เลาะเส้นทางชีวิตไปกับ Nap A Lean
- Writer: Parichat Kumwas
- Photographer: Thanawat Petchan
- Stylish: Varach Chotchotiros
- Art Director: DUCK
JETLAB NAP A LEAN
นิยามความเป็น NAP A LEAN แบบ ‘โต้- ฮั้ว’ สองหนุ่มหน้ามนคนเจียงใหม่ที่ต่างกันแบบสุดขั้ว แต่ลงตัวกันด้วยเพลงและดนตรี มีคติปลุกใจให้เข้าเมืองมาเพื่อ Work and Travel!
วงนี้มีนักร้องสองคน ‘โต้’ ร้องด้วยเสียง ‘ฮั้ว’ ร้องด้วยกีต้าร์
Members:
โต้ – ธนพล ทองสวัสดิ์ ︱ Toh : Acoustic guitar & vocal
ฮั้ว – พิสิฐ สมบัติพินพง ︱ Hua : Electric guitar & vocal
การรู้จักกัน มันคือจุดเริ่มต้น
ฮั้ว: เราเป็นเพื่อนของเพื่อนกันอยู่แล้วก่อนหน้านี้ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เราเคยมีวงชื่อ ‘ยิ้มกริ่ม’ แล้วมือเบสของวงก็เป็นเพื่อนของโต้ พอออกจากวง ‘ยิ้มกริ่ม’ เพราะไม่มีเวลาทำ ต้องไปทำงานร้านซูชิที่โต้ชอบไปกินบ่อยๆ ก็เริ่มคุยกัน แลกเพลงกันฟัง โต้เล่นดนตรีกลางคืนตลอด ก็เลยชวนกันมาทำวงตั้งแต่ตอนนั้น
NAP A LEAN ชื่อนี้มีที่มา
ฮั้ว: จริงๆ คำว่า NAP มาจากแฟนเก่าโต้ ตอนนั้นวง Diet Pil กำลังดัง แฟนโต้ก็อยากได้ชื่อวง ‘Sleeping Pill’ (ยานอนหลับ) โต้ก็บอกไม่ใช่แล้ว มันฟรุ้งฟริ้งเกินไป เลยได้คำว่า NAP มาจากคำว่าหลับ แล้วไปหา Synonym ได้คำว่า LEAN มาอีกคำ ส่วนคำว่า A มันไม่ใช่คำเชื่อม NAP ก็นาม LEAN ก็นาม เอา A มาคั่นกลางเป็น NAP A LEAN มันผิดหลักไวยกรณ์ แต่พวกเราตั้งเพื่อให้มันเป็นคำที่ค้นหาในอินเตอร์เน็ตง่ายๆ พิมพ์คำนี้เข้าไปก็จะเจอแต่เพลงเรา 🙂
ไปไงมาไงถึงได้มาอยู่ SpicyDisc
ฮั้ว: ทีมงานของค่าย Spicy Disc ไปเห็นพวกเราเล่นที่เชียงใหม่ครับ เป็นงานคอนเสิร์ตที่รวมวงเชียงใหม่ ตอนนั้นเขาไปดูวงมายด์ (Mild) แล้วเราเล่นก่อนวงมายด์พอดี เขาชอบก็เลยมาทาบทามให้เราส่งเดโม่ให้ฟังทางอีเมล แล้วก็เป็นช่วงคาบเกี่ยวที่จัดงาน Melody of Life พอดิบพอดี เขาชอบเดโม่ของเราก็เลยชวนมาเล่นที่กรุงเทพฯ
มันผิดหลักไวยกรณ์ แต่พวกเราตั้งเพื่อให้มันเป็นคำที่ค้นหาในอินเตอร์เน็ตง่ายๆ พิมพ์คำนี้เข้าไปก็จะเจอแต่เพลงเรา
ถึงเวลาปล่อยของ EP ALBUM: JETLAB
โต้: เรามองว่าในการทำงานตลอด 4 ปี กับ 6 เพลงที่ออกมา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงกับเพลงหลายอย่าง เลยรู้สึกว่าต้องรวมงาน เพื่อให้มันออกมาเป็นชิ้นเดียว EP อัลบั้ม มันเป็นการจบซีซั่นแรกของวง เหมือนเราดูซีรีย์จบในซีซั่นแรก
