ระเห็ดเตร็ดเตร่

Wonderfruit 2015

  • Writer and Photographer : Montipa Virojpan and Son Of Jumbo

18 ธันวาคม 2558

เมื่อทีมงานฟังใจซีนมีโอกาสได้ไป lifestyle festival ชิค ๆ อย่าง Wonderfruit ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้วที่ Siam Country Club พัทยา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่หยิบประสบการณ์สุดฟินที่ได้รับตลอด 4 วันในงานมาเล่าให้ทุกคนฟังใน ระเห็ด เตร็ดเตร่ ตอนนี้

วันที่ 18 ซึ่งเป็นวันที่สองของการจัดงาน เรามารอรถ shuttle bus รอบบ่ายที่งานจัดหาไว้ให้ที่สนามบินดอนเมือง อ่านไม่ผิดค่ะ ไม่กี่วันก่อนหน้า จำได้ว่าเป็นวันสุดท้ายที่ทางงานเปิดให้ผู้ร่วมงานที่ไม่มีรถได้จอง shuttle bus ไปกลับได้ในราคาเที่ยวละ 600-650 บาท โดยจะมีจุดรับที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองในวันที่ 17 และ 18 ช่วงเช้าและบ่ายสามารถเลือกได้ตามความสะดวกของผู้โดยสาร เราซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าจะหาทางไปและกลับยังไงเลยลองกดจองผ่าน Thai Ticket Major ไป จากนั้นก็ให้ส่งชื่อผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับเราทั้งหมดไปที่อีเมลที่เขาบอก แล้ววันเดินทางเขาก็ให้เรามารอที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า ประตู 2 ตรงนั้นมีเจ้าหน้าที่ยืนถือป้ายงาน Wonderfruit อยู่ พอถึงเวลา เราก็เดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ แจ้งชื่อพร้อมแสดงใบจองให้เขาดู ตอนนั้นแอบดูในใบรายชื่อ ปรากฏว่ามีคนไปรอบนี้แค่ 2 คนจ้า คือฉันเอง กับฝรั่งสาวอีกคน (ที่รู้เพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนใช้ชื่อ Lisa หรอกโนะ) แล้วรถก็มาถึงแบบตรงเวลาดีมาก เราก็ได้เจอกับไลซ่า คุยกันกรุบกริบพอเป็นพิธีไม่ให้ตลอดการเดินทางของเราเจื่อนจนเกินไป

Living Stage

Living Stage

ไลซ่าเป็นสาวผมทองตาฟ้าผอมสูงหน้าตาจิ้มลิ้มมาจากรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เธอบอกว่าตอนนี้อยู่ที่พระประแดงมาปีนึงแล้ว เป็นครูสอนภาษาอังกฤษเด็กปอหนึ่ง ซึ่งหล่อนดูจะเอ็นจอยกับงานนี้มาก ๆ สำหรับงาน Wonderfruit นี่เธอก็มาครบทั้งสองปี แต่รอบแรกมาลำบากเพราะทางงานไม่มีรถเตรียมให้แบบปีนี้ แล้วพอมาถึงก็งง ไม่รู้อยู่ตรงไหนของโลก กว่าจะเข้าไปได้ก็นานอยู่ แล้วความแตกต่างของรอบที่แล้วคือเน้นดนตรีมากกว่า เวิร์คช็อปกับกิจกรรมน้อยกว่า นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกใช้คำว่า lifestyle festival กับงานในปีนี้แหละ ซึ่งไลซ่าบอกว่าเธอชอบนะ มันบาลานซ์กันดีระหว่างดนตรี อาหาร กิจกรรมต่าง ๆ ไม่สุดทางจนเกินไปทำให้ใช้ชีวิตหลาย ๆ วันที่งานได้แบบสบาย ๆ นอกเหนือจากนั้นก็คุยแลกเปลี่ยนที่ hangout ในกรุงเทพ ฯ เพราะเธอจะเข้ามาทุกช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ กับความบังเอิญที่เราเล่าว่าเราเคยไปเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี แล้วไลซ่าก็ตื่นเต้นมาก บอกว่าเป็นเมืองที่เธอเคยอาศัยอยู่ตอนเด็ก ๆ เราก็เลยมีเรื่องคุยกันสนุกเลย แต่ก็พอคุยกันหอมปากหอมคอก็ขอนอนเอาแรงก่อนถึงที่

