข็ม เราว่าแผลเป็นมันดูโหดกว่า มันดูไม่ตั้งใจแต่มึงโดนไปแล้ว ยังไงก็ติดตัวมึง มึงหนีไม่รอด แต่รอยสักมันเลือกได้ จะเอาลายนี้ ๆ นะเจอเรื่องแบบนี้มาอยากจะสักรอยนี้ แต่แผลมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็เกิด ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ

อะไรคือสเน่ห์ของเพลงพ็อพ

เพลงพ็อพมันก็คืออะไรที่เรียกว่า ร้องตามได้ สำหรับเรามันเริ่มจากร้องตามได้ก่อนแล้วคนมันค่อยฟังเนื้อจริง ๆ ลงไป พอรู้สึกอินกับมัน เพลงเหล่านี้มันก็จะอยู่กับเราไปนานมาก ๆ ซึ่งมันก็ทำให้อยู่กับคนได้นาน สเน่ห์ของมันก็คือ ถ้าเพลงพ็อพที่ดี มันอยู่กับเราได้นานจริง ๆ เป็นคนชอบเพลงเก่า สมัยพี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค เขียน คือพ็อพของเราไม่ได้อยู่ที่ดนตรีอย่างเดียว สำหรับเรามันคือเนื้อร้อง ทำนอง ซึ่งมันยังติดหูอยู่ทุกวันนี้ถึงมันจะเป็นเพลงร็อคที่ร้องได้ก็ตาม เหมือนเป็นเพลงของยุคเรามากกว่า

เราก็สังเกตจากสิ่งที่เราชอบฟัง หรืออะไรก็ตามที่พอบ่งบอกได้ว่าเราจะอยู่ในกรอบบาง ๆ นี้ แต่เราจะไม่ปิดกั้นตัวเองว่าฉันจะไม่ไปทางนั้น ทางนี้เด็ดขาด มันจะกลายเป็นการบล็อกตัวเองไปหมด

ใครเป็นไอด้อลของอะตอม

ถ้าด้านการเขียนเพลง คนไทยก็น่าจะเป็นพี่ดี้ แต่ถ้าเป็นศิลปินก็จะเยอะมาก ก็คงเรียกว่า เยอะเกินจะจับต้องใครเป็นคนเดียว แต่ถ้าเป็นศิลปินสากลก็คงจะเป็น Amy Winehouse เป็นศิลปินที่เราชอบแล้วรู้สึกว่ายังไม่มีศิลปินผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เรารู้สึกกับเขาได้แบบเดียวกับเอมี่

เพลงใหม่จะออกมาเมื่อไหร่

ประมาณมกราครับ หลังปีใหม่ไปก็น่าจะได้ฟังกันแล้ว เพราะตอนนี้ก็เข้าห้องอัดไปแล้ว 70%

จะออกมาเป็นเพลงประมาณไหน

ออก blues ครับ ถูกทางโปรดิวเซอร์และนักดนตรีทุกคน ถูกทางผมด้วย ผมชอบดนตรีคนดำพวก soul R&B blues อะไรพวกนี้ เพลงนี้ก็จะช้าหน่อย คิดว่าน่าจะเป็นเพลงช้าอันสุดท้ายในช่วงนี้ เพราะถัดไปก็จะเป็นเพลงสนุกแล้ว แต่เราเลือกเพลงนี้มาเพราะคิดว่าน่าจะโดนใจคน และเป็นอีกแง่มุมที่อาจจะไม่ค่อยมีใครพูดนัก

เสียงไหมว่าคนเสพติดกับเพลงเศร้าไปแล้ว แต่เพลงต่อไปที่จะออกมาเป็นเพลงสนุก

เราว่าไม่หรอก คือเพลงสนุกของเรามันก็มีความเป็นเราอยู่ เราจะไม่มีรักหวานแหววขนาดนั้น เราคิดว่ามันมีเยอะแล้ว เพลงเร็วของเราก็จะมีความแสบอยู่ นั่นแหละ รอฟัง