คำว่า ‘JETLAB’ มาจาก การที่เราทำเพลงกัน มันเหมือนการทดลองทำอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา อย่างตอนทำที่เชียงใหม่ก็เริ่มต้นจากความอยาก หลังจากนั้นมาที่กรุงเทพ เวลามาเจออะไรใหม่ๆ เลยเป็นที่มาของคำว่า LAB ที่ทดลองว่าจะเจอทางในการทำงานของเราไหม ส่วน ‘JET’ เป็นเครื่องบินเฉยๆ เหมือนการเดินทางที่น่าตื่นเต้นจนทำให้นอนไม่หลับ
การทดลอง ตกตะกอน และเปลี่ยนแปลง
LAB-1 ได้ยินข่าว
ตอนปล่อยเพลงนี้ออกไป เราเหมือนเด็ก อยากทำอะไรก็ทำ เวลาที่เราทำเพลงเอง แต่งเพลงเอง มันจะมีความสุขตอนที่แต่งเพลงเสร็จ ภูมิใจไว้ก่อนละ พอหลังจากนั้นเรารู้ว่ามีคนรู้จัก มีคนเริ่มติดตาม เราก็เริ่มดีใจ
LAB-2 คำสัญญา
เพลงนี้ทำตอนที่เข้ามาอยู่กับ SpicyDisc แล้ว เหมือนเป็นโลกใบใหม่ พวกเราได้เจอวิธีการทำงานแบบมืออาชีพ แต่ก็ยังไม่ได้เรียนรู้การทำงานมากนัก เพราะเป็นเพลงที่ถูกนำมารีมาสเตอร์ใหม่
LAB-3 วันที่เรา
เริ่มรู้ระบบการทำงานของวงการค่ายเพลงเมืองไทยแล้วว่าเป็นอย่างไร เริ่มปรับให้ฟังได้ง่ายขึ้น เข้าใจขึ้น และเข้าถึงคนหมู่มากได้
LAB-4 ไม่เป็นไรหรอก
เพลงนี้เรามองกลับไปว่าทั้ง 3 เพลง เนื้อหามันดาร์กหมดเลย เลยจะทำเพลงที่ไม่ดาร์กบ้าง แต่ก็ยังดาร์กอยู่ดี ก็ยังรักไม่ได้เหมือนเดิม (หัวเราะ)
LAB-5 ความรักที่ซ่อนไว้
เป็นเพลงที่พิเศษ พวกเรามีเวลาทำอยู่แค่ 3 วัน เพราะว่าต้องกลับไปทำงานที่เชียงใหม่ ก็เร่งงานจนเสร็จ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากสำหรับเพลงนี้
LAB-6 SUN
เพลงล่าสุดที่กำลังจะปล่อยเป็นเพลงที่ฮั้วแต่งไว้นานแล้ว แต่รู้สึกว่าความยาวของเพลงมันเกินเวลาที่เราตั้งไว้ เพราะเดโมเพลงนี้มีดนตรีเยอะมาก ตอนนี้ก็เลยตัดดนตรีออกหมด เหลือแค่ร้องกับกีตาร์แล้วมีพี่โชจากวง Lullaby มาช่วยร้องอีกคน
มันอุ่นใจเหมือนกับว่าเราไม่ได้เล่นไปเรื่อยเปื่อยแล้วไม่มีใครฟังเราเลย
คิดเอาไว้ว่าต้องไปให้ไกลกว่านี้
โต้: ผมคิดว่า จะทำเพลงให้มันเป็นอัลบั้มอยู่แล้วตั้งแต่ทำวงมา ยังไงก็จะทำเพลงให้ครบ 10 เพลงเป็นอัลบั้ม 1, 2, 3 ไปเรื่อยๆ แต่ไม่คิดว่าจะได้มาอยู่ที่ Spicy Disc พอได้มาอยู่แล้วก็รู้สึกว่าจะต้องไปไกลกว่านี้ อยากมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเอง สมมติ 10 ปี NAP A LEAN ตอนนี้ 4 ปีแล้ว ก็อีก 6 ปี (หัวเราะ) มีแฟนเพลงสัก 400 คนพอแล้ว อยากตระเวนไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย เพราะเวลาเราไปเล่นได้เจออะไรดีๆ มากมาย
ฮั้ว: อยากไปเล่นที่ญี่ปุ่น เล่นดนตรีหรอ ป่าวเล่นหนังโป๊!