Son of Jumbo กับทางเข้างาน

Son of Jumbo กับทางเข้างาน

จนรถตู้พาเรามาถึง Siam Country Club สถานที่จัดงาน Wonderfruit เรากับไลซ่าก็แยกย้ายกันเพราะนางต้องไปเจอเพื่อน ส่วนเราก็ไปรายงานตัวว่าเป็นสื่อจะมาทำข่าวในงาน ก็ได้แผนที่ในงานกับตารางกิจกรรมพร้อมสายรัดข้อมือผ้าแบบถอดไม่ออกมาสองอัน เพราะถ้าสายขาดแกจะอดเข้างานนาจา อันแรกสีชมพู เป็น RFID wristband เหมือนเป็นตัวเข้างานที่ทุกคนจะต้องได้ สายนี้จะมี cashless card ที่เป็นบัตรเติมเงิน ให้เราเอาเงินสดหรือบัตรเครดิต (ขั้นต่ำ 2,000 บาท ชาร์จ 3%) ใส่เงินเข้าไปในบัตรนี้แล้วใช้ซื้อของภายในงาน สามารถ refund ได้ในวันสุดท้ายที่จุด top up ที่กระจายอยู่ทั่วงาน หรือหลังจากวันนั้นก็สามารถทำ online refund ได้ที่เว็บไซต์หลักของงาน ส่วนอีกอันเป็นสายสีแดงบอกว่าเราเป็น media เอาไว้ใช้เข้าบูธสื่อมีที่ชาร์จแบตกับไวไฟให้ใช้ส่งงานได้เรื่อย ๆ พอได้สายรัดสองอันแรกเรียบร้อย เราก็เดินตรงยาวเข้ามาในงาน ทางเข้าเป็นทางเดินเลียบจุดกางเตนท์ซึ่งลึกนิดนึง แต่ก็ดีที่กันคนจากภายนอกได้แน่ ๆ ในระดับนึง ตรงซุ้มทางเข้าน่ารักมาก ทำเป็นไม้ไผ่สาน ๆ คล้ายรังนก ประทับใจกันตั้งแต่ทางเข้าเลยล่ะ จากนั้นเราก็เดินตรงมาก่อนจะเข้า camp site ก็มีโต๊ะให้ลงทะเบียนว่าเราจะตั้งแคมป์ตรงจุดไหน กี่คน เขาให้เลือกเป็นโซน ๆ แล้วก็ให้แท็กหมายเลขมาผูกเตนท์เราตามที่ลงทะเบียนไว้ พร้อมกับ wristband ที่เป็นแบบกระดาษสีเหลืองสำหรับ general camping ถ้าเป็นคนที่อยู่ RV หรือ boutique camping น่าจะเป็นอีกสี

Boutique Campsite

Boutique Campsite

อย่างที่รู้ ๆ กันคือเขามีเตรียมที่พักไว้ให้น่ะ ถ้าคนที่จะนอนในงานเลยเขาก็จะมีโซนตั้งแคมป์แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายให้สำหรับผู้ที่ซื้อบัตรทุกคนอยู่แล้ว ก็เอาเตนท์เอาอะไรกันมาเอง กับโซนสำหรับ RV ที่เอารถบ้านมาต้องซื้อที่จอดในจำนวนจำกัด ส่วนใครที่ไม่อยากตกระกำลำบากมากนัก เขาก็มีเตนท์ระดับพรีเมียมไว้ให้สามประเภทด้วยกัน นอนได้หลังละ 2-4 คน มีแบบหลังเล็กติดพัดลมหรือติดแอร์ กับแบบที่เป็นหลังใหญ่ติดแอร์ แล้วก็มีเตียงลมให้ สบายไปอี๊ก ใครจ่ายไหวก็จัดจ้ะ แต่เอาเข้าจริงถ้ามากันหลายคนหารกันก็ราคาพอ ๆ กับนอนโรงแรมนะ สำหรับทั้งสองโซนก็มีห้องน้ำให้ใช้อย่างสะดวกสบายประมาณนึงเลย อ้อ แล้วเขาก็มีโรงแรมที่เป็น partner กับงาน ได้ห้องพักราคาพิเศษกันด้วย อันนี้แล้วแต่ชอบเลยจ้า

