Wonderfruit 2015
- Writer and Photographer : Montipa Virojpan and Son Of Jumbo
18 ธันวาคม 2558
เมื่อทีมงานฟังใจซีนมีโอกาสได้ไป lifestyle festival ชิค ๆ อย่าง Wonderfruit ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้วที่ Siam Country Club พัทยา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่หยิบประสบการณ์สุดฟินที่ได้รับตลอด 4 วันในงานมาเล่าให้ทุกคนฟังใน ระเห็ด เตร็ดเตร่ ตอนนี้
วันที่ 18 ซึ่งเป็นวันที่สองของการจัดงาน เรามารอรถ shuttle bus รอบบ่ายที่งานจัดหาไว้ให้ที่สนามบินดอนเมือง อ่านไม่ผิดค่ะ ไม่กี่วันก่อนหน้า จำได้ว่าเป็นวันสุดท้ายที่ทางงานเปิดให้ผู้ร่วมงานที่ไม่มีรถได้จอง shuttle bus ไปกลับได้ในราคาเที่ยวละ 600-650 บาท โดยจะมีจุดรับที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองในวันที่ 17 และ 18 ช่วงเช้าและบ่ายสามารถเลือกได้ตามความสะดวกของผู้โดยสาร เราซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าจะหาทางไปและกลับยังไงเลยลองกดจองผ่าน Thai Ticket Major ไป จากนั้นก็ให้ส่งชื่อผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับเราทั้งหมดไปที่อีเมลที่เขาบอก แล้ววันเดินทางเขาก็ให้เรามารอที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า ประตู 2 ตรงนั้นมีเจ้าหน้าที่ยืนถือป้ายงาน Wonderfruit อยู่ พอถึงเวลา เราก็เดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ แจ้งชื่อพร้อมแสดงใบจองให้เขาดู ตอนนั้นแอบดูในใบรายชื่อ ปรากฏว่ามีคนไปรอบนี้แค่ 2 คนจ้า คือฉันเอง กับฝรั่งสาวอีกคน (ที่รู้เพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนใช้ชื่อ Lisa หรอกโนะ) แล้วรถก็มาถึงแบบตรงเวลาดีมาก เราก็ได้เจอกับไลซ่า คุยกันกรุบกริบพอเป็นพิธีไม่ให้ตลอดการเดินทางของเราเจื่อนจนเกินไป
Living Stage
ไลซ่าเป็นสาวผมทองตาฟ้าผอมสูงหน้าตาจิ้มลิ้มมาจากรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เธอบอกว่าตอนนี้อยู่ที่พระประแดงมาปีนึงแล้ว เป็นครูสอนภาษาอังกฤษเด็กปอหนึ่ง ซึ่งหล่อนดูจะเอ็นจอยกับงานนี้มาก ๆ สำหรับงาน Wonderfruit นี่เธอก็มาครบทั้งสองปี แต่รอบแรกมาลำบากเพราะทางงานไม่มีรถเตรียมให้แบบปีนี้ แล้วพอมาถึงก็งง ไม่รู้อยู่ตรงไหนของโลก กว่าจะเข้าไปได้ก็นานอยู่ แล้วความแตกต่างของรอบที่แล้วคือเน้นดนตรีมากกว่า เวิร์คช็อปกับกิจกรรมน้อยกว่า นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกใช้คำว่า lifestyle festival กับงานในปีนี้แหละ ซึ่งไลซ่าบอกว่าเธอชอบนะ มันบาลานซ์กันดีระหว่างดนตรี อาหาร กิจกรรมต่าง ๆ ไม่สุดทางจนเกินไปทำให้ใช้ชีวิตหลาย ๆ วันที่งานได้แบบสบาย ๆ นอกเหนือจากนั้นก็คุยแลกเปลี่ยนที่ hangout ในกรุงเทพ ฯ เพราะเธอจะเข้ามาทุกช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ กับความบังเอิญที่เราเล่าว่าเราเคยไปเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี แล้วไลซ่าก็ตื่นเต้นมาก บอกว่าเป็นเมืองที่เธอเคยอาศัยอยู่ตอนเด็ก ๆ เราก็เลยมีเรื่องคุยกันสนุกเลย แต่ก็พอคุยกันหอมปากหอมคอก็ขอนอนเอาแรงก่อนถึงที่
Son of Jumbo กับทางเข้างาน