ถ้าตอนนี้คือ 10 ปีที่ว่า อยากกลับมาบอกอะไรกับตัวเอง
โต้: ดีแล้วนะที่มึงไม่หยุดเล่น
ฮั้ว: เลิกกับแฟนซะ (หัวเราะ) มีแฟนแล้วชีวิตมันไร้สาระ เวลาจะทำงานเพลงหรือว่าทำอะไรมันไม่มีสมาธิ ทำให้เราไขว้เขว อย่ามีแฟนเลยดีกว่า ไม่ต้องคิดจะแต่งงานด้วย (จริงหรอ! พูดแล้วน้า อย่าให้เห็นร่อนการ์ด)
Last Fat but First NAP
ฮั้ว: งาน Last Fat Fest เป็นงานแรกที่ NAP A LEAN เล่นที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นยังไม่มีค่าย เฝ้าบูธกันอยู่แค่ 2 คน เพื่อนที่อยู่กรุงเทพฯ บอกจะมาดูบูธให้ก็ไม่มาสักคน (หัวเราะ) ตอนนั้นคนที่ทำเพลงเอง หรือโตมาในยุคที่ทำเพลงเอง มันต้องได้บรรยากาศไปเล่นงาน Fat ขายแผ่นของตัวเอง ซึ่งเป็น Last Fat Fest พอดี ปัจจุบันมันก็ไม่มีแล้ว
โต้: ตอนนั้นเขาให้ส่งเพลงกับประวัติของวงไปที่ช่วง Bedroom Studio แล้วเขาก็ตอบกลับมาว่า วงเราได้ไปนะ โอ้โห! โคตรดีใจเลย ตั้งแต่ตอนเพลงติดชาร์ตก็ช็อคมากอยู่แล้ว
ฮั้ว: หลายคนมาทักแชทเลยอ่ะ เราก็แบบ เห้ย เพลงกูเอง สมัยนั้นแชร์ใน Facebook มีคนไลค์แค่ 4 คน (หัวเราะ)
แฟนคลับกับการตอบรับ
โต้: เรื่องนี้เซอร์ไพรส์มาก ดีใจเลย มีป้ายไฟ เอาขนม ของมาให้ เมื่อก่อนอยู่บ้านดู AF เห็นแบบนั้นไง แต่ของเรายังไม่ถึงขนาดนั้นนะ ก็มีกลุ่มแฟนคลับที่เขามากันเป็นประจำ หลังๆ มาก็มีกลุ่มใหม่มาเรื่อยๆ รู้สึกมีความสุขนะ เหมือนเป็นแรงสนับสนุนเวลาเรายืนอยู่บนเวที อย่างน้อยก็ยังมีคนที่คอยเชียร์เราอยู่
ฮั้ว : มันอุ่นใจเหมือนกับว่าเราไม่ได้เล่นไปเรื่อยเปื่อยแล้วไม่มีใครฟังเราเลย
ตอนแรกโต้จะไม่มากรุงเทพแล้ว เลยบอกว่ามึงคิดซะว่าไป Work And Travel นะ
รู้ว่าเริ่มฮิต เพราะติดชาร์ตแผ่น Vampire
ฮั้ว: มีไปเจอเพลงตัวเองในแผ่น Vampire นั่นมันหมายความว่าเราเริ่มฮิตแล้ว (หัวเราะ) ตอนที่เห็นเพลงเราอยู่ในนั้น ดีใจ พอๆ กับเพลงติดชาร์ต Fat เลยนะเว้ย คือเขาจะรวมสิ่งที่ฮิตไง
โต้: มันก็เป็นความรู้สึกตื่นเต้นนะครับ ได้ออกสื่อ ซึ่ง Vampire เป็นสื่อใหญ่นะ (หัวเราะ) เรามองเขาเป็นสื่อใหญ่มาก เป็นแหล่งฟังเพลงอินดี้ของไทยทุกชนชั้น ใครๆ ก็ซื้อแวมไพร์หมด แต่จริงๆ เราก็ไม่สนับสนุนนะครับ ถ้าซื้ออะไรก็ให้มันถูกกฎหมายดีกว่านะ