A Taste of Wonder

A Taste of Wonder

พอเรากางเตนท์พร้อมเติมเงินในบัตรเรียบร้อยกะว่าจะวิ่งไปดู Desktop Error เพราะเขากำลังเล่นอยู่พอดีตอนมาถึง แต่ไปไม่ทันเล่นจบซะก่อน เสียใจ ไม่ได้ดูมานานแล้ว เลยต้องเป็นการเดินสำรวจงานแทน เริ่มจากจุดที่ใกล้ general camp site ก็เป็นเวที Living Stage คือเวทีใหญ่ที่สุดในงาน ตกแต่งอลังการแสงสี installation เลอค่ามาก เดินเรื่อยมาก็จะถึง Forbidden Fruit เป็นเหมือนคลับเล็ก ๆ ที่จะมีเสวนาความรู้ต่าง ๆ จากนักเคลื่อนไหวทางสังคม ดีไซเนอร์จากทั่วโลกในช่วงกลางวัน ไปนั่งฟังอยู่สามสี่อัน อันนึงเป็นเด็กสองคน เพิ่งเป็นวัยรุ่นตอนต้นเอง พูดเรื่องการกำจัดขยะในบาหลี แล้วก็มีคนที่พูดเรื่อง sustainable life, grow food มีพูดเรื่อง installation แล้วก็การออกแบบการใช้ชีวิตอะไรแบบ พอตอนดึก ๆ ก็มีดีเจเปิดแผ่น ข้าง ๆ กันมีซุ้มของ Marimekko ให้เราเขียนโปสการ์ดลายน่ารัก ๆ ส่งให้ฟรีด้วย เดินเลยออกมาอีกหน่อยบริเวณกลางลานของโซนนั้นมี The Ziggurat เป็นเพิงพักของเบียร์สิงห์ให้เข้าไปนั่ง ๆ นอน ๆ หลบร้อนกันได้ มีเบียร์สิงห์สดให้จิบกันด้วย ส่วน Solar Stage ก็เป็นเวทีแต่งล้ำ ๆ มีดีเจผลัดเปลี่ยนกันมาปลุกช่วงเช้ามืด /เรานี่โดนปลุกทุกวัน อยากนอนนาน ๆ อะ ฮือ เลยไปอีกหน่อยจะเป็น Theatre of Feasts เป็นเหมือนโรงอาหารที่ร้านอาหารชื่อดังย่านเอกมัย ทองหล่อ จัดเป็นมื้อกลางวัน และมื้อเย็น นั่งกันแบบหลาย ๆ คนเป็นโต๊ะยาวสุดเตนท์ โดยเราต้องจองก่อนนะ อาจจะมี walk-in ได้ แต่ก็อยู่ที่ดวงว่ามื้อนั้น ๆ จะเต็มแล้วหรือยัง มีอาหารแบบ full course พร้อมดนตรีสดเล่นประกอบการกินของเรา เขยิบไปอีกนิดก็มีร้าน Peppina, Rocket Coffee Bar ที่ทำเหมือนเป็น social club ของตัวเอง

Molam Bus by Jim Thompson

Molam Bus by Jim Thompson

แล้วที่เราชอบมาก ๆ คือ Molam Bus ของ Jim Thompson ที่มีรถหมอลำให้เราเข้าไปนั่ง หรือปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคารถก็ได้ แล้วมีเวทีที่เอาวงหมอลำแบบ local จริง ๆ มาเล่นให้ดูแบบสด ๆ ธีมผ้าขาวม้าน่ารักสุดอะไรสุด ข้าง ๆ กันก็เป็นโซนละลายทรัพย์อย่าง A Taste of Wonder ที่รวบรวมร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับที่คัดสรรมาแล้ว เรากับพี่บิ๊ก (ทีมงานฟังใจอีกคน) โดนเสื้อกับกางเกงผ้าฝ้ายพิมพ์ลายย้อมครามธรรมชาติไปคนละตัว บรรยากาศข้างในเหมือน Artist Flea ที่ Williamsburg, Brooklyn เลย แบบเป็นร้านตั้งกันดูรก ๆ แล้วเราต้องเข้าไปคุ้ยของเอง ดูยิปซี ๆ อะ แล้วก็มีโซนออกกำลัง โซนเล่นกีฬา  แถวนั้นก็ยังมี installation กระจายตัวอยู่ทั่วไป เดินเลี้ยววกกลับมาก็จะเป็นโซนอาหาร มี food truck และร้านดังย่านสุขุมวิทมาให้เลือกหลากหลายมาก ละลานตาจริงแต่จ่ายไม่ไหวทุกมื้อค่ะ ฮือ ก็โดน naked burrito ร้าน Cactus กับน้ำผักรวมของ Broccoli Revolution ไป อ่วมอยู่ แต่อร่อยนะ ฮ่า ๆ แล้วก็มี The Playground เป็นโซนกิจกรรมสันทนาการของ Moose Cider เขาแหละ สาธิตวิธีทำแอปเปิลไซเดอร์แล้วมีคนมาเล่น beach ball กันสนุก ๆ ด้วย