จนรถตู้พาเรามาถึง Siam Country Club สถานที่จัดงาน Wonderfruit เรากับไลซ่าก็แยกย้ายกันเพราะนางต้องไปเจอเพื่อน ส่วนเราก็ไปรายงานตัวว่าเป็นสื่อจะมาทำข่าวในงาน ก็ได้แผนที่ในงานกับตารางกิจกรรมพร้อมสายรัดข้อมือผ้าแบบถอดไม่ออกมาสองอัน เพราะถ้าสายขาดแกจะอดเข้างานนาจา อันแรกสีชมพู เป็น RFID wristband เหมือนเป็นตัวเข้างานที่ทุกคนจะต้องได้ สายนี้จะมี cashless card ที่เป็นบัตรเติมเงิน ให้เราเอาเงินสดหรือบัตรเครดิต (ขั้นต่ำ 2,000 บาท ชาร์จ 3%) ใส่เงินเข้าไปในบัตรนี้แล้วใช้ซื้อของภายในงาน สามารถ refund ได้ในวันสุดท้ายที่จุด top up ที่กระจายอยู่ทั่วงาน หรือหลังจากวันนั้นก็สามารถทำ online refund ได้ที่เว็บไซต์หลักของงาน ส่วนอีกอันเป็นสายสีแดงบอกว่าเราเป็น media เอาไว้ใช้เข้าบูธสื่อมีที่ชาร์จแบตกับไวไฟให้ใช้ส่งงานได้เรื่อย ๆ พอได้สายรัดสองอันแรกเรียบร้อย เราก็เดินตรงยาวเข้ามาในงาน ทางเข้าเป็นทางเดินเลียบจุดกางเตนท์ซึ่งลึกนิดนึง แต่ก็ดีที่กันคนจากภายนอกได้แน่ ๆ ในระดับนึง ตรงซุ้มทางเข้าน่ารักมาก ทำเป็นไม้ไผ่สาน ๆ คล้ายรังนก ประทับใจกันตั้งแต่ทางเข้าเลยล่ะ จากนั้นเราก็เดินตรงมาก่อนจะเข้า camp site ก็มีโต๊ะให้ลงทะเบียนว่าเราจะตั้งแคมป์ตรงจุดไหน กี่คน เขาให้เลือกเป็นโซน ๆ แล้วก็ให้แท็กหมายเลขมาผูกเตนท์เราตามที่ลงทะเบียนไว้ พร้อมกับ wristband ที่เป็นแบบกระดาษสีเหลืองสำหรับ general camping ถ้าเป็นคนที่อยู่ RV หรือ boutique camping น่าจะเป็นอีกสี
Boutique Campsite
อย่างที่รู้ ๆ กันคือเขามีเตรียมที่พักไว้ให้น่ะ ถ้าคนที่จะนอนในงานเลยเขาก็จะมีโซนตั้งแคมป์แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายให้สำหรับผู้ที่ซื้อบัตรทุกคนอยู่แล้ว ก็เอาเตนท์เอาอะไรกันมาเอง กับโซนสำหรับ RV ที่เอารถบ้านมาต้องซื้อที่จอดในจำนวนจำกัด ส่วนใครที่ไม่อยากตกระกำลำบากมากนัก เขาก็มีเตนท์ระดับพรีเมียมไว้ให้สามประเภทด้วยกัน นอนได้หลังละ 2-4 คน มีแบบหลังเล็กติดพัดลมหรือติดแอร์ กับแบบที่เป็นหลังใหญ่ติดแอร์ แล้วก็มีเตียงลมให้ สบายไปอี๊ก ใครจ่ายไหวก็จัดจ้ะ แต่เอาเข้าจริงถ้ามากันหลายคนหารกันก็ราคาพอ ๆ กับนอนโรงแรมนะ สำหรับทั้งสองโซนก็มีห้องน้ำให้ใช้อย่างสะดวกสบายประมาณนึงเลย อ้อ แล้วเขาก็มีโรงแรมที่เป็น partner กับงาน ได้ห้องพักราคาพิเศษกันด้วย อันนี้แล้วแต่ชอบเลยจ้า
Bangkok Swing
ต่อจากนั้นก็กลับไปเวทีใหญ่ดูโชว์กันยาว ๆ มี Greasy Cafe พี่เล็กบอกว่าเป็นโชว์ที่คนน้อยที่สุดที่เคยเล่นมา ต้องเข้าใจว่าที่นี่อาจจะมีกลุ่มแฟนเพลงพี่น้อยหน่อย ดูได้แปปนึงเราก็วิ่งกลับไปที่ Forbidden Fruit ที่ตอนนี้กำลังจะมี workshop swing dance ตื่นเต้นมากเพราะไม่ได้เต้นมาเป็นปี ๆ แต่ดีที่ได้เคาะสนิทนิดหน่อยก็เต้นต่อได้ สนุกมาก เพราะเขาจะมี free lesson ก่อนให้ทุกคนได้ปูพื้นฐาน จากนั้นก็จะให้จับคู่เต้นกันเป็น social dance แบบ rotate partner ไปเรื่อย ๆ เต้นแปปเดียวก็ได้เหงื่อแล้ว พักนึงก็แวบออกมาเพราะถึงคิวของพี่ปู พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ อันนี้ถือว่าพีคจริง เป็นครั้งแรกที่เราได้ดูโชว์ของศิลปินในตำนานท่านนี้ คือดีงามมาก ควรค่าแก่การรับชมรับฟังจริง ๆ ตอนเล่นไปสักสองสามเพลงพี่ปูพูดว่า นี่เมานิดหน่อย ตอนนั้นมาเร็วเลยได้ดู Greasy Cafe จนจบ เมา คนดูหัวเราะชอบใจกันใหญ่ แล้วโดนพี่ปูว่า คนน้อยแล้วยังเสียงเบาอีก คราวนี้วิญญาณแฟนบอยหลายคนถึงกับแหกปากร้องเพลงอย่างไม่อายฟ้าดิน สนุกมาก ยิ่งตอนเพลง วิญญาณ แค่นั้น กับ เสมอ เนี่ย โอ้โห ขนลุก จบได้ดีงามประทับใจ เป็น best act ของปีนี้เลยก็ว่าได้ ขลังไปหมด นักดนตรีก็เก่ง ดีใจที่ได้มีโอกาสดูกับเขาสักที