ฮั้ว: เราไม่ได้ให้คุณค่าในตัวบุคคลเท่าไหร่ แต่ให้คุณค่ากับสิ่งของที่มันผลิตเสร็จแล้ว ไม่ได้มองดนตรีเป็นศิลปะ แบบบางทีเพลงนี้ดัง ถามว่าใครร้อง ใครแต่งก็ไม่รู้ เพราะเขาก็ไม่คิดว่าคนที่เล่นจะเป็นใครหรือยังไง ถึงวงผับเล่นเพลงเดียวกัน เขาก็ยินดีที่จะเสพมันอยู่แล้ว งั้นบุคคลมันไม่สำคัญ ไปดูตัวจริงเล่น ดูผับเล่น มันก็ยังไม่รู้ว่าต่างกันยังไง ตอบไม่ได้อยู่ดี ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับคนฟังด้วย
มุมมองวงการเพลงไทยกับลิขสิทธิ์เพลง
โต้: พี่เสกบอกเลยว่า มีประเทศนี้ประเทศเดียวมั้งที่ศิลปินไม่สามารถเล่นเพลงของตัวเองได้เพราะติดลิขสิทธิ์ สำหรับตัวเอง เรายอมรับในแง่ของกฎหมาย แต่ว่านี่คืองานศิลปะนะเว้ย มันแย่อ่ะ มันตลกมาก ถ้าวันนึงเราเล่นเพลงตัวเองไม่ได้ มันน่าน้อยใจ เราเป็นนักดนตรี เป็นศิลปิน ถ้าไม่ร้องเพลงที่เราแต่ง เราจะทำอะไร มันเลยรู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมว่าความคิดขที่ออกมาจากสมองของศิลปินทุกคนมันมีคุณค่า แต่เขากลับตีเป็นมูลค่าอย่างเดียว เลยทำให้ศิลปะมีเพดานของมัน ถ้าทำเกินนี้ไปคนจะไม่ได้ตังค์นะ
ต้องยอมรับเลยว่า เล่นดนตรีอย่างเดียวมันอยู่ลำบากพอสมควร ถ้าที่บ้านไม่ได้มีฐานะดีอยู่แล้ว วงอินดี้ทุกคนจะรู้ ใครที่สู้ต่อก็สู้ต่อ เราเห็นหลายวงที่เขาต้องหลุดออกจากวงการไปใช้ชีวิตอย่างอื่น
นักร้องหน้าไมค์ หัวใจแรงงาน
ฮั้ว: พวกเราเป็นครีเอทีฟ อยู่ที่ค่าย SpicyDisc ด้วย ทำตัดต่อ ทำกราฟฟิก ช่างภาพ ชิ้นงานที่เป็นโปรดักชั่นทั้งหมด เพราะว่าเรามาจากเชียงใหม่ แล้วลาออกจากงานเก่า ได้ทำทั้งสองอย่างก็สนุกดี ทำงานก็เหนื่อยแต่มันสนุก ถ้าเหนื่อยแล้วไม่สนุกมันก็ไม่โอเค แล้วมันก็ดีตรงที่ ถ้าไปทำงานที่อื่นเราก็ต้องลางานออกไปสัมภาษณ์ ไปทำงานในฐานะนักร้องไม่ได้ แต่ถ้าเราทำงานที่นี่ ตอนกลางคืนเราค่อยมาปั่นส่งก็ได้ หรือว่าเราให้คนทำแทน ได้ทำทั้งสองอย่างก็สนุกดี ทำงานเหนื่อยแต่สนุก ถ้าเหนื่อยแล้วไม่สนุกมันก็ไม่โอเค
โต้: เรียกว่าเป็นอาชีพหลักของชีวิตเลย (หัวเราะ) เป็นฝ่ายเอนเตอร์เทนซะมากกว่า ผมจะดูเรื่องอีเวนท์ การคัดเดโม่เข้าออกของศิลปินต่างๆ ต้องยอมรับเลยว่า เล่นดนตรีอย่างเดียวมันอยู่ลำบากพอสมควร ถ้าที่บ้านไม่ได้มีฐานะดีอยู่แล้ว วงอินดี้ทุกคนจะรู้ ใครที่สู้ต่อก็สู้ต่อ เราเห็นหลายวงที่เขาต้องหลุดออกจากวงการไปใช้ชีวิตอย่างอื่น แต่เราโชคดีที่ว่าค่ายช่วยเราเรื่องนี้ด้วย จริงๆ ก็หวังจะเลี้ยงตัวเองด้วยดนตรีว่า เราจะเล่นดนตรีแล้วเราต้องอยู่ได้ด้วย