Submotion Orchestra

Submotion Orchestra

พออิ่มหนำกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะไปดูวงค่ะ สำหรับงานนี้ใจอิฉันมันฝักใฝ่จะได้ดู Com Truise มาก ๆ แต่ปรากฏว่าพอถึงเวที Soi Stageกลับไม่พบวี่แววของพี่แก ทราบความว่าย้ายไปเล่นเวที Solar Stage แทนเมื่อชั่วโมงก่อน แล้วแจ้งก่อนไม่นานตอนที่เราก็ไม่ได้กังวลอะไรเพราะยังคิดว่าเล่นที่เดิมเวลาเดิม แล้วปกติก็ไม่ได้เข้าไปเช็คในเพจหลักไง เฟลลลลลลลล เฟลมาก ทำไมไม่รีบบอกดาวววววว จะร้องไห้ ก็เลยจะหนีกลับไปดู Harts ที่เล่นเวทีใหญ่ แต่ก็ไปไม่ทัน จบซะก่อน เลยได้ดู Submotion Orchestra แทน แบบ โอ้โห สุดยอดมาก เป็นวง fusion jazz ที่เล่นผสมผสาน electronic, reggae, trip hop ด้วย นักร้องเขาเสียงคุณภาพจริง ๆ ส่วนเพลงบรรเลงนี่อย่างโยน แล้วก็ได้เดินผ่านร้านของ Never Ending Summer ค็อกเทลเบสยาดองเขาอร่อยดีนะ ม้ากระทืบโลงรัว ๆ แล้วตอนนั้นเซอร์ไพรส์มาก คือ Roth Bart Baron มาเที่ยวงานนี้ก่อนจะไปเล่นที่ Big Mountain ได้โชว์เพลงแจมกับคุณเบิร์ด Desktop Error ด้วย เป็นบุญตามากค่ะ จากนั้นก็ได้ดู The Faint เป็นวงสุดท้ายของเวทีนั้นกันต่อ วงนี้มีความอเมริกันแบบอธิบายไม่ได้จริง ๆ ต้องมาฟังเองอะ โซอเมริกัน เล่น electroclash, dance punk หนัก ๆ แต่ก็มีความเป็น alternative แบบสุด ๆ เหมือนกัน พอดูเสร็จก็ไปเดินเล่นนิดหน่อยแล้วกลับมานอน

Sharing Neighbourhood Pavillion by SC ASSET

Sharing Neighbourhood Pavillion by SC ASSET

ความยากที่ค้นพบในคืนแรกคือสภาพอันสุดจะแปรปรวน คือที่จัดงานมันอยู่ในหุบเขาถูกมะ พอกลางวันมันร้อนสุดแล้วกลางคืนก็จะเย็นสุด กะเล่นให้ป่วยอะค่ะ วันแรกนี่ทำเอาพี่ตื่นมาหายใจไม่ออก ทั้งหนาวทั้งสำลักฝุ่น แล้วกว่าจะนอนได้นี่ต้องข่มหูไม่ให้ไปฟังเสียงเพลงที่ยังเล่นอยู่ ตอนเช้าก็ตื่นเพราะดีเจ Solar Stage กับอากาศตอนเช้าที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว เรียกว่าคนไปงานนี้ต้องสตรองประมาณนึงเลยล่ะ ผ่านคืนแรกมาได้ทำให้รู้ว่า 1) เอาที่อุดหูไปด้วย 2) ผ้าปิดปากก็เช่นกัน 3) กลางวันให้ใส่เสื้อน้อยชิ้น บางสุดเท่าที่จะทำได้ ทา sunblock ด้วยเพราะแดดที่นี่ทำหลังพี่ไหม้เกรียมไปหมด ส่วนกลางคืนจัด winter collection ได้เลยค่ะ ผ้าห่มจำเป็นมาก อย่าซ่าเอาไปแค่ถุงนอน

Wonder Salon

Wonder Salon

เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่สองในดินแดน Wonderfruit หลังจากอาบน้ำทำธุระปะปังเรียบร้อยก็ไปชาร์จแบตให้เต็มแล้วค่อยไปลุยกันต่อ เริ่มจากการไปสำรวจโซนที่ยังเดินไปไม่ถึง นั่นคือด้านหลัง Wonderfruit Farm ซึ่งเป็นแปลงผักที่ปลูกกันอยู่แล้วในพื้นที่แห่งนี้ ตรงนั้นนอกจากจะมี Soi Stageแล้วยังมี Wonder Salon หูยยยย เป็นอะไรที่น่าสนุกมาก เพราะตรงนั้นเป็นศูนย์รวมความสวยความงาม แปลงโฉมให้เข้ากับ festive look ได้ทั้งชายหญิง มีทั้งแต่งหน้า ทำผม ตัดผมแต่งหนวดท่านชาย แต่อันนี้ราคาค่อนข้างสูง ทำเฮนน่า เพนท์หน้า ถักเดรดล็อค ติดบินดิ ทำ headband แว่นตา สารพัก DIY accessories ในราคาที่จับต้องได้ น่ารักดี