Rhye
พอพี่ปูจบก็สานต่อความพีคกันด้วย Rhye เลย พี่ถึงกับวิ่งไปเกาะขอบเวทีด้วยความติ่ง ขอใช้คำว่างดงามมาก เสียงสวรรค์จริง ๆ เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายจนเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าที่จะมางาน พี่ทราย กราฟฟิกดีไซเนอร์ฟังใจบอกว่า แกเขาเป็นผู้ชายนะรู้ป่าว มีเมียด้วย อะเมซิ่งจิงเกอเบลมากอะ ตอนเล่นเพลง Falling คือตายไปเลยจ้า แต่ไม่ได้เล่นแบบต้นฉบับนะ มือทรอมโบน/เชลโลคือเก่งมาก น้ำตาจะไหล แล้วก็รอดู Blonde Redhead เป็นวงปิดของเทศกาล แบบว่า คนดูเริ่มร่อยหรอแล้ว เพราะมีคนทยอยกลับกันไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวัน เพราะวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันที่ต้องกลับไปทำงานกันแล้ว เราเองก็เพลีย ๆ ทนดูได้ค่อนโชว์ต้องขอกลับมานอน ไม่ใช่ไม่อยากดูนะ อาการหนาวจนปวดท้องกลับมาอีกแล้ว ฮรอลลลล เอาเป็นว่าความดีงามคือ performance แบบถึงจริง ดูอินกันมาก ๆ อย่างพริ้วเลย แต่นั่นแหละค่ะ ร่างกายไม่ไหวแล้วต้องขอลาไปนอน ปิดฉากเทศกาลได้แบบไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ (ในแง่สุขภาพ) แต่ด้านวงและประสบการณ์ที่ได้รับภายในงานคือคุ้มค่ามากจริง ๆ
ตอนเช้าวันที่ 21 วันสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่นี่ หลังจากอาบน้ำ เก็บเตนท์ ก็ไปนั่งรอรถเตรียมเข้าเมืองเพื่อจะตามทีมงานฟังใจคนอื่น ๆ ที่อยู่ Big Mountain เพื่อไป outing กันที่หัวหินกันต่อ ทรหดสุด ๆ ช่วงระหว่างรอนี้เราก็นั่งทบทวนสิ่งต่าง ๆ ตลอดทั้งเกือบสี่วันนี้ เราชอบบรรยากาศ family, pet friendly แบบนี้นะ แบบเอาจริงว่าเราสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายไร้กังวล (ถ้าเงินถึง) เพราะกิจกรรม health and wellness กับพวก creativity น่าทำเยอะไปหมด ของก็น่ากินไปหมดเลย แต่จากที่อยู่มาสองวันเรารู้สึกว่าคนที่มางานนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาติแหละ เป็นสายท่องเที่ยว ฟังเพลง อยู่แล้ว ส่วนมากก็สายตื๊ด ๆ แดนซ์ ๆ หน่อย เพราะจากไลน์อัพนี่อัดแน่นไปด้วยดีเจมากกว่าแบนด์ แล้วก็มีกลุ่มประมาณ Coachella hipster แต่งตัว ๆ และเซเล็บเยอะมากกกกก แต่พวกฮิปปี้ที่แท้จริงเพียบ กลิ่นหญ้าคละคลุ้งตลอดงาน ผมนี่มึนเลยครับ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็ดีงาม ไม่ตกระกำลำบากแน่นอน วันสุดท้ายก็มี shuttle บริการรับไปส่งในเมืองแบบฟรี ๆ ด้วย สรุปก็คือ ใครที่เข้าใจว่านี่คือ music festival งานนี้อาจจะไม่เหมาะกับคุณ แต่ให้มองว่าเป็น lifestyle festival เพราะคุณจะได้ใช้ทุกด้านของชีวิตอย่างสุขีปรีดาแน่นอน คิดว่าได้มาทำกิจกรรมสนุก ๆ เปิดใจไม่คิดอะไรมาก กับการได้มาพบปะผู้คนใหม่ ๆ ก็น่าตื่นเต้นแล้ว ปีหน้าถ้ามีโอกาสก็ขอให้มาลองสัมผัสรสชาติชีวิตในดินแดน Wonderfruit แห่งนี้กันดู ไม่มีผิดหวังจริง ๆ ค่ะ