ช่วงนี้เดินสายกับเอิ๊ต มีโอกาสจะได้ร่วมงานกันไหม

น่าจะมีครับ ถ้าเขาไม่หนีไปไหนเสียก่อน ถ้ามีโอกาสก็อยากจะร่วมงานกันอีก ที่ร่วมงานกันบ่อยที่สุดก็คือออกไปคอนเสิร์ตด้วยกัน ก็สนิทกันมากทั้งตัวเอิ๊ตแล้วก็ตัววง ก็เป็นโอกาสที่ดีครับ

atom04

มีคนบอกว่าเราได้เปรียบเรื่อง performance

ได้ครูดีครับ คือไปอยู่กับบุรินทร์กับ The Oldschool All Star บอกว่า โอ้โห สุดยอดครับ ทั้งการ perform และ entertain คนดู ทุกคนค่อนข้างจะสุดตรงนี้ ทั้งพี่บุรินทร์เอง และนักดนตรีคนอื่น ๆ ก็มีชั่วโมงบินกันเยอะมาก แล้วเราเข้าไปเรากลายเป็นเด็กในหมู่ผู้ใหญ่ที่เป็นเซียนกันหมดทุกคน เราก็ค่อนข้างจะถูกเทรนมาอย่างดี อย่างแน่น ก็ได้เห็น ได้ฟัง ได้ดูในคอนเสิร์ต โชว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็ทำให้เราเก็บอะไรตรงนั้นได้มาเหมือนกัน

ตอนนี้มีสิ่งที่อยากจะทำแต่ยังไม่ได้ทำหรือเปล่า

อัลบั้มครับ เดี๋ยวนี้การทำอัลบั้มสำหรับมือใหม่เป็นเรื่องยากสำหรับเรา ด้วยระบบเปลี่ยนไป การขายต่าง ๆ อะไรหลาย ๆ อย่าง กลายเป็นว่าเราต้องทำซิงเกิ้ล วางคอนเซปต์ให้เหมือนกัน ก็คือ กึ่ง ๆ จะทำอัลบั้มแหละแต่ทำซิงเกิ้ลยิงไปเรื่อย ๆ คือมัดมาเลย แบบเดียวกัน ก็เป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับเรา ซึ่งเราค่อนข้างจะเขียนเพลงมาสะเปะสะปะ เราไม่ได้คิดว่ามันจะต้องวางมาเป็นคอนเซปต์ขนาดนั้น ก็เลยลองดู ไม่รู้จะมีโอกาสหรือเปล่า คือออกอัลบั้มก่อนแล้วค่อย ๆ โปรโมททีละเพลงมันก็อาจจะยังอยู่ในคอนเซปต์เดียวกัน แต่พอเราปล่อยเป็นซิงเกิ้ลไปก่อน สุดท้ายเอามารวมขายเป็นอัลบั้มมันเหมือนว่าอยู่ดี ๆ ก็เอามามัดรวมกัน ซึ่งความรู้สึกสำหรับเรามันต่างกัน

สถานที่ไหนที่ไม่คิดว่าเพลงเราจะได้ไปเปิด

ตอนนั้นไปบิ๊กซี กินบาร์บีคิวมันก็เปิด เดินไปฉี่มันก็เปิด ออกไปกดตังมันก็เปิด แรก ๆ ก็หลอน ๆ แต่ก็โอเคเขาชอบเพลงเรา ก็เปิด ก็ดีที่สุดแล้ว อย่างนึงก็คือพอเพลงมันถูกเปิดบ่อยมาก ๆ สำหรับเรา สมัยถ้าเราเป็นคนฟังคือมันเฝือ ถึงจุดนึงเราจะแบบ ร้านเหล้าร้านนี้เล่นอีกแล้วหรอวะ เบื่ออะไปฉี่ดีกว่า มันจะมีความอย่างนั้น ซึ่งก็อาจจะหนีไม่ได้ ซึ่งโอเคครับ ออกมาในรูปแบบนี้ก็ดีที่สุดแล้ว

เคยดูคัฟเวอร์เพลงของเราบ้างไหม

ได้ดูบ้าง คือเราชอบหาดูอยู่แล้ว ช่วงที่มีเวลาเราก็จะหาคัฟเวอร์ทั้งเพลง Please ทั้งแผลเป็นแหละ เราชอบเห็นคนเอาไปทำ ตลกดี คนเอาไปทำเป็นร็อคด้วย เจ๋ง ๆ

เป้าหมายอื่น ๆ ในอนาคต

อยากมีคอนเสิร์ตใหญ่ อยากจะเก่งมากพอที่จะทำได้ สร้างเพลงที่คนรู้จักไว้เยอะ ๆ ใช้ชื่อตัวเองได้เต็ม ๆ สักครั้งนึง ยิ่งเราดูโชว์ของรุ่นพี่หลาย ๆ ท่านทั้งศิลปินเมืองไทย ทั้งเมืองนอก ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยากทำว่ะ แต่ตอนนี้ยังเก่งไม่ถึงขนาดนั้น ดังนั้นช่วงเวลาต่อไปนี้ก็ต้องเป็นการพัฒนา เขียนเพลง เล่นดนตรี ต่อไปเรื่อย ๆ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้