Artisan Market

Artisan Market

ออกมาใกล้กันมี Farmer’s Shack เป็นโซนอาหารและเครื่องดื่มออแกนิคจากร้านดังทั้ง One Ounce For Onion, Organic Supply เมนูน้ำปั่นกับกาแฟสูตรพิเศษเขาอร่อยมาก เช้านี้เราจัด nut smoothie ชื่อ Wilderness เป็นมื้อเช้าไป ใส่ถั่วพิสตาชิโอ นมถั่วเหลือง ข้าวหอมมะลิ จมูกข้าวสาลี ลูกฟิก กราโนล่า แล้วก็ chia seed ไม่หวานมาก หอม ๆ อยู่ท้องดี เฮลตี้ด้วย แล้วตรงนี้มีอาหารราคาถูกอย่างไข่พะโล้ สารพัดแกง ไม่เกินร้อยบาท ถูกสุดในงานแล้วเนี่ย ฮือ ขุมทรัพย์จริง ๆ จากนั้นก็ไปเดินเล่นใน Artisan Market ที่เป็นโซนขายของทำมือ มีผ้ามัดย้อม เครื่องประดับหิน หน้ากาก พัดหวาย ตัดกระดาษ ทำหมวก ทำเครื่องหอม อะไรกรุบกริบน่ารัก ๆ ซึ่งมี workshop ให้ลองทำแล้วเอาผลงานกลับบ้านได้ด้วย ข้างหลังตลาดมีจุด official ของงานเรียกว่า The Pavillion ดูข้างนอกอาจจะเฉย ๆ แต่พอเข้าไปข้างในคือดีมาก ร่มรื่นมาก มีตั่งให้นอนพักชิว ๆ ได้ ที่จริงตรงนี้เป็นที่ขายของที่ระลึกของงาน เสื้อกล้ามกับเป้น่ารักมากอะแก แล้วก็มีจุดชาร์จแบต จุดเติมน้ำฟรี คือเราซื้อน้ำเปล่า 30 บาทหนึ่งขวด สามารถมาเติมที่จุดนี้ได้ไม่อั้น เสียดายน่าจะมีให้ทั่วงานกว่านี้หน่อย

Wilderness Smoothie

Wilderness Smoothie

แล้วก็พอเที่ยง ๆ ก็ไปหาซื้อของกิน เดินผ่านร้านแซนด์วิชของ Maison Jean Phillippe ที่รู้กันดีว่าขนมปังเขาอร่อยลืม เราจัด salami carmembert pressed sandwich ไป แซนด์วิชอบร้อนกรอบ ๆ ขนมปังแน่น ๆ ไส้เน้น ๆ ขอ extra cheese ด้วย อะไรแบบนั้นอะ โอ้โห ฟินยอมใจ อิ่มยาวถึงเย็นเลยจ้า แล้วก็มานั่งเล่นหลบร้อนใน Rocketfruit เป็น lounge ของ Rocket Coffee Bar ที่เล่าไปก่อนหน้านั่นแหละ ก็มีดีเจเปิดเพลง chill out ตลอดวัน มีอาหาร เครื่องดื่มแบบที่ Rocket แต่ราคาแอบสูงขึ้นกว่าหน่อย เราเลยกลับไปซื้อกาแฟที่ One Ounce For Onion เป็นกาแฟ pour over ใส่ sparkling water กับน้ำเชื่อมสูตรเด็ดหลายรสชาติ นี่ก็จัดอันที่เป็น lemon ginger ไป หอมมาก ดีงาม

Soi Stage

Soi Stage

หลังจากนั้นเราก็กลับมาดูดนตรกันที่ Soi Stage ลืมเล่าว่าตรงนั้นมีโซนขายอาหารที่ถูกไปอีก ข้าวราดแกงหลากเมนูอย่างละ 80 สองอย่าง 100 (อย่าเทียบกับราคาในงานนี้กับท้องตลาดค่ะ ฮือ) ตอนนี้ Young Man and the Sea กำลังเล่น มีคนใส่ชุดมาสคอตกระต่ายยักษ์มานั่งดูด้วย ชอบมาก ฮ่า ๆๆๆ

Camp Wonder

Camp Wonder

ดูจบก็ออกมาเดินเล่นที่ Camp Wonder คืองานนี้เป็นงานสำหรับทุกเพศทุกวัยจริง ๆ นะ หลาย ๆ คนก็พาลูกตัวเล็ก ๆ มาทำกิจกรรมกันที่นี่ จะมีเกม การละเล่น โยคะเด็ก การแสดงหุ่นมือมาให้คุณหนู ๆ ได้ร่วมสนุกกันได้ทั้งวันเลย ใกล้ ๆ กันมีหนังกลางแปลงด้วย น่าร้าก วันนั้นแจ็คพ็อตไปเจอเจ้าขุนทอง ก็เป็นอะไรที่ย้อนวัยดีเหมือนกัน มีคนเอาน้องหมามาด้วย ดีจัง