อย่างอื่นที่อยากลองทำ
โต้: ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นนักพากย์บอลกับผู้จัดการทีมฟุตบอล เพราะว่าดูบอลแล้วรู้สึกขัดใจ ผู้จัดการทีมฟุตบอลก็ได้เงินเยอะ อยากเป็นผู้จัดการทีม Liverpool ครับ (TheKop : จริงๆ ถ้าเราเชียร์ทีมอื่นก็อาจจะไม่ขัดใจก็ได้นะ)
ฮั้ว: สิ่งที่อยากทำก็ทยอยๆ เก็บไปทีละอย่าง อยากเป็นช่างภาพก็เป็นแล้ว อยากเป็นกราฟิกก็เป็นแล้ว อยากเป็นคนพากย์เสียงสปอตก็ได้เป็นแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่อย่างคือ อยากพากย์การ์ตูน ผมกำลังติดต่อกับเจ้าขุนทองอยู่ อยากลองพากย์โคนันด้วย เป็นตัวละคร ชินอิจิ เท่ ดี (หัวเราะ)
บางทีเราชิวมาก อยากเข้าป่า แต่มีโต้เนี่ยแหละที่ไปรับจากในป่าออกมาเข้าเมืองเหมือนควาญช้าง แล้วเราเป็นช้างป่า
เรื่องของฮั้ว : Bedpacker ︱ วันละโลก
ฮั้ว: เป็นโปรเจคที่จะเขียนพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มนึง เกี่ยวกับเรื่องราวของเราที่ครอบไว้ด้วยคำว่า เพื่อน มิตรภาพตั้งแต่สมัยเรียน เราทำงานด้วยการยืมมาตลอด ยืมกล้อง ยืมคอม คำว่า เพื่อนสำหรับเราเลยยิ่งใหญ่มาก โดยที่เราเข้าไปอยู่ในชีวิตเขา 1 วัน วันละ 1 โลก บวกกับความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน และออกจากหอพัก เลยไปอยู่กับเพื่อนวันละคน แล้วมาเขียนเป็นหนังสือว่า ไปนอนบ้านคนนี้มาเป็นไงบ้าง ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนให้ครบ 1 เดือน
ประทับใจบ้านใครแบบชอบสุด
ฮั้ว: ชอบทุกคนนะ แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนเชื่อมกันด้วยดนตรีหมดอย่าง พี่ตูน มือเบส Abuse the Youth ทำเบียร์เป็นคราฟเบียร์ทำเองในบ้านขายเป็นแบรนด์ Sandport จริงๆ ชื่อมาจากหมู่บ้านท่าทราย แต่พอเป็น Sandport เท่ขึ้นมาเลย ส่วนบอม ภูมิจิต ขายโคลสลอว์อยู่หน้าโรงเรียนสตรีวิทย์เป็นรายได้เสริม รับสกรีนเสื้อ และมีลูกสาวที่น่ารักด้วย
ยาย 3 คน ︱ แมว 3 ตัว