Solar Stage

Solar Stage

พอค่ำ ๆ ตรง Living Stage ก็มีวงงชื่อ Rajasthan Roots ที่ฟังชื่อตอนแรกนึกว่าจะเล่นเร้กเก้ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาคือวงดนตรีพื้นเมืองร่วมสมัยจากราชสถาน รัฐที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ตู้หูวววว world ไปอีกกกกก มีเครื่องดนตรีแบบพวกขลุ่ยไม้ไผ่ ผสมกับซาวด์ดั๊บ เครื่องดีดเสียงก๋องแก๋ง กับวิธีร้องที่แปลกมาก เปิดโลกสุด ๆ จากนั้นก็วิ่งไป Soi Stage ดู Animal Machine นี่คือความดีงามของวงการเพลงบ้านเรา วง drum n bass ที่เพลงดีประทับใจ ฝรั่งไม่สนใจว่าเพลงจะร้องว่าอะไร ฟังเข้าใจหรือไม่ แต่พวกนี้เต้นมันมาก ดีดมาก เต็มที่กับงานจริง ๆ จากนั้นเราก็ลองไปสำรวจบริเวณข้างเคียง พอดีได้ยินเสียงเหมือนกลองชนเผาร้องรำอะไรกันอยู่ไกล ๆ เลยลองเข้าไป ตรงนี้เรียกว่า Goddess Camp ที่ปกติจะมีกิจกรรมโยคะ body, mind, and soul ให้คุณสาว ๆ ได้มาดีท็อกซ์ร่างกายและอารมณ์กัน แล้วคืนนี้มีงานเต้นรำชื่อ journey dance แบบ คนแน่นในกรงไม้ไผ่ที่ไม่ค่อยใหญ่นี่มาก เราก็อดไม่ไหวขอเข้าไปแจม ถอดรองเท้าเต้นไปกับดนตรีพื้นเมืองที่เล่นกันสด ๆ ล้อมวงกันไปรอบ ๆ เหยียบพื้นไม้กันยวบยาบ อย่างเมา สนุกจริง

Forbidden Fruit

Forbidden Fruit

พอออกมาตรงนั้นลองแวบไปดู Roscius ที่ Forbidden Fruit เป็นดีเจเปิดดิสโก้แหละ แต่รู้สึกในนั้นแออัดมากเลยออกมา แต่ตอนออกมานี่หนาวจนปวดท้อง รู้สึกไม่ไหวเลยต้องไปหาอะไรร้อน ๆ ดื่ม เดชะบุญเจอร้านชาจีนชื่อ Cha โดน Jasmine Silver Needle เข้าไป โอ้โห ชีวิตดีขึ้น 60% เชื่อป่าวว่าอยู่งานนี้แตะอบายมุขน้อยมาก ไม่ใช่ไร แพง กลัวเมาละกลับเตนท์ไม่ถูกด้วย ฮ่า ๆ พอหายหนาว หายปวดหัว หายปวดท้องขึ้นนิดก็ไปลุย headline ของงานนี้กันต่อกับ Jon Hopkins ค่ะ

Jon Hopkins x Chris Levine

Jon Hopkins x Chris Levine

ที่เวที Living Stage ตอนนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ นอกจากนี้ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหญ้า แทบอ้วกเลยฮะ เวลาไม่ได้ดูดเองก็รู้สึกว่ามันเยอะไป๊ ไม่นานนัก Jon Hopkins โปรดิวเซอร์และศิลปินเพลง electronica ระดับโลกก็ปรากฏตัวบนเวที บีทเบา ๆ เริ่มบรรเลงคล้ายร่ายมนต์ให้คนดูตกอยู่ในภวังค์ พร้อมกับลำแสงโฮโลแกรมที่ถูกยิ่งไปทั่วบริเวณนั้น ผลงานจาก Chris Levine ที่เนรมิตด้านบนเหนือศีรษะของทุกคนกลายเป็นม่านสีเขียว ม่วง น้ำเงิน พร้อมมีกลุ่มควันลอยล่องผ่านไป โหดมากที่เขาทำเป็น visual lighting เมฆล่องผ่านท้องฟ้าสีมรกต เหมือนเป็นหลังคาคลุมคนดูอีกทีอะ ทุกคนนี่พร้อมใจหยิบมือถือขึ้นมาอัดวิดิโอกันเลยแหละ จากนั้นไม่นานก็เล่นเพลงบรรเลง รู้สึกว่ามีมิกซ์ sampling ของ Sigur Ros ด้วย แบบ โอ้โห ตกอยู่ในมนต์สะกดของพ่อมดสองคนนี้เลย ดีงามมาก

The Quarry

The Quarry

จบจากตรงนี้ก็แวบไปหาเพื่อน ๆ นั่งเล่นกันตรง Molam Bus แล้วฟังเพลงที่เปิดไกล ๆ จาก A Taste of Wonder ที่เปิดโดยคุณโน้ต Dudesweet ดีงามมาก ลงจากรถก็มาเต้นกันเรื้อน ๆ ข้างล่าง มีทั้งงาน trash, disco, 20s swing, Beyonce, Rihanna, Pet Shop Boys, New Order สนุกจริง จากนั้นก็ไปบุกเวที The Quarry ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกห่างจากตัวงานหลักไปค่อนข้างไกล ดีที่มีคนเดินไปมาระหว่างทางเยอะมาก ทางที่มืด ๆ เลยดูไม่เปลี่ยวจนเกินไป พอไปถึง เราจะเห็น installation เป็นพิระมิดทรงกลมสามสี แดง เหลือง น้ำเงิน ดู ๆ ไปก็เหมือน Hershey’s Kisses อยู่เหมือนกัน พอไปถึงตัวงาน กลิ่นหญ้าหึ่งอีกละ แต่บอกเลยว่าไฟเวิร์ลมาก ๆ แสงสีพุ่งพล่านลอดช่องไม้ไผ่ออกมา visual น่าจะเป็นคนทำอันเดียวกับโชว์ของ Jon Hopkins แต่อยู่ได้ไม่นานเพราะระดับความแออัดคือหายใจไม่สะดวก หรือเราไม่ชอบบรรยากาศแบบในผับก็ไม่รู้ เพลงก็ตื๊ดตามสไตล์ อยู่ได้แปปเดียวก็ขอเผ่นกลับมาก่อน ขากลับนี่เดินสั่นมาก รู้ตัวว่าไม่รอดแน่คืนนี้รีบกินพาราแล้วนอนดีกว่า

 วันสุดท้ายของกิจกรรมทั้งหมดทั้งมวลที่จะเกิดขึ้นในดินแดน Wonderfruit แห่งนี้ก็มาถึง เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้วก็ออกลุย แอบตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้ดู Rhye ก็เปิดเพลงบิลด์ตัวเอง แล้วช่วงนั้นพอดีที่ได้ยินเขา soundcheck โอ้โห แค่เช็คซาวด์ยังเพราะอะ แต่เอาจริงว่าวันนี้ไม่ค่อยอยากทำอะไรเท่าไหร่ เลยไปนั่งฟัง talk แล้วไปดู Kidnappers ที่ Living Stage เล่นเพลง หยุด ที่นี่เป็นงานแรก คุณติวสวยมาก ฮืออออ แล้วก็ไปต่อที่ Soi Stage มี The Sticky Rice เล่นอยู่ ตอนนี้พีคมากคืออยู่ดี ๆ ก็มีพาเหรดปิดงานเคลื่อนขบวนผ่าน คือวงเขายังเล่นไม่เสร็จเลยนะ เวรกรรมจริง ๆ พี่ ๆ เขาเลยแก้เกมโดยการเล่นคลอไปกับจังหวะวงโยธวาทิตไม่ให้ขบวนมาร์ชเสียซะงั้น
Bangkok Swing
Bangkok Swing

ต่อจากนั้นก็กลับไปเวทีใหญ่ดูโชว์กันยาว ๆ มี Greasy Cafe พี่เล็กบอกว่าเป็นโชว์ที่คนน้อยที่สุดที่เคยเล่นมา ต้องเข้าใจว่าที่นี่อาจจะมีกลุ่มแฟนเพลงพี่น้อยหน่อย ดูได้แปปนึงเราก็วิ่งกลับไปที่ Forbidden Fruit ที่ตอนนี้กำลังจะมี workshop swing dance ตื่นเต้นมากเพราะไม่ได้เต้นมาเป็นปี ๆ แต่ดีที่ได้เคาะสนิทนิดหน่อยก็เต้นต่อได้ สนุกมาก เพราะเขาจะมี free lesson ก่อนให้ทุกคนได้ปูพื้นฐาน จากนั้นก็จะให้จับคู่เต้นกันเป็น social dance แบบ rotate partner ไปเรื่อย ๆ เต้นแปปเดียวก็ได้เหงื่อแล้ว พักนึงก็แวบออกมาเพราะถึงคิวของพี่ปู พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ อันนี้ถือว่าพีคจริง เป็นครั้งแรกที่เราได้ดูโชว์ของศิลปินในตำนานท่านนี้ คือดีงามมาก ควรค่าแก่การรับชมรับฟังจริง ๆ ตอนเล่นไปสักสองสามเพลงพี่ปูพูดว่า นี่เมานิดหน่อย ตอนนั้นมาเร็วเลยได้ดู Greasy Cafe จนจบ เมา คนดูหัวเราะชอบใจกันใหญ่ แล้วโดนพี่ปูว่า คนน้อยแล้วยังเสียงเบาอีก คราวนี้วิญญาณแฟนบอยหลายคนถึงกับแหกปากร้องเพลงอย่างไม่อายฟ้าดิน สนุกมาก ยิ่งตอนเพลง วิญญาณ แค่นั้น กับ เสมอ เนี่ย โอ้โห ขนลุก จบได้ดีงามประทับใจ เป็น best act ของปีนี้เลยก็ว่าได้ ขลังไปหมด นักดนตรีก็เก่ง ดีใจที่ได้มีโอกาสดูกับเขาสักที