ฮั้ว: ที่อึ้งสุดน่าจะเป็นบ้านของ โต มือเบสวง The Parkinson บ้านไม้หลังเก่าๆ มีแมวอยู่ 3 ตัว แล้วก็มี ยาย 3 คน ที่คนนึงเป็นยายของโตจริงๆ อีกคนเป็นญาติของยาย และอีกคนเป็นเพื่อนสนิทของญาติยาย อารมณ์แบบไม่มีลูกไม่มีผัว แก่ขนาดนี้แล้วขอไปอยู่กับมึงด้วยนะเพื่อนอะไรแบบนี้ สรุปก็เลยอยู่กันเป็นแก๊งค์ยาย 3 คน ตอนเข้าไปไม่มีใครหูดีเลยสักคน เข้าไปเสียงดังฉิบหาย (หัวเราะ) กินข้าวยังงงง! กลับมาแล้วเหรอ! แมวก็เชื่องมาก ฉลาด เข้ามาในบ้านแมวนวดยายอยู่ ส่วนชีวิตโตเคยเป็นสายตีรันฟันแทง เรียนช่าง ที่หลังมีรอยโดนฟัน แล้วเบสก็เปลี่ยนชีวิตเขา พ่อเลี้ยงเขาเป็นคนญี่ปุ่น สนับสนุนเขา ซื้อเบสให้เขามาเล่นดนตรีกลางคืน แล้วก็เจอกับแฟนคนปัจจุบัน ซึ่งชีวิตตอนนี้ของเขาดีมากๆ
ตอนนี้เหลืออยู่อย่างคือ อยากพากย์การ์ตูน ผมกำลังติดต่อกับเจ้าขุนทองอยู่ อยากลองพากย์โคนัน ชินอิจิเนี่ย เท่ ดี (หัวเราะ)
เรื่องของโต้ : ก่อนขึ้นคอนเสิร์ต ต้องใส่เสื้อใหม่ ตัดผมใหม่ทุกครั้ง!?
ฮั้ว: บางทีไปเจเจ เจอคนรู้จักเขาก็จะถามว่า มาทำอะไร เราก็บอกซื้อเสื้อให้โต้ ตัวเขาจะห่วงลุคนิดนึง เพราะเป็นฟร้อนต์แมนของวงด้วยไง
โต้ : เรารู้สึกตื่นเต้น สนุกเวลาได้ขึ้นเล่นทุกครั้ง อยากทำออกมาให้ดีที่สุด ส่วนภาพลักษณ์ที่ออกไปก็อยากให้ดีที่สุดด้วย บางคนอาจจะมองว่า โต้วุ่นวายเรื่องมากหรือเปล่า เดี๋ยวแป๊บนึงๆ ขอไปซื้อเสื้อแป๊บนึง จะไปตัดผมก่อน แต่เราก็มาเล่นทันเวลานะ (หัวเราะ) บางทีก็ไปซื้อเองบ้าง ใครอยู่ในสถานที่ที่ซื้อได้ก็อาจจะโทรไปขอให้เขาซื้อให้บ้าง
ฮั้ว: ถ้าไปซื้อเองก็จะชอบพูดว่า ไปส่งซื้อเสื้อหน่อยดิ งี้เราก็จะรู้เลย เอาแล้ว กูอีกแล้ว (หัวเราะ)
ถ้าให้ฮั้วซื้อเสื้อให้โต้ตัวนึงจะซื้อแบบไหน
ฮั้ว: เสื้อยืดเปล่าสีน้ำเงิน เพราะโต้ชอบสีน้ำเงิน แล้วมันเป็นคนใส่เสื้อยืดเปล่าดีสุดแหละ อย่างวันนี้ที่มาสัมภาษณ์ดูมันใส่เสื้อลายทหาร เหมือนมางานวันเด็กเลย พาลูกไปเที่ยว
แล้วถ้าให้โต้ซื้อของให้ฮั้วบ้างล่ะ
โต้: เคสกีตาร์ที่มีล้อเลื่อนครับ เพราะเขาว่าบ่นตลอดเลยว่า หนัก ถือทั้งเอฟเฟค ทั้งกีตาร์ วงเรายังไม่ดัง ไม่มีเทคนิคเชียนประจำวงก็เลยต้องถือเอง
อยากทำเพลงกันไปได้อีกนาน ถ้ามันไม่ตายซะก่อน เพราะใช้ชีวิตหนักมาก
เรื่องของเรา : พูดถึงกันและกัน