Rhye

Rhye

พอพี่ปูจบก็สานต่อความพีคกันด้วย Rhye เลย พี่ถึงกับวิ่งไปเกาะขอบเวทีด้วยความติ่ง ขอใช้คำว่างดงามมาก เสียงสวรรค์จริง ๆ เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายจนเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าที่จะมางาน พี่ทราย กราฟฟิกดีไซเนอร์ฟังใจบอกว่า แกเขาเป็นผู้ชายนะรู้ป่าว มีเมียด้วย อะเมซิ่งจิงเกอเบลมากอะ ตอนเล่นเพลง Falling คือตายไปเลยจ้า แต่ไม่ได้เล่นแบบต้นฉบับนะ มือทรอมโบน/เชลโลคือเก่งมาก น้ำตาจะไหล แล้วก็รอดู Blonde Redhead เป็นวงปิดของเทศกาล แบบว่า คนดูเริ่มร่อยหรอแล้ว เพราะมีคนทยอยกลับกันไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวัน เพราะวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันที่ต้องกลับไปทำงานกันแล้ว เราเองก็เพลีย ๆ ทนดูได้ค่อนโชว์ต้องขอกลับมานอน ไม่ใช่ไม่อยากดูนะ อาการหนาวจนปวดท้องกลับมาอีกแล้ว ฮรอลลลล เอาเป็นว่าความดีงามคือ performance แบบถึงจริง ดูอินกันมาก ๆ อย่างพริ้วเลย แต่นั่นแหละค่ะ ร่างกายไม่ไหวแล้วต้องขอลาไปนอน ปิดฉากเทศกาลได้แบบไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ (ในแง่สุขภาพ) แต่ด้านวงและประสบการณ์ที่ได้รับภายในงานคือคุ้มค่ามากจริง ๆ

ตอนเช้าวันที่ 21 วันสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่นี่ หลังจากอาบน้ำ เก็บเตนท์ ก็ไปนั่งรอรถเตรียมเข้าเมืองเพื่อจะตามทีมงานฟังใจคนอื่น ๆ ที่อยู่ Big Mountain เพื่อไป outing กันที่หัวหินกันต่อ ทรหดสุด ๆ ช่วงระหว่างรอนี้เราก็นั่งทบทวนสิ่งต่าง ๆ ตลอดทั้งเกือบสี่วันนี้ เราชอบบรรยากาศ family, pet friendly แบบนี้นะ แบบเอาจริงว่าเราสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายไร้กังวล (ถ้าเงินถึง) เพราะกิจกรรม health and wellness กับพวก creativity น่าทำเยอะไปหมด ของก็น่ากินไปหมดเลย แต่จากที่อยู่มาสองวันเรารู้สึกว่าคนที่มางานนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาติแหละ เป็นสายท่องเที่ยว ฟังเพลง อยู่แล้ว ส่วนมากก็สายตื๊ด ๆ แดนซ์ ๆ หน่อย เพราะจากไลน์อัพนี่อัดแน่นไปด้วยดีเจมากกว่าแบนด์ แล้วก็มีกลุ่มประมาณ Coachella hipster แต่งตัว ๆ และเซเล็บเยอะมากกกกก แต่พวกฮิปปี้ที่แท้จริงเพียบ กลิ่นหญ้าคละคลุ้งตลอดงาน ผมนี่มึนเลยครับ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็ดีงาม ไม่ตกระกำลำบากแน่นอน วันสุดท้ายก็มี shuttle บริการรับไปส่งในเมืองแบบฟรี ๆ ด้วย สรุปก็คือ ใครที่เข้าใจว่านี่คือ music festival งานนี้อาจจะไม่เหมาะกับคุณ แต่ให้มองว่าเป็น lifestyle festival เพราะคุณจะได้ใช้ทุกด้านของชีวิตอย่างสุขีปรีดาแน่นอน คิดว่าได้มาทำกิจกรรมสนุก ๆ เปิดใจไม่คิดอะไรมาก กับการได้มาพบปะผู้คนใหม่ ๆ ก็น่าตื่นเต้นแล้ว  ปีหน้าถ้ามีโอกาสก็ขอให้มาลองสัมผัสรสชาติชีวิตในดินแดน Wonderfruit แห่งนี้กันดู ไม่มีผิดหวังจริง ๆ ค่ะ

The Pavilion powered by Samsung

The Pavilion powered by Samsung
Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้