ฮั้ว: โต้เป็นคนที่ไม่ค่อยเมากับเรา โต้เป็นผู้นำ ส่วนตัวเราเป็นคนที่ไม่มีวินัย และก็ไร้สาระ ชิวเกินไป โต้จะคอยบอกตลอดเหมือนผู้จัดการ แบบฮั้วมึงแต่งตัวแบบนี้นะ มาซาวด์เช็คกี่โมงจะบอกเราตลอด ปกติเราเป็นคนที่เชื่อสิ่งที่พูดนํ้าหนักน้อยมาก แต่โต้จะเชื่อว่า สิ่งที่พูดมีเปอร์เซนต์จริงอยู่ก็ได้ ก็ลองเชื่อมันดูซะหน่อย บางทีเราชิวมาก อยากเข้าป่า แต่มีโต้เนี่ยแหละที่ไปรับจากในป่าออกมาเข้าเมืองเหมือนควาญช้าง แล้วเราเป็นช้างป่า (หัวเราะ ทำเสียงช้าง) เป็นเพื่อนที่รักมากเลย เป็นเพื่อนในกรุงเทพที่เตี้ยที่สุดแล้ว เตี้ยกว่านี้ก็…ละแหละครับ
โต้: ฮั้วเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มแข็ง และมีจุดยึดเหนี่ยวในชีวิตคือตัวเอง เลยรู้สึกว่าบางเรื่องอาจจะบกพร่อง เพราะต้องดูแลหลายอย่าง เราเลยต้องดูแลแทน ฮั้วมีความเป็นผู้นำ และผู้ตามในจังหวะที่ดี ในแง่ของการทำงานเป็นคนที่ดึงวงออกจากกรอบไปได้เยอะ แต่พอมันเยอะมากๆ เราก็ค่อยตบกลับมาอีกที ในแง่ของการใช้ชีวิตก็เป็นในแง่ที่ถ้าเราไม่ไว้ใจมันที่สุด ก็คงไม่มากรุงเทพกับมันสองคนหรอก อยากทำเพลงกันไปได้อีกนาน ถ้ามันไม่ตายซะก่อน เพราะใช้ชีวิตหนักมาก ต้องดูแลตัวเองหน่อย
ฮั้ว: ตอนแรกโต้จะไม่มากรุงเทพฯ แล้ว เลยบอกว่า มึงคิดซะว่าไป Work and travel นะ (หัวเราะ) ตอนแรกจะมาใจยังแป้วอยู่เลย มาหาที่ร้านที่เชียงใหม่ทุกวัน กินเบียร์กัน เครียดเลย แบบเอาไงดีวะๆ เลยบอกไป Work and travel นั่นแหละ สุดท้ายแฟนมันก็ไปเรียนเมืองนอกพอดีในตอนนั้น เราก็เลยมาทำงานที่กรุงเทพฯ ในที่สุดครับ
ฝากผลงาน
วันที่ 16 พ.ค. จะมีงาน มินิปาร์ตี้ชื่องานว่า EP. JETLAB : NAP ON GREEN AND LEAN ON GRAS อยากชวนทุกๆ คนมาร่วมสนุก สร้างความทรงจำเล็กๆ ให้มันพิเศษไปด้วยกัน ทั้งคนที่เคยฟังเพลงคนที่ชื่นชอบเรา และคนที่ไม่เคยฟัง
หลังจากอีพีอัลบั้มแล้วเราจะเดินหน้าทำอัลบั้มต่อ เพราะเราเจอซาวด์ที่ชอบ เจอวิธีการทำงานแบบรุ่นใหญ่แล้ว เราไม่ใช่ช้างป่า เราจะเป็นแมมมอธ จบซีซั่นแรกด้วย อีพีอัลบั้ม หวังว่าจะเจอกันในซีซันใหม่ ด้วยอัลบั้มเต็มของพวกเรา ฝากด้วยนะครับ พวกเราวง ‘Nap A Lean’
FB: https://www.facebook.com/napalean
ลองรับฟัง NAP A LEAN ได้ที่ฟังใจ: http://www.fungjai.com/artist/NAPALEAN
Ink Waruntorn ขอยืนยันแทนนักแอบรักว่า ความลับมีในโลก (จริง ๆ นะ)